คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : :: Chapter 38 : เรากำลังเดินสวนทางกัน ::
Chapter 37
เรากำลังเดินสวนทางกัน
“นี่ จัดซุ้มกับตั้งธีมเสร็จแล้วไปซื้อบัตรละครของเด็กนิเทศกันนะ ให้รอพรุ่งนี้น่ะซื้อไม่ทันแน่”
“แล้วปีนี้พี่ฮยอนจุงเค้าจะเอาคอนเซ็ปต์อะไรล่ะ ชั้นล่ะตื่นเต้น ปีที่แล้วเล่นเอาซะซึ้งจนน้ำตาไหลเลย” หญิงสาวอีกคนพูดพลางนึกถึงละครเวทีปีที่แล้ว
“No Actress น่ะสิ นักแสดงทุกคนเป็นผู้ชาย”
“ฮะ! ผู้ชาย !!!”
พอโฆษณาโปรโมท No Actress ดังกระฉ่อนไปทั่วก็มีนักศึกษาจากคณะอื่นๆ วนเวียนมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชะเง้อชะแง้มองดูนักแสดงที่นั่งรวมๆ กันอยู่ในห้องด้วยความอยากรู้ ไม่ต่างกับนักแสดงจูเนียร์ที่ต้องคอยปิดบังใบหน้าจนกว่าจะถึงวันถ่ายภาพโปรโมทละครเวทีตามคำสั่งของฮยอนจุง
พวกเขาอยากจะรู้ว่า... ไอ้ละครเวทีที่มีแต่ผู้ชายเนี่ย มันจะรอด ... หรือล่ม !?
คิบอมกำลังหงุดหงิดถึงขีดสุด พอได้เห็นหน้าของนักแสดงทั้งหมดตั้งแต่เช้า นักศึกษาปีหนึ่งจากเอกการละคร คนที่ถลาเข้ามาหาดงเฮทันทีที่เห็นหน้า แถมสายตาหวานๆ ของมันที่จ้องมองคนของเขาน่ะก็วาวซะจนคิบอมแทบจะสติแตกถ้าไม่มีฮันกยองคอยปรามไว้ จะมีใครซะอีก นอกจากคนที่เคยตามจีบและประกาศตัวเป็นคู่แข่งเขานั่นแหละ
“ได้โปรดอย่า ... แม้ดวงใจข้า เอ้อ.. ขอโทษฮะ” เสียงหวานๆ ขาดห้วงเพราะจำบทไม่ได้สักที
“ใจเย็นๆ ครับดงเฮ” นิชคุณหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู คิบอมขบกรามแน่นขึ้นไปอีกเมื่อนิชคุณเอากระดาษปึกๆ มาพัดให้ดงเฮใจเย็น
มันหงุดหงิดตั้งแต่ตอนที่ไอ้คุณรุ่นพี่ฮยอนจุงนั่นมาบอกเขาแล้ว
ฟรานซิสเป็นคู่หมั้นจีเซลก็จริงนะ แต่สุดท้ายแล้วจีเซลหนีไปกับโทนี่น่ะฟราซน์
คิบอมตัดใจไม่ขอเปลี่ยนบทเพราะระหว่างจีเซลกับโทนี่นั้นไม่มีเลิฟซีน และร่วมกันเพียงสองซีนเท่านั้น แต่บทของฟรานซิสนั้นต้องจูบท่านหญิง เต้นรำ สวมแหวน และแต่งงานเข้าห้องหอกับเขา (แม้ว่าสุดท้ายจีเซลจะหนีไปตอนที่ฟรานซิสกำลังอาบน้ำเพื่อร่วมหอก็ตาม -*-)
“ให้เค้าใจเย็น แกก็ใจเย็นมั่งนะไอ้คิบอม” คนสัญชาติจีนย้ำแล้วหันไปท่องบทตัวเองต่อ คิบอมชะเง้อคอยาวด้วยใจระส่ำอย่างหึงหวง อยากจะเข้าไปคุมซะด้วยซ้ำแต่ดงเฮก็คงจะยิ่งกดดันเลยทำได้เพียงมองอยู่อย่างนี้ เพราะสัญญากันแล้วว่าจะเชื่อใจกัน เขาก็เลยไม่อยากเป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาและความยุ่งยากใจให้คนรัก
“ดงเฮ บทนี้ฟีลคือรักโทนี่นะ แต่ก็สงสารฟรานซิสเพราะเค้าก็ดีกับเรามาก”
“ครับพี่ซอนยี” เฟรชชี่หน้าหวานรับคำอย่างว่าง่าย ซอนยีเอื้อมมือมากุมข้อมือขาวเบาๆ
“พยายามเข้านะ พี่เชื่อว่าดงเฮต้องทำได้”
“เอ่อ...” ตากลมๆ กะพริบถี่อย่างงงงวย นิชคุณหรี่ตาลงนิดๆ กับสายตาวาวๆ ของรุ่นพี่ปีสามอย่างซอนยีแล้วเป็นฝ่ายรั้งมือขาวกลับคืนมา
“ขอบคุณนะครับ”
“จ้ะ” ซอนยียิ้มหวาน “พักสิบนาทีนะ”
“ครับ”
รุ่นพี่คนสวยเดินออกไป ดงเฮต่อบทกับนิชคุณไปเรื่อยๆ แต่ทำยังไงเขาก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ของท่านหญิงจีเซลคนนี้สักที อยากจะจินตนาการว่าคนตรงหน้าคือคิบอมใจแทบขาดแต่ก็ไม่กล้า จะให้เอาคิบอมมาช่วยต่อบทกันตรงนี้ก็ไม่ได้เพราะกลัวคนหน้าลิ้มของเขาจะวางมวยอีก
“ด๊องคิดว่าผมเป็นคิบอมก็ได้นะ”
“ฮะ?”
