ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #11 : :: Chapter 7 : Hide one's face ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.56K
      14
      26 มี.ค. 53

     

     

     

     

     

     

    7

    Hide one’s face

     

     

     

     

    โดดชมรม

     

    หนีเรียน

     

    ป่วยการเมือง

     

    แม้กระทั่งแอบไปหลับบนดาดฟ้าของตึกวิทยาศาสตร์

     

    นี่คือสิ่งที่ผู้ชายคนนึงทำมาตลอดสองวัน   หลบหลีกจากใครบางคนที่ไม่อยากเจอที่สุดในเวลานี้   นับแต่ฟังพี่ชายอธิบายถึงอาการแปลกๆ ของตัวเองให้ฟังในวันนั้น   เค้าก็ไม่กล้าไปสู้หน้าไอ้โหด  เอ่อ   ฮันกยองอีกเลย   ทั้งหนีเรียน   โดดชมรม   ไปแอบที่ดาดฟ้า   ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะรู้ดีว่าฮันกยองตามหาตัวเค้าแทบพลิกโรงเรียน   เลิกเรียนเป็นต้องมาที่ห้องเพื่อรอพบ  แต่ใครจะไปอยู่เล่า

     

    อาการแปลกๆ ของฮยอกแจเป็นที่น่าผิดสังเกตกับซองมิน   น่ารักจึงตัดสินใจโทรหาดงเฮในตอนเช้าของคาบชมรมที่ฮยอกแจหนีไปนอนเล่นบนดาดฟ้า   ปรึกษาถึงอาการแปลกๆ ของเพื่อนให้หน้าหวานฟัง

     

    [เค้าว่าฮยอกต้องมีปัญหาอะไรกับไอ้โหดอะไรนั่นชัวร์   โดดชมรม   หนีเรียน   นี่ตอนนี้คงอยู่ที่ดาดฟ้าล่ะมั้ง   นี่เค้าเป็นอะไรของเค้าก็ไม่รู้   ทำตัวแปลกขึ้นทุกวัน   มินนี่ชักเป็นห่วงแล้วนะด๊อง]   ซองมินระบาย   อาการของเพื่อนทำเอาเขาเริ่มหนักใจ

     

    “ใจเย็นๆ ก่อนนะซองมิน   ไม่ลองไปถามฮยอกแจตรงๆ ดูล่ะ   แต่อย่าเพิ่งคาดคั้นเอาคำตอบนะ   ทำให้ฮยอกแจเค้าสบายใจก่อน   ถามเค้าด้วยนะว่าเค้าอยากบอกเราหรือเปล่า   ให้เค้ารู้ให้ได้นะว่าเราเป็นห่วง”   ดงเฮพินอบพิเทาให้ซองมินใจเย็นๆ ไปด้วยเหมือนกัน   อันที่จริงก็ไม่ใช่เวลาสะดวกของดงเฮเท่าไหร่   ตอนนี้เมมเบอร์เคิร์สอยู่ที่บ้านพักคนชราเพื่อบำเพ็ญประโยชน์   เค้าต้องออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอกเพื่อหลบจากเสียงอึกทึกรบกวน

     

    [เอางั้นเหรอ   วันนี้จะได้เจอรึเปล่าก็ไม่รู้   นี่เชื่อมะ   ตอนเรียนโฮมรูมนี่อีตาฮันกยองมาที่ห้องเราด้วยแหละ  อ้อ   ไม่ใช่แค่ชั่วโมงนั้นนะ   แต่เป็นทั้งคาบ!   ทุกชั่วโมง   ทั้งวันเลยด้วย!]

     

    “ฮันกยอง?   ใครน่ะมินนี่”   ดงเฮไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน

     

    [อ้าว   ก็ไอ้โหดของไอ้ฮยอกไง   เนี่ยนะ  หล่อก็หล่อ  แต่เท่าที่ฟังจากฮยอกมา  คงจะซาดิสม์น่าดู]  ซองมินพล่ามไป   ก็วันไหนที่มีเรียนชมรม   วันนั้นสภาพฮยอกแจจะดูไม่จืดไปเลย  พอถามเข้าก็ตอบกลับมาฉุนๆ ทุกทีว่าโดนไอ้โหดรองประธานซ้อมเอา   จนถือเป็นภาพชินตาของซองมินและดงเฮไปโดยปริยาย

     

    “อ๋อ   คนนั้นน่ะเหรอ   แล้วทำไมมินนี่ถึงคิดว่าฮยอกจะมีปัญหากับไอ้โหด  เอ๊ย    ฮันกยองอ่า”   ดงเฮย้อนความถึงตอนที่คุยกันแรกๆ

     

    [ก็คิดดูสิด๊อง   วันนั้นตอนที่เราเดินแยกกับฮยอกตอนกลับบ้านน่ะ   ฮันกยองก็เดินไปทางนั้นด้วยใช่ป่ะ   แล้วพอมาอีกวันที่ด๊องไปแคมป์   ท่าทางฮยอกก็เปลี่ยนไปเลย   โดดชมรมเพราะมีฮันกยอง   หนีเรียนเพราะรู้ว่าชั่วโมงนั้นฮันกยองจะต้องมา   มันก็ชวนให้คิดไปทางเดียวนี่นา]   ซองมินแจกแจง

     

    “อืม   ก็จริงอ่ะนะ”  ดงเฮชักเห็นด้วย   เรื่องที่เกิดขึ้นมันชักไปทางฮันกยองหมดเลยนี่นา

     

    “แต่ก็อย่าเพิ่งทำอะไรแล้วกันนะซองมิน   ถามฮยอกเค้าดูก่อน   ยังไงก็เป็นฮยอกที่ต้องมีปัญหา   ตอนนี้เราต้องกลับไปทำกิจกรรมแล้วแหละ   เท่านี้ก่อนน้า”   ดงเฮบอกลา   เห็นร่างสูงเดินมาไวๆ  คงจะมาตามเค้ากระมัง

     

    [อือๆ   ก็ได้   แค่นี้แล้วกัน   ดูแลตัวเองด้วยนะ   ถ้าคิบอมไม่ยอมเมะให้ก็จับกดไปเลย   คิกๆ   บ๊ายบาย]   ซองมินแซวยาวแล้วตัดสายไป    ไม่ยอมให้ดงเฮได้เถียงหรือปฏิเสธทัน   ทำได้เพียงบ่นเบาๆ กับตัวเองเพียงเท่านั้น

     

    “ซองมินอ่ะ   บ้า”

     

    เห็นท่าทางขวยเขินของหน้าหวานแล้ว   มันก็ชวนให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้อดคิดไปไม่ได้ว่า   เมื่อกี้กำลังคุยกับใคร   ถึงได้อายซะขนาดนั้น

     

    “จะกินแรงคนอื่นไปถึงไหน   ออกมาคุยนานเป็นชั่วโมง”  เสียงแข็งประชดทันทีที่เข้ามาถึง

     

    ดงเฮหันไปค้อนหน้ามุ่ย   เค้าออกมาคุยโทรศัพท์แค่ห้านาทีเท่านั้นเอง

     

    “ก็มันมีเรื่องให้คุย   คนแถวนี้ไม่น่าคุย   ไม่น่าสนใจ   ก็ต้องหาทางคุยกับคนอื่น”   ดงเฮตอบแอบหลอกด่า   คิบอมหน้าตึง   รู้ว่าคนที่ดงเฮหมายถึงเป็นตนเองแน่ๆ

     

    แต่ก่อนจะชักใบให้เรือเสีย   หันมาจับทิศทางเรือ  แล้วค่อยๆ บังคับหัวเรือ    ไม่ดีกว่าหรือ

     

    “หึ   ไม่น่าคุย   ไม่น่าสนใจ   งั้นคุณก็ทำให้มันน่าสนใจซะสิ   สิ้นเรื่อง”    คิบอมเปลี่ยนโหมด   ชี้โพรงให้กระรอกทั้งยังเสียงนิ่งไม่เปลี่ยน   แต่คำพูดนั่นน่ะ   มันชี้ทาง  ได้กำไรเห็นๆ

     

    ดงเฮที่คิดไม่ถึงเผลอไผลไปกับคำพูดนั้นกระหยิ่มยิ้ม   ได้ใจ    คิบอมคงหลงเสน่ห์เค้าแล้วล่ะสิ

     

    “งั้นคุณ..  อยากให้ผม   ทำอะไรล่ะครับ   หืม.. 

