คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : happening ; dolphin
[ ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิต
คือช่วงเวลาที่ผมได้เก็บคุณไว้ในหัวใจ ได้รักคุณ และได้มองตาคุณ
ท่ามกลางหมู่ดาวที่เป็นประกายอยู่บนท้องฟ้าเช่นนี้… ผมจะบอกรักคุณ
เมื่อแสงแดดของวันใหม่เข้ามาเยือน
ผมก็จะบอกรักคุณอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
ความรู้สึกที่เอ่อล้นนี้น่ะ
ผมไม่อาจจะบรรยายมันออกมได้เลย… ผมรักคุณเหลือเกิน ]
—นั่นเป็นหนึ่งในเนื้อเพลงที่สึบาสะเคยแต่งขึ้นมาเองสมัยมอปลาย
แต่เขาก็ได้แค่ฝึกร้องเท่านั้น เขาไม่เคยหยิบขึ้นมาร้องจริง ๆ จัง ๆ เลย
และไม่มีใครรู้ด้วย ว่าเขาแต่งขึ้นมาทำไม หรือเพื่อใคร
…มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นแหละที่รู้
เขาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย… และเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจและมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควรด้วย
พ่อของเขาเป็นคนฝรั่งเศส ส่วนแม่เป็นคนญี่ปุ่น ขนาดตอนแต่งงาน
หัวหน้าตระกูลฝั่งแม่ของเขาก็ยังเคร่งครัดเรื่องวัฒนธรรมญี่ปุ่นเสียยิ่งกว่าอะไรอีก
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี
พอของเขาเป็นคนดี
ซื่อสัตย์และติดอารมณ์ขันหน่อย ๆ จังเอาชนะใจพ่อตาได้ไม่ยาก
เขาเป็นนักธุรกิจที่ทางตระกูลของเขาก็มีการทำธุรกิจค่อนข้างมากเช่นกัน การแต่งงานกันของสองตระกูลผู้ร่ำรวยจึงเป็นที่พูดถึงกันอยู่พอสมควร
แต่ท้ายที่สุดแล้ว
ทางพ่อของเขาก็ตอบตกลงจะให้ลูกชายทั้งสองใช้นามสกุลฝั่งภรรยาไปแทน
โดยที่เขาและครอบครัวก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรด้วย
ความจริงข้อแรกที่อาจจะไม่มีใครรู้ก็คือภรรยาของเขาท้องก่อนแต่ง… มีแค่เขาและเจ้าตัวเองเท่านั้นที่ทราบ แต่ก็ปิดเป็นความลับจนเด็กคนแรกคลอด
‘มาซารุ สึบาราชิ’
เขาค่อนข้างจะเป็นเด็กขี้อายหน่อย ๆ แต่ก็เชื่อฟัง เวลาผ่านไปอีกหลายปี
พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรคนที่สอง ‘มาซารุ สึบาสะ’ เด็กที่ออกจะซุกซนแล้วก็พูดมาก(ไม่)หน่อย—เล่นเอาปวดหัวอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไร
นับว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดี
เด็กทั้งสองถูกเลี้ยงดูด้วยความรัก และความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถึงแม้ว่าพักหลัง ๆ
พวกท่านจะไม่ค่อยมีเวลาให้เท่าไหร่ แต่ก็ยังติดต่อมาเสมอ ๆ
ทำให้หน้าที่ในการเป็นบุพการีไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไรขนาดนั้น
สึบาราชิเป็นเด็กเรียบร้อยขี้อาย
แต่สึบาสะออกจะซนกว่า ซ้ำยังชอบชวนคนพี่ไปเล่นอะไรแปลก ๆ อีก—
“สะ…สึบาสะ ปีนต้นไม้แบบนั้นจะดีเหรอ
จะไม่มีใครว่าอะไรเหรอ” เสียงของสึบาราชิสั่นเครือ
เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ ของน้องชายวัยหกขวบปีนไต่ต้นไม้ในสวนหลังบ้านขึ้นไป เพื่อที่จะเก็บผลพีชมาทาน
“ไม่เห็นเป็นไรนี่พาย ในเมื่อนี่มันต้นไม้ของบ้านเรานะ” คนตัวเล็กตอบโดยไม่ได้หันไปมองคนถามด้วยซ้ำ ในที่สุดแล้วเท้าของเขาก็เหยียบอยู่ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าเอาผลเล็ก ๆ สีสวยน่าทานนั่น—ทว่าน่าเสียดายที่แขนของเขายังสั้นไป
สึบาสะจึงคิดหาวิธีใหม่ ด้วยการจับกิ่งไม้อีกด้านเพื่อที่จะยึดตัวเองไว้
ก่อนจะเอนตัวออกไปเยอะ ๆ พร้อมด้วยยื่นแขนออกไปด้วย
หมับ!
ทีนี้ก็ได้ผลพีชมาแล้ว
แต่ว่า—
“เหวอ—!”