“อาจจะทำให้ได้ฟีลขึ้นน่ะ ลองดูมั๊ย”
“เอ่อ...” คนสวยลำบากใจ
“ลองดูนะ” ถึงจะเจ็บปวดที่ต้องทำแบบนี้แต่ก็ดีกว่าทำให้คนที่ตัวเองแอบชอบนั้นปวดหัวกับบทละคร นิชคุณไม่ฟังคำทัดท้วงแต่ลุกขึ้นมาทำท่าจะต่อบทแทน ดงเฮก็ได้แต่ตามน้ำไม่คัดค้านอะไร
คิบอม คิบอม คิบอม...
“ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น แม้ดวงใจข้าจะขอพลีให้ท่านช่วงชิงแต่มิได้หมายความว่าข้าจะทรยศต่อคู่หมั้นผู้ทัดเทียม” ดวงหน้าคมคายของคิบอมทับซ้อนเข้ามาแทนที่ภาพตรงหน้า นิชคุณเห็นดวงตาหวานสะท้อนความรู้สึกออกมาอย่างสุดรักก็ได้แต่เจ็บช้ำหัวใจ ให้เลิกรักยังไงมันก็ทำไม่ได้สักที
“ฤาท่านจะทรยศต่อดวงฤทัย แม้นเกียรติยศอันสูงส่งที่ท่านหญิงควรได้รับจะเลิศเลอเหนือปุถุชนทั้งปวง แต่หากไร้ซึ่งรักแท้แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด ได้โปรดทอดใจและมอบชีวาให้ข้าปกป้อง โทนี่ เรย์ เทเลอร์ผู้นี้ขอเอ่ยสัตย์สาบานจะยึดมั่นในรักของเราอันเป็นนิรันดร์ตลอดกาล”
“แต่หัวใจท่านรึจะเทียบได้กับราชอำนาจแห่งเชื้อพระวงศ์ โปรดกลับไปและพินิจถึงศักดิ์ศรีแห่งท่านหญิงของข้าเสีย อย่าบังคับให้ข้าต้องหักหาญน้ำใจท่านมากไปกว่านี้เลย”
“...เก่งมากครับ” ซีนอารมณ์จบไปได้สักพักนิชคุณถึงจะเอ่ยปากชม ดงเฮยิ้มเขินๆ เพราะเมื่อกี้รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งบอกรักคิบอมไปด้วยคำพูดเลี่ยนๆ ที่อยู่ในเทพนิยาย
“ฮยอกจี้ พอถึงซีนนี้ก็เอาโต๊ะเข้ามา บริกรก็ให้ตัวประกอบสักคนไป แล้วก็ดนตรี... อืม ใครพอจะเล่นเปียโนได้มั่งเนี่ย ชั้นอยากได้สดๆ จิ้มนิ้วเอากับแกรนด์เปียโนเลย” ฮยอนจุงสั่งการฉอดๆๆ โดยมีร่างเล็กก้าวเท้ายาวๆ ไปจดสิ่งที่ตัวเองต้องจัดการ
“แกรนด์เปียโนเลยเหรอครับ จะขนขึ้นลงสเตจแต่ละทีมันลำบากนะครับ”
อยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้วความน่ารักและนิสัยส่วนตัวของฮยอกแจจะถูกพับเก็บลงไป สิ่งที่เข้มแข็งและความเอาใจใส่งานจะเด่นชัดที่สุด
“เปียโนเอาไว้แถวๆ หน้าสเตจ หมายถึงพื้นนะ ให้ผู้ชมเห็นด้วยว่าเล่นสด”
“ครับ”
“อะไรเนี่ย นักแสดงผู้ชายหน้าหวานๆ หาไม่เจอ .. เอาคนตัวเล็กๆ สักคนสิ ไม่ต้องหวานนักก็ได้ เป็นแค่ตัวประกอบนี่” ฮยอนจุงอ่านปัญหาที่ถูกส่งมารายงานจากซอนยีแต่เป็นคนบอกกับฮยอกแจที่เดินตามอยู่ต้อยๆ
“แล้วก็ซีนโบสถ์น่ะครับ บาทหลวงจะให้ใครแสดงครับ”
“ใครสักคนที่หน้าแก่ๆ” ฮยอนจุงตอบง่ายๆ “อย่างเช่น... แทซอง”
“จะให้อัดเทปเสียงหรือเอาสดครับ”
“ถ้าเป็นซาวด์แทร็คเอาจากเทปส่วนเสียงนักแสดงเอาสด” ฮยอนจุงตอบกลับรวดเร็วพอๆ กับฮยอกแจที่จดยิกๆ
