ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers : The Other Stories

    ลำดับตอนที่ #1 : โคเซฟบุกโรงเรียนเวทมนตร์ [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 568
      0
      20 มี.ค. 52

    โคเซฟบุกโรงเรียนเวทมนตร์

    [1]

     

                    กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานนี้ มีการฝึกวิชาที่ผู้กล้าแห่งรูลน์จดจำฝังใจ...

                    “เรามาที่นี่ทำไมเหรอไมอา ?” เด็กชายผมทองถามเด็กหญิง คณะของพวกเขามาหยุดอยู่หน้าซุ้มประตูศิลาใหญ่โต เหนือขึ้นไปมีป้ายขนาดใหญ่เขียนด้วยอักษรสีทองอร่ามบอกชื่อสถานที่ ซึ่งที่นี่ก็คือโรงเรียนสอนวิชาการป้องกันตัวอันดับหนึ่งแห่งรูลน์

                    “ถามได้ ก็มาฝึกวิชาไง” เด็กหญิงตอบสั้น ๆ พลางผลักบานประตูหนาเข้าไป เผยให้เห็นอาณาเขตเขียวขจีของสนามหญ้าภายใน มีอาคารร่วมสมัยขนาดกลางห้อมล้อม ตรงกลางเป็นบ่อน้ำพุประดับรูปปั้นสวยงาม ทางเดินปูอิฐสีอ่อนทอดยาวไปสู่ส่วนต่าง ๆ ภาพรวมดูแล้วไม่ต่างจากโรงเรียนคุณหนูลูกผู้ดี ไม่มีส่วนใดบ่งบอกถึงวิชาการต่อสู้แต่อย่างใด

                    โคเซฟเห็นด้วยก็ฉงนระคนโล่งใจ การฝึกวิชาที่นี่คงไม่ยากอย่างที่คิด แต่ไม่ทันไรเสียงของชายหนุ่มร่วมคณะอีกคนก็ทำลายฝันหวานของเขา

                    “นายน้อยมาผิดทางแล้วครับ ส่วนนี้ก็ส่วนของศาสตร์และวิทยาการ ถ้าจะไปสนามฝึกละก็ต้องเดินไปอีกหน่อยครับ” ธาสก้าบอก แล้วออกเดินลัดเลาะสวนสวยนำทาง

                    ไมอากล่าวขอบใจแล้วตามไป แวบหนึ่งนั้นเขาคล้ายเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าของเธอ เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกใจคอไม่ดี แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ผู้กล้าฝึกหัดได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคิดไปเอง ขณะเดินตามอยู่รั้งท้าย

                    “ปกติแล้วคนที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานของชนชั้นปกครอง จะให้เรียนแต่การสู้รบอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ที่นี่จึงมีสอนรัฐศาสตร์ การบริหารและวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไปในตัวน่ะครับ” ทหารพี่เลี้ยงอธิบายเสริมอย่างรู้หน้าที่ว่ายังไงเดี๋ยวต้องมีคนถาม “แต่กลุ่มที่มาเรียนจากด้านนี้อย่างเดียวก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน ดังนั้นพื้นที่ส่วนนี้จึงจัดไว้เป็นพิเศษ สำหรับเรียนภาคทฤษฎีโดยเฉพาะ”

                    “เข้าใจคิดดีนี่” เด็กหญิงเอ่ยชมพลางวิเคราะห์ต่อ “โรงเรียนนี่ก็ถือเป็นการต่อรองอำนาจกับชนชั้นปกครองของพวกผู้มีฝีมือสินะ”

                    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ธาสก้ารับ “ในสมัยที่ยังมีการสู้รบกันอยู่ พวกเจ้าเมืองจะรับสมัครพรรคพวก หาคนมีฝีมือเข้ามาในสังกัด และก็ใช้ฝึกลูกหลานของกองกำลังของตน แต่เดี๋ยวนี้ กลายเป็นว่าพวกนักสู้เก่ง ๆ รวมตัวกันสร้างโรงเรียนขึ้นมา ใครอยากเข้าเรียนก็คงต้องเอาใจพวกเขาบ้าง”

                    โคเซฟฟังไปก็ได้ความรู้เพิ่มเติม ที่ว่าคบคนฉลาดแล้วจะฉลาดขึ้นก็คงเป็นเพราะฟังคนพวกนี้คุยกันนี่เองสินะ... แต่เด็กชายก็ไม่อยากถูกผลักออกจากวงสนทนา จึงเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

                    “แล้วทำไมธาสก้าจึงรู้ทางในนี้ดีจัง เคยเรียนที่นี่มาก่อนเหรอ ?”

                    “เปล่าหรอกครับ โรงเรียนนี้เพิ่งก่อตั้งมาสิบกว่าปี ช่วงแรก ๆ ก็ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักด้วย ที่ผมรู้เส้นทางดี เพราะเคยมาที่นี่บ่อย ๆ ครับ”

                    “เหรอ...” โคเซฟครุ่นคิดต่อ ธาสก้าเป็นทหารในหน่วยพิเศษของอาวีเนียส หน่วยที่สร้างขึ้นเพื่อรับมือนักเวทโดยเฉพาะ อาจจะเคยมาฝึกฝนที่นี่บ้างก็ได้ นักเรียนเวทของที่นี่ก็มีอยู่เยอะพอสมควร...