“สึบาสะ!” สึบาราขิที่เห็นว่าเด็กน้อยลื่นจากกิ่งไม้และกำลังหล่นลงมาก็ร้องลั่น
ขณะวิ่งถลาเข้าไป แม้จะหวาดกลัว
แต่ก็เป็นห่วงน้องชายมากกว่าจึงตั้งใจว่าแค่ช่วยรับสักนิดก็ยังดี—แต่แล้วก่อนที่สึบาสะจะหล่นตุ้บลงมากลับมีมือของใครคนหนึ่งคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้
ทำเอาเชาได้แต่ห้อยต่องแต่งอยู่แบบนั้น
“คะ…คุณตา” สึบาราชิพึมพำเสียงแผ่ว
“เล่นซนอีกแล้วสินะเนี่ยเจ้าเด็กคนนี้!” คนมากอายุขึ้นเสียงเล็กน้อย
แต่นั่นก็ทำให้สึบาราชิตกใจจนสะดุ้งได้แล้ว ต่างจากสึบาสะที่มองตาแป๋ว ฉีกยิ้ม
แล้วยื่นลูกพีชให้กับคนเป็นตาของตัวเอง
“คุณตา~ นี่ฝีมือผมเลยนะ ไม่ลองหน่อยเหรอ
มาจากน้ำผักน้ำแล้งของผมเลยนะนั่น”
“น้ำพักน้ำแรง?”
“มันก็คล้าย
ๆ กันนั่นแหละน่า เอาสิ ๆ ผมอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเก็บมาเลยนะ จริง ๆ
ว่าจะเอามากินเองอยู่หรอก แต่คิดดูอีกที คุณตาอาจจะชอบมันก็ได้ ผมแนะนำเลยนะ”
สึบาสะหัวเราะ ไม่สนใจสีหน้าเคร่งขรึมของคนเป็นตาเลยสักนิด
…แต่ความจริงแล้ว ตาของเขาก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอะไรนักหรอก แค่หน้าตาดูโหด ๆ
แต่ภายในก็รักหลานจะตาย ไอ้ที่เห็นดุ ๆ นี่ก็ดุเพราะเป็นห่วง
ไม่อยากให้สึบาสะปีนต้นไม้เล่นแบบนี้อีก จะตกลงมาคอหักตายวันไหนก็ไม่รู้
“ครั้งหน้าอย่าเล่นแบบนี้ตอนไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็แล้วกัน เด็กคนนี้นี่” ชายวัยกลางคนส่ายหัว ก่อนจะรับผลพีชจากมือเด็กน้อยมา
ใช้แขนเสื้อเช็ดอยู่นิดหน่อยก่อนจะกัดเข้าไปคำนึงแล้วเริ่มวิจารณ์ “อืม… ก็หวานอร่อยดี เลือกเก่งเหมือนกันนี่”
พอได้ยินคำชมชอบแบบนั้นสึบาสะก็หันไปหาสึบาราชิ
เขย่าไหล่อีกฝ่ายแรงจนหน้าสั่นไปหมดด้วยความดีใจ—จริง ๆ
แล้วสึบาสะอาจจะทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นคนเดียว
แต่ที่เขย่าสึบาราชินั่นก็เพราะอยากให้อีกฝ่ายดีใจไปด้วยต่างหาก
สึบาสะเป็นสีสันที่สดใสของบ้านเสมอ
ใคร ๆ ต่างก็คิดแบบนั้น แล้วสึบาสะเองก็ดูจะพอใจกับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับเสียด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากเด็กน้อยเติบโตเป็นชายหนุ่ม ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ
มามากมาย บางช่วงเวลาก็อาจจะมีบ้างที่เขาถูกกดดัน
บางช่วงเวลาที่เครียดจนสมองแทบระเบิด บางช่วงเวลาก็มีบ้างที่ทะเลาะกับครอบครัว
แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีเสมอ
ช่วงชีวิตที่อาจไม่ได้ร่ำรวยมากกว่าทุกคนบนโลก
แต่ก็ถือว่าเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ญาติ ๆ
ทุกคนต่างก็ช่วยกันทำงานหาเงินจนมีเงินทองมากมายไม่แพ้ใคร
อำนาจทางสังคมก็อาจไม่ได้มีมากมายคับฟ้า ทว่าก็คงไม่สามารถหยามได้ง่าย ๆ อยู่ดี