“อ้อ แล้วก็เมื่อเช้ามีรุ่นพี่คนนึงเธอฝากข้อความไว้ครับ บอกว่าอยากแสดงด้วย ขอเป็นผู้หญิงคนเดียวบทสเตจ”
“เทย่าล่ะสิ” ฮยอนจุงเบือนหน้ามาถาม ฮยอกแจบอกว่าใช่เพราะได้ยินเพื่อนสาวของรุ่นพี่เรียกเธอว่าอย่างนั้น
“บอกยัยนั่นทีสิว่าไปตายแล้วเกิดใหม่ให้มีไอ้นั่นก่อนแล้วชั้นจะให้เล่น”
“...บอกเองเถอะครับ” ฮยอกแจบ่นอุบอิบ
พอถึงช่วงบ่ายงานก็รัดตัวมากกว่าเดิม ฮยอกแจต้องติดต่อกับช่างภาพจากชมรมถ่ายภาพที่จะมาถ่ายรูปโปรโมทให้กับละครเวที เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็บ่นไม่ได้เพราะฝ่ายไดเร็คเตอร์มีคนทำงานแค่สามคน ซอนยี ฮยอนจุงและตัวเขาเอง รุ่นพี่คนสวยอย่างซอนยีนั้นช่วยดงเฮซ้อมบทอยู่ข้างใน ส่วนไอ้เจ้าของโปรเจ็คต์อย่างฮยอนจุงน่ะได้ยินว่ากลับไปนอนที่บ้านแล้ว
ฮันกยองซื้ออาหารเที่ยงมาให้บทตึกแต่ร่างบางยังไม่มีเวลากินเพราะต้องไปหารุ่นพี่เทย่าที่ฮยอนจุงบอกไว้ว่าให้ติดต่อมาเป็นฝ่ายคอสตูม ร่างสูงทำท่าจะไปด้วยแต่ก็โดนซองมินลากไปต่อบทเพราะฮันกยองค่อนข้างไม่เอาไหนเรื่องซีนอารมณ์
“ชิส์ คนพรรค์นั้นยังมีหน้ามาให้ชั้นช่วยอีกเหรอ” หญิงสาวเชิดหน้าหนีแล้วเบะปากอย่างหมั่นไส้ ฮยอกแจอยากจะกระโดดฟรีคิกส์ถีบหน้าวอกๆ ที่หนาเตอะไปด้วยเครื่องสำอางนั่นซะจริงๆ ...แต่นั่นก็แค่คิด
“รบกวนด้วยนะครับ”
“แล้วยัยเลสเบี้ยนนั่นล่ะ”
“เอ๋? ใครเหรอครับ”
“ยัยซอนยีน่ะ” เทย่าสะบัดเสียงสูงใส่อย่างไม่พอใจ ฮยอกแจถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่ารุ่นพี่ซอนยีที่ใจดีคนนั้นชอบผู้หญิงด้วยกัน
“พี่เค้าต่อบทให้นักแสดงอยู่ครับ”
กลายเป็นว่าฮยอกแจพูดเก้อซะงั้นเมื่อเทย่าไม่สนใจแต่กลับควักโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ฮยอนจุง ชั้นบอกนายแล้วใช่มั๊ยว่าให้ชั้นแสดงแต่แรกก็ไม่เชื่อ”
[รอให้เธอมีไอ้นั่นก่อนสิ ฮยอกจี้ไม่ได้บอกเหรอ?]
เทย่ากรีดร้องอย่างไม่พอใจ ฮยอกแจสอดสายตามองไปทั่วห้องที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้านำแฟชั่นแล้วปั้นหน้ายุ่ง พวกเรียนออกแบบนี่ต้องเอาเศษผ้าเหลือๆ มาตัดชุดเหรอเนี่ย แต่ละตัวแหว่งไม่มีชิ้นดีเลย
“ละครนายไม่มีทางได้คอสตูมสวยๆ จากชั้นหรอกย่ะ” เธอเชิดเสียงใส่อย่างผู้เหนือกว่า
[มันก็ไม่สวยเท่าไหร่หรอกนะ ชั้นแค่ขี้เกียจเปลืองงบน่ะ คิดว่าตอดคนในมหาลัยน่าจะสบายกว่า แต่ก็ช่างเถอะ ถือเป็นโชคดีของนักแสดงชั้นก็แล้วกัน ขอบคุณพระเจ้า]
“ไอ้ฮยอนจุง!!”
เทย่าแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งเมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายทิ้ง หญิงสาวหันมาพาลเหวี่ยงอารมณ์ใส่ฮยอกแจ
“ยืนทำบ้าอะไรล่ะ! ออกไปนะ!!”
