ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เมืองไร้ผู้คน [2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.16K
      1
      13 เม.ย. 52

    บทที่ 1 เมืองไร้ผู้คน

    [2]

     



                    ท่านผู้กล้า ?

                    ไม่เอานะ... ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนี่ ?

                    สมองของเธอวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาพิจารณาสิ่งที่เห็น...

                    ตัวคนกล่าวทักทายนั้นเป็นหญิงสาวผู้มีโครงหน้ารูปไข่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากของเธอกำลังคลี่ยิ้ม ทว่าดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นดูเศร้าสร้อยอยู่บ้าง ผมสีเงินยาวสลวยของเธอมีเครื่องประดับสูงค่าตกแต่งไว้ แลเข้ากับชุดยาวที่เธอสวม แม้เพิ่งจะพบเห็นเครื่องแต่งกายของที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ความมีระดับหรูหราของอาภรณ์ก็บ่งบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้สวมได้ว่าเธอคงเป็นเจ้าหญิงหรือไม่ก็ตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน

                    “ท่านคงมีคำถามมากมายค้างคาอยู่ในใจ เอาเป็นว่าเรามาสนทนาทำความรู้จักกันสักครู่ก่อนดีไหม ?” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากยอมรับสิ่งที่ได้ยินของคนฟัง

                    เมื่อเริ่มปรับตัวได้ และตริตรองแล้วว่าไม่เสียหายอะไร เด็กหญิงจึงตอบตกลงไป เจ้าของสถานที่จึงพาเธอมานั่งที่โต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ในห้อง

                    “ก่อนอื่น ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อรูริ เป็นผู้ปกครองเมืองโยคังแห่งนี้ ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้ามีนามว่า...” หญิงสาวแนะนำตัวเมื่อนั่งประจำที่เรียบร้อย พร้อมทั้งส่งคำถามมายังเธอ

                    “ไมอา” เด็กหญิงตอบ

                    “ท่านไมอาคงพอจะสังเกตเห็นความผิดปกติในเมืองของข้าอยู่บ้างใช่ไหม ?” รูริถามนำ สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม ไม่ใส่ใจกับคำตอบที่คงถูกองครักษ์ประจำตัวเธอตำหนิหากคู่สนทนาของเธอคือชาวเมืองทั่วไป แต่ตอนนี้องครักษ์ผู้นั้นปรากฏตัวไม่ได้ และเด็กคนนี้เป็นมากกว่าชาวเมือง

                    “ข้าแค่ไม่พบเห็นผู้คน หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดเลยนอกจากท่าน และในระหว่างทางมาที่นี่ ข้ารู้สึกเหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา จนกระทั่งเข้ามาในบริเวณอาคารนี้” ไมอาทบทวนแล้วตอบไปตามจริง

                    “ถูกต้องแล้ว เมืองนี้ต้องคำสาป ผู้คนและสัตว์ทั้งหลายในเมืองนี้กลายเป็นวิญญาณกันหมด ที่ข้าสามารถคงสภาพให้ท่านมองเห็นอยู่นี่ได้ก็ต้องใช้พลังมากเอาการ การที่ท่านรู้สึกถูกจับตามองก็หาใช่เรื่องแปลก มีคนจับตามองท่านอยู่จริง ๆ คนเหล่านั้นคือชาวเมืองของข้าเอง พวกเขาคงดีใจที่ท่านจะมาช่วยถอนคำสาป เลยอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ ท่านเป็นมนุษย์ธรรมดาคนแรกที่สามารถเดินเข้ามาในเขตเมือง ส่วนการที่เข้ามาในเขตพื้นที่พักอาศัยของข้าแล้วความรู้สึกนั้นหายไปก็คงเป็นเพราะ พวกเขาส่งท่านถึงที่นี่แล้ว เลยพากันกลับไป” รูริอธิบายด้วยสีหน้าที่สลดหดหู่ในตอนแรก แต่ก็กลับกลายเป็นยิ้มแย้มเช่นเดิมเมื่อกล่าวถึงไมอา

                    “อันที่จริง ข้าไม่ได้เข้ามาด้วยวิธีการปกติ” ไมอาพยายามแก้ แต่รูริเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน

                    “เรื่องนั้นข้าทราบดี ท่านเดินทางมาจากมิติอื่น ข้าจึงได้กล่าวว่าท่านคือผู้กล้าจากต่างมิติ ด้วยเหตุที่คำสาปนั้นทำให้โยคังถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นเมืองที่สาบสูญ คนภายนอกไม่อาจเข้ามาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ยกเว้นเดินทางมาจากต่างมิติ ท่านจึงเป็นผู้ที่ชะตากำหนดมาให้ เป็นผู้ที่สามารถถอนคำสาปให้แก่เมืองนี้ได้...”