                    ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็หยุดเดิน พร้อมกล่าว “ถึงสนามฝึกแล้วครับ”

                    มองจากมุมนี้ พวกเขาเห็นเพียงสิ่งก่อสร้างทรงกระบอกรัศมีกว้าง ที่ไม่สูงนัก มีช่องระบายอากาศเรียงเป็นวงแหวนสูงขึ้นไป ประตูทางเข้าจากหลายทิศทางอยู่ห่าง ๆ กัน ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอจะคาดเดาลักษณะภายในของสถานที่นี้ได้แล้ว มันไม่ใช่สนามฝึกทั่วไปเหมือนที่เขาใช้ฝึกเป็นประจำที่พระราชวัง แต่เป็นลานประลองที่มีอัฒจันทร์ถาวรล้อมรอบทุกด้าน ยิ่งใหญ่ว่าสนามประลองทุกแห่งที่เขาเคยไปวาดฝีมือเสียอีก

                    เด็กชายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ตั้งสติก่อนถาม “ธาสก้า แน่ใจนะว่าไม่ผิดที่ นี่มันลานประลองชัด ๆ ใช่สนามฝึกเสียที่ไหน”

                    “ไม่ผิดแน่ครับ” นายทหารรับรองแข็งขัน “พวกนักเรียนก็ใช้ที่นี่เป็นสนามฝึกกัน ที่สร้างไว้ใหญ่ก็เพราะว่าโรงเรียนมองการณ์ไกล สร้างเผื่ออนาคต”

                    “แต่ว่าไม่เห็นมีคนอื่นมาเลยนะครับ” โคเซฟพยายามหาเหตุผล

                    “ที่ยังไม่มีคนอื่นน่ะ เพราะพวกเรามาก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง” ไมอาตอบบ้าง “และครึ่งชั่วโมงนี้ ฉันก็จะใช้เตรียมตัวให้นายพร้อม ดังนั้นขั้นแรกก็เลิกทำตัวอ่อนแอเหมือนคนขี้ขลาดได้แล้ว” ว่าจบเธอก็ผลักเขาเข้าโถงประตู และลากเข้าห้องเก็บตัวทันที ไม่ปล่อยให้ท่านผู้กล้าได้ร้องสักแอะ

                    หลังจากเข้ามาอยู่ในห้องโดยไม่รู้ตัวเรียบร้อย โคเซฟค่อยสบโอกาสพูดอีกครั้ง เขาจึงถามเด็กหญิงว่าต้องเตรียมตัวด้วยหรือ เพราะทุกทีที่เขาไปประลองตามเมืองต่าง ๆ ก็ไม่เห็นมีการซักซ้อมอะไรเป็นพิเศษ นอกจากคำขู่ว่าต้องแพ้กลับมาจะต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายแค่ไหนเท่านั้น

                    “ก่อนอื่น นายต้องเข้าใจก่อนว่า การฝึกครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนการประลองที่ผ่าน ๆ มา เพราะคู่ต่อสู้ของนายก็เป็นนักเรียนของพวกอาจารย์ที่ฝึกสอนนายแทบทั้งนั้น แน่นอนว่าเด็กพวกนี้ใช้เวทเป็นด้วย” ไมอาเริ่มต้นอธิบาย

                    “เด็กหรือ ?” โคเซฟอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะต้องปะมือกับนักเรียนระดับชั้นไหน

                    “ก็ไม่เด็กขนาดนั้นหรอก ก็อายุมากกว่านายสองสามปีได้แหละ” ไมอาตอบพลางหันไปค้นของออกจากกระเป๋า

                    อายุมากกว่าฉันก็หมายความว่าอายุมากกว่าเธอด้วยไม่ใช่เหรอ ?... โคเซฟได้แต่เถียงในห้วงคำนึง เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ค่อยเข้าใจวิธีคำนวณอายุของสหายจากต่างมิติของเขานัก

                    “อย่างนั้นก็แสดงว่าฉันใช้เวทได้ด้วยน่ะสิ” เด็กชายเปลี่ยนไปถามอีกเรื่องแทน

                    “ใช่แล้ว... และนายต้องเอาไอ้นี่ไปใส่ด้วย” เด็กหญิงหยิบกองผ้าสีดำขึ้นมาจากกระเป๋ามหัศจรรย์ของเธอ แล้วโยนมาให้เขา โคเซฟรับมาถือไว้โดยอัตโนมัติ กางออกดูก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าสีดำล้วน มีทั้งรองเท้าและถุงมือขนาดใหญ่ปิดมิดทุกส่วน สวมแล้วคงเหลือแต่ศีรษะที่โผล่พ้นร่มผ้า

                    “ฉันต้องใส่ชุดนี้ด้วยหรือ ?” ผู้กล้านึกขยาด สภาพตนตอนแต่งชุดนี้คงไม่ต่างจากโจรผู้ร้าย

                    “น่า ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ นี่ยังไม่แย่นักหรอก เดี๋ยวฉันจะอธิบายเหตุผลให้ฟัง” ขณะกล่าวตอบไมอาก็ยังคงง่วนกับการค้นหาของในเป้อยู่ ท่าทางการเตรียมตัวให้เขาคงยังไม่หมดแค่นี้

                    โคเซฟไม่รู้จะทำยังไง นอกจากทำใจยอมรับ เด็กชายเดินเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุดตามคำสั่ง ...ที่จริงเขาน่าจะชินกับมันได้แล้ว การฝึกวิชาและต่อสู้ตามคำสั่งของเด็กหญิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าไม่นับที่เธอชอบหาเรื่องมาแกล้งเขา คิดถึงเรื่องแกล้งแล้ว... รอยยิ้มปีศาจของไมอาที่เห็นอยู่ครู่หนึ่งก็แวบขึ้นมาทันที สังหรณ์ว่าต้องมีอะไรไม่ดีแน่ ๆ ... จะว่าไปเขาก็ไม่เคยเห็นไมอาค้นหาในกระเป๋ามาก่อน ปกติเธออยากได้อะไร แค่เอื้อมมือไปข้างหลังเท่านั้น สิ่งนั้นก็มักจะปรากฏขึ้นมาในมือเธอนี่นา ท่าทางที่ค้นของนั้นก็ดูลุกลี้ลุกลน เหมือนต้องการไล่ให้เขาไปเปลี่ยนชุดเร็ว ๆ ...

