ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #55 : :: Chapter 38 : เรากำลังเดินสวนทางกัน ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.61K
      17
      26 มี.ค. 53

     

     

     

     

     

     

    Chapter 37

    เรากำลังเดินสวนทางกัน

     

     

     

     

     

     

    “นี่   จัดซุ้มกับตั้งธีมเสร็จแล้วไปซื้อบัตรละครของเด็กนิเทศกันนะ   ให้รอพรุ่งนี้น่ะซื้อไม่ทันแน่”

    “แล้วปีนี้พี่ฮยอนจุงเค้าจะเอาคอนเซ็ปต์อะไรล่ะ   ชั้นล่ะตื่นเต้น    ปีที่แล้วเล่นเอาซะซึ้งจนน้ำตาไหลเลย”   หญิงสาวอีกคนพูดพลางนึกถึงละครเวทีปีที่แล้ว

    No Actress น่ะสิ   นักแสดงทุกคนเป็นผู้ชาย”

    “ฮะ!  ผู้ชาย !!!

    พอโฆษณาโปรโมท No Actress ดังกระฉ่อนไปทั่วก็มีนักศึกษาจากคณะอื่นๆ วนเวียนมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น   ชะเง้อชะแง้มองดูนักแสดงที่นั่งรวมๆ กันอยู่ในห้องด้วยความอยากรู้    ไม่ต่างกับนักแสดงจูเนียร์ที่ต้องคอยปิดบังใบหน้าจนกว่าจะถึงวันถ่ายภาพโปรโมทละครเวทีตามคำสั่งของฮยอนจุง

    พวกเขาอยากจะรู้ว่า...   ไอ้ละครเวทีที่มีแต่ผู้ชายเนี่ย   มันจะรอด ...  หรือล่ม !?

    คิบอมกำลังหงุดหงิดถึงขีดสุด   พอได้เห็นหน้าของนักแสดงทั้งหมดตั้งแต่เช้า   นักศึกษาปีหนึ่งจากเอกการละคร   คนที่ถลาเข้ามาหาดงเฮทันทีที่เห็นหน้า   แถมสายตาหวานๆ ของมันที่จ้องมองคนของเขาน่ะก็วาวซะจนคิบอมแทบจะสติแตกถ้าไม่มีฮันกยองคอยปรามไว้   จะมีใครซะอีก   นอกจากคนที่เคยตามจีบและประกาศตัวเป็นคู่แข่งเขานั่นแหละ

    “ได้โปรดอย่า  ...  แม้ดวงใจข้า  เอ้อ..   ขอโทษฮะ”   เสียงหวานๆ ขาดห้วงเพราะจำบทไม่ได้สักที

    “ใจเย็นๆ ครับดงเฮ”   นิชคุณหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู   คิบอมขบกรามแน่นขึ้นไปอีกเมื่อนิชคุณเอากระดาษปึกๆ มาพัดให้ดงเฮใจเย็น

    มันหงุดหงิดตั้งแต่ตอนที่ไอ้คุณรุ่นพี่ฮยอนจุงนั่นมาบอกเขาแล้ว

    ฟรานซิสเป็นคู่หมั้นจีเซลก็จริงนะ   แต่สุดท้ายแล้วจีเซลหนีไปกับโทนี่น่ะฟราซน์

    คิบอมตัดใจไม่ขอเปลี่ยนบทเพราะระหว่างจีเซลกับโทนี่นั้นไม่มีเลิฟซีน   และร่วมกันเพียงสองซีนเท่านั้น   แต่บทของฟรานซิสนั้นต้องจูบท่านหญิง   เต้นรำ   สวมแหวน   และแต่งงานเข้าห้องหอกับเขา   (แม้ว่าสุดท้ายจีเซลจะหนีไปตอนที่ฟรานซิสกำลังอาบน้ำเพื่อร่วมหอก็ตาม -*-)

    “ให้เค้าใจเย็น   แกก็ใจเย็นมั่งนะไอ้คิบอม”   คนสัญชาติจีนย้ำแล้วหันไปท่องบทตัวเองต่อ    คิบอมชะเง้อคอยาวด้วยใจระส่ำอย่างหึงหวง   อยากจะเข้าไปคุมซะด้วยซ้ำแต่ดงเฮก็คงจะยิ่งกดดันเลยทำได้เพียงมองอยู่อย่างนี้    เพราะสัญญากันแล้วว่าจะเชื่อใจกัน   เขาก็เลยไม่อยากเป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาและความยุ่งยากใจให้คนรัก

    “ดงเฮ   บทนี้ฟีลคือรักโทนี่นะ   แต่ก็สงสารฟรานซิสเพราะเค้าก็ดีกับเรามาก”

    “ครับพี่ซอนยี”   เฟรชชี่หน้าหวานรับคำอย่างว่าง่าย   ซอนยีเอื้อมมือมากุมข้อมือขาวเบาๆ

    “พยายามเข้านะ   พี่เชื่อว่าดงเฮต้องทำได้”

    “เอ่อ...”   ตากลมๆ กะพริบถี่อย่างงงงวย   นิชคุณหรี่ตาลงนิดๆ กับสายตาวาวๆ ของรุ่นพี่ปีสามอย่างซอนยีแล้วเป็นฝ่ายรั้งมือขาวกลับคืนมา

