ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหากาพย์แห่งแกลนดาเลเซีย ตอน หุบเขาสายรุ้ง

    ลำดับตอนที่ #1 : เทศกาลแห่งงานฉลอง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 328
      0
      2 มี.ค. 50

    บทที่ 1
    เทศกาลแห่งงานฉลอง

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.. มีนกเค้าแมวสีขาว
    ตัวใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในโพรงของต้นโอ๊คที่ใหญ่ที่สุดซึ่งขึ้นอยู่ใจกลางป่าเบรนวู้ดอันแสนสงบซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้นไปจากทะเลสาปมรกตที่เรียกว่าทะเลสาปมรกตก็เพราะผืนน้ำของทะเลสาปแห่งนี้เป็นสีเขียวใสราวกับมรกต ทะเลสาปนี้อยู่ทางเหนือของเทือกเขาเมฆ  ทางเหนือสุดของทวีปลอแลนเซียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ชื่อว่า แกลนดาเลเซีย
    นกเค้าแมวตัวนี้ชื่อว่า โอลด์ สโม็ค เขาเป็นนกเค้าแมวที่ฉลาดที่สุดและยังเป็นนกเค้าแมวที่มีอายุมากที่สุดในบรรดานกและสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน ป่าเบรนวู้ดด้วย จงอยปากของเขามันเป็นสีเงินมันวับ ขนของเขานุ่มยาวและเป็นสีขาวเหมือนหิมะในฤดูหนาว  ตาทั้งคู่ของเขากลมโตเหมือนนกเค้าแมวทั่วๆไป (อันที่จริงเขาก็เป็นนกเค้าแมวนี่นะ) ตามปกติโอลด์ สโม็คชอบใช้เวลาเกือบตลอดทั้งวันอยู่ในโพรงแสนสบายของตน ซึ่งจะอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน
    นอกจากเรื่องไปหาอาหารแล้ว ก็มีอีกไม่กี่เหตุผลที่โอลด์ สโม็ค จะออกจากโพรงของตน
    ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของนกเค้าแมวแก่ตัวนี้มากนัก  แต่ว่ากันว่าเมื่อครั้งยังที่เขายังหนุ่มๆซึ่งก็นานแสนนานมาแล้ว โอลด์ สโม็ค เคยเดินทางท่องเที่ยวไปไกลมาก ไปไกลจนเลยทะเลสาปมรกตและเทือกเขาเมฆที่อยู่ทางใต้  ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้โอลด์ สโม็ค มีความรอบรู้มากกว่าสัตว์อื่นๆในป่านี้  เพราะว่าเขาได้เห็นโลกกว้างมามากแล้วนั่นเอง
    ป่าเบรนวู้ดเป็นป่าอันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณนานาชนิดและยังเป็นสถานที่ที่แสนจะสงบสุขอีกด้วย  เนื่องจากในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้ไม่มีสัตว์ร้ายอยู่เลยและก็ยังห่างไกลเกินกว่าพวกนายพรานจะมาถึงด้วย  ทำให้บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายสามารถหากินได้อย่างไม่ต้องระแวดระวังอันตรายเหมือนที่อื่นๆ นอกจากบรรดานกและสัตว์ต่างๆแล้ว ในป่าเบรนวู้ด ก็ยังมี พวกเมิรฟอาศัยอยู่ด้วย
        เมิร์ฟเป็นคนตัวเล็กๆหรือไม่อย่างนั้นก็มองดูเหมือนคนเอามากๆ พวกเขาสูงเพียงสามฟุตครึ่ง ผิวค่อนขาว  หูแหลมยาว และบางครั้งพวกเขาก็จะสวมหมวกไม่มีปีกคลุมหูแหลมๆของพวกเขาเอาไว้  ตาของพวกเขากลมโตสีน้ำเงินเข้ม ผมมีสีเขียวเข้มเหยียดตรง แขนค่อนข้างยาว มีนิ้วมือนิ้วเท้าเพียงสี่นิ้ว  พวกเมิร์ฟชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเขียวหรือไม่ก็สีน้ำตาล แต่จะมีผ้าคาดเอวผืนใหญ่เป็นผ้าสีสด ทอเป็นลวดลายแตกต่างกัน โดยลาดลายเหล่านี้จะเป็นลายที่ใช้กันเฉพาะในแต่ละตระกูลเท่านั้น  พวกเมิร์ฟไม่มีอำนาจเวทมนต์ใดๆแต่พวกเขามีความว่องไวอย่างหาตัวจับได้ยากโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในป่า และพวกเขายังพูดคุยกับบรรดานกต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นความสามารถพิเศษของเมิร์ฟทุกคน
       พวกเมิร์ฟอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มกระจายอยู่ทั่วป่าเบรนวู้ด  โดยสร้างบ้านอยู่บนกิ่งของต้นไม้ขนาดใหญ่มากๆซึ่งหาได้ทั่วไป  โดยบางทีต้นหนึ่งๆที่ใหญ่มากๆอาจมีพวกเมิร์ฟสร้างบ้านอยู่ตามกิ่งต่างๆ ถึงห้าครอบครัวเลยทีเดียว
    และแม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในป่า แต่พวกเมิร์ฟก็มีฝีมือในการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
    ได้อย่างสวยงามอีกทั้งบ้านของพวกเขานั้นก็สร้างได้อย่างแสนจะน่าอยู่
    ทุกเช้าพวกเมิร์ฟจะลงมาที่พื้นดิน โดยใช้บันไดเล็กๆซึ่งจะถูกเก็บขึ้นไปในตอนกลางคืน
    พวกเขาลงมาดูแลแปลงพืชผักกับไร่ข้าวสาลีและคอกแพะของพวกเขาหรือไม่ก็จับปลาเทราต์ตัวอ้วนๆจากลำธารไปปรุงเป็นอาหารแสนอร่อย ในตอนสาย เมิร์ฟหลายคนจะนำสินค้าต่างๆไปขายที่ตลาดนัดซึ่งตั้งอยู่ตรงลานโล่งกลางป่า  โดยมีทางเดินทั้งบนพื้นดินและบนยอดไม้ไปถึงลานนี้ได้ เพราะนอกจากพวกเมิร์ฟจะมีบ้านบนต้นไม้แล้ว  พวกเขายังสร้างสะพานเชื่อมคบไม้ใหญ่ๆต่างเข้าด้วยกันเพื่อใช้เป็นเส้นทางไปมาบนนั้นอีกทางหนึ่งด้วย สำหรับการที่พวกเมิร์ฟต้องสร้างบ้านบนต้นไม้นั้นเพราะในสมัยก่อน ก่อนหน้าที่พวกเมิร์ฟจะอพยพเข้ามาอยู่ในป่าเบรนวู้ด ซึ่งนั่นก็นานมากแล้ว  ในตอนนั้นพวกเขายังอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ลงไปจากที่นี่ และมักถูกไฮอีน่ามาก่อกวนพวกเขาบ่อยๆ  สัตว์ร้ายพวกนี้ตัวโตและดุร้ายมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกพวกไฮอีน่าเล่นงานตอนเผลอ  พวกเมิร์ฟจึงสร้างบ้านขึ้นบนต้นไม้และแม้ว่าตอนที่พวกเขาเข้ามาอยู่ในป่าเบรนวู้ดจะไม่เคยมีไฮอีน่าย่างกรายเข้ามาเลยแม้เพียงตัวเดียว และทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีเมิร์ฟคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่เคยเห็นพวกมันอีกแล้วก็ตาม แต่พวกเมิร์ฟส่วนมากก็ยังเคยชินกับการอยู่บ้านบนต้นไม้มากกว่าบนพื้นดิน นอกจากนี้ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่พวกเขาทุกคนไม่เคยมีใครก้าวเท้าออกจากอาณาเขตของเบรนวู้ดเลย  เนื่องจากในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการอย่างครบถ้วน
        จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่พวกเขาต้องออกไปยังโลกภายนอกแต่ถึงอย่างนั้น
    พวกเมิร์ฟก็รู้เรื่องราวของโลกภายนอกจากพวกนกอพยพที่จะมายังเบรนวู้ดทุกปี
    และนั่นยิ่งทำให้พวกนี้รู้สึกว่าเบรนวู้ดนั้นน่าอยู่กว่าโลกภายนอกมากนัก
    หัวหน้าใหญ่ของพวกเมิร์ฟเหล่านี้ ชื่อว่า น็อกซ์
    เขาเป็นเมิร์ฟที่ฉลาดที่สุดและมีอาวุโสมากที่สุดทำให้เขาเป็นที่เคารพยกย่องของเมิร์ฟกลุ่มต่างๆทั่วทั้งเบรนวู้ด อย่างไรก็ดีไม่มีใครรู้เรื่องความเป็นมาที่แท้จริงของเขาเลย
    มีเสียงเล่าลือกันว่าเขานั้นมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ก่อนที่พวกเมิร์ฟจะอพยพเข้ามาที่นี่เสียอีก
    อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็ไม่มีใครยืนยันได้ และทุกครั้งที่มีคนถามน็อกซ์ถึงเรื่องอายุของเขา
    เขาก็ทำแต่เพียงหัวเราะหึๆโดยไม่ตอบอะไร นานเข้าก็ไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้อีก
    บ้านของน็อกซ์อยู่บนคบของต้นไม้ใหญ่ริมลำธารเล็กๆที่น้ำใสแจ๋ว
    สองฝั่งของลำธารมีพุ่มไม้เล็กๆขึ้นเรียงราย บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่น่าอยู่มาก
    ตัวบ้านเป็นสีเทาอ่อนมีหลังคาเป็นสีเขียวเหมือนกับสีของใบไม้ มีหน้าต่างอยู่รอบบ้าน
    ประตูบ้านทาสีครีมเข้ม มีลูกบิดทำด้วยทองเหลืองที่ขัดจนเงาวับ ภายในบ้านปูด้วยพรมนุ่มกับไม้ขัดเงา  ผนังด้านในทาสีขาว ประดับประดาด้วยรูปวาดแบบของเมิร์ฟ
    มีห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลางและห้องเล็กๆแยกออกไปอีกห้าห้อง ตรงห้องโถงมีชุดรับแขกทำจากไม้บุหนังนุ่ม  วางอยู่หน้าเตาผิง น็อกซ์อาศัยอยู่ที่บ้านนี้เพียงคนเดียว แต่เขาก็ไม่เหงาเลย
    เพราะจะมีพวกเมิร์ฟที่เป็นลูกบ้านแวะมาเยี่ยมเสมอเพื่อขอคำแนะนำดีๆในเรื่องต่างๆจากเขา
    หรือบางครั้งพวกเด็กๆก็จะมารวมกลุ่มกันที่บ้านของน็อกซ์เพื่อฟังนิทานเก่าแก่จากดินแดนอันไกลโพ้น  อย่างเรื่องราวของพวกเอลฟ์ที่งามสง่า เรื่องของคนแคระกับของวิเศษของพวกเขา
    เรื่องของเจ้าชายหรืออัศวินที่กล้าหาญเข้าต่อสู้กับมังกรร้าย เพื่อปกป้องเจ้าหญิงผู้เลอโฉม เป็นต้น
            ในป่านี้มีเพียงโอลด์ สโม็คเท่านั้น ที่น็อกซ์ยอมรับว่า ฉลาดพอๆกับเขา
    และทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ไม่มีใครรู้อีกนั่นแหละว่าน็อกซ์กับโอลด์
    สโม็ครู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะไม่มีใครในป่าที่แก่พอๆกับสองคนนี่เลย
    ทุกๆพลบค่ำวันอาทิตย์ น๊อกซ์ จะเชิญ โอลด์สโม็คมาร่วมสังสรรค์กินน้ำชาที่บ้านต้นไม้ของเขาเสมอ และทำไมต้องเป็นพลบค่ำน่ะหรือ ก็เพราะว่า การตื่นเช้าเป็นปัญหาของนกเค้าแมวเสมอ
    แม้ว่าจะเป็นนกเค้าแมวที่ฉลาดที่สุดก็เถอะตาม ฉะนั้นในตอนค่ำของวันอาทิตย์หากใครก็ตามผ่านไปทางนั้น หรือใครก็ตามที่มีบ้านอยู่แถวนั้น จะได้ยินเสียงของทั้งสองสนทนากันจนดึกดื่นเสมอ
    บางครั้งพวกเขาก็ร้องเพลงที่มีเนื้อหาถึง เรื่องราวการผจญภัยในดินแดนทางใต้อันห่างไกลที่พวกเขาเคยไปพบมา
         ในตอนพลบค่ำวันอาทิตย์ของสัปดาห์ที่สองก่อนถึงวันสิ้นปี ตามศักราชของเบรนวู้ด โอลด์
    สโม็คมาเยี่ยมเยียนสหายและร่วมดื่มน้ำชาด้วยตามปกติ อากาศค่อนข้างจะเย็นเพราะเข้าใกล้ฤดูหนาวแล้ว แต่ในบ้านของน็อกซ์อบอุ่นสบายเพราะความร้อนจากเตาผิง
    น็อกซ์นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้นวมที่บุด้วยหนังแพะฟอกอย่างดี ขณะที่โอลด์
    สโม้คเกาะบนขอนไม้ที่ขัดจนเงาวับและหุ้มด้วยหนังนุ่มๆซึ่งน็อกซ์เตรียมไว้ให้เป็นพิเศษสำหรับสหายนกเค้าแมวของเขา  ทั้งคู่จิบน้ำชากินขนมเค็กน้ำผึ้งโรยเมล็ดอัลมอนด์กับพายไส้หัวหอมกับเนื้อปลาบดซึ่งเป็นของโปรดของโอลด์  สโม้ค และสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆในป่าที่ผ่านมาในหนึ่งปี  ตั้งแต่เรื่องของดอกแดนดิไลออนที่บานเป็นดอกแรกของปีนี้ไปจนถึงจ่าฝูงตัวใหม่ของพวกกวางในฤดูกาลใบไม้ร่วงที่กำลังจะผ่านไป หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ช่วงหนึ่งของการสนทนา โอลด์ สโม็ค  ได้เอ่ยกับสหายของตนว่า
    "