                    เมืองนี้... ถูกสาป...

                    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง

                    “ข้าขอถามท่านบ้าง ใครเป็นคนสาปเมืองนี้ ?” ไมอาพูดแทรกขึ้น

                    “เรื่องนั้น...” รูริก้มหน้าลงเล็กน้อย “...ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แค่รู้ว่าบุคคลคนนั้นมาจากต่างมิติเช่นเดียวกับท่าน เป็นผู้ที่มีพลังเวทสูงมาก ข้าซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองนี้ก็มิอาจเทียบเคียงได้ เป็นผลให้ประชาชนต่างเดือดร้อนกันถ้วนหน้า” นัยน์ตาสีฟ้าครามหลุบต่ำลง คล้ายเจ้าตัวละอายในความไร้ความสามารถของตน

                    มาจากต่างมิติ... มีพลังเวทสูง...

                    เมื่อความกระหายใคร่รู้เข้าครอบงำ ไมอาก็ไม่คิดจะเสียเวลามาเห็นใจความเศร้าของผู้ปกครอง เธอรีบถามต่อทันที

                    “แล้วท่านพอจะทราบหน้าตาของบุคคลผู้นั้นบ้างไหม ?”

                    “อย่าว่าแต่หน้าตาเลย บุคคลนั้นเป็นหญิงหรือชาย ข้ายังไม่ทราบแม้แต่น้อย สิ่งที่คนคนนั้นทิ้งไว้ก็มีเพียงลูกแก้วมนตราเท่านั้น” รูริกล่าวตอบด้วยเสียงเศร้า ๆ

                   “ลูกแก้วมนตรา ?”

                   “วัตถุเวทมนตร์ที่เป็นแหล่งพลังทำให้ผลของเวทมนตร์คงอยู่” รูริอธิบาย “ไม่ว่าผู้ใช้เวทมนตร์นั้นจะจากไปไกลแค่ไหน หากนำมันมาใช้ในทางที่ถูก จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย แต่ทว่ากลับถูกนำมาใช้ในทางชั่วร้ายเสียนี่” ประโยคหลังนั้นรูริกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน

                    ต้องใช่ ‘คนคนนั้น’ แน่ แม้จะไม่รู้หน้าตาก็เถอะ แต่คนที่สามารถเดินทางข้ามมิติ มีพลังเวทมหาศาล ชอบสาปแช่งทำให้ผู้คนเดือนร้อนจะมีอยู่สักกี่คน วัตถุเวทมนตร์นั่นก็ด้วย ไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ดีกว่านี้อีกแล้ว

                    หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ไมอาก็ถามต่อว่า

                   “เจ้าของคำสาปนั่น ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ?”

                   “คนคนนั้นเดินทางข้ามไปยังอีกมิติแล้ว”

                   “ถ้างั้น ลูกแก้วมนตราล่ะ ?”

                   “อยู่ที่ห้องถัดไปนี่เอง” รูริตอบ พร้อมส่งสายตาไปทางด้านข้าง
    ไมอามองตาม เอานิ้วชี้แตะปลายคางอย่างเคยตัว เธอมักจะทำกิริยาเช่นนี้เวลาที่ใช้ความคิด

                    “หากทำลายลูกแก้วนั้นซะ คำสาปก็จะถูกทำลายใช่ไหม ?”

                    รูริคลี่ยิ้มบาง “ท่านเข้าใจได้ถูกต้อง และนั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำ ท่านอาจคิดว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมข้าไม่ทำเอง หากข้าทำได้ข้าคงทำไปนานแล้ว ร่างกายของพวกเรานั้นอยู่ในสภาพวิญญาณล่องลอย ไร้ซึ่งตัวตน เป็นวิญญาณที่ไม่อาจจับต้องสิ่งใดได้ คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ ยิ่งกว่าวิญญาณธรรมดาสามัญที่พอจะมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง ถึงแม้ข้าจะสามารถปรากฏกายให้ท่านเห็นได้ แต่ก็แค่เพียงเท่านั้น ยังมิอาจจับต้องสิ่งใด ตัวลูกแก้วเวทมนตร์นั้นก็มีพลังต้านทานพลังวิญญาณ ดังนั้นจึงได้แต่หวังพึ่งท่าน ได้โปรดช่วยถอนคำสาปนี้ไปด้วย”

                    “ถ้าเรื่องแค่นี้ก็ย่อมได้ แต่ขอถามท่านสักอย่าง ท่านมีเวทข้ามมิติหรือไม่ ?”