                    คิดเพียงเท่านี้ เด็กชายก็เปลี่ยนชุดเสร็จพอดี เขามองภาพสะท้อนของตนในกระจก มันดูไม่เลวร้ายอย่างที่เขาคิดไว้ ชุดมีขนาดพอตัวและก็ดูสมบุกสมบันดี เขาจำได้ว่านักสู้หลายคนก็นิยมแต่งโทนสีนี้เช่นกัน เพียงแต่ชุดดำมืดเช่นนี้ไม่ค่อยเข้ากับผมสีทองของเขาเท่านั้น

                    ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด... โคเซฟตัดสินใจละความคิดเมื่อครู่ ปล่อยสมองให้ปลอดโปร่ง เปิดประตูห้องและก้าวออกไปเผชิญหน้ากับความจริง...

                    ฟืบ...

                    เด็กชายรู้สึกโลกมืดไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเห็นภาพชัดเจนอีกครั้ง... เด็กหญิงยื่นมือทั้งสองมากดบ่าของเขา ใบหน้าของเธอกำลังยิ้มแฉ่ง ครึ่งหนึ่งคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ

                    “ดูดีเหมือนกันนี่” เสียงอื้อ ๆ ของเธอลอยเข้ามากระทบหูของเขา

                    อะไรที่ต้องเกิดนั่นอุบัติขึ้นแล้วแน่ ๆ โคเซฟรับรู้ถึงความผิดปกติทันที เด็กชายลองเอามือจับหน้าตัวเอง... เขาไม่รู้สึกถึงสัมผัสนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาสวมถุงมืออยู่ด้วย เนื่องจากที่ใบหน้าของเขาก็ไร้ความรู้สึกเช่นกัน... เขาหันกลับไปมองในกระจก พบว่ามีผู้ร้ายชุดดำใส่ผ้าคลุมหน้าเป็นไอ้โม่งยืนอยู่กับเด็กหญิง... และนั่นก็คือตัวเขาเอง

                    โคเซฟเดินเข้าใกล้กระจก เพื่อมองให้เห็นชัด ๆ ที่บริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาของถุงคลุมหน้านี้มีกระบอกแก้วสีดำนูนขึ้นมา นี่เองที่ทำให้เขามองเห็นได้ แต่คนอื่นก็คงไม่มีสิทธิ์มองเห็นนัยน์ตาของเขา บริเวณปากก็มีตะแกรงโลหะช่องเล็กละเอียดแผ่นกลมปิดไว้ สภาพของเขาตอนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าภาพโจรโฉดที่เขาเคยคิดไว้เสียอีก เด็กชายพยายามดึงถุงคลุมออกจากศีรษะแล้วก็ดึงไม่ออก คาดว่าตอนนี้ไมอากดบ่าเขาไว้ต้องมีลูกเล่นอะไรสักอย่าง ไม่ก็ทากาวชนิดทนทานถาวรติดไว้แน่

                    “ไมอา เธอเล่นอะไรอีกนี่ !?” โคเซฟประท้วง พลางไม่ลดความพยายามปลดเปลื้องถุงอาถรรพณ์ เขาได้ยินเสียงตัวเองก้องอยู่ในหัว ประสานกับเสียงหัวเราะอื้ออึงจากตัวต้นเรื่อง

                    “ที่ฉันทำนี่ก็เพื่อป้องกันนายนะ” เด็กหญิงส่งยิ้มหวานให้ หลังหัวเราะให้กับการกระทำอันไร้ผลของเขาจนพอใจ

                    “ป้องกันฉันจากอะไรมิทราบ !? ที่แน่ ๆ มันจะทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนไม่ดี”

                    “พวกนักเรียนที่นี่เป็นลูกหลานชนชั้นปกครองนี่นา พวกนี้มักจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นธรรมดา ถ้านายเอาชนะพวกนั้นนะ อาจจะทำให้พวกนั้นโกรธที่ไม่ได้ดั่งใจหวัง จนหาเรื่องส่งคนมาทำร้ายนายหรือครอบครัวนายในภายหลังก็ได้ นายก็เคยบอกนี่ว่า ชาวจินน์ก็มาเรียนที่นี่เยอะ” ไมอาอธิบายเจื้อยแจ้ว “อีกอย่าง ถ้าเด็กพวกนั้นรู้ว่าอาจารย์ของพวกเขาต้องปลีกเวลาสอนมาฝึกวิชาให้นายคนเดียว ก็อาจเกิดอิจฉาขึ้นได้ ตัวตนของนายเลยต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้”

                    “ก็ใช่นะ...” โคเซฟฟังไปก็พบว่ามีเหตุผล เด็กชายเลิกล้มความคิดที่จะเอาถุงบ้าออกจากหัว หันมาเจรจาแทน “...แต่เธอก็ให้ฉันปลอมตัวเป็นอะไรอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ก็ได้นี่ อย่างนี้มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ”

                    “แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ฉันตกลงกับพวกอาจารย์ไว้นะ” ไมอาโต้

                    “แผนอะไรอีกล่ะ ?” โคเซฟยังไม่ไว้ใจ ถ้าเป็นแผนที่ไมอามีส่วนร่วมด้วยละก็ ถึงจะมีอาจารย์กี่คนร่วมด้วยก็ตาม แผนนั้นย่อมไม่ปลอดภัยสำหรับเขา

                    “การประลองครั้งนี้ สำหรับนายอาจจะเป็นเพียงการฝึกทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนที่นี่คือการสอบเก็บคะแนน พวกอาจารย์ก็อยากให้นักเรียนแสดงความสามารถเต็มที่ ถ้านายแสดงตัวเป็นคนดีออกไป เป็นเด็กอายุน้อยกว่าออกไป พวกนักเรียนอาจจะใจอ่อนก็ได้ ดังนั้นฉันเลยต้องให้นายแต่งตัวแบบนี้ -- แล้วก็อย่าคิดจะอ่อนข้อให้เด็กพวกนั้นได้คะแนนดีละ การสอบต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม ถึงพวกนั้นแพ้ก็ยังมีสิทธิ์ได้คะแนนเต็ม อาจารย์ประเมินเอาจากพัฒนาการน่ะ ในทางกลับกันถ้านายแพ้จริงก็ยิ่งเสียชื่ออาจารย์เข้าไปใหญ่ นายได้รับการฝึกพิเศษกว่านักเรียนที่นี่ทุกคนเลยรู้ไหม ?”