    นี่แน่ะ สหาย ข้าอดสงสัยไม่ได้เลยว่า  พวกเจ้าไม่รู้สึกลำบากกับการที่ต้องอยู่บนต้นไม้บ้างหรืออย่างไร โดยเฉพาะ  ข้าว่าการที่ต้องดึงบันไดเพื่อใช้ขึ้นลงทุกวันแบบนี้ มันดูไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่เลยนะ"
    น็อกซ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี " แต่พวกข้าก็อยู่กันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว
    และก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากตรงไหนนี่นะ ข้าว่า อันที่จริงแล้วการอยู่บนต้นไม้แบบนี้   มันก็มีข้อดีอยู่ตั้งหลายอย่าง ทั้งแสนจะเย็นสบายและอากาศก็บริสุทธิ์
    แถมเรายังจะมองเห็นทิวทัศน์สวยๆไกลๆได้อีกด้วย ที่สำคัญ ยามที่มีอันตรายมา
    พวกเราก็จะรู้ตัวกันก่อน"
    "
    อันตรายรึ ! " นกเค้าแมวเฒ่าอุทาน " ตั้งแต่ข้าเข้ามาอยู่ที่นี่
    ข้ายังไม่เคยเห็นอันตรายเลยสักครั้งเดียว ถ้าเจ้าจะหมายถึงพวกไฮอีน่าหรือหมาป่า
    ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นพวกมันก็ตั้งนานมาแล้วและห่างเลยที่นี่ไปตั้งเป็นร้อยๆไมล์ด้วยซ้ำ"
    "
    ที่เจ้าว่ามาก็จริงอยู่ แต่พวกเมิร์ฟเราอยู่บนต้นไม้กันมาตั้งนานแล้ว
    ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในป่านี้เสียอีก และการจะให้เมิร์ฟลงไปอยู่บนพื้นดินน่ะ ข้าว่ามันยาก
    พอๆกับจะให้ปลาขึ้นมาอยู่บนบกเชียวนะ" น็อกซ์กล่าว " ว่าแต่ทำไม
    จู่ๆเจ้าถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เห็นเจ้าจะเคยสนใจนี่นา"
    "
    บอกตามตรงเลยนะสหาย หลายปีมาเนี่ย เด็กๆของพวกเจ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้น และพวกเมิร์ฟเด็กๆแสนซนพวกนี้ ก็อยู่ไม่สุขเสียด้วย   พวกมันวิ่งเล่นเจี๊ยวจ้าวกันบนต้นไม้รบกวนการนอนของข้ากับพรรคพวกมากเหลือเกิน" โอลด์ สโม็ค  พูดพร้อมกับก้มลงจิบน้ำชาในถ้วย
    "
    เรื่องแค่นี้ เอง "น็อกซ์ว่าพร้อมกับหัวเราะ"แล้วเจ้าก็พูดอารัมภบทเสียยืดยาว เอาเถอะ
    แล้วข้าจะบอกให้พ่อแม่ของพวกนั้นห้ามลูกๆ ว่าอย่ามาวิ่งเล่นส่งเสียงดังแถวโพรงต้นไม้ของพวกนกเค้าแมว  ดีไหมล่ะ"
    "
    เช่นนั้น ก็วิเศษแท้ สหาย"โอลด์ สโม้ค ยิ้มอย่างพอใจที่ต่อไปนี้เขาจะได้นอนเต็มอิ่มเสียที
    นกเค้าแมวเฒ่ากินเค้กน้ำผึ้งอีกชิ้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนาเข้าสู่หัวข้อใหม่"
    อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว เจ้าคิดเอาไว้หรือยังว่า ปีนี้จะจัดงานฉลองกันอย่างไร"
    "
    ปีนี้ ข้าตั้งใจจะจัดงานให้ใหญ่กว่าปีก่อนๆ" น็อกซ์ว่า "เพราะ  ข้าจะจัดงานฉลองการเก็บเกี่ยวด้วย"
    "
    เออ จริงสินะ ข้านึกขึ้นได้ว่า ปีนี้ครบรอบสิบสองปีของพวกเมิร์ฟ พอดี และก็ทุกปีใหม่ของปีที่สิบสอง ในแต่ละรอบ พวกเจ้าก็จะฉลองการเก็บเกี่ยวรวมกับงานปีใหม่ไปด้วย"โอลด์
    สโม้ค พูด
    "
    ใช่แล้วล่ะ แล้วปีนี้ พวกเราก็เก็บเกี่ยวพืชผลได้มากเป็นประวัติการณ์ ฉะนั้น
    งานฉลองคราวนี้จะต้องพิเศษกว่าทุกๆปีแน่ๆ"น็อกซ์พูด
    นกเค้าแมวเฒ่าฟังสหายพูดพร้อมกับจิบน้ำชาไปด้วยขณะที่ฟังอีกฝ่ายหนึ่งพูด แต่ก่อนที่โอลด์
    สโม้คจะเอ่ยอะไรต่อ ก็มีเสียงเคาะ ก๊อกๆๆ ดังมาจากประตูบ้าน ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา
    "
    ดูเหมือนว่า เราจะมีแขกมานะ"น็อกซ์เอ่ยพร้อมกับวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
    "
    ใครกันนะ ที่มารบกวนเวลาน้ำชาในยามค่ำคืนแบบนี้"โอลด์ สโม็คว่า
    "
    ข้าจะไปดูเสียหน่อย" น็อกซ์พูดก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านรับผู้มาเยือน
    "
    ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน"นกเค้าแมวหนุ่มกล่าวกับเจ้าของบ้านด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
    "
    เจ้าเองหรือ ร็อค มีธุระอะไรถึงมาที่นี่"น็อกซ์กล่าว
    "
    ขอโทษที่ข้ามารบกวนท่านในยามดึกแบบนี้ "ร็อคกล่าว" แล้วไม่ทราบว่า ท่านผู้เฒ่าโอลด์
    สโม็ค อยู่ด้วยหรือเปล่าครับ "นกเค้าแม้วหนุ่มถาม
    "
    เขาอยู่ข้างในน่ะ เข้ามาก่อนสิ เรากำลังดื่มน้ำชากันอยู่พอดี"
    น็อกซ์พูดพร้อมกับเบี่ยงตัวให้นกเค้าแมวหนุ่มเข้ามา ก่อนที่เขาจะปิดประตูบ้าน
    "
    มีธุระอะไรกับข้าหรือ ร็อค "โอลด์ สโม้ค ร้องถามเมื่อเห็นหน้าผู้มาใหม่
    "
    ข้าเจอเรื่องประหลาดน่ะครับ เลยรีบมาบอกพวกท่านทั้งสอง "ร็อค นกเค้าแมวหนุ่ม
    พูดด้วยน้ำเสียงที่มีอาการตื่นเต้นปนเหนื่อยหอบ
    "
    เรื่องอะไรหรือ " น็อกซ์และโอลด์ สโม้ค ถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน
    "
    เมื่อหัวค่ำ ข้าบินออกไปหากินที่ทางด้านโน้น" ร็อคชี้ไปไกลทางใต้ "
    ข้าเห็นแสงไฟวอบแวมอยู่ที่ชายทุ่งหญ้านอกป่าออกไป จึงบินออกไปดู ก็เห็นพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ไกลๆ  ก็เลยรีบมาบอกท่าน"
    "
    มนุษย์หรือ" โอลด์ สโม้คอุทานอย่างประหลาดใจ "ไม่เคยมีมนุษย์ข้ามทะเลสาปมรกตมาก่อนเลยนี่นา เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ตาฝาด"
