ตอนที่ 7 : บทที่ 5 อลิซาเบธในกองฝุ่น
บทที่ 5 อลิซาเบธในกองฝุ่น
“ไม่ใช่สาวใช้หรือ ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็น...ผู้หญิงใหม่ของเขา” แววตาสดใสทะเล้นกลอกกลิ้งไปมามองฉันสลับกับพี่ชายจอมป่าเถื่อนของเขา
หนุ่มน้อยคนนี้คือดันแคน บุคคลที่ทั้งลูคัสและดีแลนหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาตลอดเช้า เกี่ยวกับผู้หญิงที่เขาควรจะนำมาถวายลูคัสในฐานะสาวรับใช้
“ผู้หญิงของท่านลูคัสหรือ” สาวน้อยผมสีแดงยาวไปจนถึงกลางหลังมองหน้าลูคัสตาละห้อย
ส่วนเขากลับหันมามองฉันหน้าบึ้งตึงแววตาแข็งกร้าวราวกับจะตักเตือนว่า ‘วันนี้คุณไม่รอดมือผมแน่’ ทั้งยังไม่สนใจจะตอบคำถามน้องชายหรือเด็กสาวนามว่าวาเลนเซีย แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม ที่แน่ๆ ฉันคิดจะหนีไปวันนี้ละ
“ทำไมพี่ถึงพาวาเลนเซียมาที่นี่” ดีแลนทักขึ้นหน้ามุ่ย
“ฉันก็ทำตามคำขอร้องของลูคัสไง ตามหาเด็กสาวที่พร้อมจะถวายตัวเข้ามารับใช้ท่านลูคัสบนเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้” ดันแคนอธิบายท่าทางสบายกึ่งทะเล้น ทว่าคนฟังที่ควรจะมีสีหน้าสงบไร้อารมณ์อย่างดีแลนกลับมีปฏิกิริยาผิดแผกแปลกออกไปจากเมื่อก่อนหน้านี้
“แต่วาเลนเซีย” หนุ่มน้อยผู้อบอุ่นส่งถ่ายอารมณ์ผ่านสีหน้า
“ฉันก็คือผู้สมัครใจมารับใช้ท่านลูคัสยังไงล่ะ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสบวกกับท่าทางรื่นเริงก่อนจะเอาหัวซุกต้นแขนชายหนุ่มข้างกาย “ท่านลูคัสที่รักของวาเลนเซีย”
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าลูคัสน่าเข้าใกล้ตรงไหน เห็นทีท่าเด็กผู้หญิงคนนี้แล้วก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ส่วนดีแลนผู้ไม่เคยแสดงสีหน้าไร้ซึ่งความพึงพอใจถึงกับเบือนหน้าหนี สายตาหลุบต่ำมองบนพื้น ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง
“พี่โชคดีนะที่มีวาเลนเซีย เพราะคนอื่นๆ พ่อแม่พวกเขาไม่ยอมปล่อยออกมาเลย ทั้งที่เด็กสาวเกือบครึ่งหมู่บ้านยอมถวายตัวถวายใจเพื่อมารับใช้พี่โดยเฉพาะ” ดันแคนอธิบายท่าทางภาคภูมิใจ แต่มิวายปลายหางตามาเหลือบมองดูขาอ่อนฉันอยู่บ่อยๆ
“ก็ฉันกำพร้านี่คะ จะมีใครขัดขวางล่ะ” เด็กสาวตัดพ้อหน้าเศร้า “แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่ครอบครัวท่านลูคัสอุปการะฉันเอาไว้ ฉันก็มีความสุขแล้ว”
“จ้ะ” ดันแคนพยักหน้าเนิบๆ เชิงล้อเลียน สาวน้อยจ้องกลับด้วยสายตาอาฆาต
ดีแลนยังคงลอบมองดวงหน้าหวานท่าทางเอาเรื่องของวาเลนเซียด้วยแววตาอ่อนโยนระคนกังวลในเวลาเดียวกัน ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าพี่ชายปีศาจนั้นลอบมองเขาอยู่เช่นกัน
“เธอมาก็ดีแล้ว จะได้เป็นมือขวาให้ดีแลนเวลาเขาต้องการอะไร” ลูคัสเอ่ยขึ้นในที่สุด สีหน้า ‘ชิงชังอลิซาเบธ’ ลดลงบ้างแล้ว มันทำให้เขาดูสงบมากขึ้น
“เอ้...ผมก็คิดว่าพี่ให้ผมพาเด็กสาวมารับใช้พี่นะเนี่ย” ดันแคนเลิกคิ้วสูง
“นั่นสิคะ ฉันตั้งใจจะมาดูแลท่านลูคัสนี่นา” วาเลนเซีนทำหน้าผิดหวัง
“ช่วงหลังนี้ดีแลนรับงานแทนฉันหนักหน่อย อยากให้มีคนช่วยเบาแรงเขาบ้าง”
ฉันรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนในน้ำเสียง และคำกล่าวของลูคัสก็ทำให้ฉันประหลาดใจ ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าใสของหนุ่มน้อยนามว่าดีแลนเบิกกว้าง ความกลมโตของมันทำให้เขาดูไร้เดียงสาไปโดยปริยายขณะทอดมองมายังพี่ชาย