สึบาสะพึงพอใจกับช่วงขีวิตเหล่านี้มากทีเดียว… เพราะอย่างน้อย เขาก็มีความสุข ถึงจะมีความทุกข์ไหลเข้ามาบ้าง
แต่นั่นก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ
เพราะคงไม่มีใครมีชีวิตอยู่มาโดยไม่เคยพบกับความทุกข์หรอก
โอ้—และที่ผ่านมา
สึบาสะก็ผ่านการฝึกฝนเขี้ยวกรำมาอย่างหนักพอสมควรด้วย
ตัวเขาถึงได้เติบโตขึ้นมาด้วยความสามารถที่หลากหลาย… และอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้มีในบทเรียน
ที่พ่อของเขาเป็นคนบอกสอนนิดหน่อยก็คือเรื่องของความรัก
“รู้รึเปล่า ว่าตอนที่พ่อเจอแม่ครั้งแรก พ่อก็รู้สึกหลงรักเธอเข้าให้แล้วนะ”
พ่อของเขากล่าว ในตอนที่สึบาสะอายุเพียงสิบห้าปี
และสึบาราชิอายุยี่สิบสอง ทั้งคู่ถูกเรียกมาคุยที่ห้องเป็นการส่วนตัว
ไม่มีใครเดาออกทั้งนั้นแหละ
ว่าพ่อจะพูดเรื่องความรักอันหวานชื่นตอนยังหนุ่มแบบนี้น่ะ
“มันไม่ดูไวเกินไปหน่อยเหรอครับนั่นน่ะ… ไม่ใช่ว่าคนเราจะต้องใช้เวลาเรียนรู้กันและกันไปเหรอ
อันนี้ผมเคยอ่านการ์ตูนมานะเนี่ย คิดว่ามันจะเหมือนกันหมดซะอีก” สึบาสะว่า แล้วกอดอก ทิ้งตัวเอนหลังลงไปกับพนักโซฟา
ขณะที่สึบาราชิยังนั่งยืดหลังตรงอยู่
“ฮะ ๆ จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก… แต่บางครั้งอะไร
ๆ มันก็คาดเดาไม่ได้นี่นา รักแรกพบก็มีอยู่จริงนะจะบอกให้ ไม่งั้นพ่อไม่ได้แต่งงานกับแม่แน่
ๆ พ่อตามจีบเธออยู่พักใหญ่ ๆ เลยนะรู้มั้ย” คนเป็นพ่อหัวเราะ
“รักแรกพบเหรอ
ว้าว…แล้วผมจะมีบ้างมั้ยล่ะนั่น”
“แบบนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาอยู่แล้วสิ
มาถามพ่อ พ่อก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้หรอก” เขาส่ายหัว “พ่อเห็นลูก ๆ เริ่มโตแล้ว ก็เลยอยากบอกอะไรไว้หน่อย…จะคบใครน่ะ
ต้องคิดดี ๆ ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าคิดจะคบแก้เหงาหรือคบไปแบบเล่น ๆ
พอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่มีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์เอา เพราะงั้น ในตอนที่ลูก ๆ
เพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นกันนี่แหละ มองหาคนรักดี ๆ สักคนเข้าไว้ล่ะ”
“…แต่ผมไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องนี้น่ะสิครับ
แค่เข้าเรียนตามตาราง ทำงานและทำกิจกรรมของมหาลัยอีก แค่นั้นผมก็จะไม่ไหวแล้วนะ”
สึบาราชิพูดเสียงเบา แล้วจู่ ๆ สึบาสะก็โน้มตัวเข้ามากอดแขนเขา
“โธ่พี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแฟนนะครับ เดี๋ยวผมช่วยพี่หาอีกแรงก็ได้
ถึงพี่จะเป็นเด็กเนิร์ดสวมแว่นหนาเตอะแบบนี้แต่ผมก็ว่าพี่หล่อเหมือนผมอยู่นะ
พี่แค่ต้องเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวจากคุณลุงคนขายโรตีมาเป็นนายแบบสุดเท่แบบผมให้ได้ก่อน”
“นะ…นายว่าพี่เหรอ?”
