ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Assasino Café : Assasin คาเฟ่ฆาตกร

    ลำดับตอนที่ #2 : คดีที่ 1 : BLUE BEARD (I)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      8
      16 พ.ค. 64

    Assasino Café

    คดีที่ 1  

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

    BLUE BEARD

    (I) 

     



     

               นี่ก็คดีที่ 4 แล้วนะ

     

              อา น่ากลัวจริงๆตำรวจสองนายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าร่างที่ไร้ชีวิต พวกเขาทำหน้าเกินรับไหวกับภาพตรงหน้า

     

             แชะๆ

     

              เสียงชัตเตอร์ดังออกมาเป็นพักๆฉายภาพของชายคนนึงที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวสีดิน ภายในห้อง ผนังด้านในทำจากปูนเปลือยในตึกร้างอันห่างไกลจากตัวเมือง เขานั่งเงยหน้าอ้าปากค้างอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าถูกเผาไหม้และลายจนไม่อาจจำหน้าเดิมของผู้เป็นเจ้าของได้ ดวงตาถลนออกมาจนแทบหลุดออกจากเบ้า ผิวหน้าและคอแดงก่ำจากการเผยเนื้อสดๆผสมกับรอยสีดำจากการกักกร่อนและเลือดจากบาดแผลฉกรรจนเสื้ออาบไปด้วยสีแดงฉาน ส่วนหนึ่งของใบหน้าเผยให้เห็นถึงกระดูกตรงบริเวณโหนกแก้มชัดเจน ปากลอกจนเผยเหงือกสีแดงที่ฟันแทบจะหลุดออกมา ลิ้นกลายเป็นสีดำอมน้ำตาลละลายจนเกือบหมด ต่อให้ไม่เห็นหน้าจริงอีกต่อไปแล้วก็พอเดาออกว่าเหยื่อคงจะทรมาณมากเพียงใดขณะเกิดเหตุ สองมือถูกมัดไว้ด้านหลัง พร้อมกับมีเทปพันตัวยึดกับตัวโซฟาเอาไว้

     

                ดูจากรอยย่น แล้วก็ลักษณะของผิว ดูๆแล้วน่าจะอายุประมาณ 30 ต้นๆนะ

     

     

                 ชายผมสีทมิฬจ้องมองร่างนั้นนิ่งๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ผมสีดำยาวและความสูงเกินมนุษย์ทั่วไปนั่นบอกถึงตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน อลัน ยืนมองศพของชายแปลกหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

     

     

                สาเหตุการตายคงเกิดจากสภาวะช็อคและถูกกัดกร่อนเครื่องในภายในร่างกายจนถึงแก่ชีวิต ดูจากลักษณะโดยรวมแล้วน่าจะถูกฆ่าโดยกรดซันฟิวริก มากว่ากรดไนตริกทั้งที่ยังมีชีวิต ปริมาณที่ใช้น่าจะปริมาณ 1 ลิตรกว่าได้ล่ะมั้ง

     

     

                แค่ดูก็รู้แล้วเหรอครับ?

     

     

               อา น่าจะตายมาได้ไม่ถึง 2 วันด้วยซ้ำ ศพยังใหม่อยู่เลยเขาเดินเข้าไปหาศพอย่างถือวิสาสะ พร้อมก้มมองสำรวจอย่างใกล้ชิดจนตำรวจที่ยืนด้านหลังได้แต่คิดว่า ไม่กลัวบ้างรึไง

     

               เอ... แต่พอดูลักษณะของฟันแล้วฉันเดาว่าเขาน่าจะใช้กรดที่มีความเขมข้นน้อยกว่ากรดไนตริกด้วยซ้ำนะ

     

     

               ทำไมล่ะครับ?

     

     

               ก็ง่ายๆ สมมติในมุมมองของฆาตกรเขาค่อยๆถอยออกมาพยักเพยิดหน้าไปยังร่างนั้น ใช้กรดที่รุนแรงขนาดนั้นในการทำลายใบหน้า แต่ฟันกลับไม่ถูกกัดกร่อนไปด้วย ดูจากบาดแผลโดยรวมคงใช้เวลาตายนานเกือบ 20 นาที

     

     

                ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยครับ?