                    โคเซฟฟังเหตุผลทั้งหมดที่ยกมาเป็นข้ออ้างให้เขาสวมถุงประหลาดนี่ก็จนปัญญา แม้อยากแย้งก็ไม่มีเหตุผลสนับสนุน ต้องพ่ายแพ้ไมอาอีกตามเคย

                    “ชุดนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างด้วย” ไมอาเสริมขึ้นพร้อมรอยยิ้มมีชัย หลังเห็นโคเซฟคอตกยอมจำนน

                    “อะไรอีกล่ะ ? มันทำให้ฉันหายตัวในความมืดได้หรือ ?” เด็กชายถามประชดกลับ ตอนนี้เขาดำไปหมดทั้งตัว แม้แต่ผมสีทองยุ่งเหยิงของเขาก็ไม่เล็ดลอดออกมาจากถุงคลุม

                    ไมอาหัวเราะคิกคักเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่มันน่าจะช่วยให้นายชนะการประลองได้ เพราะที่หน้ากากของนายมีอุปกรณ์สื่อสารติดตั้งอยู่ ฉันจะบอกข้อมูลคู่ต่อสู้ให้นายทราบ” เด็กหญิงชูปึกกระดาษขึ้นมาให้ดู “ข้อมูลพวกนี้ฉันให้ธาสก้ารวบรวมมาให้”

                    โคเซฟทราบแล้วว่าทำไมธาสก้าจึงนำทางมาที่นี่ได้ดีนัก... คิดแล้วก็น่าแค้น ทุกคนเป็นพวกไมอาหมดเลย...

                    “ไหนเธอบอกว่าการสอบจะเป็นไปอย่างยุติธรรมไง ? อย่างนี้ไม่ใช่ว่าโกงกันหรอกหรือ ?” เด็กชายยังมีศักดิ์ศรีแห่งผู้กล้าอยู่ เขาไม่อยากเอาเปรียบใคร

                    “ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อไม่ให้นายเสียเปรียบนะ นายต้องสู้กับคู่ต่อสู้ตั้งหลายคน แต่ละคนก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้นด้วย นานเข้าพวกนั้นก็คงจะพอจะจับทางนายได้ ขณะที่นายจะเหนื่อยล้าอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ คู่ต่อสู้ของนายจะยังสดใหม่ ถ้านายทราบข้อมูลของคู่ต่อสู้ก็จะเสมอภาคเท่าเทียมกันไง”

                    “แล้วฉันต้องสู้กับคู่ต่อสู้กี่คนล่ะนี่ ?” โคเซฟชักสงสัย “เธอคงไม่ได้จะให้ฉันสู้กับนักเรียนทั้งโรงเรียนหรอกนะ” เด็กชายพยายามกะจำนวนคนจากความหนาของปึกกระดาษ ถ้าข้อมูลหนึ่งหน้าต่อหนึ่งคนละก็ เขาคงหมดแรงตายก่อนสู้จบแน่

                    ไมอายิ้มกริ่ม “ฉันไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก นายก็แค่ต้องสู้กับนักเรียนห้องเดียวเท่านั้น ห้องหนึ่งก็แค่แปดคนเอง”

                    โคเซฟได้ยินค่อยสบายใจขึ้น แต่ไม่ทันไร เด็กหญิงก็เฉลยให้ฟังต่อว่า ห้องที่เธอเลือกมาเป็นห้องที่อาจารย์บอกว่ามีทั้งระดับหัวกะทิและพวกเหลือขอไม่ยอมใครมารวมตัวกัน จัดว่าเป็นห้องเก่งที่สุด

                    ระดับหัวกะทินี่พอเข้าใจอยู่ แต่ว่าพวกเหลือขอนี่มันยังไงกัน ทำไมถึงมาอยู่ห้องเก่งได้ล่ะ ? ... เด็กหนุ่มไม่ทันจะถามข้อสงสัย ไมอาก็ยื่นอาวุธที่จะใช้ในการฝึกครั้งนี้ให้เขาเสียแล้ว

                    “คราวนี้เป็นกริชต้องสาปจากแดนไกลที่ชื่อเรียกยากจนขี้เกียจจำ” เธอบอก ขณะเขาชักมีดยาวมีคมหยักโค้งสองด้านออกมาดู ใบมีดนั้นเป็นสีดำสนิทเข้ากับชุดจนชวนขุนลุก

                    “ทำไมถึงเรียกกริชต้องสาปล่ะ ?”

