ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดยุทธคงกระพัน (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #5 : มังกรเพลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.68K
      374
      12 พ.ย. 63

     

                ในขณะที่ชายชรากำลังแผดเสียงหัวเราะประชดตัวเองอย่างคลุ้มคลั่งอยู่นั้น พลันมีเสียงสดใสอ่อนเยาว์ดังขึ้นมาว่า

                “ท่านผู้เฒ่า มีเรื่องยินดีอันใดหรือ เหตุใดถึงหัวเราะไม่หยุดหย่อนเช่นนั้น”

                “เรื่องยินดีบ้าอันใด ใครให้เจ้ามาสอด .. เอ๋.. เสียงใครน่ะ ที่นี่มีแต่ข้าคนเดียวนี่นา”

                ชายชราที่สวนกลับอย่างหัวเสีย ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่า ที่นี่มีเพียงตนอาศัยอยู่ลำพัง แล้วเสียงที่สอดแทรกนี้มาจากที่ใด เมื่อมองไปทางต้นเสียง มันต้องอ้าปากค้าง เพราะตรงนั้น เจ้าเด็กน้อยที่มันคิดว่าตายกลายเป็นซากเกราะไปแล้วนั้น กลับลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ สองตาสุกใส จับจ้องมองมาที่ตัวมันไม่กระพริบ ทำให้ ชายชรา ที่มีพิรุธอยู่ภายในใจ ต้องก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะยั้งเท้าเอาไว้ กล่าวเสียงสั่นเล็กน้อยว่า

                “นี่เจ้ายังไม่ตาย หรือเป็นภูตผีที่หวนกลับคืนร่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ออกมาหลอกหลอนข้ากันแน่”

                เสี่ยวอิง ยิ้มเล็กน้อย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า อีกฝ่ายมีจุดประสงค์ร้ายต่อตนเอง แต่ในเมื่อตัวมันไม่ได้รับความเสียหายอันใด อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนวิชาฝีมือ เพราะในระหว่างที่ฝึกฝนวิชาลมปราณเกล็ดมังกรนั้น ย่อมมีช่วงเวลาที่พักผ่อน แล้วพูดคุยกัน ทำให้ เสี่ยวอิง มีโอกาสสอบถามข้อข้องใจเกี่ยวกับวิชาฝีมือ ที่มันจดจำได้จากครูฝึกสอน ของสำนักเอกะ จนวิชาฝีมือดังกล่าวรุดหน้าไปไม่น้อย ทำให้ไม่เจ็บแค้นหรือถือโทษใดกับชายชราเบื้องหน้า

                เสี่ยวอิง ลุกขึ้นก้าวเดินช้า ๆ สองสามก้าว กล่าวว่า

                “ข้าย่อมยังมีชีวิตอยู่ คนตายแล้ว หากยังฟื้นคืนได้อีก ย่อมต้องเป็นผีดิบ และหากเป็นผีดิบ ย่อมไม่อาจก้าวเดินเหินเช่นคนปกติเยี่ยงนี้ ว่าแต่ ท่านผู้เฒ่า เป็นคนหย่อนข้าลงไปในบ่ออัคนี ไม่คาดหวังว่าข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรอกหรือ”

                ชายชรา ถึงกับสะอึกไป รีบกล่าวปฏิเสธไปว่า

                “ข้าย่อมคาดหวังว่าเจ้าจะรอดปลอดภัยอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าจมอยู่ใต้หินหนืดตั้งหนึ่งเดือน นับว่าเกินขีดจำกัดของลมปราณกระดองเต่า ที่จะรักษาชีพจรหัวใจของเจ้าไปแล้ว ในตอนแรกข้าจึงไม่แน่ใจในสภาพของเจ้าเท่านั้นเอง”

