ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #47 : :: Chapter 33 : 'Two Lim' so sweet :: +++KiHae's Day+++

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.66K
      69
      12 ก.ย. 52


    ย้าย 45 %  ที่อัพเพิ่มไปตอนที่แล้วนะคะ   เนื่องด้วยมันสั้นเกิน  = =  
    ถ้ายังไม่ได้อ่านก็ไปตามเก็บด้วยล่ะ    ^<



    --------------

     

     

     

     

     

     

     

    33

    ‘Two Lim’ so sweet

     

     

     

     

     

    “ป้าฮโยมินบอกว่ามินนี่หายตัวไป    เราก็เป็นห่วงแทบแย่”   

     

     

    ดงเฮพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก   หลังจากวิ่งวุ่นไปตามหาซองมินกับเพื่อนคนอื่นๆ มาทั้งวันกับฮยอกแจ    แต่พอฮโยมินโทรมาบอกว่าซองมินเพิ่งเข้าบ้านมาเมื่อกี้ก็รีบบึ่งมาที่นี่ทันที   เล่นเอาใจหายกันไปเป็นทิวแถว

     

     

    “ไอ้กระต่ายอ้วนนี่    ทำชั้นเดือดร้อนเรื่อยเลยนะแก”

     

     

    ฮยอกแจบ่นแล้วนั่งลงบนเตียง   ตามมาด้วยดงเฮที่ขยับตัวตามมา   ทั้งเจ้าไก่และเจ้าปลาต่างจ้องไปที่เจ้ากระต่ายเป็นตาเดียว

     

     

    “ตกลงหายไปไหนมา”

     

     

    “เปล่า   เราไม่ได้ไปไหน”   เสียงเอื่อยๆ ตอบกลับมาแล้วมุดตัวหนีเข้าใต้ผ้าห่ม   ฮยอกแจกับดงเฮหันมามองหน้ากัน   คนหน้าหวานจัดการยื้อยุดผ้าห่มให้พ้นตัวคนอวบ   ส่วนเจ้าของเสียงแหลมๆ ก็รับหน้าที่โวยวาย

     

     

    “ย๊า   อย่าคลุมโปงหนีนะเว๊ย   มาคุยให้รู้เรื่อง”   ฮยอกแจตามตอแย

     

     

    “บันนี่ตัวอวบคนนี้นี่ยังไงกันนะ   เราไม่ใช่คยูกี้ของมินมินนะถึงจะได้ต้องมีเรื่องปิดบังน่ะ”

     

     

    ดงเฮพูดงอนๆ   เขากับฮยอกแจไม่ใช่คยูฮยอนที่ซองมินจะต้องคอยหลบหน้าหรือปดเรื่องราวต่างๆ มากมายเพื่อตามให้ทันเล่ห์เหลี่ยมกัน    แต่เหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนไปกระตุกต่อมอารมณ์ของคนฟังให้หน้าเศร้าเข้าไปอีก

     

     

    “ชั้นไม่ได้เป็นอะไรนะ”   คนใต้ผ้าห่มยังปากแข็ง

     

     

    “ไม่ได้เป็นอะไรก็ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย”   ฮยอกแจยื้อยุดผ้านวมผืนหนา   ในขณะที่ลูกปลาน้อยเป็นฝ่ายใช้วาจาหวานพูดบ้างแล้ว

     

     

    “เรากับฮยอกเป็นห่วงมินนี่นะ    รู้มั้ย”

     

     

    “รู้”   ซองมินอู้อี้ตอบ   น้ำตามันพาลจะไหลมาซะให้ได้

     

     

    “ถ้ารู้ก็มาพูดกันดิวะ   อย่ามาปิดบังกันนะ   ทีเรื่องของชั้นแกยังเอี่ยวได้ทุกเรื่อง   แฟร์หน่อย”

     

     

    เพื่อนจอมเซี๊ยวพูดในแบบของตน   ซองมินกัดริมฝีปากล่างเบาๆ   “อย่าถามชั้นเลยน่า    ห้ามเซ้าซี้นะ   เดี๋ยวชั้นเผลอบอก” 

     

     

    “เออ   ไม่ต้องเผลอ   พูดมาเลย”

     

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองควรจะอารมณ์ไหน    เสียงหัวเราะของดงเฮดังคลอมาทำให้ซองมินรู้สึกสบายใจ   คำพูดเป็นห่วงเป็นใยที่ได้ฟังมันก็ทำให้เขาวางใจ

     

     

    จากที่จะร้องไห้โฮก็เริ่มเปลี่ยนไป   อารามถูกตื๊ออยู่นานจนซองมินชักรำคาญ   ความเสียใจหนีไปซ่อนตัวเมื่อเจอความรักจากมิตรภาพที่มีอานุภาพมากมายกว่า    ไม่ช้าก็เห็นใบหน้ามุ่ยๆ ที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มหลังถูกต้อนจนมุม

     

     

    “ก็ได้   แต่แกกับด๊องต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่หัวเราะเค้า” 

     

     

    สรรพนามที่เลือกใช้เฉพาะบุคคลปนกันมั่วไปหมด   

     

     

    “อื้อ    เราจะหัวเราะทำไม   เราเป็นห่วงมินนี่นะ”   รอยยิ้มหวานถูกส่งมาพร้อมมือบางที่เอื้อมมาจับ

    “เออน่า    ทำไม   มีเรื่องอะไรให้น่าขำนักหนา”  

     

     

    ซองมินเหมือนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง   ฮยอกแจอยากจะท้วงว่าคิดอะไรนานนักหนา   แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ได้คำตอบ

     

     

    “ชั้นเสียจิ้นให้ไอ้คยูแล้ว”

     

     

    “ฮะ ?”  

     

     

    “ทำไมต้องถามให้พูดอีกรอบฮะ   ก็บอกว่าชั้นเสียจิ้นให้ไอ้คยูแล้ว   ชั้นถูกมันปล้ำ”  

     

     

    จิ๊   กระต่ายอารมณ์เสีย

     

     

    “ก..แกพูดว่าอะไรนะ”

     

     

    ฮยอกแจถึงกับอัลไซเมอร์ชั่วขณะ   ดงเฮนั่งอึ้ง   แต่ครั้งนี้ซองมินไม่สนใจคำถามของฮยอกแจที่พูดมาเมื่อกี้   ก็ได้ยินชัดไปแล้วนี่   จะให้เค้าพูดให้ตัวเองอายไปอีกทำไม    ไอ้เพื่อนบ้า

     

     

    ซองมินไม่ร้องไห้เสียใจ    เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตอนที่รู้ว่าคยูฮยอนกลับไปจีนแล้วถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย    เจ็บช้ำในหัวใจที่ถูกหลอกฟัน    มีบ้างที่เจ็บแค้นเพราะโดนเอาคืน    

     

     

    หรือเป็นเพราะเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่เอาแต่ร้องไห้ทำให้ดวงตาเขาไม่สามารถผลิตน้ำตาออกมาใช้ได้กันนะ

     

     

    ปัญญาอ่อนสิ้นดี -*-

     

     

    ซองมินลุกจากที่นอนแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ   ดงเฮกับฮยอกแจหันมามองหน้ากันอย่างสงสัยในตัวเจ้ากระต่ายอ้วนนั่น

     

     

    นั่นเขาไม่เสียใจบ้างเลยหรือไงกันนะ?

     

     

    “หรือว่ามันจะสมยอม”   ฮยอกแจเดา

     

     

    “คยูฮยอนเนี่ยนะ   คนที่มินนี่บอกว่าเกลียดเข้ากระดูกดำเนี่ยนะ”   ดงเฮทำหน้าไม่อยากเชื่อ

     

     

    “นั่นแหละ    แล้วไปทำอีท่าไหนฟะถึงได้ยอม    หรือจะโดนยา?”