                    “เวทที่สามารถส่งคนข้ามมิติ...” รูริก้มหน้าหลบตาสายเล็กน้อยก่อนตอบว่า

                    “...ข้าพอจะมีอยู่บ้าง”

                    “เช่นนั้นเรามาแลกเปลี่ยนกัน ข้าทำลายลูกแก้วให้ท่าน ท่านส่งข้าไปอีกมิติ เป็นอันตกลง ?” ไมอายิ้มยินดี ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่คิดเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือจากนักเวทอื่นแล้ว

                    “มิติที่ท่านจากมาหรือว่า...” นัยน์ตาสีฟ้าครามมีแววลังเลไม่แน่ใจ หากยังถามไม่จบประโยคคู่สนทนาก็ชิงตอบเสียก่อน

                    “ไม่ใช่มิติที่ข้าจากมา” ไมอาส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านต้องส่งข้าไปยังมิติที่ข้ายังไม่เคยไป” เธอพูดเสียงหนักแน่นเน้นคำอย่างชัดเจน

                    “ตกลง” รูริตอบเสียงระรื่น สองมือยกขึ้นประกบกันที่หน้าอกด้วยความยินดี “ข้าจะพยายามส่งท่านไปยังมิติเดียวกับมิติที่ข้าคิดว่าบุคคลผู้นั้นเดินทางไปแล้วกัน ข้าพอจะมองออกว่าท่านกำลังตามหาคนคนนั้น แล้วข้าก็มีโอกาสได้เห็นตอนที่คนคนนั้นเปิดประตูมิติเพื่อเดินทางจากไป”

                    ไมอานึกชื่นชมความเฉลียวฉลาดของหญิงสาวคู่สนทนาที่สามารถคาดเดาจุดมุ่งหมายของเธอออกแม้เพิ่งสนทนากันไม่กี่ประโยค เช่นนี้การที่มีศักดิ์เป็นถึงผู้ปกครองเมืองก็คงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว การที่รูริจะช่วยส่งไปยังมิติที่ ‘คนคนนั้น’ ไป ยังถือเป็นประโยชน์ที่ได้เพิ่มขึ้นมา ไม่ต้องลำบากหาทางข้ามไปมิติอื่น แต่เธอก็เก็บความยินดีเอาไว้ในใจ และมุ่งความสนใจมายังเรื่องตรงหน้าแทน
    “ข้าขอถามคำถามสุดท้าย การทำลายลูกแก้วต้องทำอย่างไร ? และส่งผลกระทบใดบ้าง ?”

                    “นั่นถือเป็นสองคำถามนะ” รูริยิ้มขี้เล่นก่อนตอบด้วยสีหน้าจริงจังกว่าเดิม “การทำลายลูกแก้วมนตรานั้นง่ายมาก ขอแค่ทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกแก้วแตก แต่สำหรับลูกแก้วลูกนั้นอาจจะมีเวทป้องกันที่แข็งแกร่ง ดังนั้นท่านคงต้องลงแรงสักหน่อย ส่วนผลกระทบหลังการทำลายต่อผู้ทำลายนั้นไม่เคยมีปรากฏมาก่อน”

                    “ขอบคุณ ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วไมอาก็เดินไปยังห้องที่อยู่ถัดไป หมายจัดการงานให้เสร็จโดยเร็ว

                    “คอนโนทินิเกรา” รูริส่งเสียงไล่หลัง เป็นภาษาที่เครื่องแปลภาษาของเธอถอดความไม่ได้ ไมอาสะกิดใจเลยย้อนหันไปมอง พบเห็นร่างของหญิงสาวค่อย ๆ จางลง กระทั่งเลือนหายไปในที่สุด

                    คงกลับไปพักผ่อน ท่าทางจะเสียพลังไปเยอะทีเดียว เราเองก็ต้องรีบทำลายลูกแก้วนั้นให้เสร็จ ๆ จะได้จบเรื่องเสียที แต่ก่อนอื่นต้องตรวจสอบเสียก่อน...

                    เมื่อเดินเข้ามาในห้องเรียบร้อย เด็กหญิงก็หยิบเข็มทิศที่คล้องคออยู่ออกมา คราวนี้เธอไม่ต้องตั้งจิตเพ่งสมาธิเหมือนครั้งก่อน เพราะในครั้งแรกคือการกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ เหมือนเป็นการตั้งระบบใหม่ เมื่อกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้วหากจิตใจไม่วอกแวกจากเป้าหมายเดิมในขณะเรียกใช้ ก็สามารถงานใช้ได้ทันที

                    เข็มทิศลอยตัวขึ้นและแปรเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง แต่หาได้หมุนเคว้งแบบคราวก่อน เพียงเคลื่อนตัวช้า ๆ แล้วหยุดนิ่ง วงแหวนสีทองอยู่ในแนวขนานกับพื้น มีวงแหวนสีเงินตั้งฉากอยู่เช่นเดิม ปลายเข็มสีแดงนั้นชี้ไปยังลูกแก้วสีดำที่วางอยู่บนแท่นภายในห้องนั้น

                    ไม่ผิดแน่... ‘คนคนนั้น’ เคยมาที่นี่จริง ๆ แล้วก็จากไปแล้ว...