“สิ่งที่ฉันจะขอให้วาเลนเซียดูแลก็มีแค่เรื่องห้องที่ฉันเคยบอกนายเอาไว้” ลูคัสหันไปบอกน้องชายท่าทางจริงจัง
“ผมจะจัดการให้” ดีแลนรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนหน้าเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะไปช่วยเหลือเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย หลังจากนี้ดีแลนจะได้มีเวลาพัก” ลูคัสหันไปออกคำสั่งสาวน้อยผมสีน้ำตาลแดง
“ค่ะท่านลูคัส” วาเลนเซียเดินคอตกตรงไปหาบุคคลที่เธอต้องช่วยงาน “ต้องมาเจอนายอีกแล้วหรือเนี่ย”
ฟังคำพูดและน้ำเสียงของเธอแล้วฉันแอบน้อยใจแทนดีแลนจริงๆ และก็ไม่เห็นด้วยเลยว่าตาลูคัสนี่จะมีอะไรน่าสนใจ เพราะดีแลนน่ารักกว่าเขาอีกหลายเท่าตัว
“แสดงว่าพี่ไม่ต้องการคนรับใช้แล้วสินะ” ดันแคนเอ่ยท่าทางครุ่นคิดเมื่อวาเลนเซียและดีแลนจากไป ก่อนจะยิ้มอย่างเริงร่า “ผมอุตส่าห์เหนื่อยพาวาเลนเซียมาที่นี่ พี่ยกผู้หญิงคนนี้ให้มารับใช้ผมสักวันหน่อยสิ” เขาเริ่มลามปาม
“ได้ไง ใครบอกนายว่าฉันไม่ต้องการคนใช้ ยัยขี้เหร่ที่นายกำลังเอ่ยปากขออยู่นี่ละคนรับใช้ฉัน”
ดันแคนทำหน้าเสียดาย ยิ้มให้ฉันแห้งๆ ผิดจากฉันที่ยืนกัดฟันแน่นจนปวดกามก่อนจะทนมองไม่ไหวอีกต่อไปเลยพึมพำออกมาว่า
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่คนรับใช้ใคร” ว่าแล้วฉันรีบหันหลังให้สองพี่น้องสติแตก ก่อนจะจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปยังประตู ไม่ทันไรมือใหญ่ก็มาถึงตัวฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันควรจะคาดการได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่น ฉันยอมหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วไม่เอะอะโดยวายอย่างที่เคยทำเหมือนทุกครั้ง แต่ออกแรงที่ต้นขาและหน้าแข้ง เล็งไปยังจุดยุทธศาสตร์ และก็ต้องรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมากเมื่อมือใหญ่รวบขาฉันไว้ได้ทัน ความมีไหวพริบดีของเขานั้นมีมากจนน่าหมั่นไส้ ฉันคงต้องคิดหาวิธีจัดการกับเขาที่แยบยลกว่านี้
ฉันยืนนิ่งเหมือนจำยอมอยู่ชั่วครู่ ปล่อยให้เขามองดูฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจเด่นชัด ก่อนฉันจะถือโอกาสที่เขากำลังจะปล่อยตัวฉันซัดหน้าเขาด้วยหมัดจนสุดแรง ลูคัสกุมจมูกเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด โดยมีดันแคนยืนหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นบ้าน ที่สำคัญตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว จึงได้รีบเผ่นทันที
ฉันปิดประตูตามหลังแล้ววิ่งลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้ากว้าง การสูดอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเข้าเต็มปอดพอจะช่วยลดความร้อนรุ่มในใจไปได้บ้าง ไม่ไกลออกไปเบื้องหน้าฉันคือป่า ฉันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะวิ่งเข้าไปในนั้นดีไหม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดูน่าปลอดภัยสักเท่าไร แต่ก็ดีกว่าจะไปวิ่งอยู่กลางแจ้งที่เขาสามารถมองเห็นฉันได้ง่ายๆ
เฟี้ยว...ฉึก ธนูแหลมที่ลอยเฉียดปลายจมูกฉันไปเมื่อครู่นี้ปักฉึกอยู่บนต้นไม้ หากฉันวิ่งเร็วกว่านี้อีกนิดเดียวมันคงเสียบอยู่บนหัวฉันแน่ๆ
“นี่มัน...” เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากปาก เข่าเริ่มอ่อนแรงจนแทบทรุด แต่ฉันยังฝืนยืนด้วยลำแข้งต่อไป หลับหูหลับตาเตรียมวิ่งแต่แล้วก็ต้องชะงักทันควันด้วยคำขู่ที่ว่า...