ฮยอกแจทำหน้ายุ่งทันทีที่โดนไล่ออกมาจากห้องดีไซน์ของว่าที่ดีไซเนอร์ทั้งหลาย ทำไมเขาต้องมาเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้ด้วยเนี่ย
[ Unknown :: Calling ]
“ครับ”
[ฮยอกจี้ บอกซอนนี่ด้วยว่าไม่เอาคอสตูมของคุณย่าแล้ว]
“ซอนนี่? คุณย่า?” สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วจนพอจะเข้าใจว่าฮยอนจุงหมายถึงซอนยีกับเทย่า ช่างมีพรสวรรค์ในการสั่วชื่อเหลือเกินนะรุ่นพี่ -*-
“แล้วจะเอาเสื้อผ้าจากไหนล่ะครับ คอสตูมยุคยุโรปกลางนี่ไม่ได้หากันง่ายๆ เลยนะครับ”
[ยังไม่รู้ ขอคิดก่อน อืม...] ฮยอนจุงขอเวลาคิดจริงๆ [นายไปจัดการละกันนะ ฮ้าววว ชั้นง่วงแล้ว บายบ๊าย~]
“เดี๋ยวก่อนสิ! รุ่นพี่! ...บ้าชิบ”
สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อวิธีแก้ปัญหาของฮยอนจุงมันสร้างปัญหาให้เขาจริงๆ
“จะไปเอาชุดลิเกพวกนั้นมาจากไหนล่ะเนี่ย เซ็งเว้ย”
นิ้วเล็กๆ กดโทรศัพท์อย่างรีบเร่ง ใจเต้นไม่เป็นส่ำจนกระทั่งอีกฝ่ายรับสาย
[ไงจ๊ะหนูเล็ก]
“คุณแม่ฮะ คุณนายจางกลับมาจากยุโรปหรือยังฮะ”
[เอ... เห็นว่าจะกลับกลางเดือนนะ คงต้องโทรไปถามที่บ้านเค้าน่ะจ้ะ แล้วหนูเล็กถามไปทำไม]
ระหว่างคุยฮยอกแจก็รีบวิ่งกลับไปที่ตึกนิเทศอีกครั้ง คนอื่นๆ มองอย่างสนใจที่วันนี้ทั้งวันเห็นร่างเล็กๆ วิ่งวุ่นไปมาไม่หยุดหย่อน
“หนูเล็กอยากเช่าชุดคอลเลคชั่นของเค้าน่ะฮะ คุณแม่ว่าจะได้หรือเปล่าฮะ”
[แม่ไม่แน่ใจนะหนูเล็ก อาจจะได้บางชุด แล้วบางชุดก็คงต้องสั่งตัดกับคุณนายเค้านั่นแหละ]
“งั้นเดี๋ยวหนูเล็กกลับบ้านไปรับคุณแม่ที่บ้านแล้วเราไปหาเค้ากันนะฮะ ชักช้าเดี๋ยวไม่ทันงานวันครบรอบฮะ”
[อะไรจะเร่งรีบขนาดนั้น แต่ก็เอาเถอะ แม่จะรอนะจ๊ะ]
ฮยอกแจย้อนกลับไปที่ห้องซ้อมอีกครั้งเพื่อไปยืมกุญแจรถของจุนกิ ฮันกยองเห็นร่างเล็กวิ่งเข้ามาก็คว้าเอาน้ำจะไปยื่นให้แต่ก็ไม่ทัน ร่างเล็กๆ วิ่งฉิวออกไปอีกแล้ว
“ฮยอกแจจะไปไหนเหรอครับพี่จุนกิ” ว่าที่น้องเขยถาม
“เห็นบอกว่าจะไปหาชุดให้ฝ่ายคอสตูมน่ะ”
“แล้วเค้าจะกลับมาอีกหรือเปล่าครับ”
“ไม่รู้สิ ฮันลองโทรไปถามหนูเล็กดูแล้วกันนะ พี่ขอซ้อมบทก่อน”
“ครับ”
ร่างสูงพึมพำรับคำแล้วมองออกไปทางประตูที่ร่างเล็กเพิ่งวิ่งจากไปอีกครั้งอย่างเป็นห่วง แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นเพราะหน้าที่ของเขาที่ต้องซ้อมบทละครก็ค้ำคอ เราต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของกันและกันไปแล้ว ...