    “ขอบคุณนะครับ”  

    “จ้ะ”   ซอนยียิ้มหวาน   “พักสิบนาทีนะ”

    “ครับ”

    รุ่นพี่คนสวยเดินออกไป   ดงเฮต่อบทกับนิชคุณไปเรื่อยๆ แต่ทำยังไงเขาก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ของท่านหญิงจีเซลคนนี้สักที   อยากจะจินตนาการว่าคนตรงหน้าคือคิบอมใจแทบขาดแต่ก็ไม่กล้า   จะให้เอาคิบอมมาช่วยต่อบทกันตรงนี้ก็ไม่ได้เพราะกลัวคนหน้าลิ้มของเขาจะวางมวยอีก

    “ด๊องคิดว่าผมเป็นคิบอมก็ได้นะ” 

    “ฮะ?”

    “อาจจะทำให้ได้ฟีลขึ้นน่ะ   ลองดูมั๊ย”

    “เอ่อ...”  คนสวยลำบากใจ

    “ลองดูนะ”   ถึงจะเจ็บปวดที่ต้องทำแบบนี้แต่ก็ดีกว่าทำให้คนที่ตัวเองแอบชอบนั้นปวดหัวกับบทละคร   นิชคุณไม่ฟังคำทัดท้วงแต่ลุกขึ้นมาทำท่าจะต่อบทแทน   ดงเฮก็ได้แต่ตามน้ำไม่คัดค้านอะไร

    คิบอม   คิบอม  คิบอม...  

    “ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น   แม้ดวงใจข้าจะขอพลีให้ท่านช่วงชิงแต่มิได้หมายความว่าข้าจะทรยศต่อคู่หมั้นผู้ทัดเทียม”   ดวงหน้าคมคายของคิบอมทับซ้อนเข้ามาแทนที่ภาพตรงหน้า   นิชคุณเห็นดวงตาหวานสะท้อนความรู้สึกออกมาอย่างสุดรักก็ได้แต่เจ็บช้ำหัวใจ   ให้เลิกรักยังไงมันก็ทำไม่ได้สักที

    “ฤาท่านจะทรยศต่อดวงฤทัย   แม้นเกียรติยศอันสูงส่งที่ท่านหญิงควรได้รับจะเลิศเลอเหนือปุถุชนทั้งปวง   แต่หากไร้ซึ่งรักแท้แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด   ได้โปรดทอดใจและมอบชีวาให้ข้าปกป้อง   โทนี่  เรย์  เทเลอร์ผู้นี้ขอเอ่ยสัตย์สาบานจะยึดมั่นในรักของเราอันเป็นนิรันดร์ตลอดกาล”    

    “แต่หัวใจท่านรึจะเทียบได้กับราชอำนาจแห่งเชื้อพระวงศ์   โปรดกลับไปและพินิจถึงศักดิ์ศรีแห่งท่านหญิงของข้าเสีย   อย่าบังคับให้ข้าต้องหักหาญน้ำใจท่านมากไปกว่านี้เลย”

    “...เก่งมากครับ”   ซีนอารมณ์จบไปได้สักพักนิชคุณถึงจะเอ่ยปากชม   ดงเฮยิ้มเขินๆ เพราะเมื่อกี้รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งบอกรักคิบอมไปด้วยคำพูดเลี่ยนๆ ที่อยู่ในเทพนิยาย

     

     

     

     

     

     

    “ฮยอกจี้   พอถึงซีนนี้ก็เอาโต๊ะเข้ามา   บริกรก็ให้ตัวประกอบสักคนไป   แล้วก็ดนตรี...   อืม   ใครพอจะเล่นเปียโนได้มั่งเนี่ย   ชั้นอยากได้สดๆ    จิ้มนิ้วเอากับแกรนด์เปียโนเลย”  ฮยอนจุงสั่งการฉอดๆๆ โดยมีร่างเล็กก้าวเท้ายาวๆ ไปจดสิ่งที่ตัวเองต้องจัดการ  

    “แกรนด์เปียโนเลยเหรอครับ   จะขนขึ้นลงสเตจแต่ละทีมันลำบากนะครับ”

    อยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้วความน่ารักและนิสัยส่วนตัวของฮยอกแจจะถูกพับเก็บลงไป   สิ่งที่เข้มแข็งและความเอาใจใส่งานจะเด่นชัดที่สุด

    “เปียโนเอาไว้แถวๆ หน้าสเตจ   หมายถึงพื้นนะ   ให้ผู้ชมเห็นด้วยว่าเล่นสด”

    “ครับ”

    “อะไรเนี่ย   นักแสดงผู้ชายหน้าหวานๆ หาไม่เจอ  ..   เอาคนตัวเล็กๆ สักคนสิ   ไม่ต้องหวานนักก็ได้   เป็นแค่ตัวประกอบนี่”  ฮยอนจุงอ่านปัญหาที่ถูกส่งมารายงานจากซอนยีแต่เป็นคนบอกกับฮยอกแจที่เดินตามอยู่ต้อยๆ

    “แล้วก็ซีนโบสถ์น่ะครับ   บาทหลวงจะให้ใครแสดงครับ”