    "
    แน่ใจครับ แม้ว่าพวกนั้นจะอยู่ไกลแต่ ข้าก็เห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน" ร็อคยืนยัน
    "
    นี่คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วล่ะ" น้อกซ์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก
    การที่รู้ว่ามีมนุษย์มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆกับ ป่าเบรนวู้ด ทำให้เมิร์ฟชรารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่
    "
    ข้าว่าเราคงต้องไปบอกเรื่องนี้กับทุกๆคนแล้ว"
    โอลด์ สโม้คเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่ายจึงสั่งให้ ร็อค นกเค้าแมวหนุ่มไปแจ้งข่าวนี้กับบรรดานกทั้งหลายเพื่อให้ช่วยกระจายข่าวให้สัตว์ต่างๆในป่ารวมทั้งพวกเมิร์ฟได้รู้ด้วย
    ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ที่ลานกว้างหน้าต้นไม้ใหญ่อันเป็นที่ตั้งบ้านของน็อกซ์
    พวกเมิร์ฟจำนวนมากมาชุมนุมกันที่นั่น แต่ละคนมีสีหน้าไม่สบายใจนัก
    พวกเขารู้ข่าวเรื่องมนุษย์เข้าใกล้ป่าจากพวกนกตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
    หลายคนจึงมารวมตัวกันที่นี่เพื่อปรึกษากับหัวหน้าของพวกเขา
    เมื่อน็อกซ์เปิดประตูบ้านออกมา เขาก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นบรรดาลูกบ้านของเขามารวมตัวกัน
    "
    ท่านผู้เฒ่า, จริงอย่างที่พวกนกมันบอกหรือเปล่าว่า มีมนุษย์กำลังบุกรุกเข้ามาในป่าของพวกเรา"
    เมิร์ฟคนหนึ่งร้องถามทันที เมื่อเห็นหน้าของน็อกซ์
    "
    แล้ว พวกเขาจะทำอะไรพวกเราหรือเปล่า" เมิร์ฟอีกคนหนึ่งถามบ้างด้วยน้ำเสียงหวั่นวิตก
    "
    พวกเราจะทำอย่างไรกันดี "อีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นบ้าง
    จากนั้นเมิร์ฟแต่ละคนก็ส่งเสียงกันเซ็งแซ่ ฟังไม่ได้ศัพท์ พวกนี้ต่างวิตกกังวลเมื่อรู้ว่า
    จะมีพวกมนุษย์เข้ามาในเบรนวู้ด แม้ว่าในหมู่พวกเขานอกจากน็อกซ์ แล้วจะไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์มาก่อน
       แต่พวกเมิร์ฟทุกคนก็เคยได้ยินเรื่องของมนุษย์จากตำนานเก่าๆที่เล่าต่อๆกันมาและยังมีคำบอกเล่าจากพวกนกอพยพที่จะแวะมาที่เบรนวู้ดทุกปีด้วย ซึ่งในเรื่องราวเล่ามานั้น ก็จะเล่าถึงความโหดร้ายของมนุษย์เอาไว้ด้วย  โดยบอกว่าพวกมนุษย์นั้นร้ายกาจยิ่งกว่าหมาป่าและไฮอีน่าเสียอีก
    พวกเขาชอบต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นๆอย่างโหดร้ายและก็ยังต่อสู้กันเองด้วย
    พวกเขาหิวกระหายและละโมบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นจอมตะกละที่น่ากลัว ที่ใดที่พวกมนุษย์ไปถึงก็จะมีแต่ความวุ่นวายและเดือดร้อนไปทั่ว
    "
    ทุกคน หยุด!" น็อกซ์ ร้องขึ้นพร้อมกับเคาะไม้กับเกราะที่แขวนอยู่ที่หน้าประตูบ้านดัง ก๊องๆๆ
    สามที เพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ทำให้ทั้งหมดต่างเงียบเสียงลงในทันที
    "
    ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าทุกคน ต้องแตกตื่นกันเกินไป" น็อกซ์ พูดช้าๆ
    พร้อมกับกวาดตามองดูบรรดาผู้ที่มาชุมนุมอยู่ " เป็นความจริง
    เรื่องที่มีมนุษย์เข้ามาใกล้ป่าเบรนวู้ด แต่พวกเขาก็ยังอยู่ไกลจากที่นี่มาก
    และบางทีก็อาจจะไม่ได้เข้ามาที่นี่ก็ได้ เพียงแต่ในเวลานี้
    ข้าต้องการให้พวกเจ้าระมัดระวังตัวกันให้มากขึ้นสักหน่อยเท่านั้น
    อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะรู้แน่ชัดว่ามนุษย์พวกนั้นจะเข้ามาในเบรนวู้ดหรือไม่"
    "
    แล้วตอนนี้พวกเราจะต้องทำอย่างไรบ้างล่ะ ท่านผู้เฒ่า" เมิร์ฟหนุ่มคนหนึ่งถาม
    "
    ข้าอยากให้พวกเจ้าทุกคนอยู่ในความสงบ อย่ากังวลจนเกินกว่าเหตุ"
    น็อกซ์กล่าวอย่างช้าๆ"ข้าจะให้คนที่แข็งแรงที่ว่องไว จำนวนหนึ่งไปคอยสังเกตการณ์ที่ชายป่าด้านใต้  เพื่อดูว่าพวกมนุษย์กำลังจะทำอะไรบ้าง "น็อกซ์พูด " ดรุก, เอิล,ฮอป,และ กูฟ
    ข้าจะให้พวกเจ้าสี่คนรับหน้าที่นี้ ทันทีที่เห็นพวกมนุษย์เหยียบย่างเข้ามาในเบรนวู้ด
    ให้รีบกลับมาบอกข้าทันที"
    เมิร์ฟหนุ่มทั้งสี่ก้าวออกมาจากกลุ่มเมิร์ฟที่ชุมนุมกันอยู่ และรับคำสั่งก่อนจะกลับไปเตรียมตัวเพื่อเดินทางในทันที หลังจากนั้น น็อกซ์ก็สั่งให้ทุกๆคนกลับกันไปได้
    พวกเมิร์ฟต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน แม้ว่าบางคนจะยังรู้สึกไม่สบายใจนักก็ตาม ……
    หลายวันต่อมา เมื่อวันสิ้นปีใกล้มาถึง   บรรดาเมิร์ฟทั้งหลายต่างก็วุ่นวายกับการเตรียมงานฉลองรับเทศกาลปีใหม่และการเก็บเกี่ยวพืชผล  ประกอบกับไม่มีใครที่เห็นพวกมนุษย์อีก พวกเขาจึงลืมความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ไป  ซึ่งนี่ก็เป็นนิสัยของเมิร์ฟส่วนใหญ่ที่มักจะวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆได้ง่ายๆแต่ก็จะลืมเรื่องพวกนั้นไปได้อย่างง่ายๆเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า อย่างเรื่องงานฉลองปีใหม่เข้ามาแทนที่