     

              แค่นั้นก็ยังไม่รู้เหรอครับร่างสูงแค่นหัวเราะดูแล้วคนร้ายคงจะเป็นคนที่ใจเย็นเอามากๆ เพื่อที่จะได้เห็นการตายอย่างทุรนทุรายของเหยื่อก็เลยใช้กรดที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า โดยการเอามือข้างนึงท้าวลงกับโซฟาเขาชี้ไปยังมุมหนึ่งของโซฟาที่มีรอยยุบลงไปเล็กน้อยโดยที่ไม่สัมผัส

     

             ก่อนจะจับก้นขวดดันปากขวดเข้าไปในปาก ยัดเข้าไปแล้วให้สารละลายไหลเข้าไปในโพลงปากจนกัดกร่อนทำลายหลอดอาหารจนไปถึงภายในทั้งเป็น ฉันมั่นใจว่าถ้ามีการชันสูตรศพ คงพบร่องรอยอยู่บ้างล่ะนะ

     

              อึกตำรวจนายหนึ่งหน้าถอดสีทำหน้าเหมือนคลื่นไส้ ชายผมดำจึงหันศรีษะมามองพร้อมหัวเราะน้อยๆอย่างเยอะเย้ย

     

     

              อะไรกัน ยังไม่ชินอีกเหรอครับ คุณตำรวจ

     

              ร-เรื่องนี้จะให้เคยชินมันก็

     

               ตำรวจอย่างพวกคุณควรจะเคยชินเรื่องแบบนี้มากกว่าพวกผมไม่ใช่รึไงครับ คุณตำรวจเขาพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท นั่นทำให้ตำรวจอีกนายเลือดขึ้นหน้าจนคิ้วมุ่นและกัมหมัดแน่น แต่อลันก็ยังพูดต่อไปอย่างไม่สนใจ ถ้าไม่จนปัญญาจริงๆคุณคงไม่เรียกผมมาสืบคดีนี้ให้หรอกใช่ไหมล่ะ

     

              พวกเราไม่ได้อยากเรียกคุณมาหรอกนะ

     

               แต่คุณก็เรียกมาแล้ว เพราะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตามเคยใช่ไหมล่ะเขาหันร่างทั้งร่างแล้วก้าวเดินเข้าไปหาตำรวจสองนายด้วยความสูงที่เงาบังร่างพวกเขาจนมิด เอาไว้ผมจะติดต่อคนของผมให้มาจัดการเรื่องนี้ต่อให้ก็แล้วกัน แต่จะตอบรับไหมก็อีกเรื่องนึงล่ะนะ

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

             ไม่เอา

     

               เสียงประสานของคนทั้ง 4 คนกล่าวปฎิเสธอย่างชัดเจนภายในร้าน Assasino Café แต่อลันก็ยังคงยิ้มตอบรับให้อย่างไร้ซึ่งการโมโหโกรธาอะไร

     

              ฉันรู้ว่าพวกนายไม่พอใจ แต่ทางเบื้องบนเขาสั่งมาแล้วน่ะสิ

     

              นายแน่ใจรึเปล่าล่ะว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องน่ะ

     

               ก็อาจจะ

     

                ผมไม่เอาราฟ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบพลางยืนกอดอก คดีเล็กๆแบบนั้นควรให้พวกเจ้าหน้าที่นั่นจัดการเองไม่ใช่รึยังไง เรารับงานแต่คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง กับคดีปริศนาที่พวกตำรวจจัดการเองไม่ได้ พวกเราถึงจะออกตัวไม่ใช่รึไงกัน

     

                ก็ใช่ แต่เหมือนพวกตำรวจจะวิ่งวุ่นเพราะมีเหยื่อเป็นนักการเมืองเกี่ยวข้องด้วยน่ะสิ

     

     

                โอนเนอร์ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฆาตกรต่อเนื่องจะฆาตรกรรมเหยื่อในรูปแบบแพทเทิร์นเดียวกัน และไม่จำเป็นต้องตรงต่อความแค้นก็สามารถฆ่าเหยื่อได้อย่างเลือดเย็นโดยไม่ต้องใช้เหตุและผล ถึงเหยื่อทั้ง 4 รายจะถูกฆาตกรรมแบบเดียวกัน แต่ทุกคนเชื่อมต่อกันหมด ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งครอบครัว