                เสี่ยวอิง เลิกคิ้วเป็นเชิงแปลกใจ กล่าวว่า

                “ข้าจำได้ว่า ท่านผู้เฒ่าไม่เคยถ่ายทอดลมปราณกระดองเต่าอะไรนั่นให้ข้าเลยนะ อ้อ เข้าใจแล้ว ที่แท้วิชาลมปราณที่ท่านถ่ายทอดให้ เรียกว่า ลมปราณกระดองเต่า มิใช่ลมปราณเกล็ดมังกรสินะ”

                ชายชรา หน้าซีดสลับแดง กล่าวโต้แย้งว่า

                “ที่ข้าถ่ายทอดให้ เรียกว่า ลมปราณเกล็ดมังกร เป็นวิชาที่ข้าดัดแปลงมาจาก ลมปราณกระดองเต่า ประจำสำนักของข้า ดังนั้น จึงเผลอเรียกชื่อเดิมด้วยความเคยชินเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะหลอกลวงอะไรเจ้านะ”

                เสี่ยวอิง ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า

                “ช่างเถอะ จะเป็นวิชาเกล็ดมังกรก็ดี กระดองเต่าก็ตาม ล้วนไม่มีความสำคัญใดกับข้า ในเมื่อข้าไม่ตกตาย ก็คงเอาแผ่นหนังของข้าไปทำชุดเกราะไม่ได้แล้ว ดังนั้น ข้าคงต้องขอลาท่านผู้เฒ่าไปก่อนละ ถ้ามีวาสนา พวกเราคงได้พบกันอีก แต่จะดีกว่าหากพวกเราไม่ต้องพบเจอกันอีก”

                พูดจบแล้ว เสี่ยวอิง ก็หันหลัง ก้าวเดินจากไปอย่างหดหู่ ในใจคิดว่า

                “นอกจากเกราะเกล็ดมังกรแล้ว ในหุบเขาอัคคีนี้ ไม่มีเสื้อผ้าอื่นเลย แต่จะให้เอ่ยปากขอ ทางนั้นก็คงไม่ยินยอมมอบให้ ดูท่า ข้าคงต้องเดินตัวเปล่าเช่นนี้ไปจนออกพ้นหุบเขา แล้วค่อยกลับไปหยิบฉวยที่หมู่ตึกแทน”

                เสี่ยวอิง ยังเป็นเด็กอยู่ จึงปราศจากความระแวง คิดแต่ว่า ในเมื่อชายชรา ไม่สามารถเจาะผ่านผิวหนังของตนเองมาได้ คงเลิกรามือ แล้วปล่อยให้ตนเองจากไปด้วยดี แต่สำหรับ ชายชราแล้ว ผิวหนังของเสี่ยวอิง คือสมบัติของมัน แค่คิดถึงแรงกาย แรงใจ รวมถึงวัตถุสิ่งของที่ลงทุนไปสี่เดือน แล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อเห็นว่า เสี่ยวอิง เดินจากไป เปิดแผ่นหลังโล่งราวกับไม่แยแสตัวมัน ความโกรธรุนแรงสายหนึ่ง พลุ่งขึ้นจนร้อนผ่าวไปทั้งร่าง หันซ้ายหันขวา สายตาของชายชรา จับจ้องไปที่ ค้อนเหล็ก ที่วางอยู่ด้านข้าง สำหรับขั้นตอนขึ้นรูปเกราะเกล็ดมังกร แม้คมมีดเหล็กเย็นพันปี จะไม่สามารถกรีดผิวหนังของ เสี่ยวอิง ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีวิธีจัดการ

                สำหรับยอดฝีมือที่ฝึกปรือลมปราณคุ้มครองกาย จนคมอาวุธทั่วไปไม่ระคายผิว วิธีที่ตรงไปตรงมามากที่สุด คือ หาอาวุธที่มีความคมกล้าเหนือกว่าอาวุธปกติ แต่ในยุทธจักร การจะหาอาวุธวิเศษที่ฟันเหล็กดุจฟันหยวก เป็นเรื่องง่ายดายหรือ ดังนั้น จึงมีคนคิดวิธีรับมืออีกอย่างหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ ใช้อาวุธหนักทุบให้กระดูกหัก หรืออวัยวะภายในบอบช้ำ จนบาดเจ็บสาหัส หรือตกตาย 