“ไอ้ถึกกี้ ชั้นว่านะ ยัยซอนยีนั่นจะต้องจ้องเขมือบไอ้ปลาเน่าแน่ๆ เลย”
“บ้าน่า ซีวอนเค้าบอกนายเองไม่ใช่เหรอว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกันน่ะ”
“แล้วไอ้ปลาของชั้นมีส่วนไหนแมนมั่ง”
คำกล่าวนี้ทำเอาอิทึกไร้ข้อโต้แย้ง ได้แต่ทำสีหน้าปุเลี่ยนมองไปยังซอนยีที่กำลังช่วยต่อบทให้ดงเฮกับคิบอมอยู่อย่างสงสัยไม่แพ้กัน
ช่วยแสดงความแมนออกมาบ้างเถอะมักเน่ของชั้น เดี๋ยวก็ได้ไปเป็นเพื่อนสาวของซอนยีหรอก -*-
แทนที่คิบอมจะสบายใจที่ดงเฮไม่ต้องต่อบทกับนิชคุณทั้งวันก็เป็นอันต้องงิดต่อ ใจมันรู้สึกระแวงแปลกๆ กับสายตาหวานๆ ของซอนยีที่คอยจ้องดงเฮแล้วสอนนู่นสอนนี่ไม่หยุด มันคล้ายๆ กับตอนที่ลีอาห์มองคนของเขายังไงยังงั้น
นี่นอกจากนิชคุณแล้ว ผมต้องมารบกับผู้หญิงคนนี้อีกเหรอ ยัยลีอาห์ก็คนนึงแล้ว จะมาอะไรกับแฟนชั้นนักหนาวะ -*-
“ดงเฮ ไม่ได้นะ ยิ้มหน่อยสิจ๊ะ” ซอนยีเอื้อมมือมาบิดแก้มขาวให้ฉีกยิ้ม
“แต่ซีนนี้จีเซลทะเลาะกับฟรานซิสนะฮะ จะยิ้มได้ยังไง” เสียงหวานท้วง คิบอมพอจะเดาออกอยู่หรอกว่าเพราะอะไร ก็มือกาวของเจ้าหล่อนน่ะแทบจะจับร่างบางๆ ของดงเฮกลืนกินเข้าไปทั้งตัวแล้ว
“อ๊ะ พี่นี่แย่จัง ดงเฮไม่โกรธพี่นะ”
“ไม่หรอกฮะ พี่ซอนยีใจดีจะตายไป” คนหน้าหวานยิ้มหวานสมหน้าตา
คิบอมคว้าแขนเล็กบังคับให้หันมาทางตนแล้วพ่นคำพูดใส่ด้วยสีหน้าดุดันตามบท อยากจะไปต่อบทกันสองต่อสองจริงๆ แต่มันก็ทำไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ปล่อยให้ดงเฮห่างตัวเลย
แต่คอยดูเหอะ ถึงไม่ได้อยู่กันสองคนแต่ผมก็ทำให้โลกนี้มีแค่เราได้ ไม่เชื่อคอยดู !!!
“ความรักฤาจะเทียบเคียงฐานันดรอันสูงส่งแห่งข้า ดงเฮยอดรัก.. เอ๊ย จีเซลยอดรัก”
“ฮ่าๆๆ”
ดงเฮหลุดหัวเราะก๊ากใหญ่เมื่อคิบอมพลาดออกมาแบบนั้น ไม่ได้รู้หรอกว่าเจ้าคนตัวโตน่ะจงใจ
“จีเซลยอดรัก ชนชั้นต่ำอย่างนิชคุณมันจะไปมีดีอะไรเท่าเจ้าชายเยี่ยงข้า ..พูดมาได้รักเรานิรันดร์ เค้ารักชั้นหรอกเว่ย”
คิบอมเปลี่ยนบทมั่วซั่วไปหมดตามอารมณ์หมั่นไส้เจ้าของบทโทนี่ผู้แย่งชิงดวงใจของเขาไป ดงเฮลงไปกุมท้องหัวเราะขำอย่างกลั้นไม่อยู่ที่พื้น คิบอมประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ทีแบบนี้น่ะชอบนะ”
“ตลกอ่ะคิบอม พูดอะไรก็ไม่รู้ คิๆๆ” เสียงใสๆ ยังเริงร่าอย่างน่ารัก มือเล็กๆ เอื้อมไปประคองดวงหน้าคมคายตรงหน้าไว้แล้วเอ่ยต่อให้เข้ากัน
“เจ้าชายน่ารักมาก ข้าไม่ทิ้งเจ้าชายไปไหนหรอก คึๆ เจ้าชายแก้มป่อง”
ตามบทแล้วฟรานซิสไม่ใช่เจ้าชายหากแต่เป็นขุนนางยศสูงที่มีเชื้อสายของราชวงศ์อันสูงส่งเท่านั้น คิบอมมั่วไปเองอย่างที่ดงเฮพูดทั้งนั้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือตอนนี้คิบอมกำลังป่าวประกาศร้องก้องในใจอย่างยินดีที่กีดกันส่วนเกินออกไปสำเร็จ ซอนยียืนมองตาปริบๆ เมื่อเห็นท่าทางอ่อนหวานและอ่อนโยนของดงเฮที่มีต่อคิบอม
“ท่านหญิงจุ๊บเจ้าชายหน่อยก็ดีนะ” คิบอมลองเสี่ยงตาย เพราะดงเฮไม่ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อจึงไม่เคยได้แสดงความรักอย่างออกนอกหน้านัก แต่คราวนี้ผิดคาด...