    “ใครสักคนที่หน้าแก่ๆ”   ฮยอนจุงตอบง่ายๆ   “อย่างเช่น...  แทซอง”

    “จะให้อัดเทปเสียงหรือเอาสดครับ”

    “ถ้าเป็นซาวด์แทร็คเอาจากเทปส่วนเสียงนักแสดงเอาสด”   ฮยอนจุงตอบกลับรวดเร็วพอๆ กับฮยอกแจที่จดยิกๆ

    “อ้อ   แล้วก็เมื่อเช้ามีรุ่นพี่คนนึงเธอฝากข้อความไว้ครับ   บอกว่าอยากแสดงด้วย   ขอเป็นผู้หญิงคนเดียวบทสเตจ”

    “เทย่าล่ะสิ”   ฮยอนจุงเบือนหน้ามาถาม   ฮยอกแจบอกว่าใช่เพราะได้ยินเพื่อนสาวของรุ่นพี่เรียกเธอว่าอย่างนั้น

    “บอกยัยนั่นทีสิว่าไปตายแล้วเกิดใหม่ให้มีไอ้นั่นก่อนแล้วชั้นจะให้เล่น”

    “...บอกเองเถอะครับ”   ฮยอกแจบ่นอุบอิบ

    พอถึงช่วงบ่ายงานก็รัดตัวมากกว่าเดิม   ฮยอกแจต้องติดต่อกับช่างภาพจากชมรมถ่ายภาพที่จะมาถ่ายรูปโปรโมทให้กับละครเวที   เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็บ่นไม่ได้เพราะฝ่ายไดเร็คเตอร์มีคนทำงานแค่สามคน   ซอนยี  ฮยอนจุงและตัวเขาเอง   รุ่นพี่คนสวยอย่างซอนยีนั้นช่วยดงเฮซ้อมบทอยู่ข้างใน   ส่วนไอ้เจ้าของโปรเจ็คต์อย่างฮยอนจุงน่ะได้ยินว่ากลับไปนอนที่บ้านแล้ว

    ฮันกยองซื้ออาหารเที่ยงมาให้บทตึกแต่ร่างบางยังไม่มีเวลากินเพราะต้องไปหารุ่นพี่เทย่าที่ฮยอนจุงบอกไว้ว่าให้ติดต่อมาเป็นฝ่ายคอสตูม   ร่างสูงทำท่าจะไปด้วยแต่ก็โดนซองมินลากไปต่อบทเพราะฮันกยองค่อนข้างไม่เอาไหนเรื่องซีนอารมณ์

    “ชิส์   คนพรรค์นั้นยังมีหน้ามาให้ชั้นช่วยอีกเหรอ”   หญิงสาวเชิดหน้าหนีแล้วเบะปากอย่างหมั่นไส้   ฮยอกแจอยากจะกระโดดฟรีคิกส์ถีบหน้าวอกๆ ที่หนาเตอะไปด้วยเครื่องสำอางนั่นซะจริงๆ   ...แต่นั่นก็แค่คิด

    “รบกวนด้วยนะครับ”

    “แล้วยัยเลสเบี้ยนนั่นล่ะ”

    “เอ๋?   ใครเหรอครับ”

    “ยัยซอนยีน่ะ”   เทย่าสะบัดเสียงสูงใส่อย่างไม่พอใจ   ฮยอกแจถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่ารุ่นพี่ซอนยีที่ใจดีคนนั้นชอบผู้หญิงด้วยกัน  

    “พี่เค้าต่อบทให้นักแสดงอยู่ครับ”

    กลายเป็นว่าฮยอกแจพูดเก้อซะงั้นเมื่อเทย่าไม่สนใจแต่กลับควักโทรศัพท์ขึ้นมากด

    “ฮยอนจุง   ชั้นบอกนายแล้วใช่มั๊ยว่าให้ชั้นแสดงแต่แรกก็ไม่เชื่อ”   

    [รอให้เธอมีไอ้นั่นก่อนสิ   ฮยอกจี้ไม่ได้บอกเหรอ?]  

    เทย่ากรีดร้องอย่างไม่พอใจ   ฮยอกแจสอดสายตามองไปทั่วห้องที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้านำแฟชั่นแล้วปั้นหน้ายุ่ง   พวกเรียนออกแบบนี่ต้องเอาเศษผ้าเหลือๆ มาตัดชุดเหรอเนี่ย   แต่ละตัวแหว่งไม่มีชิ้นดีเลย

    “ละครนายไม่มีทางได้คอสตูมสวยๆ จากชั้นหรอกย่ะ”   เธอเชิดเสียงใส่อย่างผู้เหนือกว่า

    [มันก็ไม่สวยเท่าไหร่หรอกนะ   ชั้นแค่ขี้เกียจเปลืองงบน่ะ   คิดว่าตอดคนในมหาลัยน่าจะสบายกว่า   แต่ก็ช่างเถอะ  ถือเป็นโชคดีของนักแสดงชั้นก็แล้วกัน   ขอบคุณพระเจ้า]

    “ไอ้ฮยอนจุง!!

    เทย่าแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งเมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายทิ้ง   หญิงสาวหันมาพาลเหวี่ยงอารมณ์ใส่ฮยอกแจ

    “ยืนทำบ้าอะไรล่ะ!  ออกไปนะ!!