     

     

    “อาจจะ”   คนหน้าหวานก็ไม่รู้   ได้แต่มองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิทนั่นแล้วถอนหายใจ   “ฮยอกว่าซองมินเค้าอยากจะเล่าให้พวกเราฟังมั้ย”

     

     

    ฮยอกแจทิ้งตัวเองลงบนที่นอน    ส่ายหน้าไปมาพร้อมคิ้วเรียวที่ขมวดมุ่น    “ถ้าเป็นเรา    ก็คงอายอ่ะ   แต่ก็ไม่มีอะไรให้ปิดบัง   แล้วด๊องล่ะ”  

     

     

    “อืม    เราว่าเราคงไม่เล่าให้ใครฟังหรอกถ้าทนไม่ไหวจริงๆ น่ะ    อันนี้ในกรณีที่ไม่เต็มใจนะ    แต่ถ้าซองมินเต็มใจมีอะไรกับคยูฮยอนล่ะ”  

     

     

    “ไอ้หมอนั่นก็ต้องรับผิดชอบ”

     

     

    “เค้าจะยอมเหรอ    อีกอย่าง    ซองมินกับคยูฮยอนมีความสัมพันธ์กันแบบไหนเราก็ยังไม่รู้เลย   เฮ้อ”   ดงเฮกับฮยอกแจหน้าป่วยไปถนัดเมื่อนึกถึงตรงนี้    ช่วยกันคิดแก้ปัญหาให้ซองมินโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ร้องขอต่อไป   ไม่นานนักคนน่าเป็นห่วงก็ออกมาจากห้องน้ำ

     

     

    “ซองมิน   แกจะทำยังไงต่อ”   

     

     

    ไม่ใช่ว่าฮยอกแจกับดงเฮจะไม่เห็นว่านัยน์ตาของกระต่ายตัวน้อยเพื่อนของเขานั้นดูเศร้าหมองและบวมช้ำเพิ่มขึ้นมา    ตอนอาบน้ำก็คงจะร้องไห้อยู่ด้วยสินะ

     

     

    “ห๊ะ?   ทำ?    ทำอะไร”  

     

     

    “ยังจะถามอีกเหรอมินนี่   คยูฮยอนไง”   เพื่อนตัวบางตาหวานเดินไปดึงให้คนกำลังแต่งตัวลงมานั่งที่เตียงด้วยกัน   ไม่ใช่ท่าทีที่อ่อนหวานเหมือนผู้หญิงนักเมื่อพวกเขาต่างเป็นผู้ชาย   แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนดูน่าเกลียด   เป็นการแสดงออกของมิตรภาพที่ดีจริงๆ หากมีใครได้เห็นมัน

     

     

    “เออ   แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน   ไปลากคอมันมาซิ   พ่อจะเค้นให้ได้เลยว่ามันจะเอายังไง”

     

     

    เฮียฮยอกแจออกฤทธิ์ทันตาเห็น    ดงเฮไม่มีอารมณ์จะไปตีขาฮยอกแจให้เอามันลงมาจากเตียงด้วยท่านั่งอย่างนักเลงเพราะมัวแต่สนใจซองมิน

     

     

    “อย่าไปยุ่งอะไรกับเค้าเลยน่า”   ซองมินลุกหนีไปใส่เสื้อโดยมีฮยอกแจตามไปโวย

     

     

    “แกจะยอมให้มันฟันแกแล้วทิ้งแบบนี้น่ะเหรอ”    

     

     

    ...นั่นสิ   หึ  นายมันน่าสมเพชสิ้นดี   ลีซองมิน

     

     

    “แล้วแกจะให้ชั้นทำยังไงฮยอก   ชั้นจะมีสิทธิ์ไปทำอะไรได้   ชั้นไปทำเลวๆ กับเค้าไว้ก่อน   มันก็ไม่ผิดที่เค้าจะมาทำเลวกับชั้น”   พยายามคิดให้ได้อย่างที่พูดออกไปด้วย   คำว่าเลวอาจดูร้ายกาจ    ทว่าซองมินก็ต้องตัดใจให้คิดได้แค่นั้น

     

     

    ดงเฮตามมาจับมือขาวไว้    ไม่ได้คาดคั้นหรือพูดอะไรนอกจากคำนี้ 

     

     

    “ไม่เป็นไรนะซองมิน”

     

     

    “อือ”

     

     

    “จะไม่เป็นไรได้ไงอ่ะ”   ฮยอกแจอยากจะโวยวายให้มากกว่านี้   อยากจะพูดอะไรที่กระตุ้นซองมินให้คิดได้สักทีว่าไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาทำเลวอะไรกับเพื่อนเขาทั้งนั้น

     

     

    ติดก็ตรงที่ไม่กล้าพูดจาแรงๆ ตอกย้ำให้ซองมินเสียใจอีกก็เท่านั้น    และทำได้แค่ยอมเงียบไป

     

     

    ความรู้สึกของซองมินเองดงเฮกับฮยอกแจก็เดาไม่ออกว่าเพื่อนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน    ถ้าเศร้าโศกมหาศาลนี่ก็คงมาร้องไห้ฟูมฟายให้ปลอบใจกันยกใหญ่แล้ว   แต่นี่ยังนิ่ง   ทั้งยังมีอารมณ์เสียกับกวนประสาทแถมมาหน่อยๆ ด้วย

     

     

    ไม่เข้าใจซองมินเลยจริงๆ -*-

     

     

    ดงเฮพาซองมินลงมาทานอาหารเย็น    ฮยอกแจทำหน้าบูดเมื่อไอ้กระต่ายจอมซ่าส์ของเขามีอันต้องหายไปเพราะไอ้คยูฮยอนอะไรนั่นคนเดียว    เขาอยากจะแก้แค้นผู้ชายที่แม้แต่หน้าตาหรือเสียงก็ยังไม่เคยได้ยินนั้นเหลือเกิน    อยากจะตั๊นหน้ามันให้เบี้ยวแล้วกระทืบซ้ำ    ข้อหามาทำให้กระต่ายตัวน้อยๆ ของเขาต้องแปดเปื้อน

     

     

    ดงเฮพยายามทำหน้าปกติทั้งที่ใจก็เป็นห่วงซองมินแทบตาย   ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหน้าไหนก็ไม่รู้   เวลาแค่สามอาทิตย์กลับล่วงเกินเพื่อนเขาจนเลยเถิดได้ขนาดนี้    ตอนนี้ซองมินอาจจะแสดงออกมาว่าไม่เป็นไร   แต่ถ้าจู่ๆ เกิดคิดมากจนมีเรื่องร้ายแรงอะไรตามมาพวกเขาจะทำยังไง

     

     

    ทำไมซองมินถึงยอมให้ผู้ชายคนนั้นมามีอิทธิพลต่อตัวเองมากมายขนาดนี้นะ 

     

     

    ฮยอกแจทนเก็บกดเงียบปากได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องระเบิดคำพูดออกมาอีก

     

     

    “ลองคุยกับหมอนั่นหน่อยก็ไม่ได้เหรอ”   คราวนี้มาแบบนิ่มนวล   ถนอมหัวใจคนฟังมากกว่าเดิมนิดหน่อย

     

     

    ซองมินเบือนหน้าหนี    พูดเบาๆ ในสิ่งที่ได้รับฟังมาเมื่อเช้าแล้วทำให้เขาเสียศูนย์ไปอย่างไม่เหลือคราบคนเดิม   “คยูฮยอนกลับจีนไปแล้ว   เมื่อเช้า”

     

     

    โดยที่ไม่ได้บอกอะไรชั้น...   แม้แต่คำเดียว

     

     

    วิมานในอากาศลมๆ แล้งๆ ที่ชั้นฝันถึงมันเลยพังครืนลงไปต่อหน้าต่อตาไงล่ะ

     

     

    เพียงแค่ฟังถ้อยคำแผ่วเบาที่หลุดออกจากปาก    แทนที่ฮยอกแจจะเป็นฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อน    ที่ไหนได้กลับเป็นอีกคนที่พยายามระงับความโกรธมาตลอดนับแต่ได้ยินเรื่อง   กระแทกจานลงบนโต๊ะแล้วสบถเสียงดังซะจนกลบเสียงฮยอกแจไปเสียสิ้น

     

     

    “เลวบรรลัย !!!