                    เรามาช้าไป...

                    ไมอาเก็บเข็มทิศ และความผิดหวังเอาไว้ ก่อนจะเดินตรงไปยังลูกแก้ว พื้นผิวมันวาวของมันเป็นสีดำสนิท วัตถุทรงกลมเรียบลื่นนั้นวางอยู่บนแท่นดุจได้รับการเทิดทูนดูแลอย่างดี เธอเดินสำรวจใกล้ ๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยก้าวถอยออกมาเป็นระยะที่ไกลพอสมควร

                    ไหน ๆ ก็ต้องทำลายแล้ว ทุ่มสุดตัวเลยแล้วกัน...

                    เรื่องเวทป้องกันอะไรนั่นช่างมันเถอะ เราใช้เวทมนตร์ไม่เป็นนี่นา แค่ใช้เจ้านั่นก็คงพอทำให้แตกได้แล้ว...

                    เด็กหญิงเอื้อมมือลงไปคว้าบางสิ่งในกระเป๋าเป้สะพายหลัง เมื่อปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ต้องการ ก็ดึงมันออกมา ของสิ่งนั้นขยายขนาดขึ้นทันทีที่โผล่พ้นจากขอบกระเป๋า ปรากฏเป็นดาบสั้นสีเงินพิสุทธิ์ที่มีขนาดไม่เล็กเลยเมื่อเทียบกับรูปร่างของเด็กหญิง ดูแล้วไม่น่าจะยัดเก็บใส่เป้สะพายหลังของเธอได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเป้ใบนั้นก็เป็นวัตถุเวทมนตร์

                    ไมอากำด้ามดาบไว้ในมือทั้งสอง ตั้งท่าแล้วออกวิ่ง เมื่อถึงระยะที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว เด็กหญิงก็สปริงตัวกระโดดขึ้น สูง ก่อนจะทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง ฟาดคมดาบใส่ลูกแก้วอย่างสุดแรง จังหวะนั้นเองที่ลูกแก้วเริ่มร้าว รอยร้าวแผ่ขยายออกไปเป็นร่างแหสีแดงฉาน

                    หากแต่ร่างเล็กยังคงลอยค้างกลางอากาศอยู่ในท่าฟัน ประหนึ่งมีพลังประหลาดดึงดูดเธอไว้เช่นนั้น เด็กหญิงทุ่มแรง พลัง และน้ำหนักลงไปอีก ร่างแหสีชาดสดครอบคลุมไปทั่วทั้งลูกแก้วทันที วัตถุเวทมนตร์แตกออกในที่สุด เศษแก้วแหลกละเอียดกระเด็นออกไปทุกทิศทุกทางพร้อมไอควันสีแดงที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ไมอาพลิกตัวหลบ ย้ายมาอยู่ข้างแท่นวางอย่างว่องไว ดาบในมือก็ตั้งขึ้นปัดป้อง เศษแก้วจึงไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเธอ แม้รอยขีดข่วนบนเสื้อผ้าก็ไม่มี

                    ความสำเร็จที่ได้มาง่ายกว่าที่คาดคิดไว้ทำให้ไมอายินดีไม่น้อย

                    ไม่แน่บางทีอาจจะเอาชนะคนคนนั้นได้อย่างไม่ยากนักก็ได้...

                    เธอยิ้มกว้างให้กับความหวังของตน

                    เมื่องานเสร็จก็ถึงเวลารับค่าตอบแทน เด็กหญิงลุกขึ้น ปัดฝุ่นผงออกจากเสื้อผ้า ทั้งที่รู้ดีว่าไม่จำเป็นสำหรับชุดที่ใส่อยู่นี้ แต่ก็เอาเสียหน่อยเถอะ... เก็บดาบเข้ากระเป๋า และสาวเท้าเดินกลับไปยังห้องที่เพิ่งจากมา

                    เศษแก้วละเอียดยิบลอยขึ้นมาด้วยแรงลมอันเกิดจากการเคลื่อนไหว หากทว่ามันหาได้ร่วงลงไปแน่นิ่งดังเดิมอย่างที่ควรจะเป็น

                    ชั่วขณะนั้นสัญชาตญาณเตือนเธอให้รับรู้ถึงอำนาจเวทที่เป็นอันตราย เด็กหญิงหันหลังกลับโดยพลัน เบื้องหน้านั้น ธุลีแก้วสีนิลกำลังก่อเป็นตาข่ายถี่ ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ เธอออกวิ่งไปที่ประตูโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น พริบตาเดียวกันนั้น เศษแก้วทั้งหลายก็พุ่งตรงเข้าใส่เป้าหมายของมัน รวดเร็วยิ่งกว่าลมกรรโชกโหมพัด

                    หากไมอาที่ไหวตัวล่วงหน้าไว้แต่แรกแล้วก็ก้าวพ้นขอบประตูได้ก่อนที่ภัยร้ายจะมาถึงตัว เด็กหญิงพลิกตัวหลบอยู่หลังผนังห้อง คาดหวังว่าเวทป้องกันที่ทิ้งท้ายไว้นั้น จะไม่มีระบบนำวิถีติดตามตัว

                    ไหนว่าจะไม่มีผลกระทบตามมาภายหลังไงเล่า !