    ฮยอกแจทำหน้ายุ่งทันทีที่โดนไล่ออกมาจากห้องดีไซน์ของว่าที่ดีไซเนอร์ทั้งหลาย   ทำไมเขาต้องมาเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้ด้วยเนี่ย

     

    [ Unknown  ::  Calling ]

     

    “ครับ”

    [ฮยอกจี้   บอกซอนนี่ด้วยว่าไม่เอาคอสตูมของคุณย่าแล้ว]

    “ซอนนี่?   คุณย่า?”   สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วจนพอจะเข้าใจว่าฮยอนจุงหมายถึงซอนยีกับเทย่า   ช่างมีพรสวรรค์ในการสั่วชื่อเหลือเกินนะรุ่นพี่ -*-

    “แล้วจะเอาเสื้อผ้าจากไหนล่ะครับ   คอสตูมยุคยุโรปกลางนี่ไม่ได้หากันง่ายๆ เลยนะครับ”

    [ยังไม่รู้   ขอคิดก่อน   อืม...]   ฮยอนจุงขอเวลาคิดจริงๆ   [นายไปจัดการละกันนะ   ฮ้าววว   ชั้นง่วงแล้ว   บายบ๊าย~]

    “เดี๋ยวก่อนสิ!   รุ่นพี่!  ...บ้าชิบ”

    สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อวิธีแก้ปัญหาของฮยอนจุงมันสร้างปัญหาให้เขาจริงๆ

    “จะไปเอาชุดลิเกพวกนั้นมาจากไหนล่ะเนี่ย   เซ็งเว้ย”

    นิ้วเล็กๆ กดโทรศัพท์อย่างรีบเร่ง   ใจเต้นไม่เป็นส่ำจนกระทั่งอีกฝ่ายรับสาย

    [ไงจ๊ะหนูเล็ก]

    “คุณแม่ฮะ   คุณนายจางกลับมาจากยุโรปหรือยังฮะ”

    [เอ...   เห็นว่าจะกลับกลางเดือนนะ   คงต้องโทรไปถามที่บ้านเค้าน่ะจ้ะ   แล้วหนูเล็กถามไปทำไม]

    ระหว่างคุยฮยอกแจก็รีบวิ่งกลับไปที่ตึกนิเทศอีกครั้ง   คนอื่นๆ มองอย่างสนใจที่วันนี้ทั้งวันเห็นร่างเล็กๆ วิ่งวุ่นไปมาไม่หยุดหย่อน

    “หนูเล็กอยากเช่าชุดคอลเลคชั่นของเค้าน่ะฮะ   คุณแม่ว่าจะได้หรือเปล่าฮะ”

    [แม่ไม่แน่ใจนะหนูเล็ก   อาจจะได้บางชุด   แล้วบางชุดก็คงต้องสั่งตัดกับคุณนายเค้านั่นแหละ]

    “งั้นเดี๋ยวหนูเล็กกลับบ้านไปรับคุณแม่ที่บ้านแล้วเราไปหาเค้ากันนะฮะ   ชักช้าเดี๋ยวไม่ทันงานวันครบรอบฮะ”

    [อะไรจะเร่งรีบขนาดนั้น    แต่ก็เอาเถอะ    แม่จะรอนะจ๊ะ]

    ฮยอกแจย้อนกลับไปที่ห้องซ้อมอีกครั้งเพื่อไปยืมกุญแจรถของจุนกิ   ฮันกยองเห็นร่างเล็กวิ่งเข้ามาก็คว้าเอาน้ำจะไปยื่นให้แต่ก็ไม่ทัน    ร่างเล็กๆ วิ่งฉิวออกไปอีกแล้ว

    “ฮยอกแจจะไปไหนเหรอครับพี่จุนกิ”   ว่าที่น้องเขยถาม

    “เห็นบอกว่าจะไปหาชุดให้ฝ่ายคอสตูมน่ะ”

    “แล้วเค้าจะกลับมาอีกหรือเปล่าครับ”

    “ไม่รู้สิ   ฮันลองโทรไปถามหนูเล็กดูแล้วกันนะ   พี่ขอซ้อมบทก่อน”

    “ครับ”

    ร่างสูงพึมพำรับคำแล้วมองออกไปทางประตูที่ร่างเล็กเพิ่งวิ่งจากไปอีกครั้งอย่างเป็นห่วง   แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นเพราะหน้าที่ของเขาที่ต้องซ้อมบทละครก็ค้ำคอ   เราต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของกันและกันไปแล้ว ...