     

                ฉันเห็นด้วยนะคาเลส ออกปากพูดบ้าง จากที่นายอธิบายสภาพของศพมา เป้าหมายของฆาตรกรไม่ใช่การฆาตรกรรม แต่ต้องการเห็นเหยื่อทุกทรมาณขณะที่กลืนน้ำกรดเข้าไป และที่ทำลายใบหน้าก็ไม่ใช่เพื่อปิดบังตัวตนของเหยื่อ

     

               แต่อยากทำลายตัวตนและศักดิ์ศรีย์ของเหยื่อให้พังทลายจนถึงที่สุด เป็นเพียงความสะใจไม่ใช่อารมณ์เรเวนกล่าวเสริมไม่คิดแม้แต่จะทำลายหลักฐาน ต่อให้เราไม่ทำอะไร ฆาตรกรก็ต้องถูกตำรวจจับอยู่แล้ว เพราะมันไม่สนว่าตัวเองจะถูกจับหรือไม่

     

     

                 เอาล่ะทุกคนใจเย็นๆกันก่อนอลันยกมือขึ้นปรามทุกคน ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกนาย ฉันก็ไม่พอใจเหมือนกัน แต่มันมีบางอย่างแปลกๆ

     

              อะไร?คาเรสถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง

     

              เมื่อเช้าฉันได้รับข้อมูลมา ว่าจับฆาตกรได้แล้วอย่างที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ แต่คนร้ายกลับตายก่อนที่จะได้ทำการสืบสวน


               "อย่าบอกนะว่า.."ราฟพูดขณะแสดงสีหน้าบึ้งตึง

     

                ใช่ ตำรวจคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เกือบจะไม่เป็นคดีขึ้นมาแต่ฉันกันเอาไว้ให้ก่อน

     

                เชื่อเลยจริงๆ

     

                ตอนนี้เขาอยากให้เราไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อให้ข้อมูลโดยละเอียดก่อนที่จะมีการชันสูตรศพ เดี๋ยวนี้เลย

     

                ฉันไม่ไป/ไม่เอา /ขอปฎิเสธ/นายจัดการเองสิทุกคนส่งเสียงประท้วงพร้อมกัน

     

                พวกตำรวจควรพยายามสืบคดีด้วยตัวเองก่อนไม่ใช่รึไง พวกเรามีหน้าทีจัดการในงานที่พวกมันพยายามแล้วต่างหาก พวกเรากำลังตามล่า ฆาตกรสมยานาม 'ชายเคราน้ำเงิน' อยู่นะ

     

     

               เพราะมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับฆาตกรรายนั้นอยู่ไงล่ะ ฉันเลยรับงานนี้

     

     

              ยังไง? คาเรส กล่าวท้วง อลันทำหน้าหน่ายออกมาก่อนที่จะมองไปทีละคนจนในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดไปที่เด็กสาวผู้มีผมสีขาว

     

               เรเวน เธอไปกับฉัน

     

              ผู้ที่ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะใช้หางตาแล้วหันหลังให้

     

              ...ไม่

     

              เอาน่า เดี๋ยวให้พักงานสามวันก็ได้

     

              ใครสนเรเวนทำท่าจะเดินหนี แต่แล้วคนตัวสูงกว่าก็คว้ามือเธอเอาไว้

     

              งั้นถ้าเป็นข้อมูลของ 'นักล่ากระดูก' ล่ะ จะว่ายังไงร่างเล็กชะงักทันทีก่อนที่เธอจะค่อยๆหันมาเหลือบมอง ถือว่าตกลงนะ ถ้างั้น...