                ในตอนนี้ แม้ผิวหนังของ เสี่ยวอิง จะเหนียวแน่น ทนต่อคมอาวุธ แต่สภาพที่เป็นเด็กน้อย เริ่มฝึกปรือลมปราณเพียงสี่เดือน หากถูกตัวมันที่มีพลังการฝึกปรือหลายสิบปี กระหน่ำทุบค้อนเหล็กเข้าใส่ ก็ต้องประสบชะตากรรม กระดูกหัก อวัยวะภายในคลาดเคลื่อน จนตกตายไป แล้วมันค่อยคิดหาหนทางถลกหนังอีกฝ่ายในภายหลังแทน

                ชายชรา แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าง เอื้อมมือคว้าจับด้ามค้อน หมุนควง พร้อมกับวิ่งเข้าใส่ด้านหลังของ เสี่ยวอิง อย่างรวดเร็ว อาศัยน้ำหนักของค้อนเหล็ก เมื่อถูกเหวี่ยงเป็นวง ยิ่งเพิ่มแรงกดดันสูงขึ้น พร้อมกับลากพาร่างของมันให้เคลื่อนที่เข้าหา เสี่ยวอิง รวดเร็วยิ่งขึ้น เกิดเสียงดังหวืดหวือ เมื่ออากาศรอบด้าน ถูกแหวกฝ่าจากค้อนเหล็ก พร้อมกับกระแสลงแรง ที่พัดเข้าใส่แผ่นหลังของ เสี่ยวอิง อย่างรุนแรง เป้าหมายของมัน คือ กลางกระหม่อม ซึ่งเป็นจุดตายของคน เห็นเงาดำแหวกฝ่าอากาศ พุ่งเข้าใส่หัวล้านเลี่ยนของ เสี่ยวอิง อย่างรวดเร็ว ตัวค้อนยังอยู่ห่างจาก กะโหลกของเสี่ยวอิง ร่วมห้าเชียะ แต่พลังกดดันมหาศาลโถมจู่โจมใส่หัวของ เสี่ยวอิง อย่างไร้ความปรานี

                ทันทีที่ ชายชรา ลงมือ เสี่ยวอิง ก็รู้ตัวทันที แทนที่จะหลบหลีก มันกลับหยุดยืนนิ่ง หลับตาผนึกสมาธิ โคจรลมปราณในร่างจนถึงขีดสุด เตรียมใช้เรือนร่างเลือดเนื้อ รับการจู่โจมจากค้อนเหล็ก เพราะตัวมันเอง ก็ต้องการทราบสภาพร่างกายของตัวมันเองเช่นกัน ในเมื่อมีคนลงมือทดสอบให้ มันย่อมยินดี แม้จะดูหวาดเสียวอยู่บ้าง แต่ เสี่ยวอิง ที่หวนคืนจากนรกมาแล้ว 2 ครั้ง ขวัญกำลังใจย่อมไม่เหมือนกับคนสามัญทั่วไป

                ลมปราณโคจรวนรอบร่างกายหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ค้อนจะสัมผัสกับหนังศีรษะ เบื้องบนศีรษะปรากฏเสาเพลิงขนาดเท่าแขนเด็ก พุ่งขึ้นจากกลางกระหม่อม กระแทกเข้าใส่ผิวหน้าค้อนอย่างจัง แม้ ชายชรา จะผนึกลมปราณใส่ค้อนไว้ถึงสิบส่วน เมื่อพบเจอการตอบโต้จากเสาเพลิงลึกลับนี้เข้า พลังรุนแรงร้อนลวกสายหนึ่ง พุ่งผ่านค้อน ชำแรกเข้ามาในเส้นชีพจรฝ่ามือของมันอย่างรวดเร็ว จนไม่อาจกุมด้ามค้อนไว้มั่น ง่ามมือฉีกขาด ปล่อยให้ค้อนลอยละลิ่วออกไป หล่นกระแทกหินหนืด กลางบ่ออัคนี ก่อนจะจมลงไปในสภาพหลอมละลายอย่างรวดเร็ว 