        ที่ริมลำธารเล็กๆกลางป่า เมิร์ฟหนุ่มคนหนึ่งนั่งตกปลาอยู่ตามลำพัง เมิร์ฟคนนี้ชื่อว่า ว็อคเกอร์
    เขามีอาชีพเป็นนักแสดงกลเหมือนกับที่พ่อและปู่ของเขาและบรรพบุรุษก่อนหน้านั้นเป็น ตระกูลของว็อคเกอร์  มีอาชีพแสดงกลต่อๆกันมาถึงเจ็ดชั่วอายุคนแล้ว หลังจากพ่อของเขาล้มป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน   หนุ่มว็อคเกอร์ ก็รับมรดกทั้งหมดของตระกูลแต่เพียงคนเดียว
    และตั้งแต่ตอนนั้นเองที่ว็อกเกอร์พบว่าอาชีพนักแสดงกลไม่ใช่อาชีพที่ทำเงินได้มากนัก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาไม่ใช่นักมายากลที่มีประสบการณ์สูง(ว็อกเกอร์เชื่อว่าตัวเขามีพรสวรรค์ทางด้านนี้มากพอแต่ยังขาดประสบการณ์นิดหน่อยเท่านั้น)
    ดังนั้นในยามว่างจากงานแสดง ซึ่งที่จริงเขาก็มักจะมีเวลาที่ว่างค่อนข้างบ่อย
    ว็อกเกอร์ก็จะจับปลาและปลูกพืชผักเพื่อหารายได้เสริมเลี้ยงตัวเองด้วย
    ในตอนนี้ขณะที่นั่งรอปลากินเบ็ดอยู่นั้น  เมิร์ฟหนุ่มก็กำลังคิดไปด้วยว่าเขาจะเตรียมการแสดงกลอะไรดีสำหรับงานฉลองปีใหม่และเทศกาลครบรอบเก็บเกี่ยว
    ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดมาโดยตลอดในหลายวันที่ผ่านมา
    เนื่องจากในทุกๆปีนักมายากลจากทั่วเบรนวู้ดจะมาประลองฝีมือกันในงานฉลองปีใหม่
    ผู้ชนะจะได้ครองตำแหน่งราชาแห่งนักมายากลของปีนั้นและทำให้ค่าตัวในการแสดงแต่ละครั้งตลอดทั้งปีนั้นของเขาคนนั้นเพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัวด้วย สมัยก่อนพ่อกับปู่และบรรพบุรุษของเขาเคยชนะการประลองมาหลายครั้ง
       แต่มาถึงตัวของเขาเอง ว็อคเกอร์ยังไม่เคยชนะการประลองเลยสักครั้งเดียว
    ว็อคเกอร์จึงตั้งใจว่าในงานฉลองใหญ่ที่จะมาถึงนี้  เขาจะต้องชนะให้ได้เพื่อที่เขาจะได้ครองตำแหน่งราชาแห่งนักมายากลบ้าง
    ขณะที่ เมิร์ฟหนุ่มกำลังใช้ความเพลินๆกับคิดหาการแสดงที่พิเศษๆสำหรับเข้าประลองในงานปีใหม่อยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดดังมาจากบนต้นไม้
    "
    เฮ้ แน่จริง ก็จับเราให้ได้สิ"
    แม้ว่ายังไม่เห็นตัว ว็อกเกอร์ก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงของ จินและมิน สองอีกาคู่หูตัวแสบ
    เขาคิดว่าเจ้าสองตัวคงจะไปขโมยของของใครและถูกเจ้าของเขาไล่ตามมาอีกแน่ๆ
    ครู่ต่อมาว็อกเกอร์ก็เห็น อีกาสองตัวนั่นบินผ่านหัวเขาไปพร้อมกับมีเสียงของหนักๆบางอย่างขย่มอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัวของเขาจนใบไม้ร่วงกราวลงมา ยังไม่ทันที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปดู หินก้อนใหญ่ก็หล่นตูมลงมาตรงหน้าเขาพอดี  ทำให้น้ำบริเวณนั้นกระจายเปียกเสื้อผ้าและหน้าตาของเขาจนชุ่มไปหมด
      ว็อกเกอร์เช็ดน้ำออกจากหน้าและพบว่าไม่ใช่ก้อนหินหรอกที่ตกลงข้างหน้าเขา แต่กลับเป็น กร็อดเพื่อนของเขาเอง
    "
    คอยดูเถอะน่า! สักวันข้าจะจับพวกเจ้ามาถอนขนให้เหี้ยนเลย "กร็อดชูกำปั้นเร่าๆและร้องตะโกนอย่างเจ็บใจไปยังทิศทางที่อีกาสองตัวนั่นบินหายไปก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย
    กร็อดค่อยๆหันกลับมาและพบกับว็อกเกอร์ที่นั่งหน้าบึ้งอยู่บนโขดหินริมลำธาร กร็อดทำหน้ายิ้มแหยๆเมื่อเห็นสายตาทมึงทึงของอีกฝ่ายที่มองมา
    "
    เออ สวัสดี ว็อกเกอร์ เช้าวันนี้  อากาศดีจังนะ"เขาออกปากทักทายอย่างพยายามทำให้ดูร่าเริงแม้ว่าจะดูกร่อยเต็มที
    "
    เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ! ดูสิทำเอาข้าเปียกไปหมดทั้งตัวแถมยังทำให้พวกปลาหนีไปหมดอีก"
    ว็อกเกอร์พูดอย่างมีโมโห
    "
    ใจเย็นๆก่อนซี อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ปลาของเจ้าหนีไปหรอกนะแต่ไอ้เจ้าจินกับมินน่ะสิ  เมื่อกี้พวกมันมาแอบกินเมล็ดทานตะวันเคลือบน้ำตาลที่ข้าจะเอาไว้โรยหน้าเค้กจนหมดเลย  ข้าโกรธก็เลยวิ่งไล่มันมาตามกิ่งไม้ตั้งแต่ตรงโน้น" กร็อดชี้มือไปส่งเดชเพื่อประกอบเรื่องของเขาให้มีมความน่าสนใจมากขึ้น" แล้วข้าก็มาถึงต้นโอ๊คต้นนี้ท่าทางอากาศของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะผ่านไป  คงทำให้กิ่งก้านของมันเปราะเกินไปจนรับน้ำหนักตัวข้าเอาไว้ไม่ได้
    พอตอนที่ข้ากำลังกระโดดจากกิ่งหนึ่งเพื่อจะข้ามไปฝั่งโน้น มันก็เลยหักเป๊าะ
    แล้วข้าก็เลยหล่นตูมลงมานี่แหละ" กร็อด อธิบายยืดยาว
    "
    แต่ข้าว่า ที่กิ่งโอีคหักลงมา คงเป็นเพราะเจ้ากินเค้กน้ำผึ้งมากเกินไปจนน้ำหนักเพิ่มมากกว่า"
    ว็อกเกอร์ว่า  ด้วยสีหน้าที่ยังทำเป็นบึ้งอยู่แม้เขาจะหายโกรธไปตั้งกว่าครึ่งแล้วเมื่อได้ฟังคำพูดของกร็อด
    "
    ก็ ช่วยไม่ได้นี่นา"กร็อดว่า" เมื่อวันก่อน แม่ข้าจัดงานเลี้ยงน้ำชาพวกญาติๆ  แล้วก็เตรียมเค้กไว้ตั้งเยอะ แต่พวกเขากลับไม่มาตามกำหนด เค้กก็เลยเหลือตั้งมากมาย  ถ้าจะทิ้งไปก็น่าเสียดาย แล้วเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเค้กน้ำผึ้งเนี่ยเก็บไว้นานๆรสชาติก็ไม่อร่อย.."