     

     

     

     

     

     

    “ไอ้ถึกกี้   ชั้นว่านะ   ยัยซอนยีนั่นจะต้องจ้องเขมือบไอ้ปลาเน่าแน่ๆ เลย”

    “บ้าน่า   ซีวอนเค้าบอกนายเองไม่ใช่เหรอว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกันน่ะ”

    “แล้วไอ้ปลาของชั้นมีส่วนไหนแมนมั่ง”

    คำกล่าวนี้ทำเอาอิทึกไร้ข้อโต้แย้ง   ได้แต่ทำสีหน้าปุเลี่ยนมองไปยังซอนยีที่กำลังช่วยต่อบทให้ดงเฮกับคิบอมอยู่อย่างสงสัยไม่แพ้กัน

    ช่วยแสดงความแมนออกมาบ้างเถอะมักเน่ของชั้น   เดี๋ยวก็ได้ไปเป็นเพื่อนสาวของซอนยีหรอก -*-

    แทนที่คิบอมจะสบายใจที่ดงเฮไม่ต้องต่อบทกับนิชคุณทั้งวันก็เป็นอันต้องงิดต่อ   ใจมันรู้สึกระแวงแปลกๆ กับสายตาหวานๆ ของซอนยีที่คอยจ้องดงเฮแล้วสอนนู่นสอนนี่ไม่หยุด   มันคล้ายๆ กับตอนที่ลีอาห์มองคนของเขายังไงยังงั้น

    นี่นอกจากนิชคุณแล้ว   ผมต้องมารบกับผู้หญิงคนนี้อีกเหรอ  ยัยลีอาห์ก็คนนึงแล้ว  จะมาอะไรกับแฟนชั้นนักหนาวะ  -*-

    “ดงเฮ  ไม่ได้นะ   ยิ้มหน่อยสิจ๊ะ”   ซอนยีเอื้อมมือมาบิดแก้มขาวให้ฉีกยิ้ม

    “แต่ซีนนี้จีเซลทะเลาะกับฟรานซิสนะฮะ  จะยิ้มได้ยังไง”  เสียงหวานท้วง   คิบอมพอจะเดาออกอยู่หรอกว่าเพราะอะไร   ก็มือกาวของเจ้าหล่อนน่ะแทบจะจับร่างบางๆ ของดงเฮกลืนกินเข้าไปทั้งตัวแล้ว

    “อ๊ะ   พี่นี่แย่จัง   ดงเฮไม่โกรธพี่นะ”

    “ไม่หรอกฮะ   พี่ซอนยีใจดีจะตายไป”   คนหน้าหวานยิ้มหวานสมหน้าตา

    คิบอมคว้าแขนเล็กบังคับให้หันมาทางตนแล้วพ่นคำพูดใส่ด้วยสีหน้าดุดันตามบท   อยากจะไปต่อบทกันสองต่อสองจริงๆ แต่มันก็ทำไม่ได้   ผู้หญิงคนนี้ไม่ปล่อยให้ดงเฮห่างตัวเลย   

    แต่คอยดูเหอะ   ถึงไม่ได้อยู่กันสองคนแต่ผมก็ทำให้โลกนี้มีแค่เราได้   ไม่เชื่อคอยดู !!!

    “ความรักฤาจะเทียบเคียงฐานันดรอันสูงส่งแห่งข้า    ดงเฮยอดรัก.. เอ๊ย   จีเซลยอดรัก”

    “ฮ่าๆๆ”

    ดงเฮหลุดหัวเราะก๊ากใหญ่เมื่อคิบอมพลาดออกมาแบบนั้น   ไม่ได้รู้หรอกว่าเจ้าคนตัวโตน่ะจงใจ

    “จีเซลยอดรัก   ชนชั้นต่ำอย่างนิชคุณมันจะไปมีดีอะไรเท่าเจ้าชายเยี่ยงข้า   ..พูดมาได้รักเรานิรันดร์   เค้ารักชั้นหรอกเว่ย”

    คิบอมเปลี่ยนบทมั่วซั่วไปหมดตามอารมณ์หมั่นไส้เจ้าของบทโทนี่ผู้แย่งชิงดวงใจของเขาไป   ดงเฮลงไปกุมท้องหัวเราะขำอย่างกลั้นไม่อยู่ที่พื้น   คิบอมประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    “ทีแบบนี้น่ะชอบนะ”

    “ตลกอ่ะคิบอม   พูดอะไรก็ไม่รู้   คิๆๆ”   เสียงใสๆ ยังเริงร่าอย่างน่ารัก   มือเล็กๆ เอื้อมไปประคองดวงหน้าคมคายตรงหน้าไว้แล้วเอ่ยต่อให้เข้ากัน

    “เจ้าชายน่ารักมาก   ข้าไม่ทิ้งเจ้าชายไปไหนหรอก   คึๆ   เจ้าชายแก้มป่อง”

    ตามบทแล้วฟรานซิสไม่ใช่เจ้าชายหากแต่เป็นขุนนางยศสูงที่มีเชื้อสายของราชวงศ์อันสูงส่งเท่านั้น   คิบอมมั่วไปเองอย่างที่ดงเฮพูดทั้งนั้น   แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น   ประเด็นคือตอนนี้คิบอมกำลังป่าวประกาศร้องก้องในใจอย่างยินดีที่กีดกันส่วนเกินออกไปสำเร็จ   ซอนยียืนมองตาปริบๆ เมื่อเห็นท่าทางอ่อนหวานและอ่อนโยนของดงเฮที่มีต่อคิบอม 

    “ท่านหญิงจุ๊บเจ้าชายหน่อยก็ดีนะ”   คิบอมลองเสี่ยงตาย   เพราะดงเฮไม่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อจึงไม่เคยได้แสดงความรักอย่างออกนอกหน้านัก   แต่คราวนี้ผิดคาด...

    ปึกกระดาษที่ใช้ซ้อมบทของคิบอมถูกดงเฮช่วงชิงไป   มือขาวๆ ใช้มันปิดแก้มของร่างสูงทั้งสองฝั่งเอาไว้แล้วเขย่งเท้าขึ้นไปหา    กระดาษขนาด A4 ทั้งสองปึกนั้นช่วยหลบซ่อนริมฝีปากที่กำลังคลอเคลียแล้วแลกจุมพิตกันได้อย่างมิดชิด  

    แต่ให้เด็กอนุบาลหมีควายมาดูยังรู้เลยว่าจูบกัน !!!

     

    ทำไมจะไม่รู้ว่าคิบอมคิดอะไร   ถ้าคิบอมอยากได้ความมั่นใจแบบชัดๆ เค้าก็จะจัดให้   จะได้เลิกทำหน้าบูดสักที!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตอนบ่ายสามโมงรุ่นพี่ปีสามที่จะมาถ่ายภาพให้ก็เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน   ตอนแรกที่ฮยอกแจไปตามพวกเขาเพราะคิดว่าจะมีชุดจากฝ่ายคอสตูมมาเปลี่ยนแล้วค่อยถ่าย   แต่พอเกิดเรื่องกะทันหันก็ต้องรีบแจ้นไปหาเสื้อผ้าที่จะใช้ก่อน   ลืมไปเลยว่านัดช่างภาพมาเวลานี้   แถมเจ้าตัวก็กำลังขอร้องคุณนายจางยืมคอลเล็คชั่นสุดรักของหล่อนอยู่ด้วยสิ

    เดือดร้อนฮยอนจุงที่กำลังเดินกลับเข้ามาที่ห้องซ้อมอีกครั้งเพื่อดูความคืบหน้าให้จัดการ

    “อะไร   ก็ชั้นให้ฮยอกจี้จัดการไม่ใช่เหรอ   ไอ้ตัวเล็กไปไหนซะล่ะ”

    “ไม่ต้องมาถามเลย   งานแกแต่สั่งให้น้องชั้นทำแล้วตัวเองกลับไปนอนบ้านเนี่ยนะ   อย่ามาโทษน้องชั้นนะเว้ย   ไม่งั้นลิซ่าแกเป็นหม้ายแน่”

    ฮีซอลร้องทันควันอย่างกันท่าไม่ให้ฮยอนจุงลากคอฮยอกแจมาทำงานแทนเขา   ผู้กำกับตัวดีเดาะลิ้นเป็นอันว่ารับทราบกับคนสวย

    “งั้นก็ถ่ายมันทั้งอย่างงี้แหละ   ดาราชั้นขึ้นกล้องทุกคนอยู่แล้ว”   ฮยอนจุงรวบรัดสรุปโดยง่าย   คนที่มีอำนาจพอจะต่อรองอย่างฮีซอลก็เมื่อยปากที่จะพูดกับไอ้คนเดาทางยากแบบนี้แล้ว

    “ซอนนี่แต่งหน้าให้แจ็ค   เอาแบบสวยสง่าเริดเชิดหยิ่ง   ทึกกี้ขอแบบนางฟ้าใจดี   เอาให้เหมือนหลุดมาจากพีน็อคคีโอ   จีเซลขอสวยๆ หวานๆ น่ารักๆ   ส่วนเธียร่าขอแบบคุณหนูนิดนึง   จุนกิก็เรียบร้อยๆ    ส่วนคนอื่นรองพื้นบางๆ ก็พอ”

    ฮยอนจุงสั่งการแล้วหมุนตัวหันไปควักโทรศัพท์ออกมาจิ้ม  

    “ฮยอกจี้   อยู่ไหน?”

    ฮันกยองแทบจะเดือดเมื่อเขาโทรหาฮยอกแจมือแทบหงิกยังเจอแต่ฝากข้อความ   ทำไมกับหมอนั่นกดแค่ครั้งเดียวหนูเล็กของเขาก็รับแล้ว

    “อา   อา   อา   แพงมั๊ย   ...อือ   อือ   อือ   นายจ่ายไปก่อนนะ   ตอนนี้เอกการละครกำลังบ่จี๊    งืม...  บายบ๊าย”

    ร่างสูงที่ยืนเกาแขนไปคุยโทรศัพท์ไปพลิกร่างหันกลับมามองรอบๆ ก่อนหยุดสายตาของที่ฮันกยอง

    “หานเกิง   ฮยอกจี้ฝากบอกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะโทรหา”   เสียงยานๆ ร้องบอก    ฮันกยองหลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น   “อย่าเล่นเซ็กส์โฟนกันล่ะ    เป็นห่วง -O-

    ซีวอนจ้องมองในทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับใบหน้าสวยๆ ของคนรัก    ปกติฮีซอลเป็นคนสวยอยู่แล้ว   นี่ให้แต่งหน้าประทินโฉมเข้าไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะสวยล้ำขนาดไหน

    ซอนยีเรียกให้เพื่อนสาวคนอื่นๆ มาช่วยแต่งหน้าให้นักแสดง   ส่วนตัวเธอเป็นคนละเลงความงามให้ดงเฮเอง  คิบอมยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ อย่างหงุดหงิด   แต่แล้วเขาก็ต้องเผลอระบายยิ้มอยู่หลายครั้งเมื่อคนหน้าหวานร้องออกมาว่าจั๊กจี้บ้างละ   รู้สึกแปลกๆ บ้างละ  