                ตัวชายชราเอง ถูกกระแสพลังตีกลับ จนต้องกระอักโลหิตออกมาติดกัน 3 คำใหญ่ ร่างลอยละลิ่วไปด้านหลังกว่า 6 เชียะ ก่อนที่เท้าจะสัมผัสพื้น แต่ก็ยังต้องเซถอยหลังต่อไปอีก 4 ก้าว ในใจของ ชายชรา คำนวณไว้ว่า อีกก้าวเดียว ตนเองก็สามารถสลายพลังตีกลับที่ชำแรกเข้ามาในร่างกายได้หมด จนสามารถหยุดยืนหยัดมั่นได้อีกครั้งหนึ่ง น่าเสียดาย ก้าวสุดท้ายนี้ กลับย่ำไปบนที่ว่าง มิใช่พื้นศิลาแข็งเหมือนปกติ จนร่างของมันซวนเซเสียหลัก ล้มไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุมได้

                สายตาของ ชายชรา ตวัดกลับหลังไปจ้องมองอย่างรวดเร็ว เพียงเห็นชัดตา สองตาเหลือกลาน ปากอ้ากว้าง แผดร้องอย่างเสียขวัญออกมาสุดเสียง ที่แท้ ร่างของมันปลิวมาจนถึงบ่ออัคนี และตอนนี้ ร่างของมันกำลังร่วงลงไปในบ่อที่เต็มไปด้วยหินหนืด แม้มันจะเคยชินกับความร้อนภายในหุบเขาอัคคี ร่างกายปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดมังกร แต่หากตกลงไปในบ่ออัคนีโดยตรง ร่างของมันคงถูกเผาไม้กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตาแน่นอน

                แม้จะรีดเสาเพลิง ออกมาต่อต้านค้อนเหล็กได้ แต่พื้นฐานกำลังภายในของ เสี่ยวอิง ที่ฝึกปรือมาเพียงสี่เดือน แม้จะดึงดูดพลังธาตุไฟและน้ำเข้ามาสะสมในร่างกาย แต่ความเข้มแข็งยังอ่อนด้อยกว่า ชายชรา ที่ฝึกปรือมากว่า 40 ปี อยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อปะทะกันโดยตรง สมองย่อมได้รับแรงกระแทกจนมึนงงไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของอีกฝ่าย ทำให้ฟื้นคืนสติกลับมา หันกายกลับไปดูชายชราด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเช่นกัน ก้าวเท้าไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะเข้าไปช่วยตามสัญชาตญาณ น่าเสียดาย ร่างของชายชรา ร่วงหล่นลงไปในบ่ออัคนี เพียงเท้าสัมผัสผิวหน้าของหินหนืด ก็ลุกไหม้ทันที กระดูกอาจหลอมละลายช้าหน่อย แต่ไม่อาจใช้ค้ำยันเพื่อให้ ชายชรา อาศัยในการดีดร่างกลับขึ้นมาจากบ่ออัคนีได้ 

                เสี่ยวอิง ที่ไม่เคยฝึกวิชาตัวเบา แม้จะมีฝีเท้ารวดเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ย่อมไม่อาจไปถึงตัว ชายชรา ได้ทัน เมื่อมันวิ่งไปถึงข้างบ่ออัคนี ร่างของ ชายชรา ก็ถูกเผาไหม้ไปแล้วครึ่งร่าง ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมขาดใจตายไปเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวอิง จ้องมองไปที่ดวงตาไร้ประกายของ ชายชรา ได้แต่ถอนหายใจ ประนมมือ หลุบตาลง สวดส่งวิญญาณให้อีกฝ่ายด้วยความรันทดใจ