                    “ไม่รู้สิ เรียกให้ขลัง ๆ มั้ง ฉันลองใช้ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่คมกริบดีทีเดียว อาวีเนียสเป็นคนหามาให้ คงไว้ใจได้แหละ นักบวชนอกรีตนั่นคงไม่คิดทำร้ายผู้กล้าคนสำคัญของอาณาจักรหรอก”

                    โคเซฟยังไม่ตัดสินใจเลือกอาวุธประจำกายของผู้กล้า การต่อสู้แต่ละครั้งเขาจึงผลัดเปลี่ยนไปใช้อาวุธต่าง ๆ ดู เพื่อหาชิ้นที่เหมาะสมที่สุด

                    “เธอคงไม่ได้กริชนี้มาเพราะสีของมันหรอกนะ”

                    รอยยิ้มปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเยาว์วัยอีกครั้ง ก่อนเด็กหญิงจะตอบว่า มันก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

                    สุดท้ายเวลาเตรียมตัวก็หมดไปกับการแต่งตัว เลือกอาวุธ และอธิบายเหตุผลแก่ผู้กล้า หากโคเซฟหารู้ไม่ว่า แผนการกลั่นแกล้งที่ไมอาเตรียมไว้ให้เขายังไม่หมดเพียงเท่านี้...

    ----------------------

                    ณ ลานประลองของโรงเรียนสอนวิชาการป้องกันตัวอันดับหนึ่งแห่งรูลน์ อัฒจันทร์ทุกสารทิศคับคั่งไปด้วยผู้คน พวกเขาเหล่านี้ย่อมเป็นนักเรียนที่หมายมารับชมการสอบของเพื่อนร่วมสถาบัน ด้วยเหตุที่ว่าห้องที่จะสอบนั้นเป็นห้องที่ได้รับขนานนามว่าเก่งกาจที่สุด และทุกคนในห้องนี้ล้วนแต่มีหน้าตาโสภาหล่อเหลา เป็นที่ชื่นชอบของทั้งนักเรียนชายและนักเรียนหญิงทั่วโรงเรียน

                    โคเซฟในชุดดำทะมึนทั้งตัวก้าวเข้ามาในสนามพร้อมเสียงโห่ต้อนรับ ...ไหนว่าเป็นโรงเรียนคุณหนูลูกผู้ดีไง ทำไมรับแขกอย่างนี้กัน ?... เด็กชายบ่นอยู่ในใจเพราะทราบดีว่าตนเป็นฝ่ายเยือนย่อมอยู่ในฐานะด้อยกว่า เด็กหญิงก็บอกเขาไว้แล้วด้วยว่า เสียงของเขาจะส่งถึงเธอคนเดียว พูดไปคนอื่นก็ไม่ได้ยิน มีแต่ดังก้องหูเปล่า ๆ สรุปแล้วเขาสามารถสื่อสารกับเธอได้เท่านั้น

                    “อาจารย์ครับ คู่ต่อสู้ในการสอบของพวกเราคือไอ้โม่งชุดดำนั่นหรือครับ ?” เสียงจากอีกฟากสนามดังขึ้นมาให้ได้ยินเต็มสองหู สื่อเจตนาการชัดเจนว่าตั้งใจหยามคู่ต่อสู้ โคเซฟมองไปเห็นนิ้วชี้เรียวยาวของเด็กหนุ่มผมขาวชี้ที่เขา

                    “ครูสอนเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า การประเมินคู่ต่อสู้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวเป็นสิ่งผิด อย่าดูถูกคู่ต่อสู้คนนี้ ครูว่าเขาเก่งว่าเธอนะ ซีท” อาจารย์เตือนพร้อมส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม

                    “แต่ผมก็ไม่คิดอย่างนั้น หมอนั่นก็แค่ไอ้กระจอก แถมตัวยังเล็กกว่าผมด้วย ผมสามารถจัดการมันได้ในพริบตา อ้อ ถ้าครั้งนี้พลั้งมือถึงแก่ชีวิต อาจารย์คงไม่ทำทัณฑ์บนผมอีกใช่ไหมครับ ?” ซีทถามด้วยเสียงเย็นเยียบ พร้อมหยิบใบมีดเรียวแหลม อาวุธประจำกายขึ้นมาเตรียม

                    “เอาสิ ครั้งนี้ครูจะไม่ทำโทษ จะให้เพิ่มคะแนนให้ด้วยถ้าเธอเอาชนะเขาได้” สีหน้าของอาจารย์เปี่ยมความมั่นใจ อากัปนั้นทำให้เด็กหนุ่มนามซีทชะงักไปชั่วขณะ ...ครั้งก่อนอาจารย์ยังบอกกฎไว้เข้มงวด ลงโทษหนักถ้าทำคู่ต่อสู้ถึงแก่ชีวิต แต่ครั้งนี้ ทำไมถึงเชื่อมั่นว่าเขาไม่มีทางเอาชนะได้ขนาดนั้น ไม่หรอก เขาไม่มีทางแพ้ ไม่งั้นก็เสียฉายานักฆ่าพริบตาหมดสิ...

                    ซีทเอาผ้ามาพันอาวุธปลายแหลมของเขาไว้กับลำแขนท่อนล่างอย่างแน่นหนา ดวงตาสีม่วงทับทิมของเขาปรากฏรังสีฆ่าฟันอำมหิต “แล้วผมจะชนะให้ดู” เขาประกาศพร้อมย่างสามขุมเข้าไปในสนามอย่างองอาจ เสียงเชียร์เรียกชื่อเขาดังกระหึ่มจากทุกสารทิศ แน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากนักเรียนหญิง

                    “ซีทเอาจริงแล้วแฮะ” เพื่อนร่วมห้องที่ขอบสนามเริ่มบทสนทนา

                    “เจ้าชุดดำนั่นน่าสงสาร ท่าทางจะไม่รอด” อีกคนสำทับ

                    “แย่จัง อย่างนี้พวกเราก็ไม่ได้สอบสักทีสิ หมอนั่นเล่นฆ่าคู่ต่อสู้ทุกคนหมดอย่างนี้”

                    “นั่นสิ -- เฮ้ ~ เหลือไว้ให้พวกเราได้สนุกบ้างนะ ซีท” เพื่อนคนแรกป้องปากตะโกนไป หากแต่เด็กหนุ่มในสนามหาได้ตอบรับ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่คู่ต่อสู้เพียงอย่างเดียว