“จุ๊
ๆ ผมตำหนิต่างหาก ตำหนิก็เพราะรักไงครับ พี่อย่าคิดมากน่า”
สึบาสะหัวเราะ แล้วนั่นก็ทำให้พ่อของเขาอดขำตามไปด้วยไม่ได้เลย—เด็กคนนี้ร่าเริง
และมักจะเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ เสมอ
สึบาสะดูเหมือนจะเข้มแข็ง… แต่เขาก็รู้ ว่าย่อมต้องมีวันที่เจ้าตัวจะอ่อนแออยู่แล้ว
ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ในวันนี้เขามีโอกาสจึงคอยเล่าเรื่องเก่า ๆ ของตัวเองให้ฟัง
บ้างก็สั่งสอน บ้างก็ให้ดูเป็นอุทาหรณ์สอนใจ บ้างก็แนะนำให้ทำตาม—หลาย ๆ เรื่อง
รวมไปถึงเรื่องของความรักด้วย… แม้สึบาราชิจะอายุมากแล้ว
แต่ก็ยังไม่ประสีประสาเรื่องนี้เท่าไหร่ ยิ่งกับสึบาสะก็ยิ่งแล้วใหญ่
เห็นเจ้าตัวปากมากแบบนั้นน่ะ ยังไงก็ยังเด็กอยู่ดี ทำเหมือนรู้ แต่จริง ๆ ก็ไม่
ถ้าไม่ได้บอกก็คงโอ้อวดตัวเองมากไม่ได้
และนั่นแหละ
คือคืนที่เขาได้รับคำสอนมากมาย สึบาสะจดจำมันได้ขึ้นใจ
ไม่ใช่แค่เพราะเขาปลื้มในตัวพ่อในฐานะที่ดูเท่กว่าเขา (…) อยู่แล้วหรอก แต่เพราะตอนที่เขาเติบโตขึ้น และผ่านจุดจุดนั้นมาแล้ว มันมักจะทำให้เขาหวนนึกย้อนกลับมาเสมอเลย
เป็นเหมือนกับเครื่องเตือนใจ และสิ่งดี ๆ ที่คอยสั่งสอนให้เขาก้าวหน้า
สึบาสะในตอนนั้นที่เอาแต่ฟัง
และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจอภัยเรื่องความรักมาก่อน จนกระทั่งโตขึ้นนี่ล่ะถึงได้รู้—
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครา
เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นอีกแล้ว และในช่วงเวลานั้น—ก็เป็นตอนที่เขามีอายุได้สิบเจ็ดปี
อยู่มอปลายปีสอง ในวัยที่กำลังสนุกสนาน วัยรุ่นที่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย
สึบาสะเพลิดเพลินกับมันมากทีเดียว ทั้งเล่นกับเพื่อน
เที่ยวหรือแม้แต่โดดเรียนไปด้วยกัน (…) หลากหลายช่วงเวลา
หลากหลายสีสัน—ช่วงชีวิตที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่ามันสนุกสุดยอด
สึบาสะเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน
กระทั่ง… ในช่วงเวลานั้นเอง
ที่เขาได้ประสบพบเจอกับอีกสิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นวัยเรียนคงจะได้เจอไม่ต่างกัน—ความรัก
เคยได้ยินไหม… คำนิยามที่เคยมีคนพูดลอย ๆ ไว้ว่า ความรักครั้งแรกของหลาย ๆ คนมักจะเกิดขึ้นในตอนที่ยังสวมชุดนักเรียนอยู่แบบนี้นี่แหละ
อ่า… และใช่ เป็นอีกหนึ่งประโยคที่สึบาสะเชื่อจริง ๆ
‘มิกิ ฮารุนะ’ เป็นเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาในกลางเทอม
เธอเป็นผู้หญิงที่ออกจะดูร้าย ๆ แรง ๆ ไปเสียหน่อย เธอค่อนข้างขี้หงุดหงิดเสียด้วย
จากที่เขารู้มา เธอย้ายมาพร้อมกับเพื่อนจองตัวเองอีกสี่คน
ทว่าเป็นเธอคนเดียวที่ถูกจับย้ายเข้ามาเพราะจำนวนคนมันเกิน …นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดน่าดู
เพื่อนในห้องของเขาต่างก็ตีสนิทกับเธอไม่ได้มากมายเท่าไหร่—เพราะเธอดูท่าจะปิดกั้นและถือตัวด้วย
เป็นเหตุให้ใครต่อใครเริ่มไม่ชอบเธอขึ้นมา
ฮารุนะเองก็รู้ว่าตัวเองเริ่มถูกซุบซิบนินทาแล้ว แต่หล่อนก็ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ
ความจริง… สึบาสะก็ไม่ได้คิดอยากจะยุ่งกับคนอย่างเธอนักหรอก
เพื่อนของเขาก็มักจะห้ามเอาไว้
แต่เพราะเขาทนความอยากรู้อยากเห็นปนกับอยากทำความรู้จักกับผู้คนของตัวเองไม่ไหว—สุดท้ายแล้วก็เป็นสึบาสะเสียเองที่เดินเข้าไปหาเธอ
“สวัสดี” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าในตอนที่เขาเดินเข้าไปยังโต๊ะเรียนของหญิงสาว
เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะหลุบตาต่ำมองหน้าจอโรศัพท์มือถือเช่นเดิม “ฉันสึบาสะนะ”
“เฮ้!
อะไรเนี่ย!” แล้วเธอก็ดูจะหงุดหงิดเสียด้วย
ที่จู่ ๆ เขาก็เอามือมาบังหน้าจอมือถือของเธอ
“น่า ๆ ฉันไม่ได้อยากจะหาเรื่องเธอสักหน่อย
ก็แค่อยากจะทำความรู้จักด้วยเท่านั้นเอง… เธอนั่นแหละ
เล่นแต่มือถืออยู่ได้”
“ขอบใจ
แต่ฉันไม่ได้อยากจะมีเพื่อน โดยเฉพาะคนอย่างนายนั่นแหละ!”