     

    นวยนาดเข้าไปใกล้พร้อมใช้แขนบางคล้องเข้ากับลำคอแข็งแรง   เขย่งตัวขึ้นสูงก่อนกระซิบเสียงพร่าข้างหูอย่างยั่วเย้า   หรือที่ภาษาชาวบ้านจะเรียกกันว่า   อ่อย

     

    “คุณมีดีอะไรให้ผมล่ะ  ดงเฮ”   ปรับเสียงถามให้นุ่มพอกัน   ร่างบางยิ้มหวานย่ามใจ   ขบริมฝีปากบางเข้ากับใบหูเบาๆ   แต่เสียวเสียยิ่งกระไร

     

    “อืม..   คิบอมครางเบาๆ อย่างเผลอไผล   วงแขนแข็งแรงเผลอกระชับร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด  

     

    นี่คงยังไม่เข็ดสินะ   เมื่อวานก็(เกือบ)ถูกจับกด    ถูกจูบ   แล้ววันนี้ยังมายั่วผมให้เตลิดอีก   เธอนี่มันไม่เข็ดเลยจริงๆนะ   ลีดงเฮ      

     

    คิบอมแอบสูดดมความหอมบริเวณเรือนผมนุ่มเบาๆ ไม่ให้ดงเฮรู้ตัว   สองร่างที่ตระกองกอดก่ายกันเป็นภาพที่ชวนคิดไปถึงไหนต่อไหน

     

    ดงเฮที่เป็นฝ่ายยั่ว   กลับเป็นเค้าเสียเอง   ที่รู้สึกหวั่นไหว   ประหม่า  ขวยเขินแปลกๆ   ยิ่งตอนที่คิบอมกอดเค้าแล้วซุกหน้าลงมาใกล้ๆ   มันก็

     

    โอ๊ยย   เขินนนน

     

    ว่าแล้วก็ขอถอยก่อนดีกว่า   เดี๋ยวจะเสียเอกราชไปมากกว่านี้   เพราะเรื่องเมื่อคืน   เค้าก็ยังทำใจลืมมันไม่ได้เลย   อ๊าา   ยิ่งคิดก็ยิ่งเขินนน

     

    “ว้า   เรามีเวลากันน้อยจัง   ผมอยากให้เวลาของเราสองคน  ยืดออกไปอีกเยอะๆ จังเลย   คิบอมคิดงั้นมั้ยน้า”  อ้อนเสียงหวาน   ผละตัวออกมาเนียนๆ   กุมมือหนาไว้ในอุ้งมือเล็ก   กันคิบอมออกจากเอวคอด   สบสายตาแปลกๆ ของคิบอมที่ทอดมองมา

     

    “ก็เอาสิ  ผมมีเวลาให้คุณได้”  คิบอมพูด  แต่ยังไม่ยอมทิ้งมาด   เห็นด้วยกับหน้าหวาน   เก็งกำไรไว้ที่ตัวเองสุดๆ    ดูซิจะมาไม้ไหน

     

    “ดีจังเลยน้า”   ดงเฮอ้อนให้ความหวัง   ส่งประกายสายตาปิ๊งๆจนคนมองเคลิ้มไปโข

     

    “แต่  ผมเกรงใจคนอื่นเค้านี่นา   เดี๋ยวก็มีคนมาตามเราแบบคิบอมอีก   ผมไม่อยากโดนว่าว่ากินแรงคนอื่นนี่นา”   พูดพลางทำหน้าเศร้า    คิบอมนึกย้อนคำพูดที่เค้าเอ่ยออกไปก็เพิ่งสำนึกได้  

     

    “ไม่มีใครว่าคุณอย่างนั้นแน่   ผมรับรอง” 

     

    ตาหื่นเอ๊ยยย

     

    “แต่ผมกลัวนี่นา..   หงอยเข้าไป   อ้อนเข้าไป   กระซิกๆๆ

     

    “ผมจะปกป้องคุณนะ”

     

    ไม่รู้ว่าคิบอมพูดเพราะอะไร   แต่ใจเค้ามันสั่งให้พูดพร้อมกับรั้งร่างบางที่แน่นิ่งเข้าสู่อ้อมกอดอุ่น    ดงเฮอึ้งกับคำพูดนั้น    ไม่ขัดขืนในวงแขนแต่ประการใด   ยอมแนบใบหน้าเข้าสู่อกแข็งแรงของร่างสูง

     

    คำพูดที่คิบอมบอก   มันทำให้เค้า...   ใจเต้น

     

    ดงเฮตกอยู่ในภวังค์ความคิดอันสับสนอยู่พักใหญ่   ก่อนได้สติ

     

    “อื้อ   คิบอมอ่า   อย่าเอาเปรียบกันสิ”   ท้วงอ้อนๆ    ทุบอกแข็งแรงเบาๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู  พองลมในแก้มอย่างเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ

     

    ท่าไม้ตายประจำตัวลีดงเฮ   ใครเจอท่านี้เข้าไป   เสร็จทุกราย!

     

    “ผมเปล่า”   คิบอมรีบปฏิเสธ   กลัวทำให้คนน่ารักคนนี้ไม่พอใจ   ทั้งที่ความเป็นจริงขัดกับคำพูดนั้นสิ้นดี   ก็มือของเขาน่ะ   ยังเกาะอยู่ที่เอวบางๆ ของหน้าหวานไม่ปล่อยเลยนี่

     

    “โม้   คิบอมโม้”  ดงเฮกล่าวหา    ท่าทางแบบเด็กๆ ที่ชี้โทษผู้ใหญ่   ไม่ได้รู้เลยว่า   ไอ้ท่าทางแบบนั้นน่ะมันเกินไปแล้วนะ

     

    “ไม่ได้โม้จริงๆนะดงเฮ”   เป็นทีของคิบอมมั่งละ   ขออมลมเต็มแก้มเง้างอดหน่อยแล้วกัน   ก็ดงเฮน่ะ..   น่ารักเกินไปแล้วโว้ยยยย

     

    “คิกๆ   แก้มบวม  แก้มอ้วน   แก้มแตก   ฮิฮิ”   ดงเฮหัวเราะสนุก   ขยำขยี้แก้มของคิบอมยกใหญ่

     

    “แล้วชอบมั้ยล่ะ”   คำถามรุกฆาตสั่นหัวใจหน้าหวาน  ใช่ว่าดงเฮจะเล่นแผนเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่   หึๆ   อย่าทิ้งลายให้เค้าวิ่งตามได้ทันสิ   ดงเฮ