                    โคเซฟที่ตกเป็นเป้าสายตาเปี่ยมรังสีเข่นฆ่าคู่นั้นเริ่มตระหนก เขากระชับอาวุธในมือแน่น พร้อมถามข้อมูลจากเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างสนาม คราวนี้เสียงของไมอาดังกระทบโสตประสาทอย่างชัดทุกถ้อยคำ ไม่อื้ออึงอย่างแต่ก่อน เธอว่า

                    “เจ้าผมขาวนั่นชื่อ ซีท เป็นทายาทตระกูลมือสังหาร ฉายานักฆ่าพริบตา ที่มามาจากความสามารถพิเศษของหมอนี่คือ ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา อาวุธหลักเป็นคาร์ต้าที่แขนขวา มีทักษะอาวุธลับ ยาพิษ และเวทสายฟ้าของสายภายใน นอกจากนี้ยังมีความผิดติดตัว โทษฐานทำร้ายคู่ต่อสู้ในการสอบครั้งก่อนถึงแก่ชีวิต ทั้งที่มีกฎห้ามไว้แล้ว”

                    “นักฆ่ามันเป็นอาชีพที่ผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ ? ทำไมถึงมาอยู่ในโรงเรียนได้ล่ะ ?” โคเซฟหักห้ามความสนเท่ห์ไม่ได้

                    “เรื่องบางเรื่องก็เจรจาตกลงกันด้วยสันติวิธีไม่ได้ อาชีพด้านมืดพวกนี้ก็มีบ้างแหละน่า -- แต่นายเป็นผู้กล้าก็ควรจะขัดแย้งกับวิธีการของคนพวกนี้เป็นธรรมดานี่นะ -- เอาเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งใส่ใจเลย การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว” ไมอารีบจบบทสนทนาเพื่อไม่เป็นการรบกวนสมาธิของเด็กชาย

                    โคเซฟกำลังจะบอกว่าเขาไม่คิดแย้งเรื่องนั้น สงสัยประเด็นอื่นต่างหาก ทว่าเมื่อไมอาพูดจบ กรรมการภาคสนามก็ให้สัญญาณเริ่มการประลอง ร่างของเด็กหนุ่มผมขาวหายแวบไปจากคลองจักษุดุจเงาภูตพราย ไม่ทันไรก็เข้ามาประชิดตัวเขาแล้ว แต่ปฏิกิริยาของผู้กล้ายังไวกว่า เด็กชายเงื้อกริชขึ้นมาต้านอาวุธสังหารได้ทันท่วงที หากผู้ชมยังไม่ทันได้พักหายใจ นักฆ่าพริบตาก็ลงมือต่อเนื่อง จ้วงหมัดใส่ลำตัวด้านขวาที่เปิดโล่งอยู่ของคู่ต่อสู้เต็มกำลัง โคเซฟก็ยังเกร็งกล้ามเนื้อรับเอาไว้ได้

                    “รับมีดและหมัดของฉันได้ เก่งกว่าที่คิดนี่ แต่ว่านายเสร็จฉันแล้วละ” ซีทประกาศชัยชนะขณะยังค้างอยู่ในท่านั้น เขาควบคุมเวทสายฟ้าให้ไหลไปตามแขนซ้ายเข้าสู่ร่างคนชุดดำ แต่ผ่านไปนานสองนานแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาก็ยังไม่ล้มไปอย่างที่คาดการณ์ไว้

                    ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังก้องมาจากตะแกรงโลหะบริเวณปากของคนชุดดำ พร้อมถ้อยคำโอหังตามมาว่า “เจ้าเด็กไม่ปากสิ้นกลิ่นน้ำนม คิดว่าแค่นี้จะเอาชนะข้าได้หรือ กลับไปฝึกมาอีกร้อยปีไป”

                    เด็กหนุ่มได้ยินสำนวนการพูดโบราณของคู่ต่อสู้แล้วก็กระโดดถอยห่างออกไป ...อะไรกัน ทั้งที่เราถ่ายทอดกระแสไฟฟ้าใส่เจ้านี่ไปแล้ว แต่มันกลับไม่สะทกสะท้าน ไม่แม้แต่จะกระตุก... ซีทหารู้ไม่ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวในสนามที่ตกใจ คู่ต่อสู้ของเขาก็เช่นกัน... โคเซฟที่ต้านกระแสไฟฟ้าไว้ด้วยเกราะธาตุดินรีบถามไมอาถึงที่มาของเสียงประหลาดทันที

                    “ไมอา นั่นฝีมือเธอใช่ไหม ?”

                    หากแต่เด็กหญิงก็ไม่ตอบ กลับได้ยินเสียงประหลาดจากถุงอาถรรพณ์ดังมาอีกครั้งว่า

                    “เข้ามาเลยเจ้าหนู ฉายาเจ้าคือนักฆ่าพริบตาไม่ใช่หรือ ข้าเห็นเจ้ากะพริบตาตั้งยี่สิบกว่าครั้งแล้ว ยังทำอะไรข้าไม่ได้เลย อย่าทำเป็นเล่นไป เอาจริงดีกว่าน่า”

                    “เธอจะไปยั่วเจ้าหมอนั่นทำไมกัน !?” เด็กชายโวยเสียงดัง น่าเศร้าที่ไม่มีใครรับรู้ เด็กหญิงหนึ่งเดียวที่ได้ยินก็ไม่ใส่ใจ เสียงปริศนายังคงดังต่อไป

                    “พวกเจ้าก็แค่เด็กอวดดี อาศัยบารมีพ่อแม่ เห็นว่าเก่งกาจนักหนา เป็นห้องรวมยอดขุนพลไม่ใช่หรือ นี่ก็แค่ระดับข้างถนนเอง”