…อืม ก็อย่างที่เห็น มันเป็นการเริ่มต้นทำความรู้จักที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สึบาสะก็ขี้ตื้อ ฮารุนะก็ขี้รำคาญแถมยังติดเพื่อนอีก วันแล้ววันเล่า
สึบาสะแค่อยากจะได้เพื่อนเพิ่มอีกสักคน แต่ฮารุนะก็ดูจะกีดกันเขาเสมอ แต่ก็นะ…
ลึก ๆ แล้วเธอก็ไม่รู้ตัวหรอก ว่าเริ่มชอบเขาขึ้นมาแล้ว
จากที่เชิดหน้าใส่ทุกครั้งหลับกลายเป็นมองหา ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่—ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดสิ้นดีเลย
พักหลัง ๆ
สึบาสะเริ่มถอยห่างจากเธอเพราะติดธุระที่บ้านนิดหน่อย
คราวนั้นเองก็กลายเป็นบททดสอบหัวใจของฮารุนะไป
กลายเป็นว่าเธอคิดถึงเขามากกว่าที่เขาคิดถึงเธอเสียอีก พอสึบาสะกลับมา
เธอก็กลั้นใจสารภาพออกไปเสียก่อนว่ารู้สึกกับเขาอย่างไร
ในคราวนั้น… สึบาสะไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ ถึงจะอายุสิบเจ็ดแล้ว
แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่อะไรนัก เขารู้แค่ว่ารู้สึกดี ๆ กับเธออยู่บ้าง
แล้วก็รู้สึกว่าเธอน่ารักดีด้วย ในความขี้หงุดหงิดนั่นก็เหมือนแมว—น่ารักดี
เพราะงั้นเขาถึงได้ของเธอคบไป
ที่บ้านของเขาก็รับรู้เสมอว่าเขาคบกับใคร
แต่ทางบ้านของฮารุนะดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่
พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันเล็ก
ๆ น้อย ๆ ฮารุนะรู้แล้วว่าสึบาสะเป็นลูกชายของตระกูลที่มีฐานะดีตระกูลหนึ่ง
ส่วนสึบาสะก็รู้แล้วว่าทางบ้านของฮารุนะมีฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเธอติดสุรา
แล้วแม่ก็ติดพนัน งานของพวกเขามีแค่เป็นพ่อบ้านและแม่บ้านตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ
ตอนแรกสึบาสะตั้งใจว่าจะช่วยเหลือเรื่องเงินกับฮารุนะอย่างเต็มที่
ทว่าฮารุนะก็ปฏิเสธไปก่อน เธอบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น
เธอจะอยู่กินได้ และไม่อยากรบกวนเขาให้มากนัก
ฮารุนะดูจะนิสัยดีขึ้นมากหลังจากคบกับสึบาสะ
ช่วงมอปลายปีสองถึงมอปลายปีสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงคบกันอยู่
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้หลากหลายคือทุก ๆ คนมองฮารุนะในแง่ดีขึ้นมาก
แล้วทั้งคู่ก็ช่วยเหลือกันในหลาย ๆ อย่างด้วย
ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว… ถึงแม้จะมีเรื่องให้ทะเลาะกันบ้างนิดหน่อย
แต่สุดท้ายแล้วก็คืนดีกัน แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม… คนที่เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองมาที่สุดก็คือสึบาสะ
และคนที่ปกปิดตัวเองไว้มากกว่าที่ใครจะคาดถึงก็คือฮารุนะ—แน่นอนว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จบลงด้วยตัวเอง
“อะไรนะ?” เรียวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเป็นปมแน่น
หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพจากปากของแฟนสาว—ฮารุนะ ฮารุนะเรียกเขามาพบที่บ้าน
เพื่อที่จะบอกความจริงบางอย่าง และความจริงนั้น…มันก็ทำให้เขาแทบพูดไม่ออกเลย
เขาเพิ่งรู้ว่าฮารุนะมีแฟนอยู่แล้ว
‘โยชิ’ —และคบกันกันมาตั้งแต่ช่วงสมัยมอต้น
เขาคนนี้เองก็เป็นลูกชายของนักธุรกิจที่มีฐานะคนหนึ่ง
แต่ก็มักจะเป็นคู่แข่งทางการตลาดกับครอบครัวของสึบาสะอยู่ตลอด
ในช่วงเวลาที่ฮารุนะเพิ่งย้ายโรงเรียนไปใหม่ เธอได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้กับโยชิฟังเสมอนั่นทำให้โยชิคิดแผนการอะไรบางอย่างออก
เขาตั้งใจให้ฮารุนะตอบตกลงคบกับสึบาสะ
แล้วพัฒนาความสัมพันกันไปเรื่อย ๆ ทำให้สึบาสะตายใจ
จากนั้นค่อยหาทางหักหลังและคดโกงทางบริษัทของบ้านสึบาสะให้ล้มละลายไป—เพราะโยชิรู้อยู่แล้วว่าสึบาราชิไม่ได้รับช่วงต่อจากบริษัท
แต่จะเป็นสึบาสะเสียเองที่ทำหน้าที่นี้ ฉะนั้น… ฮารุนะจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนกับสปายสายลับอะไรแบบนั้นเลย
“ฮารุนะ!!”