ปึกกระดาษที่ใช้ซ้อมบทของคิบอมถูกดงเฮช่วงชิงไป มือขาวๆ ใช้มันปิดแก้มของร่างสูงทั้งสองฝั่งเอาไว้แล้วเขย่งเท้าขึ้นไปหา กระดาษขนาด A4 ทั้งสองปึกนั้นช่วยหลบซ่อนริมฝีปากที่กำลังคลอเคลียแล้วแลกจุมพิตกันได้อย่างมิดชิด
แต่ให้เด็กอนุบาลหมีควายมาดูยังรู้เลยว่าจูบกัน !!!
ทำไมจะไม่รู้ว่าคิบอมคิดอะไร ถ้าคิบอมอยากได้ความมั่นใจแบบชัดๆ เค้าก็จะจัดให้ จะได้เลิกทำหน้าบูดสักที!
ตอนบ่ายสามโมงรุ่นพี่ปีสามที่จะมาถ่ายภาพให้ก็เดินเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ตอนแรกที่ฮยอกแจไปตามพวกเขาเพราะคิดว่าจะมีชุดจากฝ่ายคอสตูมมาเปลี่ยนแล้วค่อยถ่าย แต่พอเกิดเรื่องกะทันหันก็ต้องรีบแจ้นไปหาเสื้อผ้าที่จะใช้ก่อน ลืมไปเลยว่านัดช่างภาพมาเวลานี้ แถมเจ้าตัวก็กำลังขอร้องคุณนายจางยืมคอลเล็คชั่นสุดรักของหล่อนอยู่ด้วยสิ
เดือดร้อนฮยอนจุงที่กำลังเดินกลับเข้ามาที่ห้องซ้อมอีกครั้งเพื่อดูความคืบหน้าให้จัดการ
“อะไร ก็ชั้นให้ฮยอกจี้จัดการไม่ใช่เหรอ ไอ้ตัวเล็กไปไหนซะล่ะ”
“ไม่ต้องมาถามเลย งานแกแต่สั่งให้น้องชั้นทำแล้วตัวเองกลับไปนอนบ้านเนี่ยนะ อย่ามาโทษน้องชั้นนะเว้ย ไม่งั้นลิซ่าแกเป็นหม้ายแน่”
ฮีซอลร้องทันควันอย่างกันท่าไม่ให้ฮยอนจุงลากคอฮยอกแจมาทำงานแทนเขา ผู้กำกับตัวดีเดาะลิ้นเป็นอันว่ารับทราบกับคนสวย
“งั้นก็ถ่ายมันทั้งอย่างงี้แหละ ดาราชั้นขึ้นกล้องทุกคนอยู่แล้ว” ฮยอนจุงรวบรัดสรุปโดยง่าย คนที่มีอำนาจพอจะต่อรองอย่างฮีซอลก็เมื่อยปากที่จะพูดกับไอ้คนเดาทางยากแบบนี้แล้ว
“ซอนนี่แต่งหน้าให้แจ็ค เอาแบบสวยสง่าเริดเชิดหยิ่ง ทึกกี้ขอแบบนางฟ้าใจดี เอาให้เหมือนหลุดมาจากพีน็อคคีโอ จีเซลขอสวยๆ หวานๆ น่ารักๆ ส่วนเธียร่าขอแบบคุณหนูนิดนึง จุนกิก็เรียบร้อยๆ ส่วนคนอื่นรองพื้นบางๆ ก็พอ”
ฮยอนจุงสั่งการแล้วหมุนตัวหันไปควักโทรศัพท์ออกมาจิ้ม
“ฮยอกจี้ อยู่ไหน?”
ฮันกยองแทบจะเดือดเมื่อเขาโทรหาฮยอกแจมือแทบหงิกยังเจอแต่ฝากข้อความ ทำไมกับหมอนั่นกดแค่ครั้งเดียวหนูเล็กของเขาก็รับแล้ว
“อา อา อา แพงมั๊ย ...อือ อือ อือ นายจ่ายไปก่อนนะ ตอนนี้เอกการละครกำลังบ่จี๊ งืม... บายบ๊าย”
ร่างสูงที่ยืนเกาแขนไปคุยโทรศัพท์ไปพลิกร่างหันกลับมามองรอบๆ ก่อนหยุดสายตาของที่ฮันกยอง
“หานเกิง ฮยอกจี้ฝากบอกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะโทรหา” เสียงยานๆ ร้องบอก ฮันกยองหลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น “อย่าเล่นเซ็กส์โฟนกันล่ะ เป็นห่วง -O-”
ซีวอนจ้องมองในทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับใบหน้าสวยๆ ของคนรัก ปกติฮีซอลเป็นคนสวยอยู่แล้ว นี่ให้แต่งหน้าประทินโฉมเข้าไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะสวยล้ำขนาดไหน
ซอนยีเรียกให้เพื่อนสาวคนอื่นๆ มาช่วยแต่งหน้าให้นักแสดง ส่วนตัวเธอเป็นคนละเลงความงามให้ดงเฮเอง คิบอมยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ อย่างหงุดหงิด แต่แล้วเขาก็ต้องเผลอระบายยิ้มอยู่หลายครั้งเมื่อคนหน้าหวานร้องออกมาว่าจั๊กจี้บ้างละ รู้สึกแปลกๆ บ้างละ
“หนูด๊องหลับตาสิครับ เดี๋ยวไอ้นั่นมันก็ทิ่มเข้าไปหรอก”
คิบอมต้องร้องบอกเองเมื่อคนตัวเล็กดื้อไม่เชื่อฟังซอนยี พยายามจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองอายไลเนอร์อยู่ท่าเดียว