     

     

    บทจะโหดนี่ก็แมนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เลยแฮะ   ลิ้มหน้าหวาน !

     

     

     

     

     

     

     

     

    ด้านก็คิบอมกำลังคิดหนักกับการเซอร์ไพรส์วันเกิดลิ้มหน้าหวานของเขา    โชคร้ายจริงๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนโรแมนติกอะไรขนาดนั้น    เพราะสิ่งแรกที่แวบเข้าในหัวเลยก็คือ...   ความว่างเปล่า  -*-

     

     

    อยากจะให้สิ่งที่ดีๆ เพื่อให้ดงเฮประทับใจในวันเกิดครั้งนี้    ซึ่งมันก็บังเอิญตรงกับวันครบรอบหนึ่งเดือนที่คบกันพอดิบพอดี    เลยอยากจะให้อะไรที่พิเศษเป็นความทรงจำกับคนสำคัญเสียหน่อย

     

     

    เป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่จู่ๆ ฮีซอลก็เสนอตัวมาช่วยยุ่งอีกคน    แต่คิบอมคิดไปเองว่าเจ้าตัวคงอยากไปเที่ยวเหมือนกันถึงได้บอกให้เขาพาดงเฮกับทุกคนไปที่รีสอร์ทที่เคยไปเข้าแคมป์เคิร์ส    ด้วยเหตุผลที่ว่าได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าเจ้าตัวอยากจะไปเที่ยวที่นั่นอีกสักครั้ง   

     

     

    พอตกลงกันเป็นอันเสร็จสรรพถึงวันเดินทางแล้วฮีซอลก็ชิ่งกลับบ้าน   ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคิบอมที่จะต้องชวนแกมบังให้คนอื่นๆ ให้ไป    

     

     

    “แกอยู่ไหน”

     

     

    [บ้าน    มีอะไรมั๊ยเนี่ย   ข้าคุยกับฮยอกแจอยู่]

     

     

    “เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เป็นฮยอกแจหมดเลยนะไอ้เวรนี่   เออๆ   ข้าจะจัดเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ดงเฮ    แกต้องพาฮยอกแจไปด้วย”

     

     

    [เมื่อไหร่อะ]

     

     

    “อีกสองวัน”

     

     

    [แล้วมีใครไปบ้าง]  ฮันกยองถามกลับมาอย่างรวดเร็ว   คงจะเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่ถือสายอยู่อีกคนรอนาน

     

     

    “ข้า   ดงเฮ   แก   ฮยอกแจ   ซองมิน   พี่ฮีซอลแล้วก็เพื่อนของเค้านั่นแหละ”

     

     

    คนเหล่านี้มีชื่ออยู่ในลิสต์ทั้งสิ้น   เพียงแต่ว่าคิบอมยังไม่ได้เอ่ยปากชวนใดๆ ทั้งสิ้น    คิดจะทำเนียนปิดปากเงียบให้ฮีซอลทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์แทนเขาด้วยซ้ำไป

     

     

    [เออ   ได้ๆ   เดี๋ยวข้าบอกฮยอกแจให้   เท่านี้นะ]

     

     

    “อืม”

     

     

    แล้วก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงกับวันสำคัญนี้อยู่    สิ่งที่เขาอยากจะให้ดงเฮแต่แรกน่ะมีแล้ว   แต่คงต้องคิดอะไรพิเศษๆ ให้คนพิเศษพอใจซะหน่อยแล้วล่ะมั้ง   

     

     

    ทำอะไรบางอย่างที่สามารถรั้งดงเฮให้อยู่กับตัวเองได้นานๆ   ให้พบด้านดีๆ ที่เขาอยากจะแสดงออก     อยากจะน่ารักไม่ก็โรแมนติกให้คนหน้าหวานปลาบปลื้มใจ    เพราะถ้าเขาพลาด   คนตาโต   ตัวขาว   ปากหวาน   ร่างเล็กน่ารักคนนั้นก็คงจะถูกช่วงชิงไปจากอกเขาแน่ๆ

     

     

    ลิ้มแก้มแตกคนนี้ไม่มีวันยอมซะหรอก !

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “หนูเล็กครับ    อาทิตย์หน้าว่างมั๊ย”   วางสายจากเพื่อนรักก็มาจ๊ะจ๋าต่อกับคนรัก    ฮันกยองโทรศัพท์คุยกับฮยอกแจหลายวันแล้วเพราะคนตัวเล็กถูกดุนิดๆ ว่ากลับบ้านดึกเกินไปหลายครั้ง   เลยอยากจะทำตัวเป็นเด็กดีให้คุณพ่อกับคุณแม่ชื่นใจซะหน่อย    แล้วอีกอย่าง   พี่ชายของเขาก็เหมือนจะไม่ค่อยสบายด้วย    เลยขออยู่บ้านเพื่อดูแลจุนกิดีกว่า

     

     

    [บอกกี่ครั้งแล้วฮะว่าห้ามเรียกหนูเล็กน่ะ   เคยจำมั่งมั๊ยฮะ]   ฮยอกแจแหวใส่มาก่อน   [แล้วถามทำไม   จะชวนไปไหน    ไม่ไปนะ   พี่จุนกิไม่สบาย   ซองมินก็อาการไม่ค่อยดี]

     

     

    “หืม   พี่ชายของหนูเล็กเป็นอะไรเหรอครับ”   เรื่องของซองมินพอจะทราบมาคร่าวๆ ว่าไม่สบาย(ฮยอกแจบอกแค่นั้น)   เลยไม่ได้ถามเรื่องนั้นต่อ   แต่อาการของจุนกิเขาเพิ่งรู้

     

     

    [ไม่รู้สิ    เห็นบอกไม่ค่อยสบายแค่นั้นเอง   ว่าแต่เรื่องอะไรอ่ะ    ชั้นอยากรู้แล้วนะเนี่ย   อย่าชวนนอกเรื่องสิ]

     

     

    “อ้อ    คิบอมจะเซอร์ไพรส์วันเกิดดงเฮน่ะ    เมื่อกี้เพิ่งโทรมาบอกให้ผมชวนคุณไปด้วย”

     

     

    [อ๋อ   เรื่องนั้นรู้แล้ว    เมื่อกี้พี่ซอลล่าเพิ่งโทรมาบอกเอง]  

     

     

    “แล้วจะไปมั๊ย”

     

     

    [ยังไม่รู้เหมือนกัน   แต่ถ้าพี่จุนกิไปชั้นก็คงจะไปมั๊ง    นายล่ะ]

     

     

    “คงจะต้องไปเป็นเพื่อนคิบอมหน่อยน่ะ”   ฮันกยองรู้ดีว่าคิบอมไม่เจนจัดเรื่องการแสดงออกด้านความรู้สึกเท่าไหร่    อาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเขาไม่มากก็น้อย   

     

     

    [แล้วนายจะทิ้งชั้นไว้ให้อยู่คนเดียวน่ะเหรอ]    ฮยอกแจแกล้งทำน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ    คนฟังได้ยินแล้วก็แอบยิ้มขำ   แกล้งตีเสียงขรึม

     

     

    “สักวันสองวันคงไม่เป็นไรหรอก”

     

     

    ฮยอกแจกัดปากเขม่นฮันกยอง   แยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์อย่างหมั่นไส้

     

     

    [เออ   จะไปไหนก็ไปเลยไป   แค่นี้นะ !!]    หนูเล็กงอนซะแล้ว   เดือดร้อนฮันกยองต้องรีบง้อ    เดี๋ยวถูกโกรธเข้าจริงๆ แล้วเขานั่นแหละที่จะซวย

     

     

    “โอ๋ๆๆ   ล้อเล่นๆ    อย่างอนเลย   เดี๋ยวให้จุ๊บลงโทษเลยเอ้า”

     

     

    ยิ้มกันทั้งสองฝั่งปลายสาย    เป็นรอยยิ้มอิ่มเอมใจที่คล้ายกัน    แค่ทะเลาะกันกุ๊กกิ๊กน่ารักแต่พองามก็ทำให้หัวใจเต้นโครมครามได้ไม่หยอก    ไม่ต้องหวานๆ อ้อนๆ ขรึมๆ ใส่กันก็แฮปปี้ได้    ไอ้โหด & น้องอ่อนแอคอนเฟิร์ม !