    "
    เจ้าก็เลยกินเสียหมด"ว็อกเกอร์ต่อให้
    เมิร์ฟร่างอ้วน ยิ้มอย่างกว้างขวาง "เจ้าก็รู้นี่ว่า ข้าเป็นคนที่เห็นคุณค่าของ
    ของกินมากแค่ไหน"
    "
    แต่ข้าว่า ถ้าเจ้าเห็นคุณค่าของของกินมากเกินไปล่ะก้อ  สักวันคงไม่มีกิ่งของต้นไม้ต้นไหนในเบรนวู้ด รับน้ำหนักตัวเจ้าได้แน่" ว็อกเกอร์พูด
    กร็อดเอานิ้วชี้ถูที่จมูกแรงๆ ก่อนจะจามออกมา" อะฮ้าแบบนี้สิค่อยจมูกโล่งขึ้นมาหน่อย"
    กร็อดพูดก่อนจะนั่งลงบนโขดหินริมลำธาร"อย่าไปสนใจกับเรื่องไร้สาระอย่างน้ำหนักตัวของข้ากับกิ่งไม้เปราะๆพวกนั้นหน่อยเลยน่า ว่าแต่ทำไม  จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังมานั่งตกปลาอยู่แบบนี้อีกล่ะ"
    "
    แล้วทำไมหรือ ไม่ให้ข้ามานั่งตกปลา จะให้ข้าไปไล่จับนกกากับเจ้าหรือไง" ว็อกเกอร์ย้อนถาม
    "
    ม่ายช่ายยย" กร็อดส่ายหน้า " ข้าสงสัยว่า ตอนนี้ก็ใกล้ถึงงานฉลองปีใหม่แล้ว
    เจ้าไม่เตรียมฝึกซ้อมสำหรับการประลองมายากลของปีนี้หรอกหรือ "
    "
    ข้ากำลังคิดอยู่ว่าปีนี้ข้าจะแสดงอะไรดี"ว็อกเกอร์ตอบ
    "
    แล้วเจ้าคิดได้แล้วหรือยังล่ะว่าปีนี้จะแสดงอะไร "กร็อดถามต่อ
    ว็อกเกอร์เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของกร็อด ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า"ก็ไม่รู้สิ
    บางทีอาจจะเป็นกลเสกนกพิราปออกจากหมวกหรือไม่ก็กลห่วงไฟลอยฟ้า ล่ะมั้ง ข้าว่า มันก็น่าจะไม่เลวนะ"
    กร็อดทำคอย่น " ถ้าเป็นเรื่องนกพิราป  ข้าว่ามันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนักหรอกถึงจะฟังดูธรรมดาไปนิดนึงก็เถอะ แต่ถ้าเจ้าจะเล่นกับอุปกรณ์ไฟล่ะก้อ ข้าว่าอย่าจะดีกว่า เจ้ายังจำได้ไหม เมื่อปีก่อน  กลนกเพลิงของเจ้าเกือบจะทำเอาบ้านของพวกครักไหม้ไปทั้งหลัง โชคดีที่ช่วยกันดับไฟได้ทันเสียก่อน  แต่ถึงอย่างนั้น จนเดี๋ยวนี้ เจ้ากับพวกครักก็ยังมองหน้ากันไม่ติดเลย บอกตามตรงนะ  ข้าไม่คิดว่าการเล่นกลไฟจะเป็นความคิดที่ดีนักหรอก"
    "
    แต่ข้าว่า กลไฟ มันเป็นกลที่ท้าทายกว่ากลอื่นๆนะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ในตอนกลางคืน
    มันก็เรียกร้องความน่าสนใจได้อย่างดีด้วย " ว็อกเกอร์ เริ่มสนใจกับความคิดของตัวเองเกี่ยวกับการเล่นกลห่วงไฟ
    "
    เชื่อข้าเถอะ ปีนี้เจ้าอย่าเล่นกลไฟอีกเลย ยกเว้นเจ้าจะอยากเผาบ้านของใครอีก"
    กร็อดรีบสรุปพร้อมกับห้ามไปด้วยแต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะไม่ฟังสักเท่าไหร่….
    หลายวันผ่านไปจนในที่สุดวันสิ้นปีก็มาถึง ในตอนเย็นของวันนั้นเอง
    บ้านทุกหลังของพวกเมิร์ฟในเบรนวู้ด ถูกตกแต่งประดับดาด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม
    ลานโล่งกลางป่าที่ตามปกติใช้เป็นตลาดนัดถูกแปรสภาพเป็นลานสำหรับจัดงานเลี้ยงฉลอง
    กระโจมสีสวยสดหลายหลังของผู้ที่มีหน้าที่เตรียมงานถูกกางอยู่รอบๆลาน ผัก ผลไม้ ปลา เนื้อสัตว์  แป้งสาลีและน้ำผึ้งจำนวนมากถูกลำเลียงมาเพื่อใช้ประกอบอาหาร
    ขณะที่โต๊ะยาวหลายตัวถูกนำมาวางในที่ที่จัดเตรียมไว้
    ก่อนเวลาค่ำจะมาถึง คบไฟจำนวนมากถูกนำมาปักไว้ตามจุดต่างๆทั่วลานกว้าง
    มีการสร้างเวทีขนาดใหญ่ประดับด้วยดอกไม้และพืชผลชนิดต่างๆ ในกระโจมเตรียมงาน
    บรรดาพ่อครัวต่างวุ่นวายกับการเตรียมอาหารสำหรับงานฉลอง
    แพะหลายสิบตัวและปลาจำนวนมากถูกย่างบนกองไฟโดยมีการทาเนยและเครื่องเทศจนส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่ว  ขณะที่ขนมพายสารพัดไส้และเค้กน้ำผึ้งอันเป็นของหวานที่พวกเมิร์ฟโปรดปรานจำนวนหลายร้อยอันก็ถูกนำเข้าไปอบในเตา
    มีการนำเอาผ้าสีขาวสะอาดผืนใหญ่มาปูลงบนโต๊ะยาวหลายตัวที่อยู่ในลาน
    อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วพร้อมกับเครื่องดื่มและผลไม้หลายชนิดถูกทยอยนำมาวางเรียงราย
    มีการใช้ริบบิ้นและโบว์หลากสีมาประดับต้นไม้ที่อยู่โดยรอบอย่างสวยงาม
    ตกกลางคืน คบไฟทุกอันถูกจุดจนลานแห่งนั้นสว่างไสวเหมือนเวลากลางวัน
    พวกเมิร์ฟทั้งเด็กและผู้ใหญ่เริ่มทยอยเข้ามาในงานกันเรื่อยๆ
    จนดูเหมือนว่าเมิร์ฟทั้งเบรนวู้ดจะมาชุมนุมกันที่นี่ ทุกๆคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
    เสียงพูดคุยสลับหัวเราะดังอยู่ตลอดเวลา บนยกพื้นทางด้านขวาของเวที
    ถูกเตรียมไว้สำหรับเมิร์ฟที่ทำหน้าที่นักดนตรีซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส
    ทางด้านหน้าเวทีมีการนำเอาเก้าอี้สำหรับเหล่าหัวหน้ากลุ่มเมิร์ฟทุกกลุ่มในเบรนวู้ดมาวางไว้
    โดยมีเก้าอี้พิเศษสำหรับน็อกซ์ตั้งอยู่ด้านหน้าและมีคอนสำหรับโอลด์
    สโม้คซึ่งถือเป็นแขกพิเศษของงานตั้งอยู่ข้างๆด้วย และเมื่อพระจันทร์ปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้า
    เมิร์ฟทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่หน้าเวทีรวมทั้งโอลด์ สโม้คที่มาถึงหลังฟ้ามืดเล็กน้อย น็อกซ์
    หัวหน้าของพวกเมิร์ฟเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ ในวันนี้เมิร์ฟเฒ่าสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินเหลือบแดง พร้อมกับหมวกประดับด้วยขนนกยาวสีแดงสดซึ่งจะใส่เฉพาะในงานสำคัญเท่านั้น
    ทุกคนต่างเงียบเสียงเพื่อฟังน็อกซ์กล่าวสุนทรพจน์สั้นๆเพื่อเปิดงานฉลอง
    "
    ลูกหลานชาวเบรนวู้ดทั้งหลาย เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคนได้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้