     

    เราไปกันเถอะ

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

     

     

              ในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆแห่งหนึ่ง ในชั้นที่ 8 ห้อง 3804

     

     

              ลักษณะก็เหมือนกับห้องพักของชายหนุ่มทั่วไป ที่เป็นห้องเดี่ยวที่ทางเข้ามีรองเท้าวางระเกะระกะหนึ่งคู่ พร้อม เตียงและโต๊ะอาหารตั้งอยู่มุมห้อง บนโต๊ะมีข้าวของวางกระจัดกระจายไปทั่ว เสื้อผ้าที่ใส่แล้วกองอยู่ที่พื้น มีระเบียงด้านนอกเล็กๆและห้องน้้ำหนึ่งห้อง ภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือคลาบเลือดและการงัดแงะ มีเพียงบริเวณระเบียง...ที่มีร่างของชายคนนึงแขวนคอยู่

     

              มาแล้วเหรอตำรวจนายหนึ่ง หนึ่งในสามคนที่ที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นชักสีหน้าใส่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญให้กับผู้มาเยือน

     

    เรเวนและอลัน ยืนอยู่หน้าประตูห้องโดยที่ทั้งคู่ยังใส่เครื่องแบบร้าน แต่เรเวนกลับสวมถุงมือยางและเสื้อกาวสีขาวคลุมทับไว้

     

              ยังไม่ได้เอาศพลงมาใช่ไหมอลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

     

              อา รักษาสภาพศพไว้ตามที่ขอมาแล้วเรเวนเดินนำเข้าไปโดยไม่สนใจจะทักทายใคร จนเกือบเดินชนกับตำรวจที่ยืนอยู่ข้างใน นี่!!!”

     

               น่าๆ คุณตำรวจ ปล่อยเธอเถอะ

     

              ร่างเล็กเดินนำไปยังศพด้วยท่าทีนิ่งงัน ก่อนจะเริ่มสำรวจโดยรอบโดยไม่สัมผัส เธอดูตั้งแต่เท้าที่เปลือยเปล่า ขากางเกง ข้อมือ เสื้อ คอ ศรีษะ ใบหน้าไปจนถึงผม

     

            อลันเสียงเล็กๆดังขึ้น พลางกวักมือเรียกคนตัวสูงพร้อมชี้ไปที่พื้นที่เธอยืนอยู่

     

             เข้าใจล่ะ เก้าอี้สินะว่าแล้วอลันก็คว้าเก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวออกมา ซึ่งโดนตำรวจโวยวายยกใหญ่

     

              นี่ อย่าย้ายหลักฐานในที่เกิดเหตุสิ!!!”

     

              เอาน่าคุณตำรวจ คอยดูไปเถอะเขายกเก้าอี้ไปวางข้างๆศพ ก่อนที่เด็กสาวจะปีนขึ้นไปเพื่อดูศพใกล้ๆ เธอจดจ้องศพราวกับแค่ดูประติมากรรมชิ้นนึง แววตาที่นิ่งงันดูน่าขนลุกราวกับผีสางที่ไร้ความรู้สึก ก่อนที่เธอจะหันมามองตำรวจแล้วก้าวลงมาจากเก้าอี้

     

    คดีนี้...

     

    เป็นคดีฆาตกรรม

     

     

            สิ้นคำของเด็กสาวเสียงคำค้านของตำรวจก็ดังขึ้นมาทันที

     

              แกเอาอะไรมาตัดสิน ก็เห็นๆอยู่ว่าห้องไม่ได้ถูกรื้อค้น ถึงภายในห้องจะรกอยู่บ้างแต่ประตูถูกล็อกไว้ไม่มีทางถูกบุกรุกเข้ามาแน่

     

     

              คิดตื้นจังนะ

     

              ว่ายังไงนะ!!”

     

              ดูที่หลักฐานดีๆสิ” เธอผายมือไปที่ร่างอันไร้ชีวิตนั่น ทั้งที่แขวนคอตายแต่ลิ้นไม่จุกปาก ตาก็ปิดสนิท ไม่มีน้ำลายไหลออกมากจากปากเลยซะด้วยซ้ำ และถ้าดูจากที่มือเธอชี้ไปยังมือข้างนึงของเหยื่อ ผู้ตายสวมนาฬิกาที่มือซ้ายแสดงว่าผู้ตายถนัดขวา แต่เชือกที่ใช้แขวนคอกลับถูกผูกด้วยมือซ้าย”เมื่อพูดจบตำรวจก็เดินดิ่งมาดูศพ แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำมันเลยก็ตาม เขาขึ้นไปบนเก้าอี้พร้อมสังเกตุดูอย่างละเอียด และมันก็เป็นความจริงที่ว่าปมถูกมัดอยู่คนละด้านกับมือข้างที่ถนัด