                    สิ้นวาจานั้น เสียงโห่ขับไล่ก็กระหึ่มมาจากรอบด้าน เสียงเชียร์ท่านซีท นักฆ่าพริบตาก็ยิ่งกึกก้อง ความร้อนระอุของการต่อสู้เดือดขึ้นมาอีกขั้นสมใจคนก่อการ โคเซฟมองไปอีกทีก็พบว่าเด็กหญิงหายตัวไปจากข้างสนามแล้ว แม้แต่ธาสก้าก็ไม่อยู่ด้วย

                    เด็กหนุ่มผมขาวไม่อดทนต่อคำท้า บุกเข้าอีกครั้งอย่างว่องไว ปลายมีดแหลมที่แขนขวาจ่อจี้ไปที่ลำคอภายใต้ถุงคลุมหน้า หากกริชทมิฬก็ต้านรับไว้ได้อีกระลอก นักฆ่าพริบตายังไม่สิ้นฤทธิ์ซัดเข็มพิษออกจากฝ่ามือซ้าย ...ปกติเขาไม่คิดจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ เจ้านี่มายั่วเขาก่อนเอง งานของนักฆ่าก็คือฆ่าเท่านั้น กลวิธีไม่เกี่ยงอยู่แล้ว เพียงสำเร็จลุล่วงก็พอ... แต่ใครเลยจะคาดคิดว่าคู่ต่อสู้ปริศนาจะเอี้ยวตัวหลบลงคลุกกับพื้น ถอนกริชจากคาร์ต้าของเขาออกมากันบังเข็มเงินที่พุ่งใส่ พร้อมกันนั้นก็ใช้ขาฟาดเข้าใส่ช่วงล่างของนักฆ่าให้เสียการทรงตัว พลาดโอกาสโจมตีซ้ำ กิริยาทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยความหมดจดของท่าร่าง สมดุลร่างกายอันยอดเยี่ยม และปฏิภาณที่เฉียบแหลมยิ่ง

                    “คมมาก !” เพื่อนร่วมห้องที่จับตาดูอยู่อดเอ่ยชมไม่ได้ “ท่าอย่างนั้นนายทำได้หรือเปล่า ? แนส”

                    “ไม่ไหวมั้ง การเคลื่อนไหวแบบนั้นคงต้องฝึกอีกนานกว่าจะทำได้” เด็กหนุ่มที่เพื่อนเรียกว่าแนสแลบลิ้นตอบอย่างขี้เล่น

                    “แต่ว่า... ลีลาลักษณะนี้ มันคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อน...” เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้วยพึมพำเบา ๆ แต่เสียงนั้นก็ไม่เล็ดลอดไปจากโสตประสาทที่ลับมาอย่างดีของผองเพื่อน

                    “เคยเห็นที่ไหนเหรอโมนา ? ถ้าเธอจำได้พวกเราอาจจะรู้จุดอ่อนของไอ้โม่งนั่นและช่วยเจ้าซีทได้ก็ได้นะ”

                    “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ... แม้ลีลาจะคล้าย แต่ลักษณะการพูดจาไม่น่าจะใช่นิสัยของคนคนนั้น” เด็กสาวเอามือจับปลายคางอย่างครุ่นคิด เธอยังไม่กล้าชี้ชัด

                    “...ซีทกำลังจะแพ้” เด็กหนุ่มอีกคนเอ่ย เสียงเรียบที่น้อยครั้งจะแว่วให้ได้ยินเรียกให้เพื่อนที่มัวแต่สนทนากันรีบหันกลับไปสนใจการต่อสู้...

                    เสียงหัวเราะชั่วร้ายไม่ผิดไปจากจอมมารในจินตนาการก้องกังวานไปทั่ว ขณะที่คนชุดดำกำลังรุกไล่เด็กหนุ่มผมขาวไปทั่วสนาม ปกติแล้วนักฆ่ามักจะถนัดชิงลงมือ อาศัยความเร็วและจังหวะที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว ออกอาวุธสังหาร กุมความได้เปรียบไว้ตั้งแต่ต้น ทว่าพอยิ่งสู้นานเข้า โคเซฟก็ป้องกันตัวเองจากอาวุธของซีทได้หมด และเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกบ้างแทน นักฆ่าที่ไม่เคยผิดพลาดและโดนตอบกลับหนักขนาดนี้มาก่อนย่อมเสียกระบวนเป็นธรรมดา

                    “เจ้าจนมุมแล้วละ เจ้าหนู ยอมแพ้แต่ตอนนี้จะดีกว่า หรือว่าอยากอับอายยิ่งกว่านี้ ?” เสียงห้าวดั่งบุรุษฉกรรจ์ดังออกมาจากตะแกรงเหล็กของถุงคลุมหน้า ขณะเดียวกันคมกริชสีนิลที่เลื่อนมาพาดอยู่ที่ลำคอขาวของหนุ่มนักฆ่า...

                    โคเซฟไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมเขาถึงต้องเคลื่อนไหวตามคำพูดของไมอาด้วย เขาคิดว่าเธอคงคาดเดาวิธีที่เขาจะใช้รับมือคู่ต่อสู้ไว้ล่วงหน้า จนสามารถเลือกคำพูดที่เข้ากับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ เสียงลึกลับนั้นไม่ได้ชี้นำเขา แต่มันตรงกับที่เขาคิดไว้ต่างหาก ...ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่างมันปะไร เขาควรจะรีบจบการประลองงี่เง่านี่ ก่อนที่จะโดนเหล่านักเรียนรุมประชาทัณฑ์ด้วยความผิดที่เขาไม่ได้ก่อแต่อย่างใด...