แต่ดูเหมือนนบ้านหลังนี้จะไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน—โยชิที่เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้พุ่งเข้ามากระชากแขนเธอเอาไว้อย่างโกรธเกรี้ยว
อีกมือหนึ่งง้างขึ้น หมายจะตบหญิงสาว สึบาสะที่ตั้งตัวไม่ทันก็ถลาเข้าไปห้ามไว้
“เฮ้! เดี๋ยวสิ! หยุดเลยนะ!”
เขาร้องตะโกน แล้วเหตุการณ์วุ่นวายทะเลาะวิวาทภายในบ้านหลังเล็ก ๆ
นี่ก็ดูจะเริ่มขึ้น เมื่อโยชิไม่ยอมทำตามที่สึบาสะบอก
เจ้าตัวปล่อยหมัดผ่านวงแขนของสึบาสะไปโดนที่แก้มซีกขวาของฮารุนะพอดี
ตอนนั้นเองที่สึบาสะสวนกลับไปบ้าง—
ผลั่ก!!
“บอกให้พอไง!”
เขาคำราม หมัดนั่นแรงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มล้มหงายหลังตึง
รูปร่างค่อนข้างอวบท้วมนั่นค่อย ๆ ตะกายลุกขึ้น ดวงตามองมาที่สึบาสะอย่างเคืองแค้น
แต่เรื่องนั้นสึบาสะก็ไม่ได้สนใจอีกแล้ว
ดูเหมือนฮารุนะจะไม่รู้เรื่องที่โยชิแอบเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วย… เธอคงตั้งใจนัดเขามาแค่คนเดียว แต่ก็เป็นโยชิเสียเองที่แอบตามเข้ามา
เหตุผลก็อาจจะเพราะสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเธอไม่ผิดแน่
“ฮารุนะ” สึบาสะหันไปช่วยพยุงหญิงสาวที่ล้มบงไปขึ้นมา
“เหอะ! พวกแกมันน่ารังเกียจกันทั้งคู่นั่นแหละ!” โยชิตะโกน ก่อนจะชี้หน้าฮารุนะ “แกมันก็ไม่ภักดีเอาซะเลย
รู้มั้ยว่าฉันให้เงินแกไปตั้งเท่าไหร่ แล้วจู่ ๆ จะมาหักหลังกันแบบนี้น่ะเหรอ
ความจริงแล้วแกก็รักมันใช่ไหมล่ะ!?”
จบคำนั้นสึบาสะก็หันมาสบตากับฮารุนะ—ดวงตาที่รื้อไปด้วยน้ำตา
ทำเอาเขาถอนหายใจแล้วหันไปหาโยชิอีกครั้ง
“กลับไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“แก—!”
“บอกให้กลับไปไง!”
แม้จะไม่เต็มใจ
แต่โยชิก็ยินยอมกลับไปอยู่ดี ในเมื่อสู้แรงกับสึบาสะไมได้
แถมยังถูกขู่ว่าจะแจ้งตำรวจอีก แบบนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไรจะให้เขาอยู่ต่อแล้ว
และหลังจากที่เขาไปแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
กระทั่งสึบาสะเอ่ยขึ้น
“…เป็นจริงตามที่ทั้งเธอแล้วก็เขาพูดใช่ไหม ฮารุนะ”
“สึบาสะ…” เรียกเล็ก ๆ นั่นสั่นคลอน “ฮึก… ฉะ—ฉันไม่ได้รักโยชิจริง ๆ หรอกนะ
ที่ฉันคบเขาก็เพราะว่าฉันเดือดร้อนเรื่องเงินต่างหาก แล้ว…
แล้วฉันก็รักนายจริง ๆ นะ ตอนที่นายเข้ามาในชีวิตฉัน…
มันทำให้ฉันมีความสุขมากจริง ๆ
แล้วที่ฉันมาสารภาพกับนายวันนี้ก็เพราะฉันไม่อยากโกหกกับนายอีกแล้วน่ะสิ
ให้อภัยฉันได้ไหม...นะ?"
แม้เสียงนั่นจะอ้อนวอน
แต่แววตาของสึบาสะกลับเหนื่อยล้าและเจ็บปวด
“รู้มั้ย…ว่าฉันถามเธอไปตั้งหลายครั้งแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยไหม
ฉันยินดียื่นมือเข้าไปช่วยเธอได้ทุกอย่าง
ฉันสามารถเอาเงินเก็บให้เธอมากมายแค่ไหนก็ได้… แต่เธอก็ปฏิเสธฉัน
และเลือกที่จะทำตามความต้องการของเขาต่อ—คำถามคือ ถ้าเธอรักฉัน
แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมเลือกฉันตั้งแต่แรกล่ะ?”