    เนื่องจากวันนี้เป็นนิมิตอันดีที่เราทุกคนจะได้ร่วมฉลองให้กับปีใหม่ที่จะมาถึงรวมทั้งฉลองงานครบรอบการเก็บเกี่ยวพืชผลของพวกเราด้วย สุดท้ายนี้ ขอให้ความสงบสุขและความอุดมสมบูรณ์จงอยู่คู่กับ เบรนวู้ด ตลอดไป"
    เมื่อน็อกซ์กล่าวจบ เมิร์ฟทั้งหลายต่างส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างยินดี
    บรรดานักดนตรีก็บรรเลงเพลงเป็นสัญญาณเริ่มการฉลองอย่างเป็นทางการ ก่อนที่การแสดงอันดับแรกจะเริ่มขึ้น โดยในช่วงหัวค่ำ จะเป็นการแสดงกายกรรมและละครสัตว์ หลังจากนั้นจะเป็นการแสดงละครเพลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนานและนิทานพื้นบ้านของเบรนวู้ด
    หลังการแสดงกายกรรมซึ่งเป็นรายการแรกได้เริ่มขึ้น
    ก็มีเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของผู้ชมที่อยู่หน้าเวทีดังขึ้นเป็นระยะๆตลอดเวลา
      ที่ด้านหลังเวที มีกระโจมหลังเล็กๆของพวกนักมายากลที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก  ในกระโจมสีเขียวมีลายทางสีฟ้าหลังหนึ่ง ว็อกเกอร์กำลังวุ่นวายกับการเตรียมการแสดงของตน  ก่อนที่การประลองมายากลจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ วันนี้ว็อกเกอร์สวมเสื้อคลุมสั้นสีดำขลิบขาว พร้อมกับหมวกยอดแหลมไม่มีปีกสีดำ อันเป็นเครื่องแต่งตัวของนักมายากลโดยเฉพาะ ที่ด้านหน้าหมวกมีดาวสีขาวติดอยู่หนึ่งดวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักมายากลอาชีพขั้นที่หนึ่ง  ซึ่งจำนวนดาวบนหมวกจะบอกถึงลำดับขั้นฝีมือของนักมายากลคนนั้น
    โดยดาวหนึ่งดวงถือเป็นขั้นที่น้อยที่สุดและดวงห้าดวงเป็นขั้นสูงสุด
    ว็อกเกอร์ถอดหมวกออกมาและดูดาวที่หมวกอย่างไม่พอใจนักก่อนจะใส่ไว้เหมือนเดิมและเปิดหีบอุปกรณ์หยิบคฑาขึ้นมาจากหีบ พลิกไปมาเพื่อดูความเรียบร้อยก่อนจะใส่มันเข้าไปใต้หมวก
    "
    เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะแสดงกลห่วงไฟจริงๆน่ะ"กร็อดที่นั่งอยู่ด้วยถามขึ้น
    เขาเพิ่งกินเค้กชิ้นที่ห้าหมดไปก่อนจะแวะมาหาเพื่อนที่กระโจม
    "
    แน่ใจสิ"ว็อกเกอร์ส่องดูตัวเองในกระจก" ข้าดูเรียบร้อยแล้วหรือยัง"
    "
    ข้าว่าก็เรียบร้อยดีนี่ " กร็อดพูดก่อนจะมองออกไปทางประตูผ้าของกระโจมที่เปิดอยู่
    แสงไฟและเสียงดนตรีทำให้บรรยากาศครึกครื้นน่าสนุกสนาน
    "
    เมื่อครู่ ข้าเจอ เอลิน่า ด้วย วันนี้นางแต่งตัวงามกว่าทุกๆวันเลย"
    กร็อดพูดถึงเมิร์ฟสาวชองหมู่บ้านใกล้ๆ ที่เขาแอบชอบอยู่
    "
    แต่ข้าว่า สำหรับเจ้า เอลิน่าก็งามทุกๆวัน อยู่แล้ว" ว็อกเกอร์พูดยิ้มๆ
    "
    เมื่อไหร่เจ้าจะสารภาพความในใจกับนางล่ะ เอาอย่างนี้ ให้ข้าบอกนางให้ เอาไหม"
    "
    อย่าเชียวนะ!"กร็อดร้อง " ถ้าขืนเจ้าทำแบบนั้น เป็นได้โกรธกันล่ะ"
    "
    งั้น เจ้าก็บอกซะทีสิ" ว็อกเกอร์พูด "ข้าจะบอกอะไรให้นะ หากจะปลูกดอกไม้ก็จงเร่งลงมือ
    เพราะฤดูใบไม้ผลิจะไม่คงอยู่ตลอดไปหรอกนะ" ว็อกเกอร์ยกภาษิตของพวกเมิร์ฟมากล่าว
    เนื่องจากพวกเมิร์ฟมีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ  ภาษิตและคำคมต่างๆของพวกนี้จึงมักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้  อย่างคำพูดของว็อกเกอร์นี้ก็แปลความหมายได้อีกอย่างว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก
    "
    เอาเถอะน่า แล้วเมื่อไหร่ ที่ข้าพร้อม ข้าจะบอกกับนางเอง" กร็อดตัดบท
    "
    เขาไม่มีวันบอกนางหรอก "เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับจินและมินบินเข้ามาในเต็นท์
    กาทั้งสองตัวเกาะบนโต๊ะและเริ่มร้องเพลง
    "
    ดวงตาของเธอทำให้เขาหน้าแดง
    รอยยิ้มของเธอทำให้ขาของเขาสั่น
    เสียงพูดเขาเธอทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
    เขาจึงไม่มีวัน เจ้าเมิร์ฟอ้วนจะไม่มีวัน
    ไม่มีวันกล้าบอกรักเธอ."
    "
    หุบปากเลยนะ เจ้าพวกหัวขโมยตัวแสบ
    "
    กร็อดที่ไม่ชอบหน้าเจ้ากาสองตัวอยู่แล้วร้องขึ้นด้วยความโกรธ
    พร้อมกับคว้าไม้ขึ้นมาไล่ตีกาทั้งสองตัวนั้น แต่ก็ตีไม่โดนเพราะพวกมันว่องไวกว่าเขามาก
    จินกับมินบินวนไปรอบๆกระโจมและร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมาอย่างร่าเริง
    "
    เฮ้ กร็อด หยุด หยุด..หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ "ว้อกเกอร์
    ร้องห้ามพร้อมกับเข้าไปแย่งไม้ในมือของกร็อดเอาไว้ก่อนที่ข้าวของในกระโจมของเขาจะพังจากการไล่ตีของกร็อด
    "
    ใจเย็นๆน่า "ว็อกเกอร์พูดกับเพื่อนที่กำลังโมโหก่อนจะหันไปเจรจากับอีกาทั้งสอง
    "
    นี่มันเป็นตอนกลางคืนแล้วนี่ พวกกาส่วนใหญ่ก็เข้ารังนอนกันหมดแล้ว พวกเจ้าน่ะ
    ไม่เข้านอนด้วยหรอกหรือไง จิน มิน"
    "
    ทำไมเราต้องทำอะไรให้เหมือนกาตัวอื่นด้วยล่ะ"มินตอบอย่างเล่นลิ้น
    "
    ช่ายยย"จินรับก่อนจะเสริมขึ้นว่า"เราอยากเป็นกาที่มีแนวทางของตัวเอง"
    แล้วอีกอย่างหนึ่ง เจ้าไม่รู้เหรอไง ว่า วันนี้เป็นวันพิเศษนะ"มินพูดต่อ
    "
    ใช่ งานฉลองปีใหม่ มีอาหารอร่อยๆมากมายจนเกินกว่าที่พวกเราจะนอนได้"จินเสริมอีก
    อันเป็นนิสัยของเจ้ากาสองตัวนี้ที่ชอบต่อประโยคให้กันเสมอๆ
    "
    งั้นพวกเจ้าก็ออกไปหาของกินซะสิ จะได้ไม่ต้องมายั่วโมโหเพื่อนข้า" ว็อกเกอร์พูด"
    ที่โต๊ะอาหารข้างนอกมีเค้กน้ำผึ้งกับเมล็ดทานตะวันเคลือบน้ำตาลอร่อยอยู่เยอะแยะเลยนะ"
    "
    ที่เขาพูดมาก็น่าสนใจนะ มิน" จินหันไปพูดกับคู่หู
    "
    นั่นสิ ข้าก็คิดว่าการหาของอร่อยๆกิน
    น่าสนใจกว่ามายั่วโมโหเจ้าเมิร์ฟอ้วนนี่ตั้งเยอะ"มินเห็นด้วย