“เค้าอยากเห็นอ่ะคิบอม” เสียงใสๆ ร้องแต่ก็ยอมหลับตา
“เดี๋ยวค่อยไปดูซองมินก็ได้”
“เกี่ยวอะไรกับชั้นล่ะ”
ซองมินขัดขึ้นทันที ขืนดงเฮมายืนจุ้นทำท่าอยากรู้ตอนเขากรีดอายไลเนอร์ก็คงได้จิ้มเข้าตาตัวเองกันพอดี
อิทึกแต่งหน้าอ่อนๆ แล้วสวยเหมือนนางฟ้าอย่างที่ฮยอนจุงต้องการเลยทีเดียว ริมฝีปากอิ่มกับดวงตาหวานๆ ของเขามันชวนมองอย่างบอกไม่ถูก พอไปยืนข้างกับจุนกิที่ดูเหมือนเจ้าหญิงผู้งามสง่าแล้วก็ทำเอาคนมองอย่างคังอินกับเจย์ต้องอึ้งไป
ส่วนซองมินที่ได้รับคอนเซ็ปต์คุณหนูผู้เย่อหยิ่งก็ช่างน่ารักน่าตบซะจริงๆ ยิ่งตอนร่างอวบถลามาล้อเลียนฮีซอลที่กำลังถูกระบายบรัชออนก็เกือบจะถูกเตะเข้าให้เต็มรัก
“ถ้าชั้นไม่สวยล่ะแกโดนดีแน่ไอ้กระต่ายอ้วน” ร่างอวบยื่นปากแล้วหันไปสนใจคนอื่นแทน
“โห...” ซองมินเอนไปกระแทกไหล่คิบอมเบาๆ จนร่างสูงที่ยืนยิ้มเซไปอีกทางก่อนร้องอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจ “ด๊องสวยอ่ะ สวยมากๆ เลย”
ดวงตากลมโตสีอ่อนรับกับพวงแก้มขาวอมชมพูที่ถูกแต่งแต้มได้อย่างไร้ที่ติ กลีบปากสีหวานเป็นประกายวาวเพราะลิปกรอสธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดาเมื่อถูกประดับไว้บนริมฝีปากเล็กรูปกระจับ
“น่าจูบชะมัด”
คิบอมร้องออกมาเบาๆ ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มเคลื่อนกายมาดูคนสวยของเขาอย่างสนใจ ช่วงเวลาที่ร่างบางยิ้มเขินให้คนอื่นมันทำให้เขาอยากจะซ่อนดงเฮไว้ในหอคอยที่ไม่อาจมีใครเอื้อมมือถึง มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะได้ยลชมความงดงามแห่งร่างบางนี้
ยิ่งคิดไปเลยเถิดว่าหากดงเฮใส่ชุดท่านหญิงสมัยยุโรปกลางจริงๆ แล้วจะงดงามขนาดไหนกันนะ
สวย... สวยเกินไป...
...สวยจนอยากเก็บเอาไว้กับตัวแค่คนเดียว
“ด๊องน่ารักมากเลยนะครับ” นิชคุณเอ่ยชม ดงเฮยิ้มเขินให้เขาอีกคน ทว่ารอยยิ้มนั้นมันกระชากหัวใจที่เคยสั่งให้เลิกรักจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งรักอีกครั้ง และครั้งนี้มันคงยากเกินกว่าจะถอนตัว
“พอแล้วๆ ดูกันพอแล้วน่า”
ร่างสูงรีบรั้งร่างบางๆ เข้ามากอดไว้เป็นของเขาคนเดียวอย่างหวงแหน ถูกคนอื่นๆ ร้องโห่อย่างหมั่นไส้กันไปคนละเสียงสองเสียง ดงเฮหัวเราะคิกคักกับท่าทางของคิบอมแต่ก็ยอมนิ่งเฉยในอ้อมกอดหนาๆ นั่น ท่ามกลางสายตาหึงหวงปนอิจฉาของคนไม่มีสิทธิ์ทั้งสอง
คนแรกกำลังนึกโทษตัวเองที่เผลอไผลหัวใจให้เต้นแรงไปกับใบหน้าสวยๆ ของผู้ชายทั้งที่ตัวเองชอบผู้หญิงและไม่เคยชายตาแลใครที่ไหน
ส่วนอีกคนกำลังก่นด่าตัวเองในใจที่ตกหลุมรักคนๆ เดิมไปอีกครั้งอย่างซ้ำซาก และท้ายที่สุดก็คงไม่พ้นเขาที่ต้องเสียใจอยู่คนเดียว
มันงี่เง่าที่จะเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ยากยิ่งเกินจะสั่งความก็คือหัวใจ
เทย่าเดินกรีดกรายเข้ามาพร้อมกับเพื่อนของหล่อน ฮยอนจุงบอกว่าให้พาสาวๆ เข้าไปหลบด้านในไม่ให้ผู้หญิงคนนี้เห็น แม้จะงงๆ ว่าสาวที่ไหนแต่ก็เป็นอันเข้าใจเมื่อหันมามองแล้วเห็นผู้ชายห้าคนในคราบหญิงสาวยืนอวดสวยกันหน้าสลอน
“ไงคุณย่า”
“คุณย่าบ้าอะไรฮยอนจุง ชิส์ ไงล่ะ อยากจะขอร้องให้ชั้นแสดงให้หรือยัง”
“ยางงง~”
“เอ๊ะ!!”