“สึบาสะ…”
“อีกอย่าง…
ฉันเชื่อใจเธอเสมอ บอกความจริงกับเธอเสมอ
ฉันเปิดเผยกับเธอทุกเรื่องง
แต่วันนี้ก็ก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอปิดบังฉันไว้มากมายแค่ไหน ฉันเริ่มสับสนจริง ๆ
แล้วล่ะ ว่าที่ผ่านมามันคืออะไรกันแน่ เธอหลอกลวงฉันรึเปล่า”
น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นคลอนบ้าง “เธอรักฉันจริง ๆ
หรือแค่เห็นฉันเป็นที่พึ่งเหมือนกับที่เห็นเขาเป็นแหล่งถุงเงินล่ะฮารุนะ? ตอบฉันมาสักทีได้ไหม?”
คงเป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฮารุนะเห็นว่าเขามีน้ำตา—ทั้งที่ความจริงแล้วสึบาสะอดทนเก่งมาก
แล้วก็จะยิ้มอยู่ตลอดเลย
นั่นทำให้ฮารุนะอดไม่ได้ที่ปล่อยโฮออกมา
เธอเสียใจ—เสียใจที่ตัวเองทำผิดไป ผิดแม้กระทั่งทำให้คนดี ๆ
แบบเขาหลงเข้ามาคบกับเธอ ผิดที่ไม่ไว้ใจเขาตั้งแต่แรก
และผิดที่คิดถึงตัวเองมากเกินไป
ถึงจะรักมากแค่ไหน… แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็รู้ดีกว่าเธอเป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขารวดร้าว
มันคงยากที่จะต่อกลับเข้ามา
ต่อให้เรื่องนี้คลี่คลาย
แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจก็คงคลางแคลง
สู้ปล่อยเขาให้ไปเจอคนที่ดีกว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ…
“สึบาสะ” ฮารุนะสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นใจเอ่ยคำนั้นออกไป— “เราจบกันแค่นี้เถอะนะ”
ให้เธอเป็นฝ่ายจบเองเสียจะดีกว่า…
อย่างน้อย ๆ ฝ่ายที่ถูกบอกเลิกก็อาจจะไม่ต้องรู้สึกผิด
“เอาแบบนี้เลยเหรอ…” สึบาสะพึมพำ
เขาเดาได้จากสายตาของเธอ—ว่าเธอเองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ใจหนึ่งเขาก็อยากจะยื้อไว้
แต่อีกใจก็ปวดหนึบจนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
เขามีเวลาตัดสินใจแค่ไม่กี่นาทีเสียด้วย แย่มาก ๆ เลยล่ะ…
“เถอะนะ”
ฮารุนะว่าแล้วสวมกอดเขา “มันน่าจะดีกว่า…นะ เชื่อฉัน” ปลายคางของเธอวางอยู่บนบ่าของเขา
แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ร่างกายสั่นเทิ่มจวนเจียนจะล้มลง
แต่ก็ได้แต่เกาะบ่ากว้างของเขาไว้
“ถ้าเธอต้องการแบบนั้น…” เสียงของเขาเบาหวิว—สึบาสะมักจะดูแลเธออย่างดีเสมอ
รวมทั้งยังตามอกตามใจไปหมดด้วย แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นการตามใจครั้งสุดท้ายแล้วสิ “เราเลิกกันเถอะ”
กลายเป็นว่ารักครั้งแรกในชุดนักเรียนของวัยรุ่นที่แสนมีสีสันของเขา
แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว
ช่างเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เท่เอาซะเลย
ให้ตายสิ…
สึบาสะเคยแต่งเพลงเพลงนึงเอาไว้
และตั้งใจว่าจะร้องในงานเลี้ยงจบการศึกษาให้กับฮารุนะ—แต่ก็นั่นแหละ
ทุกอย่างถูกยกเลิกไป หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็กลับมาที่บ้าน
ซุกตัวอยู่ในห้องพักใหญ่ ๆ กว่าจะไปโรงเรียนเหมือนเดิม
ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นทั้งเขาและฮารุนะก็แทบไม่ได้คุยกันเลย
มีแค่เรื่องงานหรือไม่ก็ความจำเป็นบางอย่างเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว
แต่ไม่ได้รู้ลึกอะไร
ทั้งคู่เริ่มจากที่คุยกันได้แบบกระอักกระอ่วนนิดหน่อย
ไปจนถึงคุยกันได้ตามปกติ มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนกัน
สุดท้ายก็จบการศึกษาไปด้วยกันอย่างดี—แต่ฮารุนะไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าสึบาสะแต่งเพลงให้
และแน่นอนว่าเขาก็เก็บไว้เป็นความลับเหมือนกัน
ฮารุนะเลิกยุ่งกับโยชิขาด
แล้วก็ย้ายเมืองที่อยู่ไปแล้วด้วย
พ่อและแม่ของเธอได้รับการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจากสึบาสะในการบำบัดเล็กน้อย