                    “ฆ่าฉันเลยสิ” เด็กหนุ่มผู้จนตรอกท้า

                    “คิดว่าความตายจบปัญหาได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือเจ้าหนู หัดเรียนรู้ความพ่ายแพ้เสียบ้าง ไม่มีใครเป็นผู้ชนะตลอดกาลหรอก”

                    “อย่างนั้นก็บอกชื่อนายมา ฉันจะได้จำไว้ว่าต้องไปแก้แค้นกับใคร” ซีทคิดผูกอาฆาต

                    “ใจเด็ดเหมือนกันนะเจ้าหนู แต่เรื่องอะไรข้าจะต้องประกาศนามอันยิ่งใหญ่ของข้าด้วยเล่า แพ้แล้วก็ยอมรับเสียเถอะ”

                    เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด ...เขายังเหลืออาวุธลับอีกหนึ่งอย่าง แค่รอให้ไอ้โม่งนี่เผลอเท่านั้น แต่ทำไมล่ะ ทำไมกัน ทั้งที่มันสู้ไปด้วย หัวเราะบ้าบอและพูดยั่วเขาไปด้วย มันก็ยังไม่เสียสมาธิที่เปิดช่องโหว่ให้เห็นเลย เหมือนมันสู้ได้สบาย ๆ แบ่งแยกสมองสำหรับพูดและต่อสู้ได้ขาดออกจากกันอย่างนั้น...

                    “ฉันยอมแพ้” ซีทประกาศในท้ายที่สุด จนแล้วจนรอด ไอ้โม่งก็ไม่ยอมลดระดับการป้องกันตัวลง ขนาดแกล้งชวนคุยให้ไขว้เขวขนาดนั้นแล้ว

                    สิ้นคำนั้น เสียงหัวเราะปีศาจก็กังวานดังรับชัยชนะ กลบเสียงโห่ไล่ของเหล่านักเรียนที่อัฒจันทร์ และเสียงกรี๊ดกร๊าดโศกเศร้าไปกับความแพ้พ่ายของท่านซีทเสียหมด โคเซฟแม้จะได้รับชัยชนะกลับรู้สึกไม่ต่างจากเป็นผู้แพ้ ฝูงชนยังคงนิยมนักฆ่าพริบตามากกว่าไอ้โม่งชุดดำอยู่ดี และเขาก็ต้องตกเป็นเครื่องเล่นของไมอาอีกตามเคย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ละนะ

                    “ซีท นายจบการประลองได้เท่มากเลยรู้ไหม ?” เพื่อนร่วมห้องเข้ามาตบไหล่ให้กำลังใจ

                    “ฉันเพิ่งเคยเห็นนายแพ้ครั้งแรกนี่แหละ” แนสว่า พลางส่งน้ำดื่มให้ เด็กหนุ่มก็รับมา

                    “คุณซีทคะ แวะไปทำแผลที่ห้องพยายามก่อนดีไหมคะ ?” เสียงหวานของเด็กสาวถามด้วยความห่วงใย

                    “ไม่ละ ฉันขอนั่งดู ไอ้โม่งนั่นประลองต่อไปดีกว่า จะได้หาจุดอ่อนของมัน” เด็กหนุ่มผมขาวว่าพลางทรุดนั่งลง แล้วเทน้ำราดหัวตัวเองบรรเทาอารมณ์ ก่อนจะสะบัดน้ำออกจากผมที่ยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้กระเจิงเข้าไปอีก คนรอบข้างที่โดนลูกหลงน้ำกระเซ็นใส่เข้าก็โวยว่า แพ้แล้วอย่าพาลคนอื่นสิ

                    “แหม... ก็คนมันเพิ่งเคยแพ้ครั้งแรกนี่นา” เด็กหนุ่มแก้ตัว

                    “ซีท ครูหวังว่าเธอคงได้อะไรบางอย่างจากการประลองครั้งนี้นะ” อาจารย์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย

                    “อาจารย์อย่ากังวลไปเลยครับ ผมยังคงเป็นซีทจอมแหกกฎคนเดิมไปเปลี่ยนแปลง...” เด็กหนุ่มว่า เพื่อน ๆ หลายคนได้ยินแล้วก็โล่งใจที่ซีทยังเป็นเหมือนเดิม แต่หลายคนเป็นไปในทางกลับกัน คิดว่าตนจะต้องเสี่ยงโดนลูกหลงการเล่นแผลง ๆ ของเจ้าผมขาวนี่อีกแล้วหรือ

                    “...แต่อย่างน้อยผมก็มีเป้าหมายที่จะต้องพิชิตแล้วละครับ” ซีทกล่าวปิดความ ก่อนถามต่อ “เออ จริงสิ จะหมดเวลาพักแล้วนี่ นัดต่อไปใครจะลงล่ะ ?”

                    เนื่องจากตัวผู้ประลองไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว ถามหาความสมัครใจจากเหล่านักเรียนเอง หลายคนพอเห็นนักฆ่าพริบตาแพ้แล้วก็ยังไม่อยากลง หมายจะเก็บข้อมูลหาทางเอาชนะให้ได้ก่อน ขณะที่บรรดาเพื่อนร่วมห้องต่างสอดส่ายสายตาถามหาคนอาสากันอยู่นั่นเอง เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ตามลำพังก็ลุกขึ้นมา และก้าวเดินออกไปสู่กลางลานประลอง พร้อมเสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าตอนที่ซีทลงสนาม

                    “โอ้โหแฮะ ! คุณชายน้ำแข็งถูกคลื่นความร้อนจากการประลองของนายหลอมความใจเย็นไปซะแล้ว” แนสส่งเสียงแซว

                    “เทเนฟ ! ห้ามแพ้กลับมานะเฟ้ย” ซีทป้องปากตะโกนออกไป

                    คุณชายน้ำแข็ง เทเนฟ ไม่ตอบ หันกลับมาส่งยิ้มเย็น ๆ ให้แทน ...และนั่นก็คือคำยืนยันของเขา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×