                    เสียงโวยดังก้องในใจ ขณะที่เจ้าของความคิดยังคงยืนหอบหายใจ

                    ...แต่ก็สมแล้วที่เป็นเวทของเจ้านั่น

                    ยังไม่จะทันจะคิดหาวิธีหลบหลีกต่อ เสียงใสบาดแก้วหูของคมแก้วที่กระทบกันก็ดังกังวานทั่วห้อง เรียกดวงตาสีน้ำเงินเข้มให้หันไปมอง กระจกแผ่นหนาโผล่มาจากไหนไม่ทราบมาวางกั้นเศษลูกแก้วทั้งหมดไว้ไม่ให้ติดตามออกมาภายนอกได้

                    “ท่านคงไม่เป็นอะไรกระมัง ?” รูริเอ่ยถาม กำแพงกระจกนั้นเป็นฝีมือของเธอนั่นเอง หญิงสาวเจ้าเมืองดูแปลกตาไปจากเดิม เครื่องประดับและเครื่องแต่งกายของเธอแลมีสีสันมากกว่าครั้งก่อนที่ไมอาเห็น สีผิวและใบหน้าของเธอก็ขาวอมชมพูดูมีเลือดฝาดกว่าเก่า นัยน์ตาสีฟ้าครามทอประกายสดใสไร้แววเศร้าหมอง รูริกำลังแย้มยิ้มอย่างสง่างาม

                    “ก็... ไม่เป็นไรหรอก” ไมอาตอบพลางเปลี่ยนมายืนตัวตรงให้เรียบร้อย ไหน ๆ รูริก็ช่วยเธอไว้ โทษที่ให้ข้อมูลผิด ๆ มาก็ถือว่าหักล้างกันไปละกัน

                    “ขอบคุณท่านมาก” หญิงสาวโค้งคำนับให้ “ท่านคือผู้กล้าของพวกเรา”

                    ไมอารีบโค้งตอบโดยอัตโนมัติ เธอค่อนข้างคุ้นเคยกับการแสดงความเคารพแบบนี้ มีอีกหลายมิติที่คล้ายคลึงกัน

                    “ถ้าท่านไม่ว่าอะไร โปรดอยู่เลี้ยงฉลองกับพวกเราสักระยะหนึ่งได้ไหม ?” หญิงสาวผู้ปกครองเมืองเอ่ยปากขอร้อง

                    “ขอโทษด้วย... แต่ข้าต้องรีบไป” ไมอาแข็งใจตอบปัดคำเชิญ ที่จริงเธอก็อยากอยู่ร่วมงานเลี้ยง จะได้ศึกษาวัฒนธรรมของที่นี่อีกสักระยะ เธออยากเห็นตัวเมืองในสภาพปกติว่าจะสวยงามขนาดไหนเช่นกัน แต่ในเมื่อมีเบาะแสของ ‘คนคนนั้น’ เรื่องเหล่านั้นก็ตกเป็นรองไป

                    “เช่นนั้นข้าก็ไม่ขัดประสงค์ของท่าน แต่ประวัติศาสตร์ของเมืองโยคังแห่งนี้จะจารึกชื่อของท่านเอาไว้ ไมอา พวกเราทุกคนล้วนเป็นหนี้บุญคุณของท่าน” รูริกล่าวออกมาจากใจจริง

                    “หามิได้ ข้าแค่บังเอิญผ่านมาได้จังหวะพอดีเท่านั้นเอง” ไมอาส่ายหน้าช้า ๆ อย่างสุภาพ
    “ท่านอย่าได้กล่าวถ่อมตนไปหน่อยเลย ‘บังเอิญ’ เป็นเพียงข้ออ้างสำหรับสิ่งที่มนุษย์ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เท่านั้น ความจริงแล้วทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลในตัวของมันเอง แต่บางอย่างสุดที่ปัญญาของเราจะเข้าใจได้...” รูริกล่าวเนิบ ๆ เป็นปรัชญา แต่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังรบกวนเวลาของอีกฝ่ายก็รีบพูดแก้ไข “...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาของท่านไปกว่านี้ ข้าจะเปิดประตูมิติให้ท่านเลยแล้วกัน”

                    ไมอาผงกศีรษะตอบรับเบา ๆ

                    หญิงสาวพาเด็กหญิงมายังอีกห้องหนึ่ง บรรยากาศระหว่างทางเป็นไปอย่างชื่นมื่น ผู้คนที่ทำงานในอาคารแห่งนี้ล้วนออกมาแสดงความยินดีและขอบคุณไมอา มีทหารหน้าบึ้งคนหนึ่งทำท่าจะเข้ามาพูดบางอย่างกับเธอ แต่รูริห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน เธอจึงไม่รู้ว่าเขามีธุระอะไร ทั้งหมดนั้นทำให้การเดินทางเชื่องช้าอยู่บ้าง แต่ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงที่หมาย...

                    ภายในห้องนั้นมีกระจกมากมายหลากหลายประเภท ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป บ้างมีขาตั้งวาง บ้างแขวนติดผนัง บ้างเป็นกระจกพกพา รูปทรงและลวดลายก็แปลกประหลาดละลานตา ไมอามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกแต่ละบานที่เดินผ่าน จนเริ่มรู้สึกลายตาและสับสนอยู่บ้าง

                    “ต้นตระกูลของข้าเป็นผู้ใช้เวทกระจก...” รูริออกตัวอธิบายเมื่อคนเดินตามเริ่มมีท่าทางงง ๆ “ถ้าท่านพึงใจกระจกบานไหนก็นำติดตัวไปได้เลย ถือเป็นของตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้าและชาวบ้าน”

                    “ขอบคุณ แต่ไม่ละ ข้าไม่มีเวทมนตร์ กระจกพวกนี้อยู่กับท่านน่าจะดีแล้ว”

                    “แน่ใจหรือ ? กระจกเหล่านี้ล้วนต่างมีความพิเศษในตัว ข้าคิดว่ามันอาจมีประโยชน์ต่อท่านบ้างนะ”

                    พอฟังว่ากระจกพวกนี้เป็นวัตถุเวทมนตร์ เด็กหญิงก็ชักสนใจขึ้นมา คนไม่มีเวทมนตร์เช่นเธอก็ต้องอาศัยอุปกรณ์วิเศษช่วยในการเดินทางบ้างละ แต่พอกวาดสายตามองกระจกมากลายหลายลักษณ์ที่รวบตัวกันในห้องนี้แล้ว ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ขืนมัวแต่นั่งฟังคุณสมบัติของแต่ละบานเพื่อเฟ้นหาบานที่ดีที่สุดจากกองกระจกมหาศาลนี่ละก็... เธอคงได้เสียเวลาอยู่ที่นี่นานยิ่งกว่าเวลางานเลี้ยงฉลองแน่

                    “ข้าเลือกบานใดก็ได้ใช่ไหม ?” แต่ถึงอย่างไร ไมอาก็ยังไม่ยอมพลาดโอกาสอยู่ดี ได้วัตถุเวทมนตร์ติดไม้ติดมือไปสักชิ้นย่อมดีกว่าไม่ได้อะไรเลยละน่า

                    “ใช่ เชิญท่านเลือกได้ตามสบาย”

                    “อย่างนั้นข้าขอบานนั้นล่ะกัน” เด็กหญิงชี้นิ้วไปยังกระจกทรงรีขนาดกลางบานหนึ่งซึ่งวางพิงกำแพงอยู่ กระจกบานนั้นแลเรียบและธรรมดามาก เมื่ออยู่ท่ามกลางกระจกแปลกพิสดารทั้งหลายในห้องนี้ และไมอาก็เลือกมันเพราะความสามัญนี่นั่นเอง เธอไม่อยากพกพาอะไรที่โดดเด่นเกินไป แม้สุดท้ายมันอาจใช้เวลาส่วนมากนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าของเธอก็ตาม

                    “มันทำอะไรได้บ้างล่ะ ?” เด็กหญิงถามรายละเอียด ขณะที่รูริเดินไปหยิบกระจกบานนั้นขึ้นมา

                    “นี่คือกระจกย้ายเงา” หญิงสาวเอามือแตะผิวเรียบลื่นเป็นเงาของบานกระจกอย่างอ่อนโยน เสมือนวัตถุแบนรีในอ้อมกอดของเธอคือบุตรรักคนหนึ่ง “กระจกบานนี้เป็นเสมือนประตูเชื่อมระหว่างสองสถานที่ มันสามารถพาท่านไปยังกระจกบานอื่นที่เคยสะท้อนเงาของท่านมาก่อนได้ แต่แน่นอนว่าต้องเป็นในมิติเดียวกันเท่านั้น และเวลาจะกลับท่านก็ต้องกลับทางเดิม จะเปลี่ยนไปใช้กระจกบานอื่นเป็นประตูเชื่อมไม่ได้ ...ข้าเองเคยอาศัยกระจกบานนี้ร่นระยะเวลาเดินทางไปเล่นที่อื่นบ่อย ๆ เมื่อตอนยังเป็นเด็กอยู่”

                    เด็กหญิงพิจารณากระจกย้ายเงาประกอบกับคำพูดของรูริ... ขนาดของกระจกทรงรีนั้นพอจะสะท้อนให้เห็นภาพคนส่องทั้งตัวได้ก็จริง แต่ถ้าต้องลอดหรือทะลุผ่านแล้วคงใช้ได้สำหรับคนตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งรูปร่างอย่างเธอคงไม่มีปัญหา เงื่อนไขการใช้งานมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่เธอก็พอจะมีวิธีใช้กระจกนี่ให้เกิดประโยชน์แล้วละ

                    “ในเมื่อท่านใช้มันไม่ได้แล้ว ข้าก็ขอรับไว้เลยละกัน”

                    หญิงสาวละสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกขึ้นมาสบตาเด็กหญิง เมฆหมอกแห่งความทรงจำครั้งวัยเยาว์เลือนหายไปจากนัยน์ตาสีฟ้าครามคู่สวย รูริยิ้มอย่างคนทำใจได้พร้อมทั้งยื่นวัตถุในอ้อมแขนให้เธอ

                    ไมอารับมาแล้วขออนุญาตทดลองใช้งานโดยทันที ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ขัดข้อง เด็กหญิงวางกระจกนอนไว้บนพื้น เล็งหากระจกที่เหมาะ ๆ ในห้อง ตั้งสติถึงมันตามคำแนะนำจากเจ้าของเก่า แล้วกระโดดเข้ากระจกย้ายเงาไป เมื่อเท้าสัมผัสพื้นอีกครั้ง เธอยังคงอยู่ในห้องเดิม แต่ย้ายที่มาอยู่ใกล้กระจกอีกบานที่นึกถึงในตอนแรก แสดงว่าเธอเพิ่งก้าวออกมาจากกระจกบานนี้สินะ

                    เยี่ยมไปเลย...

                    เด็กหญิงคิดในใจ ก่อนข้ามกระจกบานเดิมกลับไปหารูริที่กำลังมองหาว่าเธอไปโผล่ที่กระจกบานไหนอยู่

                    “ข้าต้องกลับโดยผ่านกระจกบานเดิมใช่ไหม ?” เสียงถามที่โผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย แต่ด้วยความที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี เธอก็ยังคงรักษาท่าทีไว้ได้

                    “ถูกต้องแล้ว” รูริตอบ

                    “ระยะทางการเดินทางไม่กำจัด ขอแค่อยู่ในมิติเดียวกันก็พอใช่ไหม ?”

                    “ใช่”

                    “แล้วถ้ากระจกย้ายเงาถูกเคลื่อนย้ายระหว่างข้ากำลังใช้งานมันอยู่ล่ะ ?”

                    “นั่นจะไม่ส่งผลอะไร ตราบใดที่กระจกย้ายเงาไม่ถูกทำลายไป ท่านยังสามารถเดินทางกลับยังที่ที่กระจกตั้งอยู่ได้”

                    “ถ้ากระจกถูกทำลายแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ?”

                    “หากกระจกย้ายเงาไม่บังเอิญถูกทำลายตอนที่ท่านกำลังทะลุผ่านกระจกอยู่ ท่านก็ไม่สามารถเดินทางกลับโดยผ่านกระจกได้ เท่านั้นเอง”

                    ไมอาส่งเสียงขานรับในลำคอเบา ๆ การใช้กระจกนี่ช่วยในการเดินทางไปกลับดูจะปลอดภัยดี ความบังเอิญที่รูริว่านั่นคงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ นัก เพราะเวลาที่ใช้ผ่านกระจกนั่นสั้นมาก ๆ เป็นการก้าวขาเดินเพียงก้าวเดียวแล้วมาโผล่อีกที่หนึ่งเลยก็ว่าได้

                    “ขอบคุณสำหรับกระจกบานนี้นะ ข้ารับรองว่าจะดูแลมันเป็นอย่างดี และหาทางใช้งานมันให้คุ้มค่าที่สุด” ไมอากล่าวแล้วเก็บกระจกเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว บานกระจกที่ความจริงมีขนาดใหญ่ว่าปากกระเป๋ามากหายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์

                    “ข้าเองก็ยินดีที่ย้ายเงาจะได้ไปอยู่กับเจ้าของที่เหมาะสม - เราไปกันต่อเถอะ” รูริกล่าวตอบรับพลางชวนเดินต่อ

                    ผนังด้านในที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องนั้นมีกระจกรูปวงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ขอบของมันทำขึ้นจากไม้เนื้อดีสีน้ำตาลทองที่สลักลวดลายวิจิตรไว้ รูริเดินตรงไปแล้วหยุดยืนอยู่หน้ากระจก เริ่มต้นร่ายเวทบางอย่างซึ่งเครื่องแปลภาษาของไมอาถอดความไม่ได้ ภาพในกระจกเริ่มแปรเปลี่ยนไป เป็นหมอกควันหมุนวนเวียนอยู่ภายใน สะท้อนรัศมีหลากสีออกมา

                    ถึงจะเป็นที่คาดเดาได้อยู่แล้วว่า เวทข้ามมิติของรูริต้องเกี่ยวข้องกับกระจก แต่เด็กหญิงก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับเวทที่ได้เห็น แม้เธอจะเคยเดินทางข้ามมิติมาหลายหนแล้วก็ตาม หากเวทที่ใช้นั้นไม่เคยเหมือนกันเลยสักครั้ง ตอนขามาเธอมากับม่านแสง และครั้งนี้ตอนจากไปเธอต้องเข้าไปในกระจก

                    เมื่อรูริบริกรรมคาถาจบก็หันมาบอกไมอาว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถ้าเธอพร้อมก็ก้าวผ่านกระจกไปได้เลย ผู้ปกครองเมืองโยคังสนทนากับผู้กล้าที่มาช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย...

                    “แม้ข้าจะไม่ทราบทั้งจุดประสงค์ในการเดินทางข้ามมิติของท่าน และของผู้ร่ายคำสาปคนนั้นก็ตาม แต่ผู้สาปแช่งให้ผู้อื่นทุกข์ร้อนย่อมมีจุดประสงค์ที่ชั่วร้าย ในขณะที่ท่านซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือ และคิดขัดขวางคนผู้นั้นย่อมมีจุดประสงค์ที่ดีงาม ดังนั้น... คอนโนทินิเกรา” รูริกล่าวเป็นภาษาท้องถิ่นคำเดิม

                    คราวนี้ดูเหมือนเครื่องแปลภาษาของเธอจะมีข้อมูลเพิ่มขึ้นแล้ว ถอดความหมายโดยรวมได้ประมาณว่า ขอให้โชคดี

                    ‘คอนโนทินิเกรา’... คงเป็นคำอวยพรของที่นี่สินะ...

                    นั่นสิ... ฉันคงต้องพึ่งโชคอีกมากทีเดียว... กว่าจะบรรลุเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้...

                    ร่างเล็กโค้งคำนับ น้อมรับคำอวยพรนั้น

                    การเดินทางของเธอเสมือนผ่านมายาวนานและเสมือนเพิ่งเริ่มต้นในขณะเดียวกัน แม้หนทางจะอีกยาวไกล แต่เด็กหญิงได้ปฏิญาณไว้แล้วว่าจะไม่มีวันยอมแพ้...

                    ต้องค้นหาต่อไปจนกว่าจะได้สิ่งนั้นกลับคืนมา...

                    ไม่ว่าอย่างไรก็จะก้าวต่อไป...

                    ไมอาตั้งใจแน่วแน่ รวมความกล้าเข้ากับความมุ่งมั่น แล้วก้าวผ่านผิวสะท้อนมันวาวเข้าไป

    ----------------------

                    มิติแสนพิสดารปรากฏขึ้น... รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ...

                    ไมอาเคยมาเยือนที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยเสียที และคิดว่าคงไม่มีทางชินกับที่นี่ได้แน่ มิตินี้เป็นมิติที่เธอตั้งชื่อให้ว่ามิติกลาง เป็นมิติที่เธอต้องผ่านทุกครั้งในการเดินทางข้ามมิติ

                    ตัวเธอในตอนนี้คล้ายล่องลอยอยู่ในอวกาศ รอบข้างกายเป็นเอกภพที่เคลื่อนที่ผ่านไปและแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

                    เด็กหญิงเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นร่างของเธอที่เคลื่อนที่ หรือเป็นเอกภพที่เคลื่อนที่ หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง

                    ภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น และล่องลอยอยู่มากมาย ท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แลเห็นเป็นดินแดนของมิติต่าง ๆ ...ไม่สิ... มันไม่ใช่แค่เพียงมองเห็น ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของมิติเหล่านั้นได้เช่นกัน ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเคลื่อนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปดั่งการแปรผันของคลื่นพลังงานที่มีทั้งประสานตัวรวม และแยกออกจากกัน ช่วงเวลาที่คงอยู่ในมิติกลางนี้คล้ายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเชื่องช้าอย่างน่าประหลาด ทั้งสองช่วงเวลานั้นคล้ายจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเสียด้วย เป็นความรู้สึกที่ยากจะหาคำมาบรรยาย...

                    และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่ง...

                    ประหนึ่งกาลเวลาได้จบสิ้นลง...

                    ในที่สุดก็มาถึงมิติใหม่เสียที...

                     

                     

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×