     

    “ชอบ?   ชอบอะไรเหรอ”   ดงเฮแกล้งโง่   ถามตาแป๋ว   จับแก้มนิ่มไม่ปล่อย   คิบอมดูท่าทางแกล้งเซ่อนั่นออกแต่ไม่ได้กะโตกกะตากอะไร   ช้าๆ ได้เคะรูปงาม

     

    “แก้มผมไง”

     

    “ชอบสิ   แก้มนิ่มๆบวมๆ   น่าหอมจะตาย”   ดงเฮพูดออกมาจากใจจริงๆ  ก็มันบวมขนาดนี้น่ะ   น่าหอมน่าจูบจะตาย   ยิ่งกว่าแก้มเด็กอีก

     

    “น่าหอมก็หอมสิ”

     

    คิบอมไม่รอช้า  ต่อความจากเดิมที่พยายามรุกหน้าหวานต่อทันที   ดงเฮอึ้งเขินๆ  ก่อนปรับสีหน้าและท่าทางอย่างรวดเร็ว

     

    “ฮื้อ   ได้เหรอ   เดี๋ยวเจ้าของคิบอมก็หึงเอาหรอก”   ดงเฮแกล้งค้าน 

     

    “ผมไม่มีเจ้าของหรอก”   คิบอมออกตัวตอบตามจริง   เกลี่ยปอยผมของดงเฮเล่น   คนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปใช่ว่าไม่มี   ของมันแน่นอนอยู่แล้ว   แต่ถ้าถามถึงตัวจริง   ไม่เคยมีใครทำให้เค้าอยากจะอยู่ด้วยได้   และไม่เคยมีใครอดทนต่อท่าทีเฉยเมยของเค้าได้เป็นเวลานานมากนัก  

     

    ถามว่าเหงามั้ย   ไม่   ไม่เคยเหงา   เค้าไม่เคยรู้สึกต้องการใคร   ไม่เคยรู้สึกว่าขาดคนๆ นี้ไปแล้วจะอยู่ไม่ได้   เค้าไม่เคยเจอคนที่ทำให้เค้าต้องนั่งคิดถึง   คอยหึงคอยหวง   และรู้สึกรัก   คิมคิบอมไม่เคยเจอ   อาจจะแปลกสำหรับทุกคน   แต่สำหรับเค้า   มันเป็นเรื่องปกติที่ชินชาไปแล้ว

     

    “หืม”   ดงเฮแปลกใจน้อยๆ กับคำตอบของร่างสูง   แต่ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก   คนเราเล่ห์เหลี่ยมใช่จะไม่มีนี่

     

    “เอาเป็นว่า   ตอนนี้ผมยังไม่เชื่อหรอกนะ   ไว้ผม..  จะขอพิสูจน์ด้วยตัวเอง  ..ดีกว่า”

     

    ประกาศเป็นนัยๆ ว่าตนไม่เชื่อภายใต้ท่าทีอ่อนหวานพร้อมใช้นิ้วเกลี่ยคางคิบอมแบบเวลาเล่นกับแมว   ยิ้มหวานให้ร่างสูงแล้วผละตัวออกอย่างเนิบนาบแอบมีจริต

     

    “งั้นผมจะรอ   ให้คุณมาพิสูจน์ก็แล้วกัน”

     

    คิบอมพูดสื่อความหมาย   แต่สื่อทางไหนดงเฮไม่แน่ใจมากนัก   ไม่อยากปักใจเชื่ออะไรกับคนๆนี้   มันอาจจะทำให้เค้าหวั่นไหวและไขว้เขวได้

     

    “แน่นอน   ผมไม่พลาด”  

     

    ดงเฮเอ่ยมั่นพร้อมยิ้มหวาน  เดินออกห่างช้าๆ อย่างยั่วเย้า   ก่อนขยิบตาแล้วหมุนตัวเดินจากไป   ทิ้งให้คนข้างหลังเกิดความรู้สึกเสียดายเล็กๆ   ก่อนถอนหายใจเบาๆแล้วเดินตามกลับไปยังห้องอาหารของสถานสงเคราะห์บ้านพักคนชราเพื่อดำเนินกิจกรรมต่อ

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart…  You’re  Everything. - - - -

     

     

     

     

    นี่เรากำลังหนีอะไรอยู่เนี่ย...

     

    ลีฮยอกแจ   

     

    นายกำลังหนีอะไร

     

    หนี...

     

    หนีไอ้โหด...   

     

    ไม่สิ   ไม่น่าใช่

     

    หนีความจริง

     

    ความจริงอะไรล่ะ

     

    ความจริงที่ว่า... 

     

    ???

     

    นายรักไอ้หมอนั่น...

     

    !!!   

     

    นายกำลังหนีหัวใจ...  

     

    บ้าน่า!  

     

    ฮยอกแจส่ายหัวไล่ความคิด   นั่งกอดเข่าแล้วซุกหน้าลงกับแขน   ตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่สับสน   ตอนนี้เค้าไม่รู้ว่าเค้าจะต้องทำยังไง   จะต้องวางตัวยังไง   ยิ่งฮันกยองให้ความสนใจเค้ามากเท่าไหร่   เค้าก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ  

     

    เค้าอ่อนแอจริงๆ

     

    เฮอะ   นายมันอ่อนแอลีฮยอกแจ   ถ้านายรักหมอนั่นนายจะมามัวเป็นบ้าอะไรอยู่   กลัวหรือไง   กลัวว่าฮันกยอง   ...จะไม่รัก

     

    ปังๆๆ

     

    “ฮยอกแจ!   ลีฮยอกแจ   ไอ้ฮย๊อกกก”

     

    ซองมินรัวทุบประตูแข็งแรงของดาดฟ้าตึกวิทยาศาสตร์เร็วๆ อย่างหงุดหงิดนิดๆ   ตะโกนเรียกฮยอกแจให้มาเปิดประตู   พูดเสียงธรรมดาก็กลัวจะไม่ได้ยิน   ดาดฟ้ามันเล็กๆซะที่ไหน

     

    ฮยอกแจสะดุ้ง   เสียงแหลมๆเล็กๆ ขี้โวยวายแบบนี้มีคนเดียว

     

    “รู้แล้วๆ  แป๊บนึงเซ่ไอ้กระต่ายอ้วน”  ฮยอกแจเปิดประตูที่ตนลงกลอนจากด้านนอกไว้แน่นหนา 

     

    “ชั้นไม่หิว   แกกินไปคนเดียวเหอะ”  ฮยอกแจบอกปัดไม่ทันได้ฟังคำถามด้วยซ้ำ   เห็นขนมปังพายฟักทองในมือซองมินก็พอจะเดาออกแล้ว

     

    “เชอะ   เนี่ยๆๆ  พายฟักทองเชียวนะ”   ซองมินอวด   เดินนำฮยอกแจเข้าไปให้อีกฝ่ายปิดประตู   

     

    “แล้วไง   พายฟักทองแล้วไง  กินแล้วก็อ้วน”   ฮยอกแจต่อปาก  มองคนอวบที่กำลังเบ้ปากใส่อย่างงอนๆแล้วส่ายหน้าปลงๆ   ลมเย็นๆบนดาดฟ้าช่วยทำให้คนอ่อนแออย่างเค้ารู้สึกดีจนมีแรงที่จะยิ้ม

     

    “ทำไมแกชอบมาที่ดาดฟ้า”  ซองมินเปิดประเด็นเนียนๆ  ชวนไปเรื่องอื่นก่อน

     

    “หืม..  เปล่านี่”

     

    “อย่าๆ  ชั้นเห็นเวลาแกไม่สบายใจแกก็มุดหัวอยู่ที่นี่ตลอด”   เสียงใสขัด   ฮยอกแจต้องยอมจำนน

     

    “ก็ลมเย็นๆมันทำให้ชั้นรู้สึกดี   พอมองลงไปข้างล่าง   ก็เห็นคนอีกเยอะแยะที่พอจะทำให้รู้ว่า   ชั้นไม่ได้เจอเรื่องทุกข์ใจแค่คนเดียว”   ฮยอกแจสารภาพ   ความรู้สึกดีที่เค้าสัมผัสได้ยามมองเห็นผู้คนมากมายดำเนินชีวิตอันขลุกขลัก   มีล้มมีสะดุด   แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ท้อถอย   ยังพยายามที่จะก้าวผ่านเนินหลุมลุ่มๆดอนๆไปให้ได้

     

    “พูดอย่างกับแกมีเรื่องไม่สบายใจ” 

     

    ลีซองมินก็ยังคงเป็นลีซองมิน   พูดอ้อมโลกข้ามทวีปเป็นกับคนอื่นซะที่ไหน   ยังไม่พ้นจากเกาหลีไปถึงไทยก็วกกลับมาเข้าประเด็นแต่แรกจนได้

     

    “ก็...  นิดหน่อย”

     

    “บอกชั้นได้มั้ย   ชั้นเป็นห่วง   ด๊องก็เป็นห่วง”

     

    “อืม..”   ฮยอกแจครางรับในลำคอ  สับสนหากเอ่ยปากไป   เพื่อนของเค้า...  อาจจะรับตัวตนของเค้าไม่ได้

     

    “ว่าไง”  ซองมินเร่งเร้า  อย่าได้ปล่อยให้ฮยอกแจสับสนมากนัก   เพราะมันจะนำไปสู่การเก็บงำเพียงคนเดียวอีก

     

    “ชั้นกลัวอ่ะซองมิน”   ฮยอกแจสารภาพ   ใช่  เขากลัว

     

    “อืม”  ซองมินนิ่งรับฟัง   มองหน้าเพื่อนที่จ้องมองออกไปยังที่ไกลแสนไกลบนท้องฟ้า

     

    “ชั้นอ่อนแอมากเลย   ชั้นกลัวว่าถ้าชั้นยอมรับความจริงบางอย่าง   พวกนายอาจจะรังเกียจชั้น   สังคมอาจจะไม่ต้อนรับชั้น  ชั้นคงจะกลายเป็นคนที่วิปริต   น่าขยะแขยง”

     

    “ชั้นไม่แน่ใจ  ชั้นรับไม่ได้   แล้วชั้นก็กลัว   ว่าคนที่ชั้นรักอย่างพวกนายจะรังเกียจคนอย่างชั้น...”

     

    “ถ้าแกไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ชั้น   รู้เอาไว้เลยนะ   ว่าคนอย่างลีซองมิน   ไม่มีทางเกลียดหรือรังเกียจลีฮยอกแจ   เพื่อนสนิท   เพื่อนตาย   เพื่อนสุดที่รัก   ..แกจำไว้นะ” 

     

     ซองมินโพล่งขัดฮยอกแจ   ดับทุกความรู้สึกสับสนและอ่อนแอที่กำลังเกาะกินหัวใจเพื่อนของเขา   ไม่ว่าอะไรที่ทำให้ฮยอกแจอ่อนแอ   เค้าจะขับไล่ให้มันไปให้พ้นๆ   ไม่ให้มากล้ำกรายเพื่อนเขาอย่างเด็ดขาด

     

    “ชั้น.. ชั้น..” 

     

    น้ำใสคลออยู่ที่เบ้าตา   ซาบซึ้งเหลือเกิน   ไม่มีใครเป็นฮยอกแจก็ไม่มีทางเข้าใจ   ความรู้สึกอ้างว้างเพียงคนเดียวบนโลกทั้งที่ผู้คนมากมายรายล้อมมันช่างทรมาน   เค้ากลัวว่าหากเค้ากลายเป็นคนอีกคนที่แปลกประหลาด   ก็เท่ากับว่า   เค้าจะต้องอยู่คนเดียว   โดดเดี่ยวเพียงลำพัง   อีกทั้งยังกลัว   ว่าคนที่เค้าอาจจะรัก   จะไม่คิดเหมือนกัน

     

    กลัว...  มันกลัวไปหมด

     

    นี่เค้าคง..  หนีจากความอ่อนแอ   ..ไปไม่พ้นจริงๆสินะ

     

    ฮยอกแจสบตาซองมิน   สายตาที่ทอดมองมาอย่างอบอุ่น   ปลอบใจ   และอ่อนโยนจนให้ความรู้สึกปลอดภัย   เป็นใยเหล็กชั้นดีในการห่อหุ้มหัวใจที่แสนจะเปราะบาง

     

    เรื่องราวความสับสนทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านปากแดงๆอย่างช้าๆ  ซองมินคอยรับฟังด้วยท่าทีที่นิ่งสงบกว่าทุกครั้ง   ความจริงเค้าไม่ใช่คนที่เข้มแข็งอะไร   แต่เมื่อไหร่ที่คนที่เค้ารักอ่อนแอ   เมื่อใดที่คนๆนั้นรู้สึกแย่   เค้าก็พร้อมจะเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก   เพื่อคนๆนั้นได้เสมอ

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart… You’re Everything. - - - - 

     

     

     

     

    “ฮีซอลดงเฮ   สายแล้วๆ   ตื่นกันรึยัง”

     

    “อืม..”

     

    ครางอย่างขัดใจเมื่อได้ยินเสียงรบกวนเป็นนาฬิกาแขวนของบ้านที่ส่งเสียงทักทายจากข้างล่างดังมาถึงข้างบน   ซีวอนลืมตาอย่างงัวเงีย   อาการเมาค้างหายไปแล้ว  เหลือเพียงความงุนงงกับสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปยามลืมตาเท่านั้น

     

    ที่ไหน..?

     

    มองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งแปลกๆ แบบตามใจเจ้าของห้อง   คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คส์ที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะทำงาน   ซีวอนมองงงๆ  แล้วไล่สายตาไปทางหัวเตียง

     

    พี่ฮีซอล!

     

    รูปเจ้าของห้องตั้งเด่นบนหัวเตียง   รอบๆ มีกรอบรูปที่ถ่ายร่วมกับครอบครัววางอยู่เรียงราย  

     

    นี่มันห้อง..  พี่ฮีซอล

     

    ยิ้มปิดอารมณ์ดีใจไว้ไม่อยู่   ยันตัวขึ้นนั่ง   มองหมอนที่เค้าเพิ่งนอนหนุนก่อนก้มลงสูดกลิ่นกายเจ้าของเตียงที่บัดนี้มีกลิ่นตัวเขาปะปนอยู่ 

     

    หอมจริงโว้ยยย

     

    ซีวอนสำรวจห้องดังใจ   เปิดนู่นรื้อนี่แต่ก็เก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อย  เดี๋ยวเจ้าของห้องรู้มีหวังเค้าคงไร้อนาคตแหงมๆ

     

    ซีวอนหัวเราะเบาๆกับภาพเด็กชายสองคนเล่นกัน    ในรูปดูเหมือนคนเป็นน้องดูท่าจะถูกคงเป็นพี่แกล้งอย่างสะใจ   อดีตกับปัจจุบัน   ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลย   พี่น้องคู่นี้

     

    ไล่สายตามายังภาพสุดท้ายที่เพิ่งถ่ายเมื่อปีสองปีที่แล้ว   คงจะเป็นปีที่...  เราพบกันสินะครับ   พี่ฮีซอล

     

     

     

     

    ยิ่งดูก็ยิ่งขำเข้าไปใหญ่  ตอนที่พี่ฮีซอลหนีไปถ่ายรูปกับดงเฮเพราะทนรำคาญเขาที่ตื๊อไม่ไหว  แต่สุดท้ายเค้าก็มีส่วนร่วมจนได้   ตอนนั้นไม่รู้นึกยังไง   ถึงได้ยกเท้าไปบังหน้าเลนส์เสียอย่างนั้น   ..อ้อ   จำได้แล้ว   ก็ตอนนั้นพอเค้าจะเข้าไปถ่ายด้วยฮีซอลก็เอาแต่ยันออกมานี่นา   แล้วตอนที่ยื่นเท้าไปก็แค่จะให้ฮีซอลตีขาออกมาเฉยๆ  ไม่ได้นึกว่าอิทึกที่เป็นคนถ่ายจะบ้าจี้กดชัตเตอร์ไปจริงๆ

     

    น่าตลกที่สุดก็ตรงที่...  ฮีซอลเลือกภาพนี้มาประดับบนหัวเตียงนี่ละ

     

    “ตื่นแล้วทำไมไม่ลงไปข้างล่างฮะ   อยู่ในห้องชั้นนานๆเดี๋ยวห้องชั้นได้แปดเปื้อนราคีคาว”

     

    เสียงหวานแกมดุดังขึ้นจากทางด้านหลัง   ซีวอนหันไปตามเสียง   พบคนหน้าสวยยืนพิงขอบประตูห้องตนอยู่ด้วยใบหน้าจิกกัด

     

    ซีวอนยังคงยิ้ม   เค้าชินแล้วกับใบหน้าท่าทางและคำพูดแบบนี้   เพราะรู้ดีว่าฮีซอลเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร   และที่พูดไปก็ไม่ได้แช่งจริงจังอะไรขนาดนั้น   คงเป็นเพราะไม่รู้จะหาคำทักทายหรืออะไรมากกว่า  

     

    “ถ้าลงไปก็ไม่ได้เห็นอะไรดีๆน่ะสิ   ผมไม่นึกเลยนะว่าพี่จะมีรูปนี้ขึ้นหัวเตียงด้วย”  ซีวอนชี้ไปที่รูปดังกล่าวที่มี(เท้า)เค้าอยู่ด้วย   ถึงจะเป็นแค่เสี้ยวก็เถอะ

     

    “เฮอะ   เพราะรูปนั้นชั้นดูดีหรอก   หลงตัวเองนะไอ้ซิมบ้า”

     

    ฮีซอลบอกปัด   เพราะเมื่อคืนข้างล่างหนาวมาก   จะทิ้งไอ้สิงโตนอนคนเดียวก็กระไรอยู่   ยิ่งไม่อยากทำให้...  ซีวอนรู้สึกไม่ดีซ้ำซากอีก   จำต้องฉุดขึ้นมานอนบนห้องตัวเอง   แต่ไม่มีทางที่เค้าจะยอมให้ไอ้เด็กหื่นนี่นอนเตียงเดียวกันหรอก   ให้ซีวอนนอนห้องนี้ส่วนตัวเองไปนอนห้องดงเฮแทน  สะอิดสะเอียนกับตุ๊กตาหน้าปลาที่เต็มห้องกับดินแดนใต้น้ำมากหน่อยแต่ก็ต้องจำทน

     

    ชั้นไม่เคยต้องทำเพื่อใครขนาดนี้เลยนะซิมบ้า   มีนายเป็นคนแรก   รู้ไว้ซะ

     

    “หิวรึไงถึงได้แหกขี้ตาตื่นมาได้”  ฮีซอลเปลี่ยนเรื่อง  เดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่อีกมุมของห้องเพื่อนำเสื้อผ้าในตะกร้าไปซักตามปกติ   วันนี้เค้ามีเรียนบ่ายโมง   มีเวลามากโขในการกำจัดกองผ้าที่เยอะสุมเป็นกองพะเนิน   ปกติดงเฮทำให้   วันนี้ต้องมาทำเอง   เหนื่อยชะมัด

     

    “ก็เปล่าหรอกครับ   ผมแค่ได้กลิ่นหอมๆบนที่นอน   ว่าแต่ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”  

     

    ฮีซอลตกใจนิดๆ   ไม่รู้จะตอบว่ายังไง   จะให้บอกว่าหมอนี่เมาเพราะหึงเค้า?   จะให้บอกว่านายเมาแล้วสารภาพรักชั้นเลยใจอ่อน...   จะให้บอกว่าชั้นจะไม่ทำให้นายเสียใจรึไงกันเล่า   โว๊ยยย    เขินเป็นนะ!

     

    วิธีการเปลี่ยนเรื่องน่าอับอายที่ซินเดอเรลล่าถนัดที่สุดก็คงจะเป็น   ...หาเรื่องด่า

     

    “ก็เมื่อวานซอนยีบอกพ่อเค้าอยู่บ้าน   พานายไปนอนด้วยไม่ได้   ให้ชั้นไปรับนายมาที่นี่” 

     

    ฮีซอลตอบพร้อมสาวเท้าหนีลงไปทางหลังบ้านเพื่อซักผ้า  โดยมีซีวอนเดินตามมาติดๆ

     

    ชิ   แต่คิดแล้วทำไมชั้นโกรธนายนะไอ้ซิมบ้า  นายเคย...

     

    “นายเคยนอนกับแม่นั่นแล้วเหรอ”

     

    “หา”   ซีวอนงงงวยกับคำถาม   งงตั้งแต่แรกที่ฮีซอลบอกถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ

     

    “ชั้นถามว่านายเคยนอน..  โอ๊ย  เข้าใจอะไรยากรึไงนายนี่   นายเคยป่ามป๊ามกับซอนยีแล้วใช่มั้ย”   เสียงหวานเจือเสียงดุกลายๆ   ใช่  ฮีซอลไม่พอใจ   แถมยัยซอนยีอะไรนั่นยังแลกลิ้นแลกเอนไซม์กับซีวอนซะเสียงดังจ๊วบจ๊าบ   ไม่ให้คิดแบบนี้แล้วจะให้คิดแบบไหน

     

    “หา  ....   ฮ่าๆๆ   พี่   นี่พี่เอาอะไรคิดเนี่ย   ผมกับน้องซอนยีเนี่ยนะ  ฮ่าๆๆ”   ท่าทีตอนแรกงงๆ  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะตลกโปกฮา

     

    เออ   มีความสุขล่ะสิ  ไหนบอกว่ารักชั้นไง  ไอ้ซิมบ้า!  แกไปมีอะไรกับแม่นั่นได้ยังไง!!

     

    “ไปหัวเราะที่อื่นเลยนะไอ้สิงโตหัวฟู   ไปตายให้หนอนแดกไป๊..!!

     

    ฮีซอลตะเพิด   ตัวตนของเค้ากลับมาอีกครั้ง   ไม่ได้ผิดสัญญากับตัวเองเลยซักนิดที่ว่าจะไม่ทำให้คนๆนี้เสียใจ   รู้ดีน่า   กับหมอนี่  คำพูดทำนองนี้ของเค้าน่ะ   มันชอบจะตาย   ..ไอ้โรคจิต   ชิ

     

    “หึๆ   พี่ทำอย่างกับหึงผมงั้นแหละ”

     

    “ใคร๊!  ใคร   ใครหึงนายไม่ทราบ   หลงตัวเองก็ไปที่อื่นได้ป่ะ  จะอ้วก”   ฮีซอลปฏิเสธเสียงแข็ง   เชิดหน้าหนี

     

    “ถ้าไม่หึงแล้วจะขึ้นเสียงทำไมครับ”

     

    “เฮอะ   ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้   หมดธุระแล้วก็ไสหัวกลับไปเลย”

     

    “เฮ้อ   เอาเถอะ  ผมกลับก่อนแล้วกัน   วันนี้เจออะไรดีๆตั้งแต่เช้าเลย   ผมแค่จะบอกพี่ว่า   ซอนยีน่ะ  ผมจะมีอะไรกับเธอได้ยังไง  ก็ในเมื่อ...  เธอเป็นเลส  ... จุ๊บ”

     

    กระซิบข้างหูเบาๆแล้วขโมยจุ๊บที่แก้มนิ่มก่อนผันตัวอย่างรวดเร็วไปทางหน้าบ้าน   เดินจากหน้าบ้านไปยังปากซอยเพื่อนั่งแท็กซี่กลับ   ยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเสียงไล่หลัง

     

    “อะ..  ไอ้ซิมบ้า!  ไอ้ซีวอนนน!  ไอ้เด็กบ้า   กล้วดียังไงมาจูบชั้นหา   กลับไปเลยนะไอ้เด็กเปรต    ฮึ่ย!

     

    มือที่ขยี้แก้มอย่างรุนแรงเมื่อครู่ค่อยๆผ่อนแรงลง   ก่อนจะเปลี่ยนกริยาเป็นจับแก้มแทน

     

    “เลสก็เลสสิ   สนรึไง  ชิ..”

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart… You’re  Everything. - - - -

     

     

     

     

    “หา!!

     

    “ซี๋ย์..   เบาๆสิ   ไอ้มินนี่บ้าบอ”  ฮยอกแจตะครุบปากเพื่อนไว้แทบไม่ทัน   หลังจากที่เค้ายอมสารภาพเรื่องทุกสิ่ง...  จนหมดเปลือก

     

    “แก...   แกเป็นเกย์”  ซองมินทวนคำซ้ำไปมา

     

    “เออ   รู้แล้วนี่   แล้วเป็นไง  แกบอกแกไม่รังเกียจชั้น   อย่ารังเกียจชั้นนะ”   ฮยอกแจเผยสิ่งที่กังวลใจ

     

    “อะ...”   ซองมินอุทานออกมาเท่านั้น   ยิ่งทำให้ฮยอกแจใจเสียเข้าไปใหญ่

     

    “ชั้น..  ชั้นมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ   ชั้นไม่น่าเป็นแบบนี้เลยจริงๆ   ชั้น...  ชั้น   ฮึก”  ฮยอกแจเริ่มสะอื้น   ซองมินจึงได้สติเสียที  

     

    “เฮ้ย  ไม่ใช่ๆๆๆๆ   ไม่ใช่โว้ยยย   ไม่ช้ายยย”   น่ารักปฏิเสธพัลวัน

     

    “ฮึก..  ไม่ใช่อะไรของแก”

     

    “นี่แกเพิ่งรู้รึไง   ว่าตัวเองเป็น..เกย์อะ”  ซองมินพูดเบาๆ  สีหน้าประหลาดใจสุดซึ้ง   ผิดกับฮยอกแจที่อึ้งสุดๆ

     

    “กะ..  ก็เออสิ   ทำไมแกทำหน้าแบบนั้น”   ฮยอกแจสงสัย   แต่ท่าทางของซองมินที่ไม่ได้รังเกียจรังงอนเค้านั้น   ทำเอาใจชื้นขึ้นโข

     

    “โอ๊ย   แล้วแกจะให้ชั้นทำหน้าแบบไหน   ในเมื่อชั้นรู้มาตั้งนานแล้วว่าแกเป็นเกย์”

     

    ซองมินเผย   สิ่งที่เค้าคิดว่าตัวเองรู้ดี  และฮยอกแจก็รู้เรื่องนี้มาโดยตลอด

     

    “หา!

     

    “มาหงมาหาอะไรล่ะ  บ้าชะมัด   นี่แกเครียดเรื่องนี้เหรอเนี่ย”  ซองมินบ่น  ฮยอกแจทำหน้าเหลอหลาไม่อยากเชื่อ

     

    “ทำไม..  แกคิดงั้น”

     

    “เอ๊า    ยังจะถาม   แกเคยได้ยินมั้ย     ผีเห็นผีน่ะ     ผีมันเห็นผี”  ซองมินลากเสียงยาว   แกะขนมปังพายฟักทองขึ้นมากิน     โถ่   ไอ้เราก็นึกว่าเรื่องอะไร

     

    “งั้นแกก็เป็น..”

     

    “เออ~~  เป็นมาตั้งนานแล้วด้วย” 

     

    ซองมินตอบง่ายๆสบายๆ    กระดกนมตามเพิ่มความคล่องคอในรสอาหาร

     

    ฮยอกแจยังอึ้งไม่หาย   แต่ความหนักอึ้งทั้งมวลของเค้ามันได้หายไปแล้ว  ไม่เหลือแล้วจริงๆ       

     

    เพื่อนของเค้า..  เข้าใจเค้าเสมอมา

     

    “เอ้า   อึ้งไม่เลิก   นี่ชั้นจะบอกอะไรให้นะ   ถึงแกจะทำตัวแมนขนาดไหนก็เหอะ   ถึงแกจะมีเรื่องกับไอ้กุ๊ยเมียงดง  แทดงมุน  หรืออะไรนั่นก็เหอะ   แค่มองตาแก   ชั้นก็รู้แล้วว่าแกน่ะ   เคะ..!!

     

    ฮะ!  เคะ!!   

     

    ฮยอกแจถลึงตาผิดคาด  ถึงจะเป็น   แต่สังกัดที่เค้าคิดไว้แต่แรกมันก็เป็น  ..เมะ..

     

    “บ้า   ชั้นน่ะเมะ”   ฮยอกแจแย้ง   ถึงจะไม่เต็มเสียงก็เถอะ

     

    “เมะ..”  ซองมินทวนแล้วแกล้งอ้าปากหวอ  ก่อนใส่สีหน้าซังกะตาย  “ฝันหรอ   เมะบ้านแกสิ   ถามหน่อยเหอะ  ตัวแค่นี้แกจะไปกดใคร”

     

    “ไอ้กระต่ายอ้วน  แกอยากจะลองเป็นคนแรกมั้ยล่ะ”   ฮยอกแจไม่ยอมถูกสบประมาทแน่นอน   ถึงจะเมะจะเคะไม่เป็นก็เหอะ   แต่ขอสร้างภาพคิงไว้ก่อน

     

    “เออ  ก็ดี   ชั้นเองก็ไม่เคย   อยากลองอยู่เหมือนกัน”  ซองมินก็บ้าจี้ตาม  ปัดเนื้อปัดตัวแล้วย่องเข้าใกล้   ซองมินน่ะหื่น   แต่ฮยอกแจพอเจอแบบนี้   ได้แต่  ผื่น!!’ 

     

    “เฮ้ย  ไอ้บ้า  ผื่นขึ้นเลย   สยองชิบหาย   หื่นให้มันน้อยๆหน่อยได้มั้ยวะไอ้นี่   แล้วที่บอกจะให้ชั้นกด   อย่าบอกนะว่าแก...”

     

    “เออ  ชั้นเป็นควีน”  

     

    “บรื๋อส์   ใครจะมากดแกวะเนี่ย   หื่นจะตาย   อ้วนแบบนี้ใครจะกินลง”  

     

    “เดี๊ยะๆ   อย่าให้ของขึ้นนะไอ้ไก่”   ซองมินแขวะ   เรียกรอยยิ้มฮยอกแจที่หายไปวันสองวันให้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง

     

    “ชั้นไปแล้วนะ   ปวดฉี่จะตาย   แกก็งมงายอยู่กับเมะกับเคะต่อไปเหอะ   จะบอกไรให้นะ  เคะน่ะสบาย  ไม่เหนื่อย  เว้นแต่แกจะ On Top    ฮ่าๆๆ”  ซองมินหัวเราะร่าแล้วเดินออกไปทางเดิม  ทิ้งฮยอกแจให้อยู่กับความโล่งใจของตัวเองไปอีกสักพัก  พอใจเมื่อไหร่เดี๋ยวไอ้ไก่ก็ลงมาเองนั่นแหละ   ไม่ต้องไปอะไรมากมายอีก  สบายใจแล้วนี่

     

    ปังๆๆ

     

    “มีอะไรไอ้กระต่ายอ้วน   เปิดเองเซ่”  ฮยอกแจบ่นกระปอดกระแปด   แต่ยังเดินไปเปิดประตูให้ซองมิน(ตามที่คิด)อยู่ดี

     

    ทว่า  มันไม่ใช่

     

    “อะ  ไอ้โหด!

     

    ฮยอกแจตกใจเผลออุทานคำพูดเคยปาก

     

    “โหย   อะไร   นี่ลับหลังชั้นนายเรียกชั้นอย่างงี้เลยเหรอ”

     

    อารามสำนึกผิดขอโทษหายวับเมื่อได้ยินสรรพนามเรียกขานตน   ฮันกยองไม่พอใจนิดหน่อยที่ตนถูกเรียกแบบนั้น  

     

    ฮยอกแจยังอึ้งไม่หาย   ถึงจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้วก็เถอะ   แต่เค้าก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอกับฮันกยองตอนนี้ 

     

    ความอ่อนแอที่มีมันทำให้เค้ากลัว   เค้าขอแค่เพียงเวลาปรับตัว   เพื่อจะได้เตรียมหัวใจ...

     

    รักคนนี้   รักเข้าไปแล้ว   รักแล้วจริงๆ

     

    จริงด้วยฮะพี่ชาย   หนูเล็ก...  ใจเต้นมากๆเลย

     

    ฮยอกแจรีบปิดประตูใส่หน้าฮันกยองทันที

     

    “เฮ้ย!   อะไรเล่า   ให้ชั้นเข้าไปหน่อยสิ”   ฮันกยองโวยวาย

     

    “นายจะเข้ามาทำไม   ที่นี่ไม่มีคู่ซ้อมให้นายหรอกนะ!

     

    คำพูดนี้สะดุดหูฮันกยอง   แรงผลักดันจากอีกฝั่งของประตูนั้นน้อยนิด   เพียงพอให้เค้าดันตัวเองออกสู่ดาดฟ้าได้สำเร็จ  สำเหนียกได้ถึงจุดประสงค์ทั้งมวลที่พยายามตามหาคนอ่อนแอของเขาในสองวันที่ผ่านมา  

     

    ฮยอกแจเซเล็กน้อย  ไอ้โหดนี่แรงเยอะชะมัด

     

    “นายมีธุระอะไร”  ไล่ไม่ไหวเพราะด้านเกินทน  ฮยอกแจจึงรีบถามเพื่อให้ฮันกยองได้รีบพูด   จะได้รีบไป

     

    “เรา..    ไปคุยตรงนั้นได้มั้ย”  ฮันกยองพูดเสียงอ่อน  ผายมือไปทางดาดฟ้าที่มีเหล็กกั้นกันอาการคิดสั้นของนักเรียน   ตรงนั้นมีหลังคาเล็กๆพอให้คนร่างเล็กตรงหน้าได้หลบแดดหลบลม

     

    กลัวจะไม่สบายไปน่ะสิ   ห่วง...

     

    ฮยอกแจตรองครู่หนึ่งแล้วเดินนำไป  

     

    “มีอะไรก็ว่ามา   ชั้นมีเวลาไม่มาก   คนอ่อนแออย่างชั้นต้องกลับไปนอนร้องไห้ที่บ้าน”

     

    หนูเล็กของบ้านประชดใส่ตามนิสัยอย่างคนเป็นน้องที่ถูกตามใจมาแต่เด็ก   แต่คำพูดนั้นกลับพุ่งเข้าทำร้ายใจของฮันกยองอย่างจัง

     

    “ผม..”   ฮันกยองอยากจะพูดขอโทษใจจะขาด   แต่พอเจอสายตาตัดพ้อแกมประชดประชันนั่นแล้วก็ทำให้เขามีอาการ...  พูดไม่ออก

     

    “อ้ำอึ้งอยู่นั่นละ   มีอะไรจะพูดก็พูดมา   พูดจบชั้นจะได้ไปเคลียร์เรื่องของชั้น” 

     

    “เคลียร์?  เคลียร์อะไร”   ฮันกยองถาม   เบนความสนใจไปเรื่องอื่น

     

    “ยุ่งอะไรล่ะ   อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเซ่”  ฮยอกแจฉุนนิดๆ   ถึงจะรู้ตัวว่ารักแล้วก็เถอะ   แต่คนอย่างเค้า   ถ้าได้ชอบใจใครสักคนก็จะเผยนิสัยเด็กเอาแต่ใจออกมาเลยทีเดียวเชียว

     

    “ถ้าเป็นเรื่องของคุณ   ผมก็อยากจะรู้   ทุกเรื่อง”  ฮันกยองย้ำเสียงเข้มในถ้อยสุดท้าย   สายตาไม่มีความลังเลเหมือนเมื่อครู่

     

    “อะไรของนาย”  ฮยอกแจเลือกที่จะกลบเกลื่อนความผิดปกติของหัวใจด้วยการไล่ต้อน   แม้จะไม่รู้ก็ตามว่ากำลังต้อนอะไร  

     

    “ผมขอโทษนะ”  ฮันกยองเปิดปากพูดเสียงหนักแน่น   เอ่ยมันออกมาจากใจว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ  

     

    “...”  

     

    ฮยอกแจยืนนิ่งฟัง   รู้ดีอยู่บ้างว่าฮันกยองดักรอเค้าหลายวันเพื่อเหตุผลอะไร   แต่พอได้ฟังคำๆนั้นจริงๆแล้ว   มันก็รู้สึกดี   จนทำตัวไม่ถูก

     

    “ผมไม่ได้คิดจะว่าคุณแบบนั้นเลยจริงๆ   ผมขอโทษนะ   คุณ..  อย่าร้องไห้อีกนะ   ผมไม่อยากเห็นน้ำตา..  ของคุณจริงๆ” 

     

    ฮันกยองพูดแล้วเดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก   ไม่ได้แตะต้องสัมผัสร่างกาย   แต่สื่อสารผ่านคำพูดและดวงตาว่าเค้าจริงใจและคิดอย่างที่พูดไปทุกประการ   น้ำตาของคุณ     ..ผมไม่ต้องการมัน

     

    “ยกโทษให้ผมนะฮยอกแจ   ผม..”  