                เมื่อลืมตาขึ้น สองตาของ เสี่ยวอิง เป็นประกายขึ้นมา เมื่อเห็น ผ้าคลุมเกราะเกล็ดมังกร ที่ชายชรา สวมใส่อยู่ ลอยอยู่บนหินหนืด แผ่นหนังนี้ ถูกชุบสร้างจากบ่ออัคนี ย่อมทนต่อความร้อนของหินหนืดได้ในระดับหนึ่ง เสี่ยวอิง ยกมือสรรเสริญพระพุทธคุณ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าคลุมผืนนั้น มาห่มคลุมร่างเปลือยเปล่าของตนเองอย่างว่องไว พึมพำออกมาว่า

                “ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามาก แม้จะตกตายแล้ว ยังมีน้ำใจเหลือผ้าคลุมให้กับข้า วางใจเถอะ ข้าย่อมต้องดูแลสิ่งที่ท่านมอบให้กับข้าเป็นอย่างดี”

                ----------

                หลังจากนั้น เสี่ยวอิง จึงอาศัยอยู่ภายในหุบเขาอัคคี ฝึกวิชาลมปราณ ที่ตัวมันเอง ตั้งชื่อใหม่ว่า ลมปราณเทวราช เพราะประทับใจในภาพลักษณ์ของหลวงจีน จีจาง ที่เปล่งรัศมีสีทองออกรอบกาย ราวกับเทวราชจากสวรรค์ ที่ลงมาโปรดสัตว์ในนรก ตามนิทานที่หลวงจีนในวัดเคยเล่าให้ฟังตอนเป็นเด็กเล็ก

                การฝึกวิชาลมปราณเทวราชนี้ จำเป็นต้องดึงดูดพลังธาตุไฟและน้ำจากในบ่ออัคนี ที่ชายชรา ชักนำหินหนืดเข้ามาเก็บกักไว้ เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี หินหนืดที่อยู่ในบ่อทั้งสิบ ล้วนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นหินแข็งสีดำสนิท เนื่องจากสูญเสียธาตุไฟทั้งหมดไปแล้ว 

                ในช่วงเวลาหนึ่งปีมานี้ เสี่ยวอิง เลียนแบบชายชรา วนเวียนไปที่ปากหุบเขา เก็บซากศพที่ สำนักเอกะ ส่งมา แต่แทนที่จะนำไปชุบสร้างเกราะเกล็ดมังกร ซึ่ง เสี่ยวอิง เองก็ไม่รู้กรรมวิธีเช่นกัน กลับนำซากศพเหล่านั้น ไปฝังแทน เช่นเดียวกับซากศพที่ถูกแช่อยู่ในบ่ออัคนี ล้วนถูกนำขึ้นไปฝังจนหมดสิ้น นอกจากนี้ ยังนำแผ่นหนังเกราะเกล็ดมังกรที่สะสมไว้อยู่ภายในถ้ำ มาตัดเย็บเป็นชุดเณร แม้แผ่นหนังจะมีความเหนียวจนยากต่อการตัดเย็บ แต่ เสี่ยวอิง ที่สามารถแผ่พลังธาตุน้ำเข้าไปในเข็ม สามารถที่จะสลายแรงต้านทานภายในแผ่นหนังได้ จึงสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าได้ในที่สุด 