แล้วก็หางานที่ดีกว่านี้ให้ทำ ฮารุนะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฮิเมจิ
ซึ่งพ่อแม่ของเธอก็ทำงานที่นั่นด้วย
โดยการเป็นพนักงานเสิร์ฟกับทำอาหารในร้านอาหารที่เมืองนั้น
ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก—และเขาก็เช่นกัน
เขาใช้เวลาทำใจอยู่หลายเดือน สุดท้ายแล้วก็ทำใจคุยกับเธอได้ตามปกติสักที ช่วงชีวิตของเขาผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้ง
เรื่องวุ่นวายเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี…
สึบาสะกลับมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าของตัวเองบ่อยมาก
และมากพอที่จะทำให้อาจารย์บางคนเบื่อขี้หน้าไปแล้ว กระนั้นเขาก็ยังมา
เพราะมหาวิทยาลัยของเขาไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่นัก หลาย ๆ
ครั้งเขาก็มักจะมาเยี่ยมลูกน้องที่สนิท หรือไม่ก็ไปเล่นกีฬาตามสนามต่าง ๆ
กับเพื่อน ๆ ของตัวเอง
จนแล้วจนรอดวันหนึ่งเขาก็เพิ่งจะได้ยินข่าวลือเรื่องของชมรมประหลาดชมรมหนึ่ง
ทีที่เปิดกว้างพอที่จะให้ศิษย์เก่าอย่างเขาเสนอหน้าเข้าไปได้
จากคำโปรยแนะนำที่ว่าจะได้พบกับคู่เดตที่หลากหลาย
ได้พบกับผู้คนมากมายทำให้เขาค่อนข้างสนใจ
จึงตัดสินใจที่จะแยกตัวออกมาจากเพื่อนเพื่อที่จะตามหาห้องชมรมนั้น
และเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย
ว่าหัวหน้าชมรมที่เรียกตัวเองว่า ‘ไวโอเล็ต’ จะเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก
ๆ คนหนึ่ง—และสิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ ตอนที่เขาไป เขาไม่เจอใครเลย
คงสรุปได้ว่าหัวหน้าชมรมอาจจะไม่ได้อยู่ในห้อง
เพราะแบบนั้นเขาจึงได้เดินออกมาด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ นิดหน่อย—
ทว่าครานั้นแหละ
ในช่วงขณะที่ชายหนุ่มเดินออกมาทางประตูหลังที่เป็นสวนดอกไม้หลังอาคาร ที่ทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นพอดี—ไม่สิ
ต้องเรียกว่าเธอกำลังเดินเข้ามาต่างหาก ดูเหมือนเธอคนนี้จะออกมาชมดอกไม้
และกำลังกลับเข้าไปไม่ผิดแน่
สายลมพัดแผ่วเบา
แต่ก็ทำให้กลีบดอกไม้ปลิวปลิวผ่านหน้าเขาไปกลีบแล้วกลีบเล่า… กลิ่นหอม ๆ นั่นฟุ้งกระจาย สยายอยู่ท่ามกลางสวนอันงดงามและท้องฟ้าช่วงสายที่สว่างจ้า
ณ
เวลาที่เธออาจไม่ทันได้สังเกตเห็นเขาเพราะต้องรีบวิ่งเข้าอาคารไป
เธอคงจะคิดว่าเขาเป็นอาจารย์หรือไม่ก็รุ่นพี่สักคนเท่านั้น—แต่ก็ใช่แหละ
เขาเป็นรุ่นพี่ และเป็นศิษย์เก่าด้วย เอาเป็นว่าเธอคงไม่ได้ใส่ใจเขานัก
แต่สำหรับเขา…มันเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษมากทีเดียว กลิ่นหอมหวาน
ดวงหน้างดงามที่แม้จะดูร้อนรน หรือแม้แต่ท่วงท่าเหล่านั้น—ราวกับมีบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขาเข้าไปแล้ว
เสมือนกับเป็นแม่เหล็กดึงดูด
ในตอนนั้นเองที่เขาเดินตามเธอเข้าไป
เพื่อที่จะได้ทราบว่าเธอตรงเข้าไปในห้องชมรมที่เขาเพิ่งจะออกมา—และแล้วเขาก็ได้รู้…ว่าเธอนั่นแหละ คือหัวหน้าชมรม
หลังจากช่วงเวลานั้นเขาก็เดินออกมาเงียบ
ๆ ตัดสินใจที่จะยังไม่ทัก แต่วันต่อมาเขาก็เดินวนเวียนกลับมาแถว ๆ
อาคารนี้อีกครั้ง เฝ้ามองเธออยู่ห่าง ๆ (แต่แน่นอนว่าไม่ได้ตามติดมากซะจนดูโรคจิตน่ากลัว)
ท้ายที่สุดแล้ว—ผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียว
เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทักเธอจนได้
กล่าวว่าเธอน่าสนใจโดยที่เธอก็คงจะงงเต๊ก
ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร แล้วมาทักเธอได้ยังไงกันนะ—
แต่ช่างเถอะ
สึบาสะคิดว่าค่อย ๆ ทำความรู้จักกับเธอไปดีกว่า :)
To be continued...?
ความคิดเห็น