     

     

    แล้วฮยอกแจก็คุยเลยไปถึงเรื่องคราวก่อนที่ดุเหมือนสถานการณ์รอบด้านมันจะต่างไปจากเดิม    ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ   แต่เซนส์ในตัวมันก็แรงผิดปกติ    ฝ่ายฮันกยองพอได้ฟังก็ได้แต่บอกว่าคงคิดมาก   คุยกันนานเข้าหัวข้อนั้นก็ตกไป

     

     

    “หนูเล็ก   ไปกินข้าวได้แล้ว”  

     

     

    วางสายจากฮันกยองได้ไม่ถึงนาทีเสียงของจุนกิก็มาพร้อมกับเสียงเคาะประตู    ฮยอกแจเดินไปหาพี่ชายอย่างเป็นห่วงในอาการซึมๆ ที่เป็นมาหลายวัน

     

     

    “พี่ชาย   หนูเล็กว่าไปหาหมอเถอะ”

     

     

    ใบหน้าสวยของจุนกิดูซีดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับอิดโรยจนน่าเกลียด   แค่มองพอรู้เท่านั้นว่าคงจะไม่สบาย   แต่อาการแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับความเป็นห่วงเป็นใย   ฮยอกแจอดที่จะบอกไม่ให้จุนกิไปโรงพยาบาลไม่ได้  

     

     

    “พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกหนูเล็ก    อย่าเป็นห่วงเลย    ไปกินข้าวกันเถอะ”   จุนกิยังคงขยาดกับคำว่าโรงพยาบาลไม่หาย   เลยยิ้มเจื่อนๆ ให้น้องชายแล้วเปลี่ยนเรื่อง

     

     

    “..ก็ได้ครับ”   

     

     

    ฮยอกแจเองก็หมดแรงที่จะคัดค้านหรือพูดอะไร   ได้แต่เดินตามพี่ชายร่างโปร่งไปทานอาหารเย็นอย่างเป็นกังวลอยู่เงียบๆ

     

     

    “พี่ชายจะไปเซอร์ไพรส์วันเกิดดงเฮหรือเปล่าฮะ”  

     

     

    ฮยอกแจเปิดประเด็นหลังจากโต๊ะอาหารที่ประกอบไปด้วยพี่น้องตระกูลลีนั้นเงียบมานาน    จุนกิดูจะใจลอยๆ  ไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไหร่

     

     

    “...”

     

     

    “พี่ชาย   พี่ชายฮะ    พี่จุนกิ!~

     

     

    “ฮ..ฮะ   เมื่อกี้หนูเล็กพูดอะไรนะ”

     

     

    “พี่ชายเหม่ออะไรน่ะฮะ   เป็นอย่างงี้มาหลายวันแล้วนะ”

     

     

    “เปล่าหรอก   พี่กำลังคิดเรื่องงานน่ะ”   จุนกิตอบเลี่ยงๆ

     

     

    “เฮ้อ   พักผ่อนบ้างเถอะฮะ   หักโหมมากๆ พี่จะป่วยนะ”  

     

     

    ใช่ว่าฮยอกแจจะไม่รู้เรื่องที่จุนกิต้องเข้าไปเครียดเรื่องงานที่บริษัทแทนพ่อกับแม่บ่อยๆ เพราะท่านทั้งสองต้องไปดูงานที่ต่างประเทศถี่ๆ   เคยไปช่วยหนนึงแต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่อง    เขารู้ตัวว่าไม่ถนัดบริหารงานสั่งการคนอื่น   หน้าที่นั้นต้องยกให้คนเป็นพี่   แต่ถ้าเรื่องลงมือทำละเลงงานด้วยตัวเองละก็   ในตระกูลลีไม่มีใครสู้ฮยอกแจได้สักคน

     

     

    คนเรามันเก่ง    ถนัดกันคนละด้าน   วิธีแก้ปัญหาหรือเผชิญกับสิ่งที่เกิดก็ย่อมแตกต่างกันไป   สำหรับจุนกิ   เขากำลังภาวนาให้ตัวเองทำในสิ่งที่ถูก   เผื่อว่าสักวัน   อาจจะมีสักวัน   ที่ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม   หรือไม่ก็ใกล้เคียง

     

     

    “ขอบใจที่เป็นห่วงนะ   แต่พี่ไม่เป็นไรจริงๆ   ไว้พี่จะนอนเยอะๆ ก็แล้วกัน   ดีมั้ยครับ”   มือบางลูบไปที่หัวทุยๆ อย่างเอ็นดู

     

     

    “ดีฮะ  ^^

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในตอนแรกที่ฮยอกแจถาม   หนึ่งในชาลีแองเจิลก็ปฏิเสธที่จะไปร่วมทริปครั้งนี้เพราะต้องการจะหนีหน้าใครบางคน   รู้สึกผิดต่อดงเฮอยู่ไม่น้อย   เด็กหน้าหวานคนนั้นเป็นน้องที่น่ารักของเขามาตลอดแท้ๆ แต่เขากลับไม่ยอมไปร่วมงานวันเกิดแบบนี้    เขานี่ช่างเป็นพี่ที่แย่จริงๆ

     

     

    แต่คงเพราะโชคเข้าข้าง    จุนกิรู้มาจากอิทึกว่าคนที่เขากำลังหลบหน้าไม่ได้มีเอี่ยวในปาร์ตี้นี้   ท้ายที่สุดครอบครัวตระกูลลีก็มาพร้อมหน้า   รวมถึงซองมินที่พยายามปั้นหน้าระรื่นมาเพื่อเพื่อนรักด้วย

     

     

    “ลิ้มบอม   พวกเขามากันครบหรือยัง   เค้าอยากไปเร็วๆ อ่ะ”   ดงเฮถลาลงมาจากบันไดบ้านจนคิบอมต้องร้องดุให้ระวังเพราะกลัวตกบันไดจนแข้งขาหักไป

     

     

    “อย่าวิ่งแบบนั้นสิครับ   เดี๋ยวเจ้าภาพขาเดี้ยงไปงานคงกร่อยกันพอดี”

     

     

    ดงเฮยิ้มเผล่อย่างน่ารักให้กับความกระตือรือร้นจนเกินงามของตน 

     

      

    “แหะๆ   เค้าตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ   นานๆ ทีจะได้ไปเที่ยวกันทั้งบ้าน  แล้วตกลงว่าไงอ่ะ    มากันครบยัง”

     

     

    “ดูเองสิครับ”   ร่างสูงพยักพเยิดไปทางหน้าบ้านที่วุ่นวาย   ไปแค่สองคืนสามวันแต่เหมือนกับพวกเขาทั้งเก้าชีวิตกำลังจะอพยพไปมองโกลงั้นแหละ

     

     

    แต่ถ้าไม่วุ่นวายชวนปวดหัว   ก็ไม่ใช่พวกเค้าแล้วล่ะมั้ง !!!

     

     

    ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่ละคนมีเพียงเป้ใบเดียวสำหรับเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว   แต่ฝั่งโกดมีนัม(ผู้ชายหน้าสวย)  ทั้งหลายต่างแพ็คกระเป๋ามาเหมือนจะให้เช่ารถบรรทุกมาขนไป   ซองมินสองใบ   อิทึกสาม   ฮีชอลสามครึ่ง   ส่วนครึ่งที่เหลือจะครบสี่นั้นถูกยัดไว้ในกระเป๋าของซีวอน

     

     

    “จะย้ายบ้านกันเหรอฮะ”  ดงเฮวิ่งแท่ดๆ มาดู   ประโยคแรกที่พูดแซวทำเอาเหล่าคนกำลังย้ายบ้านหันมาค้อนขวับ

     

     

    “เปล่าซะหน่อย  เค้าเอามาแต่ของจำเป็นนะ”   ซองมินเถียงคนแรก   ควานหากิ๊บมาติดผมหน้าม้าที่ปรกหน้าจนเหงื่อออกไปพลาง   อุปนิสัยที่คล้ายคนเดิมเริ่มแสดงออกมาชัดเจนทีละนิด    ฮยอกแจกับดงเฮพากันใจชื้นกับการแสดงออกของซองมิน

     

     

    ถึงจะแค่แกล้งออกมา    แต่ได้แค่นี้ก็ดีแล้วละ

     

     

    “ใช่   พี่เอามาแต่ของที่ต้องใช้นะ   เต็นท์สี่หลังเผื่อใครสนใจจะนอนดูดาว   ชุดปฐมพยาบาลขนาดบิ๊กไซส์ไม่ต้องกลัวผ้ากอซหมด   ร่มผ้าใบ   ห่วงยาง   เห็นบอกว่ามีทะเลพี่เลยเอานี่มาด้วย   เรือยางแบบเป่าลม   นั่งได้ตั้งสิบคนแน่ะ”

     

     

    นางฟ้าตาหวานอธิบายสรรพคุณเหล่าของในกระเป๋าทั้งสามอย่างคนรอบคอบ    แต่ละอย่างล้วนมีประโยชน์และคงจะได้ใช้การเสียจริงๆ -*-

     

     

    “สู้ชั้นไม่ได้หรอกไอ้ถึกกี้  นี่สิเจ๋งจริง   สปีโด้คอลเล็คชั่นใหม่    สิบสามตัวครบทุกเฉดสี   ได้สีรุ้งแถมมาด้วย    แล้วก็ครีมกันแดดแบบทาครั้งแรก   ครั้งที่สอง   ครั้งที่สาม   เสื้อกันลม    อ้อ   ชั้นเอามาเผื่อพวกนายด้วยนะ    นี่ครีมปรับสภาพผิวก่อนกับหลังว่ายน้ำ    อันนี้เอามาตั้งห้าขวดเผื่อหมด   ชั้นไม่ยอมเกรียมแดดหรอกนะ    เดี๋ยวให้พวกนายยืมด้วยก็ได้   ใจดีมั๊ยล่ะ”

     

     

    คนสวยยืดอกภูมิใจ    แต่เมื่อทุกคนที่อยู่นอกระบบขนของแบบย้ายบ้านยืนอึ้งอยู่กับที่เลยขมวดคิ้วมุ่น

     

     

    “อะไร   นี่พวกนายไม่คิดจะขอบใจชั้นหรือไงเนี่ย”

     

     

    “ใช่   คนอุตส่าห์คิดถึงความลำบากลำบนนะ”    อิทึกช่วยสำทับ   แต่แล้วทุกคำพูดก็ต้องหยุดลงเมื่อฮยอกแจพูด   เป็นอันว่ารู้เรื่อง

     

     

    “ผมว่าพวกพี่ไม่ได้แค่ย้ายบ้านแล้วแหละ    แต่จะไปตั้งร้านขายของให้นักท่องเที่ยวต่างหาก   ผมไม่ช่วยพี่ขนนะ !!

     

     

    สรุปว่ารถตู้จากบ้านคิบอมก็ไม่พอที่จะยัดของพวกนั้นใส่รถได้ทั้งหมด   ร้อนถึงคังอินกับซีวอนที่ต้องไปช่วยรื้อกระเป๋าคนรักตนแล้วเลือกเฉพาะของที่จำเป็นจริงๆ ไปเท่านั้น   

     

     

    แน่นอนว่าคอลเล็คชั่นสปีโด้ครบทุกเฉดสีนั่นฮีซอลก็สามารถนำไปด้วยได้    คงเพราะความลำเอียงส่วนตัวของเจ้าเด็กหน้าหล่อนั่นแหละ

     

     

    “เอาไปเผื่อได้ใช้นะครับฮีซอล”

     

     

     

     

     








     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    กว่าจะจัดการขนทั้งคนทั้งของขึ้นรถเสร็จก็ปาไปเกือบๆ เที่ยง    ตลอดการเดินทางมีแต่เสียงโหวกเหวกของเหล่าจอมโวยวายดังลั่นรถไปหมด    ดงเฮก็ทู่ซี้แหกปากร้องเพลงไปกับพวกพี่ๆ ซะมันส์ยกใหญ่    ฝ่ายลิ้มแก้มแตกที่นั่งมองก็ได้แต่ยิ้ม   เขาชอบที่จะเห็นในหลายๆ บุคลิกของคนหน้าหวานนี่จริงๆ

     

     

    ซองมิน   ซีวอน   คิบอมและฮันกยองนั่งเล่นไพ่กันอยู่ที่เบาะหลังสุด   นอกจากซองมินแล้วคนที่เหลือก็เล่นไพ่ไปพลางจ้องมองคนรักตนที่เซี๊ยวซ่าส์อยู่กลางรถไปพลาง  

     

     

    “ไอ้ปลาต๊อง   เร็วๆสิ   คิดนานอ่ะ   จะรอพ่อแกมาตัดริบบิ้นหรือไง”

     

     

    เมื่อถึงตาของดงเฮที่จะต้องคิดวลีสั้นๆ ให้กับใครสักคนบนรถที่ฮีซอลตั้งโจทย์มาก็เป็นอันสะดุดเกมส์   เป็นอย่างนั้นฮีซอลเลยกัดเข้าให้   ทำเอาอิทึก   คังอิน   จุนกิ   ฮยอกแจและกลุ่มที่นั่งเล่นไพ่อยู่หัวเราะครืน

     

     

    “มันไม่ได้คิดง่ายๆ นะพี่ฮีซอล   ฮันกยองเค้าไม่เห็นมีข้อเสียอะไรเลย   ผมจะไปตั้งให้เค้าได้ไงอ่ะ”

     

     

    “จิ๊ๆๆ”  คนงามจิ๊ปาก   บุ้ยใบ้ไปทางฮยอกแจจนเจ้าตัวร้อนๆ หนาวๆ   “ไก่น้อย   ไหนบอกข้อเสียของแฟนแกไปซิ”

     

     

    ถึงคราวนี้ทุกคนเลยเงี่ยหูฟังกันใหญ่   ฮันกยองหูผึ่งทันตา   เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหนูเล็กของเขาจะตอบว่ายังไง

     

     

    “อืม ...   หื่นฮะ !

     

     

    “เฮ้ย   ไปพูดอะไรแบบนั่นล่ะฮยอกแจ”   ฮันกยองอายกับคำบริภาษทั้งสีหน้ายิ้มแย้มนั่นอยู่ไม่น้อย

     

     

    “ไอ้ตี๋นี่มันเข้าข่ายนายเลย    ซีวอน   พอมันเข้าสมาคมเด๊ะ”   ฮีซอลพูดเข้าใจกันสองคนกับซีวอน   พวกเขาขำเบาๆ    นอกนั้นทำสีหน้าป่วงๆ งงๆ

     

     

    “สมาคมอะไร?”   คนหน้าหวานช่างสงสัยถามเข้าให้

     

     

    “เอ่อ..”   จะให้แฉตัวเองก็ใช่เรื่อง   ฮีซอลไม่นิยมขายตัวเองกินในหมู่เพื่อนฝูง   ถนัดแต่เจี๊ยะเรื่องชาวบ้านเขาซะสนุกปาก   “ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจกันสองคนละกัน”

     

     

    “โห่ย   อะไรอ่า   เดี๋ยวนี้ความลับกันอ่ะ    ความลับๆ”   ดงเฮงอแง

     

     

    “ไอ้ปลาปัญญาอ่อนนี่   เดี๋ยวเหอะ” 

     

     

    “เอาน่าๆ   สองคนนี้นี่ยังไงกันนะ   อยู่บ้านด้วยกันแท้ๆ   นี่ไม่แทบฆ่ากันตายเลยเหรอ”   อิทึกว่าบ้าง   คนหน้าหวานก็จอมงอแง   นิสัยเหมือนเด็กดื้อ   แม้บางครั้งจะชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยก็เถอะ    ส่วนแม่คนหน้าสวยนี่ก็เฮฮาไม่ดูหัวใครเลย   ป้ายบ่งบอกสถานะอารมณ์ก็ไม่เคยเอามาห้อย   สองขั้วที่ต่างกันสุดขีดแต่ดันมาอยู่บนแม่เหล็กตัวเดียวกัน

     

     

    ทนกันไปได้ไงฟะ !!

     

     

    “ขอโทษเหอะ   ไม่อยากจะพูด   ตอนเด็กๆ นี่ยิ่งกว่านี้อีก”

     

     

    “ใช่ๆ   ผมกับพี่ฮีซอลเถียงกันแทบทุกวัน”

     

     

    “มีอย่างที่ไหนล่ะ   ตอนป.4 ท้าตีกับเด็กม.ต้น    เจ๋ง   เจ๋งมาก   ลากชั้นไปอัดพวกนั้น”

     

     

    “แหะๆ   ก็ผมยังเด็กอยู่นี่ฮะ”

     

     

    “ป.5 สาวน่ารักมาชวนมันไปเดท   พาชั้นไปด้วยอีก”

     

     

    “ก็ผมไม่เคยนี่”   คนไม่เคยยู่ปากอมลมเข้าแก้ม   ตอนนี้เรื่องที่ทุกคนสนใจกลายเป็นวีรกรรมลับๆ สมัยเด็กของพี่น้องสองคนนี้ไปแล้ว

     

     

    “ม.ต้นสอบตกร้องไห้จะเป็นจะตาย   ลำบากชั้นต้องไปตามพวกแกมาติวให้มันเนี่ย”

     

     

    “ตอนนั้นผมก็เรียนไม่เก่ง”

     

     

    “แล้วก็ตอนที่ทะเลาะกับไอ้ไก่   ซึมเป็นศพ   นี่ไม่นับตอนเรื่องไอ้คิบอมนะ    อย่าให้พูดเหอะ   น้ำตาเช็ดหัวเข่า   ยิ้มแทบไม่ออก   บอกจะไปยั่วมันแต่ดัน...  อุ๊บ!

     

     

    “อ๊า   หยุดพูดเลยนะพี่ฮีซอล !!!

     

     

    ตะครุบปากที่ช่างจ้อช่างจำนรรจานั่นไว้แทบไม่ทัน   หน้าหวานๆ ขึ้นสีเรื่อ   แกล้งสาละวนอยู่กับการปิดปากฮีซอลโดยไม่ยอมมองตาของหนุ่มหน้าลิ้มที่จ้องมาด้วยสายตายิ้มๆ แซวๆ    แม้จะแอบไม่พอใจที่ได้ยินเรื่องดงเฮไปเดทกับใครมาก่อน    แต่ก็อดยิ้มแก้มปริจนลืมความหมองใจไปไม่ได้ว่าก่อนนี้เขาก็มีความสำคัญ  

     

     

    แต่ลึกๆ ของดงเฮแล้วอีกเหตุผลนึงที่เขาไม่ต้องการให้คิบอมรับรู้ในคำพูดต่อไปของฮีซอลเลยก็คือความกลัว    คล้ายจะเป็นวัวสันหลังหวะ   คิดว่าคิบอมไม่เคยรู้เรื่องที่ตนหวังไปหลอกให้หลงรักหัวปักหัวปำ   จนท้ายสุดก็ตกกระไดพลอยโจนเข้าไปจริงๆ

     

     

    ส่วนเจ้าคนที่รู้จริงอย่างคิบอมก็ไม่เคยคิดที่จะบอก   จึงมีแต่เพียงคนหน้าหวานที่ไม่เคยรู้ว่าแผนการปั่นหัวใจของเขานั้น    หมากตัวเอกอย่างคิบอมที่ถูกจับวางลงกระดานยอมเล่นเกมส์รักไปอย่างเต็มใจตั้งแต่เริ่มแรกแล้วด้วยซ้ำ

     

     

    สรุปตรงที่ว่า   ดงเฮนั้นไม่เคยรู้ว่าเขาก็ถูกปั่นหัวเช่นกัน   ถูกล่อลวงให้เล่นเกมส์หัวใจนั้นไปจนพ่ายแพ้    ไม่พ้นต้องเป็นฝ่ายกังวลอยู่ฝ่ายเดียวว่าความลับนั้นจะเปิดเผยเมื่อไหร่    ได้แต่นับวันรอคืนให้มันเคลื่อนวันเวลามาอย่างเชื่องช้าเท่านั้นเอง

     

     

    “สามหาว!  เอามือแปดเปื้อนอาหารปลามาปิดปากชั้นได้นะแก”    ฮีซอลมีอารมณ์เล่น   เปลี่ยนอารมณ์เร็วจนดงเฮไล่ตามเกือบไม่ทัน

     

     

    “อย่าบังอาจกับน้องชั้นนะ   นี่แน่ะๆๆ”

     

     

    อิทึกร่วมวงรุมสกรัม   ตามจี้จุดอ่อนบนร่างกายฮีซอลมั่วไปหมด   ฮยอกแจแอบใช้เท้าสะกิดรองเท้าสีแดงที่แซมด้วยคราบดินสีดำออกแล้วจี๊เท้าเล็กยกใหญ่

     

     

    “อ๊ากกก   ปล่อยช้าน    กร๊ากๆๆ    ปล่อยๆ   ปล๊อยยย   จั๊กจี๋เว๊ยยย”

     

     

    “จะยอมน้องมั๊ย   ยอมมั้ย”    ดงเฮดึงผมแถวๆ หน้าผากฮีซอลไปทีละเส้น   ทรมานให้พี่ชายตัวดีเจ็บจี๊ดเพราะถูกทำลายสิ่งสำคัญในการปิดเถิก    ซีวอนมองอย่างเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่เข้ามาช่วย   แอบยิ้มขำคิกๆ เมื่อเห็นสภาพของคนสวยจอมโวยวายถูกจับตรึงเกือบสี่ทิศ   ดีดดิ้นพล่านพยายามเอาตัวรอดเหมือนตอนตัวเองกำลังจะถูกสิงโตกิน

     

     

    “อย่าเปิดเหม่ง!   อ๊ากกก   ยอมๆๆ  ย๊อมมม”   ฮีซอลถึงคราวสิ้นฤทธิ์    อิทึก  จุนกิ  ฮยอกแจและดงเฮพร้อมใจกันปล่อยพรึ่บ   ดีดตัวกลับไปนั่งที่ตัวเอง   หนี Teen นางพญาไวปานวอกจนตั้งตัวตามจับแทบไม่ทัน

     

     

    “อย่าให้ถึงตาชั้นนะโว๊ยยย”

     

     

    นั่งกันไปสักพักเสียงโหวกเหวกในรถตู้คันโตก็ค่อยๆ เบาบางลงไป 

     

     

    ที่นั่งของแต่ละคนจัดกันแบบใครนั่งก่อนนั่งหลัง   จนกระทั่งถึงตอนที่พวกเขามารวมตัวเพื่อเล่นกัน    จนตอนนี้อิทึกย้ายไปนั่งหน้าสุดข้างคุณลุงคนขับพร้อมคุยกับเขาไปพลางๆ     พอดีตอนหนีจากฮีซอลดันออกตัวแรงไปหน่อย   ที่นั่งด้านหลังก็เต็ม  เลยเหลือแต่เบาะด้านหน้า

     

     

    “ทึกกี้   เอาเขาลงมาเลยนะ   นั่งแบบนี้อีกแล้ว”   คังอินรีบร้องดุเมื่อคนสวยของเขาชักจะออกอาการสบายเกินเหตุ    ยกขาขึ้นพาดกับประตูแล้วเหยียบบนคอนโทรลด้วยความเคยชิน

     

     

    ไอ้ท่านั่งน่ารักแบบนี้น่ะตอนเขาเป็นคนขับมันก็โอเคอยู่หรอก   แต่ให้มาทำต่อหน้าสาธารณะชนจนคนอื่นเห็นความน่ารักน่าจับกดนี้เขาก็หวงนัก

     

     

    “เอ๋อๆๆ”   อิทึกร้องหน้าเหวอแบบลืมตัว   “อ่า   ขอโทษนะแบลร์   ทึกกี้ลืมตัว”

     

     

    “อย่าลืมบ่อยแล้วกัน    ผมหวง”   คังอินพูดเสียงต่ำเบาๆ

     

     

    “อิอิ   ก็ได้”

     

     

     

    Credit : siamzone

     

     

     

     

    สามเบาะถัดมาจากอิทึกเป็นคังอิน   ซองมินและดงเฮ   หมีตัวหนาชะโงกหน้าไปคุยกับตุ๊กตาหน้ารถ    ส่วนซองมินกับดงเฮก็พากันเล่นเกมส์ PSP ไปพลาง    คนหน้าหวานแอบส่งสายตากับเจ้าคนแก้มป่องไปเป็นระยะๆ  แต่เพราะไม่อยากให้ซองมินอยู่คนเดียวแล้วคิดอะไรฟุ้งซ่านเลยเลือกที่จะทำแบบนี้

     

     

    ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้    แต่อยู่เป็นเพื่อนน่ะได้

     

     

    จุนกิ  ฮยอกแจและฮีซอลนั่งด้วยกันที่เบาะกลาง   จอมโวยวายอย่างฮีซอลหลับไปแล้ว   ฮยอกแจตาปรือจะหลับไม่หลับแหล่อยู่กับไหล่ของจุนกิ   ส่วนคนให้น้องยืมไหล่อิงซบกำลังฟังเพลงสากลจะไอพอดเครื่องเก่าของตนไปเรื่อยๆ

     

     

    สุดท้ายคือฮันกยอง   คิบอม    ตามด้วยซีวอน    คุยกันเรื่องเกมส์สมัยแตกหนุ่มที่เคยบ้ากันมาก่อนอย่างออกรส    คิบอมกับฮันกยองติดจะพูดมากสักหน่อยเมื่อเจอกับคนพูดเก่งแล้วก็ตีสนิทได้แนบเนียนอย่างซีวอน   จบเรื่องนั้นก็ไปต่อเรื่องนี้    มีบ้างเรื่องกีฬา   รถแข่ง    และผู้หญิงตามประสาผู้ชาย    เพราะพวกเขาก็ไม่ใช่พวกนิยม

    นั่งอ้าปากพล่ามเรื่องคนของตัวเองอย่างออกนอกหน้ากันอยู่แล้ว

     

     

    “ผมว่าสาเกก็อร่อยนะ    รสชาติมันแปลกๆ ดี”

     

     

    คิบอมกับซีวอนหันมาจ้องคนพูดเป็นตาเดียว

     

     

    “อ..เอ่อ”

     

     

    “ฮัน   ฟุตบอล   ... มันไปเกี่ยวอะไรกับสาเก?”

     

     

    ซีวอนงงแดก    คิบอมเบนสายตาหนีอย่างไร้อารมณ์    ส่วนเจ้าตัวที่เพิ่งจะสำเหนียกได้ว่าพลาดท่าฟังไม่รู้เรื่องเข้าให้(อีก)แล้วก็เสเนียนไปเรื่อย

     

     

    “ผมไม่รู้   ผมไม่ค่อยเก่งภาษาเกาหลี”

     

     

    “ภาษาไม่เก่ง   แต่แถเก่ง”   คิบอมรีบกัด

     

     

    พอเห็นว่ามุกนี้ชักจะใช้แถไม่ได้    ฮันกยองก็เมื่อยปากที่จะแก้ตัว   ประจวบเหมาะกับที่อาการง่วงมึนๆ เพราะเครื่องปรับอากาศเข้าครอบงำทันที    เจ้าคนพูดไม่ชัดเลยเบือนหน้าไปหลับตามคนอื่นๆ บ้างแล้ว

     

     

    “อย่าว่าพี่อย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ    แต่นายคิดไว้แล้วเหรอว่าจะทำอะไรให้ดงเฮ”

     

     

    “ยังครับ”

     

     

    “อ้าว”

     

     

    ซีวอนหน้างงไปถนัด  

     

     

    “ผมไม่ค่อยถนัดน่ะ”   คิบอมตอบสั้นๆ ตามสไตล์คนไม่ชอบอธิบายความ

     

     

    “อืม   แต่พี่ว่านายก็คงมีอะไรที่อยากทำอยู่บ้างแล้วแหละ   พยายามเข้า”  

     

     

    แค่สายตาของคิบอมที่คอยเหลือบมองดงเฮอยู่บ่อยๆ ซีวอนก็พอจะรู้   ไม่ต่างอะไรกับเขามากนักที่เมื่อกี้คอยมองฮีซอลอยู่ไม่วางตา   มันเป็นธรรมชาติของการแสดงออกถึงความห่วงหาในตัวใครบางคนที่เขาเข้าใจดี

     

     

    “พี่ก็เคยเห็นแต่ในทีวีที่เขาทำกันแบบนี้    จุดพลุ   ดินเนอร์กลางเรือยอร์ช   แหวนเพชรวงใหญ่ๆ    ฮ่าๆ”   ซีวอนพูดแล้วก็ขำเอง

     

     

    “หนวกหู    น่าเบื่อ   แล้วก็ไม่โรแมนติกเอาซะเลย”   คิบอมแย้งทันควัน   “ผมอยากทำให้อะไรที่เขาจะประทับใจ   แล้วก็มีความสุข”   อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้ายามเปี่ยมสุขของดงเฮ   แม้ปกติเขาจะเป็นพ่อเสือยิ้มยากสำหรับใครหลายๆ คน    แต่พอพูดถึงคนๆ นี้ทีไร   มันก็อดยิ้มจนแก้มแตกไม่ได้ทุกทีสิน่า

     

     

    “งั้นก็ดอกไม้ทั้งสวน    โอเปร่าหวานๆ   เต้นรำใต้แสงเทียน    คุกเข่าร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์”    โฆษณาชวนเชื่อลอยมาอีก

     

     

    “อันนั้นไว้ตอนพี่ขอพี่ฮีซอลแต่งงานเถอะ”   ได้ยินอย่างนั้นซีวอนก็หัวเราะร่า   ถูกใจกับสไตล์การพูดคุยของคิบอมอย่างบอกไม่ถูก   แม้จะห้วนไม่รื่นหู   แต่มันก็แฝงไปด้วยความจริงใจ

     

     

    อันที่จริงดงเฮก็ไม่ใช่คนเรื่องมากหรืออะไร   คงคิดไปเองแค่ว่าคิบอมพามาเที่ยวก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดแล้ว   ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น   จึงไม่ได้เอะใจว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไร   เพราะเท่าที่คิบอมทำให้เขามากมายขนาดนี้ก็ปลื้มใจจะแย่แล้ว

     

     

    ผ่านไปสักพักซีวอนก็พาคุยไปเรื่อยเปื่อย   หาสาระอะไรไม่ได้ตามประสาผู้ชาย   

     

     

     

     

     

     

     











     

     

     

     

     

     

     

    ฮยอกแจที่ตื่นนอนแล้วแต่ยังงัวเงียขยับไปนั่งเบาะแถวหน้าเพื่อทำตัวง๊องแง๊งใส่ซองมินกับดงเฮ   ซีวอนฉวยโอกาสไปนั่งแทนที่คนหน้าไก่   เอนร่างบางของคนสวยมาที่อกตนจนแนบชิด   กระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจที่ได้หาเศษหาเลย

     

     

    คิบอมมองแล้วเบือนหน้าไปทางคนตัวเล็กที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

     

     

    “คนหน้าหวานนั่นน่ะ”   เสียงเรียบร้องเรียก

     

     

    “มานี่ซิ”  

     

     

    ตบเบาะว่างเปล่าข้างตัวสองสามที    คนหน้าหวานที่หันขวับตั้งแต่ได้ยินเสียงเรียกกัดริมฝีปากล่างอย่างอายๆ   แต่ก็ลุกมาตามคำร้องขอแต่โดยดี

     

     

    “อะไรอะ”

     

     

    นั่งลงแทนที่ซีวอนแล้วก็ถาม   พลันความทรงจำเก่าๆ ที่เขาเคยอิงแอบอ้อมกอดกันและกันบนรถเดินทางวกกลับเข้ามาฉายอีกครั้งเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน   ดวงหน้าขาวๆ เริ่มซับสีเรื่อ

     

     

    คิบอมไม่ตอบอะไร   แค่จ้องมองแล้วใช้มือซ้ายตบไหล่ขวาของตนเบาๆ เป็นสัญญาณ

     

     

    อ่า   นี่เขากำลังทำให้ผมเขินใช่มั๊ย   >///<

     

     

    เมื่อดงเฮเอาแต่เขินอายด้วยท่าทางน่ารักนั่น   คิบอมก็ไม่อยากแม้แต่จะให้คนหน้าหวานนี้ห่างตัว  ตบที่ไหล่ขวาอีกครั้ง   แบะครั้งนี้ดงเฮก็เอนใบหน้าลงซบอย่างเต็มใจ

     

     

    คิบอมยิ้มอย่างที่ตนคิดว่าหวานที่สุดให้คนที่แอบชำเลืองขึ้นมองเขา    ดงเฮตบรางวัลความโรแมนติกครั้งนี้ให้เต็มร้อย   เลื่อนใบหน้าขึ้นจุ๊บแก้มป่องเบาๆ แล้วอมยิ้มคิกคักกับตัวเอง   คิบอมเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า   จุมพิตขมับบางที่อยู่ใกล้ๆ ไปอย่างอ่อนโยน

     

     

    รถที่แล่นอยู่บนถนนคงไม่อาจเทียบกับหัวใจที่โลดเต้นอยู่บนฟลอร์แห่งความรัก    ดงเฮกางนิ้วชี้กับนิ้วกลางแล้วขยับเล่นไปมาใกล้ๆ ตักตัวเอง    คิบอมมองนิ้วขาวนั้นดิ้นไปมาอย่างเอ็นดู   ส่งสองนิ้วจากมือขวาของตนไปทักทาย    คล้ายกับสองนิ้วนั่นเพิ่งจะพบหน้ากัน

     

     

    นิ้วของคิบอมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาหานิ้วเรียวขาว   แล้วก็หยุดนิ่ง   คลับคล้ายคลับคลาว่าจะลังเลที่จะเข้าไปทำความรู้ใจสองนิ้วนั่นดีหรือไม่    แล้วก็เป็นนิ้วขาวที่ขยับเข้ามาทักทาย   แตะลงบนนิ้วสีเข้มกว่า   หยอกล้อยั่วเย้ากันไปมา   นิ้วเล็กหนีนิ้วหนาที่เข้ามาพัวพันเป็นพัลวัน    แต่แล้วก็หนีไม่พ้น     

     

     

    จากสองมือที่กำเข้าหากันแล้วชูสองนิ้วก็ค่อยๆ คลายออก   ก่อนฝ่ามือหนาจะเป็นฝ่ายรั้งมือบางให้ขยับเข้ามาใกล้   กระทั่งมือทั้งสองนั้นกอบกุมกันไว้ในที่สุด

     

     

    แม้ยามโกรธจะโวยวายได้ขนาดไหน    หรือแม้ตอนที่อาจจะร้องไห้ฟูมฟาย   แต่เมื่อมาอยู่กับคิบอม   เขาก็สามารถกลายเป็นเจ้าปลาตัวน้อยน่ารักได้ตลอดเวลาสิน่า

     

     

    ดงเฮช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของไหล่ที่เขาอิงซบแล้วยิ้มหวาน   คิบอมกระซิบเบาๆ ว่า

     

     

    “จูบนะ”    

     

     

    เจ้าปลาขี้อ้อนมองซ้ายขวาไม่เห็นสายตาจับผิดแกมล้อเลียนมองมาก็พยักหน้ารับอายๆ  

     

     

    คิบอมประทับจุมพิตตีตราบนหน้าผากมนซ้ำๆ   ก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา   เนิ่นนานที่ดวงตาหวานหลับพริ้ม    หากแต่ร่างหนากลับปรือตาขึ้นมองใบหน้าสวยที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจกั้นผ่านอยู่เป็นระยะๆ    อยากจะลอบมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยรักนี้ต่อไปนานๆ   และไม่ว่าจะมองอีกกี่ทีๆ    เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ

     

     

    ผมว่าผมคงเจอแล้ว    

     

     

    คนที่ผมคอยเฝ้าหึง   หวง  ห่วง

     

     

    คนที่ผมอยากจะจ้องมองในขณะที่เราจูบกัน

     

     

    แม้วันนี้เขาอาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมดของหัวใจ

     

     

    แต่จะต้องมีวันนั้นแน่

     

     

    วันที่ผมรักเขาหมดใจ

     

     

    วันที่ผมหลงรักเขาหัวปักหัวปำ

     

     

    ผมมั่นใจ  

     

     

     

     

     

     

     

     







     

     

     

     

    KiHae Day  129*

    ทูลิ้ม   สวีทฉลองคิเฮเดย์***




    กดปลาฉลองคิเฮเดย์ทีเถอะบอม   จะดีมากถ้าปล่อยรูปมาให้กรี๊ดกันเล่นๆอีก   อ๊ากกกกกกกก  ><!!!



    อาจจะต้องหายไปจากวงโคจรแห่งการอัพ  - -
    ใกล้สอบแล้วค๊า!!!







    ปล. ซีเคร็ท(ฮันฮยอก)กับเศษส่วนอัพแล้ว   ตาบเก็บด่วนเล๊ยยยย
    แบนเนอร์หน้าบทความ ... คลิกโลด!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×