เสียงแหลมๆ สะบัดใส่เสียงยานคางของฮยอนจุงแทบจะทันที
“ฮยอกจี้ของชั้นเค้าเป็นโดราเอมอน ชั้นได้ทุกอย่างแล้ว ตัวเล็กแค่นั้นแต่มีประโยชน์กว่าคุณย่าตั้งเยอะ” ฮันกยองอยากจะเหวี่ยงหมัดใส่ฮยอนจุงที่จู่ๆ ก็ไปพูดว่าฮยอกแจเป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องยั้งใจข่มอารมณ์
“ฮยอกบ้าบออะไรชั้นไม่สนทั้งนั้นแหละ โอกาสสุดท้ายที่ชั้นจะยอมแสดงละครให้นายแล้วนะ จะขอร้องก็รีบพูดมา” หญิงสาวกอดอกแล้วเชิดหน้าไปอีกทางอย่างเย่อหยิ่ง เทย่าเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งในบรรดาสาวๆ ที่ฮยอนจุงเคยกำกับละครให้ปีที่แล้ว แต่เธอก็เรื่องมากจนใครๆ ก็พากันขยาดและไม่อยากจะร่วมงานด้วย
ฮยอนจุงยกนิ้วชี้ขึ้นในระดับใบหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ และใบหน้าง่วงๆ
“ม่าย...อาว”
“กรี๊ด !!!!!!!!!!!!”
“ฮันกยอง นายจะรออยู่อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่กันเนี่ย”
ซองมินย่นหัวคิ้วปั้นหน้ายุ่ง เท้าเอวมองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องซ้อมแล้วท่องบทไปพลางๆ
“ก็จนกว่าฮยอกแจจะมานั่นแหละ นายจะกลับแล้วเหรอ”
“แหงสิ หิวแล้ว”
“อืม กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฮันกยองบอกลาแล้วหันไปอ่านบทต่อ ตอนแรกก็เห็นว่าเจ้าคนจีนนี่นั่งอยู่คนเดียวเลยอยู่เป็นเพื่อน แต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าห้าโมงเย็นก็ต้องล่ำลาเพราะหิวไส้กิ่ว
“ทำไมนายไม่โทรไปหาไอ้ไก่มันซะเลยล่ะ”
“เค้าปิดเครื่อง สงสัยแบตหมดมั้ง” ฮันกยองเงยหน้ามาตอบ
“ก็ขับรถไปหามันที่บ้านสิ”
“แล้วถ้าเค้ากลับมาที่นี่อีกรอบแล้วจะทำไงล่ะ”
“เวรกรรม” ซองมินสบถอย่างจนปัญญา “เอาเหอะ แล้วแต่นายละกัน ชั้นไปละ”
“อื้ม”
ร่างอวบเดินออกมาจากตึกนิเทศก็พบว่าคนเริ่มบางตาลงเยอะกว่าเมื่อบ่าย แต่ก็ยังมีให้เห็นบ้างประปรายเพราะต่างคนต่างก็ต้องเตรียมจัดกิจกรรม ตากลมๆ มองไปทั่วก่อนหยุดลงที่ร่างสูงซึ่งยืนอยู่ห่างออกไป
คยูฮยอนยืนพิงจากัวร์ในฟอร์มของเฟรชชี่มหาลัย คาดว่าเขาคงถูกบรรจุเป็นเด็กปีหนึ่งแล้วสินะ
ซองมินเบือนหน้าหนีแล้วเดินไป เมื่อวานพอเขาปิดประตูใส่เจ้าคนใจร้ายคนนั้นแล้วก็หนีขึ้นห้องทันที ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรัวเคาะประตูจนมือพังหรือเปล่า พอตอนเช้าก็รีบออกจากบ้านเพื่อที่จะไม่ต้องเจอะเจอ แต่ไม่นึกว่าคยูฮยอนจะจริงจังกับสิ่งที่พูดจนมาเข้าเรียนที่นี่
ถ้าคิดจะไปแล้วทำไมต้องกลับมาทำให้ชั้นเจ็บใจด้วย
“เดี๋ยวสิ”
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความคิดเห็น