    "
    เอาล่ะ ถ้างั้นวันนี้พวกเราไปก่อนก็แล้วกัน"จินสรุปบ้าง
    ก่อนที่ทั้งสองตัวจะบินออกจากกระโจมไป
    แต่พวกมันก็ยังไม่วายร้องเพลงล้อเลียนกร็อดลอยลมเข้ามาให้ได้ยินเป็นการส่งท้าย
    "
    สักวัน ข้าจะจับเจ้าสองตัวนี่มาถอนขนให้เหี้ยนเลย" กร็อดพูดอย่างไม่หายโมโห
    "
    ข้าว่าเจ้าเลิกคิดเรื่องนั้นเถอะน่า กร็อด เพราะข้าได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่ปีก่อนแล้วนะ จนถึงตอนนี้ ขนทุกเส้นบนตัวของเจ้าพวกนั้นก็ยังอยู่ครบทุกเส้นเลย"ว็อกเกอร์พูดยิ้มๆอย่างนึกขัน
    "
    เจ้าไม่ต้องมาซ้ำเติมข้าเลย"
    กร็อดว่าอย่างไม่พอใจนักที่อีกฝ่ายเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขำ
    "
    ข้าเปล่าซักหน่อย" ว็อกเกอร์หุบยิ้มพร้อมกับรีบปฏิเสธ
    ในเวลาเดียวกันนั้นเอง การแสดงละครด้านนอกก็จบลง
    เสียงดนตรีที่ดังมาจากภายนอกเปลี่ยนทำนองเพลงเป็นจังหวะเร็วขึ้น อันเป็นสัญญาณ
    บอกให้รู้ว่าการประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสองหยุดพูดและฟัง ครู่ต่อมาหลังจากนักดนตรีเล่นเพลงจบลง  เมิร์ฟชื่อ ฮอบเบิ้ล ซึ่งทำหน้าที่พิธีกรของงานประลองก็เริ่มประกาศชื่อผู้เข้าแข่งขันคนแรก  เสียงปรบมือดังขึ้น ขณะที่นักมายากลคนแรกเดินขึ้นบนเวที
    ว็อกเกอร์โผล่หน้าออกไปดูนอกกระโจมก่อนจะกลับเข้ามา
    "
    อีกเดี๋ยว ข้าต้องขึ้นเวทีแล้ว กร็อด"เขาพูดด้วยเสียงตื่นเต้นผสมความวิตกกังวล
    แม้ว่าเขาจะเตรียมทุกอย่างและฝึกซ้อมมาหลายรอบแล้ว แต่ว็อกเกอร์ก็ยังกังวลอยู่ดี
    "
    ทำใจให้สบายเถอะน่า สหาย อย่าตื่นเต้นให้มากเกินไป "กร็อดซึ่งหายโกรธแล้วพูด " ปีนี้
    เจ้าต้องชนะการประลองแน่ๆ เชื่อข้าสิ …..และข้าก็หวีงว่าเจ้าคงไม่เผาบ้านของใครอีก"ประโยคสุดท้าย กร็อดพูดเบาๆกับตัวเองโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน…..
    ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ว็อกเกอร์ต้องขึ้นแสดง ทันทีที่ชื่อของเขาถูกประกาศ
    เมิร์ฟหนุ่มสูดหายใจลึกๆเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะก้าวขึ้นบนเวที
    เสียงปรบมือต้อนรับจากผู้ชมทำให้เขาเริ่มมั่นใจขึ้นมาบ้าง
    ว็อกเกอร์หยิบห่วงหนึ่งอันออกมาจากในอกเสื้อ เขาควงมันและโยนขึ้นไปข้างบน
    มันแยกเป็นสองอันและตกลงมาบนมือทั้งสองข้างของเขา
    ว็อกเกอร์เริ่มโยนห่วงทั้งสองสลับไปมาและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ห่วงแยกเป็นสี่และเป็นแปดในที่สุด
    ว็อกเกอร์โยนห่วงทั้งหมดขึ้นสูง พวกมันหมุนติ้วอยู่ในอากาศ
    จากนั้นเขาหยิบผงไฟซัดเข้าไปที่ห่วงทำให้ห่วงทั้งแปดอันกลายเป็นกงล้อไฟที่มีเปลวไฟแปดสีโดยห่วงแต่ละอันจะมีไฟสีหนึ่ง ว็อกเกอร์ดึงคทาออกมาจากใต้หมวกของเขาและดึงให้มันยืดออกก่อนจะใช้มันบังคับกงล้อไฟทั้งแปดอัน ซึ่งหมุนต่อๆกันจนกลายเป็นแถบไฟสีสวยงาม เมื่อเขาชี้คทาไปทางไหน กงล้อไฟทั้งแปดก็จะเคลื่อนตามกันเป็นขบวนไปทางนั้น เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมทั้งหลายในที่นั้น
         ทันใดนั้นเอง ลูกไฟดวงหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปะทะกับห่วงไฟทั้งแปดที่กำลังหมุนลอยอยู่กลางอากาศ  จนระเบิดและลูกไฟแตกกระจายไปทั่วทุกทิศ ผู้ชมที่อยู่ใกล้เวที แตกฮือด้วยความตกใจ
    ต่างคนต่างวิ่งหาที่หลบลูกไฟที่กระเด็นมา
    ลูกไฟส่วนหนึ่งกระเด็นไปติดหลังคากระโจมเตรียมงานหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเวทีนัก และลุกไหม้   พวกเมิร์ฟที่กำลังทำงานในกระโจมวิ่งหนีออกมาอย่างตกใจ
    ก่อนที่พวกที่อยู่ใกล้กระโจมจะคว้าถังน้ำและวิ่งไปตักน้ำที่ลำธารมาช่วยกันดับไฟอย่างโกลาหล จนครู่ใหญ่ๆ  ไฟก็ดับลงแต่กระโจมหลังนั้นก็ไหม้ไปเกือบหมดแล้ว
    ว็อกเกอร์ยืนมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยอาการปากอ้าตาค้างอย่างคาดไม่ถึง
    ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นซีดเผือดลง ในยามนี้
    ถ้าทำได้เขาอยากจะทำให้ตัวเองละลายหายไปเป็นอากาศเสียเดี๋ยวนี้เลย
    โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาของทุกๆคนที่มองมาที่เขา เหมือนกับว่าเขาเป็นต้นเหตุของความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้
        แต่ก่อนที่ใครจะพูดหรือทำอะไร เมิร์ฟคนหนึ่งก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า" ทุกคน ดูนั่นสิ!"
    เมิร์ฟทั้งหมดหันไปตามเสียงนั้นก่อนจะเข้าไปมุงดูหลุมเล็กๆบนพื้นข้างเวที
    หลุมนั้นมีรอยไหม้และมีควันสีม่วงกำลังลอยคลุ้งขึ้นมา
    ในหลุมนั้น มีกล่องใบเล็กๆใบหนึ่งวางอยู่
    กล่องใบนั้นเป็นกล่องหุ้มกำมะหยี่สีแดงเพลิงมีเส้นทองเดินลายอยู่รอบกล่องอย่างสวยงาม
    บนฝากล่องมีตัวหนังสือสีทองประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ ไม่มีใครในที่นั้นที่อ่านตัวหนังสือพวกนั้นออก
        น็อกซ์กับโอลด์ สโม็ค แหวกพวกเมิร์ฟที่มุงอยู่เข้าไปที่กล่องนั้น
    น็อกซ์ก้มลงหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาเพื่อดูให้ชัด
    และทั้งสองก็อุทานขึ้นแทบจะพร้อมกันเมื่อเห็นกล่องใบนั้นอย่างชัดเจน
    ตัวอักษรบนกล่องเป็นอักขระในภาษาของพวกวาร์นิ
    ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์โบราณที่อาศัยอยู่บนยอดของมหาพฤกษาอิกดราซิล อักษรพวกนั้นเขียนไว้ว่า

    "
    สาส์นถึง วาโลคาน ผู้ถือกุญแจศิลา "

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×