“หากคุณขยับอีกเพียงแค่คืบเดียว เป้าหมายต่อไปของลูกดอกคือหัวคุณแน่” น้ำเสียงราบเรียบแอบแฝงไปด้วยความแค้นหยุดฉันเอาไว้ ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้ามาหาสีหน้าบึ้งตึงพร้อมธนูที่อยู่ในมือ ฉันชักสีหน้าไม่พอใจใส่เขา แต่เจ้าตัวกลับยิ้มที่มุมปากเชิงเย้ยหยัน เมื่อร่างสูงเดินมาจนถึงจุดที่ฉันยืนอยู่ มือใหญ่ก็กระชากแขนฉันก่อนจะออกแรงดันไปข้างหน้า
“เดิน กลับไปที่ปราสาท” เขาไม่ว่าเปล่าก็เอาลูกดอกจี้หลังฉันไว้ด้วย
“ฉันไม่อยากเดิน คุณมีปัญหาไหม”
“โอ้...แน่ล่ะคุณผู้หญิง ผมมีปัญหาแน่” เขาคว้าข้อมือฉันไว้แล้วเดินนำหน้าด้วยความเร็วสูงจนแข้งขาฉันพันกันเพราะก้าวเท้าตามไม่ทัน
“แวมไพร์ป่าเถื่อน ฉันทำผิดอะไรคุณถึงได้ทำแบบนี้กับฉันนะ กับแค่ฉันโยนเงินใส่หน้าคุณ เกิดมาหน้าตาน่าเกลียดในสายตาคุณ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรสักหน่อย ดูที่คุณทำกับฉันสิ ไร้คุณสมบัติผู้ดี แล้วยังเลวร้ายอีกด้วย หากฉันกลับไปได้เมื่อไร ฉันจะแจ้งตำรวจมาจับคุณข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย” ฉันเริ่มหงุดหงิดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากงอแงใส่เขา อย่างที่ไม่เคยทำต่อหน้าใครมาก่อน เพราะฉันแทบจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ จากนั้นก็เกิดเสียงดังแปะบริเวณหน้าผาก เมื่อเขาฟาดลูกดอกขนนกลงมาบนนั้น แต่ไม่รุนแรงมากนัก ราวกับว่าเจ้าตัวต้องการจะหยอกล้อเพียงเท่านั้น
“อย่าโง่หน่อยเลย ผมอุตส่าห์ดีใจที่คุณฉลาดขึ้นที่รู้ตัวว่าขี้เหร่” เขาหัวเราะสนุกสนาน
ฉันกะพริบตามองเขาอย่างงุนงง รู้สึกสับสนกับแวมไพร์ตรงหน้า ไม่รู้ว่าอารมณ์เขามันจะเป็นแบบไหนได้บ้าง เพราะบางครั้งเขาก็ดูโหดร้ายเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ทว่าบางทีก็ดูอ่อนโยนโดยเฉพาะกับน้องชาย และก่อนหน้านี้เขาดูเป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่ไม่มากก็น้อยตามลำดับ
“หยุดมองผมแบบนั้นได้แล้ว” ว่าจบเขาก็ลากฉันเหมือนลากหมูลากหมา ขณะที่เขาก้าวขาเดินแต่ฉันกลับต้องออกแรงวิ่ง คฤหาสน์ของเขาก็ใช่ว่าอยู่ใกล้ วิ่งหนีมาก็แทบจะหมดแรงแล้ว ยังถูกบีบบังคับให้กลับไปที่นั่นอีก
ไม่เป็นไร...วันนี้เขาจับฉันได้แต่วันหน้าฉันจะหาทางหนีแบบที่เขาไม่รู้ตัวเลย