    “หนูด๊องหลับตาสิครับ   เดี๋ยวไอ้นั่นมันก็ทิ่มเข้าไปหรอก”

    คิบอมต้องร้องบอกเองเมื่อคนตัวเล็กดื้อไม่เชื่อฟังซอนยี   พยายามจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองอายไลเนอร์อยู่ท่าเดียว

    “เค้าอยากเห็นอ่ะคิบอม”   เสียงใสๆ ร้องแต่ก็ยอมหลับตา

    “เดี๋ยวค่อยไปดูซองมินก็ได้”

    “เกี่ยวอะไรกับชั้นล่ะ”

    ซองมินขัดขึ้นทันที   ขืนดงเฮมายืนจุ้นทำท่าอยากรู้ตอนเขากรีดอายไลเนอร์ก็คงได้จิ้มเข้าตาตัวเองกันพอดี

    อิทึกแต่งหน้าอ่อนๆ แล้วสวยเหมือนนางฟ้าอย่างที่ฮยอนจุงต้องการเลยทีเดียว   ริมฝีปากอิ่มกับดวงตาหวานๆ ของเขามันชวนมองอย่างบอกไม่ถูก   พอไปยืนข้างกับจุนกิที่ดูเหมือนเจ้าหญิงผู้งามสง่าแล้วก็ทำเอาคนมองอย่างคังอินกับเจย์ต้องอึ้งไป

    ส่วนซองมินที่ได้รับคอนเซ็ปต์คุณหนูผู้เย่อหยิ่งก็ช่างน่ารักน่าตบซะจริงๆ  ยิ่งตอนร่างอวบถลามาล้อเลียนฮีซอลที่กำลังถูกระบายบรัชออนก็เกือบจะถูกเตะเข้าให้เต็มรัก

    “ถ้าชั้นไม่สวยล่ะแกโดนดีแน่ไอ้กระต่ายอ้วน”   ร่างอวบยื่นปากแล้วหันไปสนใจคนอื่นแทน

    “โห...”   ซองมินเอนไปกระแทกไหล่คิบอมเบาๆ จนร่างสูงที่ยืนยิ้มเซไปอีกทางก่อนร้องอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจ   “ด๊องสวยอ่ะ   สวยมากๆ เลย”

    ดวงตากลมโตสีอ่อนรับกับพวงแก้มขาวอมชมพูที่ถูกแต่งแต้มได้อย่างไร้ที่ติ   กลีบปากสีหวานเป็นประกายวาวเพราะลิปกรอสธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาเมื่อถูกประดับไว้บนริมฝีปากเล็กรูปกระจับ

    “น่าจูบชะมัด”

    คิบอมร้องออกมาเบาๆ  ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มเคลื่อนกายมาดูคนสวยของเขาอย่างสนใจ   ช่วงเวลาที่ร่างบางยิ้มเขินให้คนอื่นมันทำให้เขาอยากจะซ่อนดงเฮไว้ในหอคอยที่ไม่อาจมีใครเอื้อมมือถึง   มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะได้ยลชมความงดงามแห่งร่างบางนี้  

    ยิ่งคิดไปเลยเถิดว่าหากดงเฮใส่ชุดท่านหญิงสมัยยุโรปกลางจริงๆ แล้วจะงดงามขนาดไหนกันนะ

    สวย...   สวยเกินไป...

    ...สวยจนอยากเก็บเอาไว้กับตัวแค่คนเดียว

    “ด๊องน่ารักมากเลยนะครับ”   นิชคุณเอ่ยชม   ดงเฮยิ้มเขินให้เขาอีกคน   ทว่ารอยยิ้มนั้นมันกระชากหัวใจที่เคยสั่งให้เลิกรักจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งรักอีกครั้ง   และครั้งนี้มันคงยากเกินกว่าจะถอนตัว

    “พอแล้วๆ   ดูกันพอแล้วน่า”

    ร่างสูงรีบรั้งร่างบางๆ เข้ามากอดไว้เป็นของเขาคนเดียวอย่างหวงแหน   ถูกคนอื่นๆ ร้องโห่อย่างหมั่นไส้กันไปคนละเสียงสองเสียง   ดงเฮหัวเราะคิกคักกับท่าทางของคิบอมแต่ก็ยอมนิ่งเฉยในอ้อมกอดหนาๆ นั่น   ท่ามกลางสายตาหึงหวงปนอิจฉาของคนไม่มีสิทธิ์ทั้งสอง

    คนแรกกำลังนึกโทษตัวเองที่เผลอไผลหัวใจให้เต้นแรงไปกับใบหน้าสวยๆ ของผู้ชายทั้งที่ตัวเองชอบผู้หญิงและไม่เคยชายตาแลใครที่ไหน

    ส่วนอีกคนกำลังก่นด่าตัวเองในใจที่ตกหลุมรักคนๆ เดิมไปอีกครั้งอย่างซ้ำซาก   และท้ายที่สุดก็คงไม่พ้นเขาที่ต้องเสียใจอยู่คนเดียว