                เสี่ยวอิง ลืมตาขึ้น เหลือบมอง หินแกร่งสีดำสนิทรอบกาย ฝืนยิ้มออกมา เพราะนี่คือบ่ออัคนีสุดท้าย ที่ชายชราจัดทำขึ้น อย่างไรก็ตาม เสี่ยวอิง ไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หลังจากเดินสำรวจไปทั่วหุบเขา เสี่ยวอิง ก็พบเจอแอ่งหินหนืดที่มีความกว้างกว่า 200 เชียะ ที่ใจกลางของหุบเขา ในเมื่อบ่อหินอัคนีแห้งหมดแล้ว เสี่ยวอิง ก็จำเป็นต้องไปดูดธาตุไฟจากในแอ่งหินหนืดนั้นแทน

                เสี่ยวอิง ทรุดนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ริมขอบแอ่ง ปล่อยให้หินหนืดคลุมจนถึงช่วงคอ หลับตาลงฝึกลมปราณอย่างคร่ำเคร่ง รู้สึกถึงพลังธาตุไฟไหลทะลักเข้ามาในร่างรุนแรงกว่าตอนฝึกอยู่ภายในบ่ออัคนีเกือบสองเท่า นับว่าโชคดีที่ผ่านการฝึกปรือในบ่อมาแล้วหนึ่งปี ทำให้ เสี่ยวอิง สามารถทนทานพลังรุนแรงสายนี้ได้เป็นอย่างดี หลังจากฝึกไปได้ราวชั่วน้ำเดือด หินหนืดรอบกายกลับสั่นกระเพื่อม เริ่มจากเบา ๆ ก่อนจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จน เสี่ยวอิง ต้องออกจากสมาธิ ลืมตาพร้อมขมวดคิ้ว กวาดสายตามองรอบข้าง เห็นผิวหน้าของหินหนืดสั่นพลิ้วเป็นระลอก เริ่มจากตรงกลางของแอ่งหินหนืดนี้ สุดท้าย เสี่ยวอิง ต้องลุกขึ้นเดินออกจากแอ่ง ไปหยุดยืนอยู่ที่พื้นศิลาขอบแอ่ง เพ่งตามองหินหนืดบริเวณใจกลาง ที่ปูดนูน ราวกับจะมีสิ่งใดโผล่ขึ้นมาอย่างสนใจ

                ทันใดนั้น หินหนืดพุ่งกระจายอย่างรุนแรง พร้อมกับเสียงแผดร้องสนั่นฟ้า สร้างความตื่นตกใจ จนเสี่ยวอิงต้องก้าวถอยหลังไปสามก้าวอย่างลืมตัว แม้จะไม่รู้ว่า เจ้าของเสียงนี้เป็นตัวอะไร แต่ต้องเป็นสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่งแน่นอน เพราะแค่สำเนียงเสียงร้อง ก็แฝงไปด้วยความกระหายเลือด จนหัวใจของเสี่ยวอิงกระตุกถี่รัว ใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย

                เพียงไม่กี่อึดใจ เจ้าของเสียงก็โผล่ขึ้นมา เห็นส่วนหัวของมันคล้ายกับกิ้งก่า แต่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า เมื่อร่างกายท่อนบนโผล่พ้นหินหนืดออกมา เสี่ยวอิง เห็นได้อย่างชัดเจนว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้ มีส่วนหัวเหมือนกิ้งก่า แต่ลำตัวหยาบหนาเหมือนตะกวด ขาคู่หน้าเหยียบบนผิวหินหนืด ยันตัวให้ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ สองตาแดงฉาน จับจ้องมองมาที่ เสี่ยวอิง ไม่กระพริบ ปากอ้ากว้างเผยให้เห็นฟันแหลมคมเรียงซ้อนกันสองสามแถว แลบลิ้นที่ส่วนปลายแยกเป็นสองแฉกแปลบ ๆ จากสายตาของมัน ราวกับว่ามันเห็นเหยื่อโอชะอย่างไรอย่างนั้น ในสมองของ เสี่ยวอิง นึกถึงสัตว์ได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ปากร้องอุทานออกมาว่า

                “มังกรเพลิง !!!”

                 

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×