     

               เมื่อประเมิณภายในห้องเธอเดินมาหยุดอยู่ที่เตียง ผ้าห่มไม่ได้ถูกปูก็จริงแต่ก็พอมองออกว่าก่อนหน้านี้เคยมีบางอย่างทับอยู่รวมถึ่งร่องรอยบริเวณหมอนที่มีรอยยุบ เป็นไปได้ว่าผู้ตายอาจจะเพิ่งกลับมาจากทำธุระข้างนอกเช่นไปทำงาน ถอดรองเท้าทิ้งอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับลงนอนบนเตียงทั้งชุดไปรเวท เหยื่อจึงยังสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงแสลกขายาวที่ใช้เข้างาน ดูจากสภาพศพแล้วน่าจะเพิ่งตายไปได้ประมาณ 5-7 ชั่วโมง

     

               อย่างมาพูดมั่วๆหลักฐานแค่นี้จะไปรู้ขนาดนั้น

     

              การสังเกตุเป็นสิ่งจำเป็นในการสืบสวนนะ

     

              นายตำรวจขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกัมมือแน่น งั้นบอกมาสิว่าผู้ตาย เสียชีวิตได้ยังไง

     

              ผู้ตาย เสียชีวิตในขณะหลับ หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่รู้สึกตัว ผู้ตายคงจะหลับอยู่บนเตียงแล้วผู้ร้ายก็แอบเข้ามาในห้อง

     

               ฉันก็บอกแล้วไงว่าห้องมันล็อกแล้วมันจะ---

     

               พวกเราได้ถามเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องข้างๆใกล้เคียงกับห้องผู้ตายแล้วอลันกล่าวเสริมดูเหมือนว่าเจ้าของห้องมีชื่อว่า เบญจามิน เขาเป็นชายวัยทำงานที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครและมักจะเปิดประตูทิ้งไว้เสมอเวลาเขาอยู่ที่ห้อง

     

                เปิดประตูทิ้งไว้?

     

              ใช่แล้วเรเวน เริ่มพูดเสริมต่อพร้อมยืนหาวอย่างเบื่อๆ เดินไปที่โต๊ะที่มีของวางเต็มไปหมดแล้วหยิบซองยาซองหนึ่งขึ้นมา ภายในห้องไม่มีเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องกรองอากาศสักตัว เจ้าของห้องคงมีนิสัยชอบเปิดประตูห้องและประตูบริเวณระเบียงทิ้งไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท และดูจากกองยาที่อยู่บนโต๊ะนี่เป็นยาสำหรับคนที่เป็นโรคหอบ ถ้าสำรวจห้องดีๆก็คงพบกับยาพ่นเป็นแน่...กลับมาที่เรื่องวิธีสังหารก็แล้วกัน

     

             เธอโยนยากลับลงไปที่โต๊ะพร้อมกับเดินไปข้างศพเอามือพิงเก้าอี้ ซึ่งตำรวจคนเดิมยังยืนอยู่บนนั้น นอกจากยาทั่วไปแล้วก็ยังมียานอนหลับชนิดเข้มข้นอยู่ ผู้ตายคงจะกินก่อนที่จะหลับลงบนเตียงเวลาประมาณ 10-12ชั่วโมงก่อน

     

              แล้วผู้ตายๆได้ยังไงกันล่ะ

     

              เธอชี้เข้าไปในหูของตัวเอง ลองดูที่หูของเหยื่อสิเมื่อได้ยินดังนั้นตำรวจจึงลองจ้องดู

     

              ก็ไม่เห็นมีอะไร---เอ๊ะเมื่อดูดีๆแล้วข้างในรูหูมีคลาบเลือดไหลออกมา แม้จะแห้งจนแทบไม่เห็นแล้วก็ตามและมีปริมาณเลือดไม่มากนัก

     

              ระหว่างที่หลับคนร้ายก็ได้แอบเข้ามาในห้อง โดยรู้นิสัยว่าผู้ตายมักจะกินยานอนหลับอยู่เป็นประจำ ก่อนจะใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายใส่เข้าไปในเข็มฉีดยา แล้วฉีดเข้าไปข้างในหู ถึงจะบอกไม่ได้ว่าใช้สารพิษแบบไหน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ร้ายอาจใช้แก๊สยาสลบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ตายหลับสนิทจนไม่ทันรู้ตัวแล้วเสียชีวิตไป โดยที่ทุกการกระทำเขาสวมถุงมือป้องกัน อุ้มเหยื่ออกมาจากเตียง แล้วทำการแขวนคอให้เปรียบเสมือนการฆ่าตัวตาย พร้อมกับกดล็อกประตูก่อนออกไปเพื่อไม่ให้มีคนพบศพได้ไวนัก แต่คนร้ายคงลืมไปว่ามันผิดวิสัยของเจ้าของห้องที่มักจะเปิดประตูทิ้งไว้เวลานี้ล่ะมั้ง ถึงได้พบศพเร็วขนาดนี้

     

              นี่พวกนายจะบอกว่า..

     

             ผู้ร้ายเป็นคนที่รู้จักผู้ตายเป็นอย่างดี อาจจะเป็นคนระแวกนี้ก็ได้แถมเธอเริ่มหันไปรื้อกองเสื้อผ้าบนพื้นตอนที่ตำรวจจะห้าม อลัน ก็ได้กันท่าเอาไว้

     

            อย่างที่คิดยังไม่ได้ตรวจสอบห้องโดยละเอียดสินะภายใต้กองเสื้อผ้ามีขวดนอนกลิ้งอยู่สองสามขวดนี่....คงเป็นกรดซันฟิวริก คนร้ายพยายามจะยัดเยียดความผิดการฆาตกรรมให้กับเหยื่อพร้อมกับทำให้คดีนี้เป็นคดีฆ่าตัวตายเพื่อที่ตัวเองจะได้รอดจากการจับกุมเธอเดินกลับไปหา อลัน พร้อมถอดถุงมือยางทิ้ง

     

              ถ้าทำการชันสูตรศพอย่างละเอียดก็คงพบสารพิษที่ใช้ในการฉีดเข้าสู่ร่างกาย อาจจะไม่เจอลายนิ้วมือ แต่ก็น่าจะตามหาตัวได้ไม่ยากนักหรอก

     

              ทำไม...แค่ดูแค่นี้ถึงรู้ขนาดนั้น

     

              เพราะมั้นเป็นงานยังไงล่ะ

     

              พวกแกไม่ใช่ตำรวจซะด้วยซ้ำ!!!!”

     

              พวกเราเป็นนักสืบอลัน เริ่มโต้ตอบแทนพร้อมพา เรเวน หลบมาด้านหลัง

     

              นักสืบเรอะ? เหอะ พวกแกก็แค่นักต้มตุ๋นที่ทำงานในคาเฟ่

     

               จะบอกว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งชาติเป็นพวกลวงโลกรึไง

     

               ตำรวจปากมากคนนั่นถึงกับยืนอึ้ง กระทรวงความมั่นคง....แห่งชาติ?

     

              ใช่แล้ว พวกเราเป็นกลุ่มนักสืบที่ขึ้นตรงมาจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เรื่องงานคาเฟ่ก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้นล่ะ

     

              เขาเอามือพาดไหล่ เรเวน แต่ก็ถูก เรเวน ผลักออกด้วยท่าทีรำคาญ

              พวกเราเป็นนักสืบที่ถูกฝึกฝนให้มองในมุมของฆาตกร ว่าถ้าหากเราเป็นฆาตรกรเราจะฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการแบบไหน เป็นวิธีการใช้ในการสืบคดี

     

              นี่มันบ้าชัดๆ

     

              ได้ยินบ่อยๆแหละถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อนเขาพาร่างของเรเวนออกมาจากห้องก่อนที่จะหันมาพร้อมทำนิ้วชี้จรดลงบนนิ้วโป้งแล้วกางอีกสามนิ้วออก ถ้ายังสืบคดีหาคนร้ายไม่ได้ล่ะก็มาใช้บริการพวกเราได้แต่...

     

    มีค่าใช้จ่ายนะ♥”



    _________________________________________


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×