    มันงี่เง่าที่จะเป็นแบบนี้    แต่สิ่งที่ยากยิ่งเกินจะสั่งความก็คือหัวใจ

    เทย่าเดินกรีดกรายเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของหล่อน   ฮยอนจุงบอกว่าให้พาสาวๆ เข้าไปหลบด้านในไม่ให้ผู้หญิงคนนี้เห็น   แม้จะงงๆ ว่าสาวที่ไหนแต่ก็เป็นอันเข้าใจเมื่อหันมามองแล้วเห็นผู้ชายห้าคนในคราบหญิงสาวยืนอวดสวยกันหน้าสลอน

    “ไงคุณย่า”

    “คุณย่าบ้าอะไรฮยอนจุง   ชิส์     ไงล่ะ   อยากจะขอร้องให้ชั้นแสดงให้หรือยัง”

    “ยางงง~

    “เอ๊ะ!!  

    เสียงแหลมๆ สะบัดใส่เสียงยานคางของฮยอนจุงแทบจะทันที  

    “ฮยอกจี้ของชั้นเค้าเป็นโดราเอมอน   ชั้นได้ทุกอย่างแล้ว   ตัวเล็กแค่นั้นแต่มีประโยชน์กว่าคุณย่าตั้งเยอะ”   ฮันกยองอยากจะเหวี่ยงหมัดใส่ฮยอนจุงที่จู่ๆ ก็ไปพูดว่าฮยอกแจเป็นของตัวเอง   แต่ก็ต้องยั้งใจข่มอารมณ์

    “ฮยอกบ้าบออะไรชั้นไม่สนทั้งนั้นแหละ   โอกาสสุดท้ายที่ชั้นจะยอมแสดงละครให้นายแล้วนะ   จะขอร้องก็รีบพูดมา”   หญิงสาวกอดอกแล้วเชิดหน้าไปอีกทางอย่างเย่อหยิ่ง   เทย่าเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่ฮยอนจุงเคยกำกับละครให้ปีที่แล้ว   แต่เธอก็เรื่องมากจนใครๆ ก็พากันขยาดและไม่อยากจะร่วมงานด้วย

    ฮยอนจุงยกนิ้วชี้ขึ้นในระดับใบหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ และใบหน้าง่วงๆ

    “ม่าย...อาว”

    “กรี๊ด !!!!!!!!!!!!

     

               

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ฮันกยอง    นายจะรออยู่อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่กันเนี่ย”

    ซองมินย่นหัวคิ้วปั้นหน้ายุ่ง   เท้าเอวมองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องซ้อมแล้วท่องบทไปพลางๆ

    “ก็จนกว่าฮยอกแจจะมานั่นแหละ   นายจะกลับแล้วเหรอ”

    “แหงสิ   หิวแล้ว”

    “อืม   กลับบ้านดีๆ ล่ะ”   ฮันกยองบอกลาแล้วหันไปอ่านบทต่อ   ตอนแรกก็เห็นว่าเจ้าคนจีนนี่นั่งอยู่คนเดียวเลยอยู่เป็นเพื่อน   แต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าห้าโมงเย็นก็ต้องล่ำลาเพราะหิวไส้กิ่ว

    “ทำไมนายไม่โทรไปหาไอ้ไก่มันซะเลยล่ะ”

    “เค้าปิดเครื่อง   สงสัยแบตหมดมั้ง”   ฮันกยองเงยหน้ามาตอบ

    “ก็ขับรถไปหามันที่บ้านสิ”

    “แล้วถ้าเค้ากลับมาที่นี่อีกรอบแล้วจะทำไงล่ะ”

    “เวรกรรม”   ซองมินสบถอย่างจนปัญญา   “เอาเหอะ   แล้วแต่นายละกัน   ชั้นไปละ”

    “อื้ม”

    ร่างอวบเดินออกมาจากตึกนิเทศก็พบว่าคนเริ่มบางตาลงเยอะกว่าเมื่อบ่าย   แต่ก็ยังมีให้เห็นบ้างประปรายเพราะต่างคนต่างก็ต้องเตรียมจัดกิจกรรม   ตากลมๆ มองไปทั่วก่อนหยุดลงที่ร่างสูงซึ่งยืนอยู่ห่างออกไป

    คยูฮยอนยืนพิงจากัวร์ในฟอร์มของเฟรชชี่มหาลัย   คาดว่าเขาคงถูกบรรจุเป็นเด็กปีหนึ่งแล้วสินะ

    ซองมินเบือนหน้าหนีแล้วเดินไป   เมื่อวานพอเขาปิดประตูใส่เจ้าคนใจร้ายคนนั้นแล้วก็หนีขึ้นห้องทันที   ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรัวเคาะประตูจนมือพังหรือเปล่า   พอตอนเช้าก็รีบออกจากบ้านเพื่อที่จะไม่ต้องเจอะเจอ   แต่ไม่นึกว่าคยูฮยอนจะจริงจังกับสิ่งที่พูดจนมาเข้าเรียนที่นี่

    ถ้าคิดจะไปแล้วทำไมต้องกลับมาทำให้ชั้นเจ็บใจด้วย

    “เดี๋ยวสิ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×