     

    ฮยอกแจยืนฟังตั้งใจ   หัวใจเต้นเร็วระทึกกับสิ่งที่คิดไปว่าฮันกยองกำลังจะพูดมันออกมา   คำว่ารัก  หรือเปล่า..?

     

    “ผม...”

     

    ฮันกยองสบตาฮยอกแจอีกครั้ง   สายตาของร่างเล็กที่เค้ากำลังจับจ้องแตกต่างไปจากเดิมที่เคยเห็นนัก   มันนิ่ง   ไม่เหมือนแววตาดื้อรั้นชวนทะเลาะดังเดิม       นั่นเพราะฮยอกแจกำลังตั้งใจฟังคำกล่าวจากฮันกยอง   ตั้งใจจนลืมความเป็นตัวเองไปชั่วขณะ

     

    สายตาที่นิ่งงัน   สร้างความสับสนให้ฮันกยองจนตัวเองรู้สึกได้   มันเป็นสายตาที่เค้าไม่เคยเห็นจากฮยอกแจมาก่อน   ในตัวตนของคนๆ นี้   ยังมีสิ่งที่เค้าไม่รู้จักและไม่เคยค้นพบมัน...    อยู่อีกมากเลยสินะ

     

    ผมยัง..   รู้จักคุณไม่ดีพอเลยสินะ      แล้วถ้าเป็นแบบนี้   คุณจะอยู่กับผม    ได้นานซักเท่าไหร่กัน

     

    คำบอกรักของผม   ขอให้ผมแน่ใจก่อนนะฮยอกแจ   เพราะถ้าคุณถามผมว่าผมรักคุณจริงๆหรือเปล่าหลังจากผมสารภาพรักกับคุณ  ผมก็อยากที่จะตอบคุณได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน    

     

    น้ำตาของคุณ   ผมอยากขจัดมันไป    รอยยิ้มของคุณ   ผมอยากถนอมและสร้างมันไว้ให้มากที่สุด

     

    “เฮ่อ”   ฮันกยองถอนหายใจ  จนแล้วจนรอด   เค้าก็ยังไม่กล้าที่จะสารภาพความในใจกับคนตัวเล็กอยู่ดี   ยิ่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบของฮยอกแจนั่นก็ยิ่งทำให้เค้าไม่เป็นตัวของตัวเอง  

     

    แม้ใจจะเป็นสุขที่ได้ใกล้ชิด   แต่มันก็เต้นแรงและเร็วจนเหลือรับ      จนไม่รู้   ว่าจะควบคุมมันได้ยังไง   และไม่รู้   ว่าจะอยู่ต่อไปได้ยังไง  หากหัวใจดวงนี้   หายไป

     

    วันนี้   เค้าจะอาจจะยังไม่พร้อมที่จะจัดการกับหัวใจ    เค้าอาจจะยังไม่กล้าทำตามใจด้วยการบอกรัก   แต่ซักวัน   ไม่นานเกินอดใจรอ  ....

     

    อีกไม่นาน   คุณเป็นของผมแน่   ฮยอกแจ  ขอแค่ผมได้มั่นใจกับหัวใจ   และแน่ใจในตัวเองซะก่อน   ในวันที่ผมแน่ใจว่าผมรู้จักตัวคุณแล้วจริงๆ   ให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสักพักได้ไหม   ให้ผมได้ทำความเข้าใจกับตัวเอง   และให้ผมสามารถปกป้องดูแลคุณได้ในวันนั้น   คุณจะรอผมถึงวันนั้นมั้ยนะ

     

    ...คนอ่อนแอของผม...

     

    “ผมไปก่อนนะ”  ฮันกยองบอกลาแล้วเดินจากมาตรงนั้น   ไม่ฟังเสียงทัดทานอย่างงงๆของฮยอกแจที่ดังตามมาประมาณว่า  

     

    อะไรวะ  นึกจะมาก็มา  นึกจะไปก็ไป

     

    ฮันกยองเดินจากมาแล้ว   เค้าเดินจากมาพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะค้นหา   ใช่   เค้ากำลังจะค้นหาฮยอกแจ   เค้าต้องการเป็นใครซักคนที่รัก  เข้าใจ   และสามารถปกป้องคนรักของตัวเองได้ในทุกๆเรื่อง   ต้องการเป็นใครซักคนของฮยอกแจที่ดีพอ   รักครั้งนี้   ฮันกยองไม่ต้องการจะพบจุดจบของมัน   คนตัวเล็กปากแดงเอาแต่ใจเป็นเพียงคนแรก    ที่ทำให้เค้ารู้สึกอยากจะเข้าถึงตัวตนและทุกๆสิ่ง

     

    ผมจะเป็นคนที่คุณต้องการนะฮยอกแจ   ผมจะไม่บอกรักให้คุณต้องถามใจก่อนตอบ   แต่ผมจะทำให้คุณเชื่อใจ   เชื่อมั่น   และรักผมด้วยตัวของคุณเอง   คุณมีค่าที่สุดสำหรับผม   ผมจะเป็นคนที่ปกป้องคุณในซักวัน   เพื่อที่ทุกๆวัน   ผมจะได้ดูแลคุณตลอดไป   ..คนอ่อนแอ  ..ของผม...

     

     

     

     

    หนึ่งปีก่อน

     

    ฮันกยอง   นี่ลีฮยอกแจ  เพิ่งย้ายชมรมมาวันนี้   ฝึกให้หนักๆเลยนะ   หมอนี่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่   อ้อ  แต่ต้องดูแลด้วยนะ   พี่ชายเค้าเป็นเพื่อนชั้น   อย่าลืมล่ะ

     

    ได้ครับพี่คังอิน   ผมจะดูแลเค้าเอง   ....    นายเหรอ   ลีฮยอกแจ   ตัวกะเปี๊ยกแค่เนี๊ยจะมาเล่นเทควันโดเนี่ยนะ   เฮ่อ   สงสัยได้ฝึกกันอีกยาว

     

     

     

     

    หนึ่งปีถัดมา...

     

    ยังจำได้ดี  เสียงฝากให้ดูแลคนตัวเล็กที่เค้าเพิ่งเคยเห็นหน้า   ฮันกยองทำตามสิ่งที่รุ่นพี่ฝากฝังด้วยการใส่ใจดูแลในแบบฉบับของตน   แต่ยิ่งนานวัน   เค้าก็ลืมเลือนหน้าที่นั้น   แต่กระทำมัน   เพราะคำสั่งของหัวใจ

     

    เฮ้  นายอ่อนแอ   ลุกมาซ้อมสิ   จะสำออยไปถึงไหน

     

     

     

     

    ปัจจุบัน...

     

    ...คุณอ่อนแอมากนะฮยอกแจ    แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผม   อยากจะเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก   เพื่อปกป้องคุณ   แค่คนเดียว...

     

     

     

     

    - - - - My Sweetheart..  You’re Everything. - - - -

     

     

     

     

    วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

     

     

     

     

     

     

     

     

                                                                                                 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×