“ไม่ฉลาดเลยนะ ที่คิดจะหนีคนอย่างลูคัส” เขาหยุดอยู่หน้าห้องที่อยู่ลึกสุดและห่างไกลจากบันไดบนชั้นสี่ของคฤหาสน์ “ถึงแม้ว่าเมื่อเช้านี้คุณจะยั่วอารมณ์ผมมามากแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้ผมอารมณ์ดี จะเปิดโอกาสให้คุณได้พักผ่อนอย่างสบาย เพื่อที่เช้าวันรุ่งขึ้นคุณจะได้มีแรงมารับใช้ผมได้อย่างเต็มที่”
แกร็ก เพียงเขายกมือไว้เหนือลูกบิดสีทอง บานประตูก็เปิดออกราวกับเวทมนตร์
“ขอให้มีความสุขกับการอยู่กับตัวเองนะ อลิซาเบธ” เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำชวนเคลิบเคลิ้ม
ฉันรู้สึกชาไปทั้งตัวเมื่อได้อ่านริมฝีปากคู่นั้นไปพร้อมๆ กับการรับฟังเขาเรียกชื่อฉัน แต่ความรู้สึกนั้นถูกทำลายลงด้วยแรงบีบที่ต้นแขน เมื่อเขาเหวี่ยงฉันจนเสียการทรงตัว ปล่อยให้ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นห้อง ฉันกำหมัดแน่นพลางหันขวับกลับไปมองหมอนั่นอย่างอาฆาต
“คุณไม่ต้องมองผมด้วยแววตาซาบซึ้งความมีน้ำใจของผมขนาดนั้น เดี๋ยวผมจะใจอ่อนรู้ไหม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครมีน้ำใจและอ่อนโยนจนน่าหลงใหลได้เท่าคุณมาก่อนเลยในชีวิต แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ฉันมองคุณด้วยแววตาซาบซึ้งได้อย่างไรกันคะ”
อาจจะเหมือนว่าเราสองคนกำลังพูดกันอย่างอ่อนหวาน แต่เปล่าเลย เพราะฉันต้องกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงฉ่ำหวานแต่สายตากลายเป็นนางยักษ์ ส่วนเขาที่เอ่ยด้วยถ้อยคำอ่อนโยนแต่แววตาแหลมคมจนแทบจะกรีดหัวใจใครได้ รอยยิ้มที่มุมปากนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเย้ยหยันอย่างแจ่มแจ้ง
ปัง ใบหน้าคมคายโมโหร้ายหายไปเบื้องหลังบานประตูที่ถูกปิดลง ฉันมองดูสภาพห้องที่ควรจะสวยได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่กลับเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ทั้งเครื่องเรือนสมัยเรอเนสซองซ์ และเตียงนอนที่ควรจะเป็นสีขาวถูกคลุมไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน หากจะพูดให้ดูน่านอนก็คงต้องกัดฟันบอกว่ามันคือสีครีม
หน้าต่างทรงสูงมีแสงสาดส่องเข้ามาในห้องได้อย่างเต็มที่ หากมองดีๆ แล้วจะรู้ว่าด้านนอกถูกปิดตายไว้ด้วยลูกกรงรูปดอกกุหลาบเกือบจะทุกบาน มีเพียงบานหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางห้องเท่านั้นไม่มีลูกกรงปิดกั้นไว้อยู่ ฉันมองออกไปไกลเห็นพื้นผิวน้ำทะเลอันกว้างใหญ่อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เช่นเดียวกันกับความคิดของฉันในตอนนี้
“ให้มันได้อย่างนี้สิ...อลิซาเบธ” ฉันนั่งลงเอาหลังพิงผนังไว้พลางกอดเข่าแน่น มองไปยังบานประตูอย่างแน่นิ่งอารมณ์เดียวกันกับนกที่ถูกกักขังจนเฉาและใกล้ตรอมใจตาย แต่เลวร้ายยิ่งกว่าเพราะฉันไม่ได้ถูกขังในกรงทองแต่กลับเป็นกองฝุ่น
:::Miss Glamour เจ้าชายอัศวิน เจ้าหุ่นกระบอก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีตาลูคป่าเถื่อนตกหลุมรักลิซซี่แล้วล่ะสิ
ทำเป็นเกลียดและใจรายกับเธอสารพัด แต่สุดท้ายก็ เหอ ๆ ๆ ๆ
หรือว่า รักเพราะอีตานี่กินเลือดลิซซี่ไปแล้วหว่า
แต่ไม่ใช่หรอก รักเพราะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนต่อต้านและต่อปากต่อคำกับมันได้มากเท่านี้ มากกว่า
เอาการ์ดค่ะ
ที่คั่นเอาไว้แจกคนอื่นเถอะค่ะ
ชอบการ์ด
เคยอ่านไปเคยครั้งหนึ่งแล้วแต่ตอนนั้นไม่ได้เม้น หนูขอโทษTT
แต่ยังไม่จบน้า พี่นาตลบไปแย้ว
พอรู้ว่าจะเอามาลงอีก ดีใจมาก ^O^
เคยอ่านแล้วยังอ่านไม่จบ เข้ามาอีกทีลบไปซะก่อน
จะลงอีกมั๊ยอ่ะคะ
พี่น่าจะเปลี่ยนคำว่า
รั้งมือ
เป็นยั้งมือ
จะให้ประโยคที่สวยกว่าค่ะ
เฝ้าวาเลนเซียแน่นอน
(ก็เคยอ่านแล้วนี่หว่า 55+)
แต่แอบหมั่นไส้นิดๆ
แต่ว่าลูคัสต้องมาอยู่ที่หอคอยเพราะอะไรกัน
ฉันนอนหลับไปทีไรจะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทุกที - ตกคำว่า"จำ"ไปค่ะพี่นาต
เมื่อฉันลดมือแลกำลังจะตะโกนด่าลูคัส - และตกสระ -ะ คะ
สู้ สู้นะคะ จะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ
โหดได้อีก... สู้ๆนะจ๊ะพี่นาต ^^
แต่อย่างงี้ก็เร้าใจดี หุหุ -.,- เริ่มหื่นละฉัน พอๆ
อัพต่อโลดดดดดดดดดค่ะพี่นาต
ลูคัสมาทำไรที่หอคอยหรอ
พี่นาตคะ เพลงที่ประกอบตอนนี้ชื่อเพลงอะไรคะ
เพราะมากๆเลย
เกลียดลูคัส!!!
บังอาจมาว่าอลิซาเบธอย่างนี้ได้ยังไง ฮึ่มมม
โกรธนะยะ ชิ เชอะ
สู้เซอร์คัสไม่ได้ น่ารักซะไม่มี(ตกลงน่ารักไหม)
แหะๆ แต่ก็ไม่เถียงนะว่าไม่ชอบพระเอกอย่างลูคัส
เถื่อนดี แต่ลูคัสพูดจาเจ็บแสบมาก
จะว่าเกลียดก็เกลียดแต่ถามว่ารักมั้ยรักสิ
เฮ้อออ สับสน
กรี๊ดมากลูคัสโดนอะไรถึงอยู่บนหอคอย T^T
สงสารลิซซี่จัง TOT
อัพๆนะพี่นาตสู้ๆ ถึงเน็ตจะเต่าก็ต้องสู้ฮ่าๆๆ ^^
ทำไมถึงไปอยู่ที่หอคอย
สรุปนางเอกเราเสียเวอร์จิ่้นแน่อ่ะเปล่าอ่า
งงงง
อิอิ
แต่ไม่เป็นไร
ลูคัสเถื่อนได้ใจจริงๆ
^^
หึหึ
คนอ่านหื่นอีกแว้ววว
-.,-
เพิ่งมาอ่านครั้งแรกค่ะ สนุกดีๆ
ใจร้ายๆๆๆ แต่น่ารักดี 555
ติดตามนะคะ
อัพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพพ