ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    happening

    ลำดับตอนที่ #8 : happening ; dolphin

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 118
      0
      13 ต.ค. 63

    dolphin ]

    history

    [ ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิต คือช่วงเวลาที่ผมได้เก็บคุณไว้ในหัวใจ ได้รักคุณ และได้มองตาคุณ

    ท่ามกลางหมู่ดาวที่เป็นประกายอยู่บนท้องฟ้าเช่นนี้ ผมจะบอกรักคุณ

    เมื่อแสงแดดของวันใหม่เข้ามาเยือน ผมก็จะบอกรักคุณอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง

    ความรู้สึกที่เอ่อล้นนี้น่ะ ผมไม่อาจจะบรรยายมันออกมได้เลยผมรักคุณเหลือเกิน ]

                —นั่นเป็นหนึ่งในเนื้อเพลงที่สึบาสะเคยแต่งขึ้นมาเองสมัยมอปลาย แต่เขาก็ได้แค่ฝึกร้องเท่านั้น เขาไม่เคยหยิบขึ้นมาร้องจริง ๆ จัง ๆ เลย และไม่มีใครรู้ด้วย ว่าเขาแต่งขึ้นมาทำไม หรือเพื่อใคร …มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นแหละที่รู้

     

                เขาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและเรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจและมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควรด้วย พ่อของเขาเป็นคนฝรั่งเศส ส่วนแม่เป็นคนญี่ปุ่น ขนาดตอนแต่งงาน หัวหน้าตระกูลฝั่งแม่ของเขาก็ยังเคร่งครัดเรื่องวัฒนธรรมญี่ปุ่นเสียยิ่งกว่าอะไรอีก แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

                พอของเขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์และติดอารมณ์ขันหน่อย ๆ จังเอาชนะใจพ่อตาได้ไม่ยาก เขาเป็นนักธุรกิจที่ทางตระกูลของเขาก็มีการทำธุรกิจค่อนข้างมากเช่นกัน การแต่งงานกันของสองตระกูลผู้ร่ำรวยจึงเป็นที่พูดถึงกันอยู่พอสมควร แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทางพ่อของเขาก็ตอบตกลงจะให้ลูกชายทั้งสองใช้นามสกุลฝั่งภรรยาไปแทน โดยที่เขาและครอบครัวก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรด้วย

                ความจริงข้อแรกที่อาจจะไม่มีใครรู้ก็คือภรรยาของเขาท้องก่อนแต่งมีแค่เขาและเจ้าตัวเองเท่านั้นที่ทราบ แต่ก็ปิดเป็นความลับจนเด็กคนแรกคลอด มาซารุ สึบาราชิ เขาค่อนข้างจะเป็นเด็กขี้อายหน่อย ๆ แต่ก็เชื่อฟัง เวลาผ่านไปอีกหลายปี พวกเขาก็ให้กำเนิดบุตรคนที่สอง มาซารุ สึบาสะ เด็กที่ออกจะซุกซนแล้วก็พูดมาก(ไม่)หน่อย—เล่นเอาปวดหัวอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไร

                นับว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดี เด็กทั้งสองถูกเลี้ยงดูด้วยความรัก และความอบอุ่นจากพ่อแม่ ถึงแม้ว่าพักหลัง ๆ พวกท่านจะไม่ค่อยมีเวลาให้เท่าไหร่ แต่ก็ยังติดต่อมาเสมอ ๆ ทำให้หน้าที่ในการเป็นบุพการีไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไรขนาดนั้น

                สึบาราชิเป็นเด็กเรียบร้อยขี้อาย แต่สึบาสะออกจะซนกว่า ซ้ำยังชอบชวนคนพี่ไปเล่นอะไรแปลก ๆ อีก—

                สะสึบาสะ ปีนต้นไม้แบบนั้นจะดีเหรอ จะไม่มีใครว่าอะไรเหรอเสียงของสึบาราชิสั่นเครือ เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ ของน้องชายวัยหกขวบปีนไต่ต้นไม้ในสวนหลังบ้านขึ้นไป เพื่อที่จะเก็บผลพีชมาทาน

                ไม่เห็นเป็นไรนี่พาย ในเมื่อนี่มันต้นไม้ของบ้านเรานะ คนตัวเล็กตอบโดยไม่ได้หันไปมองคนถามด้วยซ้ำ ในที่สุดแล้วเท้าของเขาก็เหยียบอยู่ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าเอาผลเล็ก ๆ สีสวยน่าทานนั่น—ทว่าน่าเสียดายที่แขนของเขายังสั้นไป สึบาสะจึงคิดหาวิธีใหม่ ด้วยการจับกิ่งไม้อีกด้านเพื่อที่จะยึดตัวเองไว้ ก่อนจะเอนตัวออกไปเยอะ ๆ พร้อมด้วยยื่นแขนออกไปด้วย

                หมับ!

                ทีนี้ก็ได้ผลพีชมาแล้ว แต่ว่า—

                เหวอ—!”

                สึบาสะ!” สึบาราขิที่เห็นว่าเด็กน้อยลื่นจากกิ่งไม้และกำลังหล่นลงมาก็ร้องลั่น ขณะวิ่งถลาเข้าไป แม้จะหวาดกลัว แต่ก็เป็นห่วงน้องชายมากกว่าจึงตั้งใจว่าแค่ช่วยรับสักนิดก็ยังดี—แต่แล้วก่อนที่สึบาสะจะหล่นตุ้บลงมากลับมีมือของใครคนหนึ่งคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้ ทำเอาเชาได้แต่ห้อยต่องแต่งอยู่แบบนั้น

                คะคุณตาสึบาราชิพึมพำเสียงแผ่ว

                เล่นซนอีกแล้วสินะเนี่ยเจ้าเด็กคนนี้!” คนมากอายุขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้สึบาราชิตกใจจนสะดุ้งได้แล้ว ต่างจากสึบาสะที่มองตาแป๋ว ฉีกยิ้ม แล้วยื่นลูกพีชให้กับคนเป็นตาของตัวเอง

                คุณตา~ นี่ฝีมือผมเลยนะ ไม่ลองหน่อยเหรอ มาจากน้ำผักน้ำแล้งของผมเลยนะนั่น

                “น้ำพักน้ำแรง?”

                “มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละน่า เอาสิ ๆ ผมอุตส่าห์ปีนขึ้นไปเก็บมาเลยนะ จริง ๆ ว่าจะเอามากินเองอยู่หรอก แต่คิดดูอีกที คุณตาอาจจะชอบมันก็ได้ ผมแนะนำเลยนะสึบาสะหัวเราะ ไม่สนใจสีหน้าเคร่งขรึมของคนเป็นตาเลยสักนิด

                แต่ความจริงแล้ว ตาของเขาก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอะไรนักหรอก แค่หน้าตาดูโหด ๆ แต่ภายในก็รักหลานจะตาย ไอ้ที่เห็นดุ ๆ นี่ก็ดุเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้สึบาสะปีนต้นไม้เล่นแบบนี้อีก จะตกลงมาคอหักตายวันไหนก็ไม่รู้

                ครั้งหน้าอย่าเล่นแบบนี้ตอนไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็แล้วกัน เด็กคนนี้นี่ ชายวัยกลางคนส่ายหัว ก่อนจะรับผลพีชจากมือเด็กน้อยมา ใช้แขนเสื้อเช็ดอยู่นิดหน่อยก่อนจะกัดเข้าไปคำนึงแล้วเริ่มวิจารณ์ อืมก็หวานอร่อยดี เลือกเก่งเหมือนกันนี่

                พอได้ยินคำชมชอบแบบนั้นสึบาสะก็หันไปหาสึบาราชิ เขย่าไหล่อีกฝ่ายแรงจนหน้าสั่นไปหมดด้วยความดีใจ—จริง ๆ แล้วสึบาสะอาจจะทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นคนเดียว แต่ที่เขย่าสึบาราชินั่นก็เพราะอยากให้อีกฝ่ายดีใจไปด้วยต่างหาก

     

                สึบาสะเป็นสีสันที่สดใสของบ้านเสมอ ใคร ๆ ต่างก็คิดแบบนั้น แล้วสึบาสะเองก็ดูจะพอใจกับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับเสียด้วย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากเด็กน้อยเติบโตเป็นชายหนุ่ม ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย บางช่วงเวลาก็อาจจะมีบ้างที่เขาถูกกดดัน บางช่วงเวลาที่เครียดจนสมองแทบระเบิด บางช่วงเวลาก็มีบ้างที่ทะเลาะกับครอบครัว แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีเสมอ

                ช่วงชีวิตที่อาจไม่ได้ร่ำรวยมากกว่าทุกคนบนโลก แต่ก็ถือว่าเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ญาติ ๆ ทุกคนต่างก็ช่วยกันทำงานหาเงินจนมีเงินทองมากมายไม่แพ้ใคร อำนาจทางสังคมก็อาจไม่ได้มีมากมายคับฟ้า ทว่าก็คงไม่สามารถหยามได้ง่าย ๆ อยู่ดี

                สึบาสะพึงพอใจกับช่วงขีวิตเหล่านี้มากทีเดียวเพราะอย่างน้อย เขาก็มีความสุข ถึงจะมีความทุกข์ไหลเข้ามาบ้าง แต่นั่นก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ เพราะคงไม่มีใครมีชีวิตอยู่มาโดยไม่เคยพบกับความทุกข์หรอก

                โอ้—และที่ผ่านมา สึบาสะก็ผ่านการฝึกฝนเขี้ยวกรำมาอย่างหนักพอสมควรด้วย ตัวเขาถึงได้เติบโตขึ้นมาด้วยความสามารถที่หลากหลายและอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้มีในบทเรียน ที่พ่อของเขาเป็นคนบอกสอนนิดหน่อยก็คือเรื่องของความรัก

                รู้รึเปล่า ว่าตอนที่พ่อเจอแม่ครั้งแรก พ่อก็รู้สึกหลงรักเธอเข้าให้แล้วนะพ่อของเขากล่าว ในตอนที่สึบาสะอายุเพียงสิบห้าปี และสึบาราชิอายุยี่สิบสอง ทั้งคู่ถูกเรียกมาคุยที่ห้องเป็นการส่วนตัว ไม่มีใครเดาออกทั้งนั้นแหละ ว่าพ่อจะพูดเรื่องความรักอันหวานชื่นตอนยังหนุ่มแบบนี้น่ะ

                มันไม่ดูไวเกินไปหน่อยเหรอครับนั่นน่ะไม่ใช่ว่าคนเราจะต้องใช้เวลาเรียนรู้กันและกันไปเหรอ อันนี้ผมเคยอ่านการ์ตูนมานะเนี่ย คิดว่ามันจะเหมือนกันหมดซะอีก สึบาสะว่า แล้วกอดอก ทิ้งตัวเอนหลังลงไปกับพนักโซฟา ขณะที่สึบาราชิยังนั่งยืดหลังตรงอยู่

                ฮะ ๆ จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกแต่บางครั้งอะไร ๆ มันก็คาดเดาไม่ได้นี่นา รักแรกพบก็มีอยู่จริงนะจะบอกให้ ไม่งั้นพ่อไม่ได้แต่งงานกับแม่แน่ ๆ พ่อตามจีบเธออยู่พักใหญ่ ๆ เลยนะรู้มั้ยคนเป็นพ่อหัวเราะ

                “รักแรกพบเหรอ ว้าวแล้วผมจะมีบ้างมั้ยล่ะนั่น

                “แบบนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาอยู่แล้วสิ มาถามพ่อ พ่อก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้หรอกเขาส่ายหัว พ่อเห็นลูก ๆ เริ่มโตแล้ว ก็เลยอยากบอกอะไรไว้หน่อยจะคบใครน่ะ ต้องคิดดี ๆ ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าคิดจะคบแก้เหงาหรือคบไปแบบเล่น ๆ พอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่มีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์เอา เพราะงั้น ในตอนที่ลูก ๆ เพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่นกันนี่แหละ มองหาคนรักดี ๆ สักคนเข้าไว้ล่ะ

                “…แต่ผมไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องนี้น่ะสิครับ แค่เข้าเรียนตามตาราง ทำงานและทำกิจกรรมของมหาลัยอีก แค่นั้นผมก็จะไม่ไหวแล้วนะสึบาราชิพูดเสียงเบา แล้วจู่ ๆ สึบาสะก็โน้มตัวเข้ามากอดแขนเขา

                โธ่พี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแฟนนะครับ เดี๋ยวผมช่วยพี่หาอีกแรงก็ได้ ถึงพี่จะเป็นเด็กเนิร์ดสวมแว่นหนาเตอะแบบนี้แต่ผมก็ว่าพี่หล่อเหมือนผมอยู่นะ พี่แค่ต้องเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวจากคุณลุงคนขายโรตีมาเป็นนายแบบสุดเท่แบบผมให้ได้ก่อน

                “นะนายว่าพี่เหรอ?”

                “จุ๊ ๆ ผมตำหนิต่างหาก ตำหนิก็เพราะรักไงครับ พี่อย่าคิดมากน่า สึบาสะหัวเราะ แล้วนั่นก็ทำให้พ่อของเขาอดขำตามไปด้วยไม่ได้เลย—เด็กคนนี้ร่าเริง และมักจะเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ เสมอ

                สึบาสะดูเหมือนจะเข้มแข็งแต่เขาก็รู้ ว่าย่อมต้องมีวันที่เจ้าตัวจะอ่อนแออยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ในวันนี้เขามีโอกาสจึงคอยเล่าเรื่องเก่า ๆ ของตัวเองให้ฟัง บ้างก็สั่งสอน บ้างก็ให้ดูเป็นอุทาหรณ์สอนใจ บ้างก็แนะนำให้ทำตาม—หลาย ๆ เรื่อง รวมไปถึงเรื่องของความรักด้วยแม้สึบาราชิจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสีประสาเรื่องนี้เท่าไหร่ ยิ่งกับสึบาสะก็ยิ่งแล้วใหญ่ เห็นเจ้าตัวปากมากแบบนั้นน่ะ ยังไงก็ยังเด็กอยู่ดี ทำเหมือนรู้ แต่จริง ๆ ก็ไม่ ถ้าไม่ได้บอกก็คงโอ้อวดตัวเองมากไม่ได้

                และนั่นแหละ คือคืนที่เขาได้รับคำสอนมากมาย สึบาสะจดจำมันได้ขึ้นใจ ไม่ใช่แค่เพราะเขาปลื้มในตัวพ่อในฐานะที่ดูเท่กว่าเขา (…) อยู่แล้วหรอก แต่เพราะตอนที่เขาเติบโตขึ้น และผ่านจุดจุดนั้นมาแล้ว มันมักจะทำให้เขาหวนนึกย้อนกลับมาเสมอเลย เป็นเหมือนกับเครื่องเตือนใจ และสิ่งดี ๆ ที่คอยสั่งสอนให้เขาก้าวหน้า

                สึบาสะในตอนนั้นที่เอาแต่ฟัง และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจอภัยเรื่องความรักมาก่อน จนกระทั่งโตขึ้นนี่ล่ะถึงได้รู้—

     

                เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครา เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นอีกแล้ว และในช่วงเวลานั้น—ก็เป็นตอนที่เขามีอายุได้สิบเจ็ดปี อยู่มอปลายปีสอง ในวัยที่กำลังสนุกสนาน วัยรุ่นที่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย สึบาสะเพลิดเพลินกับมันมากทีเดียว ทั้งเล่นกับเพื่อน เที่ยวหรือแม้แต่โดดเรียนไปด้วยกัน (…) หลากหลายช่วงเวลา หลากหลายสีสัน—ช่วงชีวิตที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่ามันสนุกสุดยอด สึบาสะเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน

                กระทั่ง ในช่วงเวลานั้นเอง ที่เขาได้ประสบพบเจอกับอีกสิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นวัยเรียนคงจะได้เจอไม่ต่างกัน—ความรัก

                เคยได้ยินไหม คำนิยามที่เคยมีคนพูดลอย ๆ ไว้ว่า ความรักครั้งแรกของหลาย ๆ คนมักจะเกิดขึ้นในตอนที่ยังสวมชุดนักเรียนอยู่แบบนี้นี่แหละ อ่า และใช่ เป็นอีกหนึ่งประโยคที่สึบาสะเชื่อจริง ๆ

                มิกิ ฮารุนะเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาในกลางเทอม เธอเป็นผู้หญิงที่ออกจะดูร้าย ๆ แรง ๆ ไปเสียหน่อย เธอค่อนข้างขี้หงุดหงิดเสียด้วย จากที่เขารู้มา เธอย้ายมาพร้อมกับเพื่อนจองตัวเองอีกสี่คน ทว่าเป็นเธอคนเดียวที่ถูกจับย้ายเข้ามาเพราะจำนวนคนมันเกิน นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดน่าดู

                เพื่อนในห้องของเขาต่างก็ตีสนิทกับเธอไม่ได้มากมายเท่าไหร่—เพราะเธอดูท่าจะปิดกั้นและถือตัวด้วย เป็นเหตุให้ใครต่อใครเริ่มไม่ชอบเธอขึ้นมา ฮารุนะเองก็รู้ว่าตัวเองเริ่มถูกซุบซิบนินทาแล้ว แต่หล่อนก็ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ

                ความจริงสึบาสะก็ไม่ได้คิดอยากจะยุ่งกับคนอย่างเธอนักหรอก เพื่อนของเขาก็มักจะห้ามเอาไว้ แต่เพราะเขาทนความอยากรู้อยากเห็นปนกับอยากทำความรู้จักกับผู้คนของตัวเองไม่ไหว—สุดท้ายแล้วก็เป็นสึบาสะเสียเองที่เดินเข้าไปหาเธอ

                สวัสดีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าในตอนที่เขาเดินเข้าไปยังโต๊ะเรียนของหญิงสาว เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาต่ำมองหน้าจอโรศัพท์มือถือเช่นเดิม ฉันสึบาสะนะ

                “เฮ้! อะไรเนี่ย!” แล้วเธอก็ดูจะหงุดหงิดเสียด้วย ที่จู่ ๆ เขาก็เอามือมาบังหน้าจอมือถือของเธอ

                น่า ๆ ฉันไม่ได้อยากจะหาเรื่องเธอสักหน่อย ก็แค่อยากจะทำความรู้จักด้วยเท่านั้นเอง เธอนั่นแหละ เล่นแต่มือถืออยู่ได้

                “ขอบใจ แต่ฉันไม่ได้อยากจะมีเพื่อน โดยเฉพาะคนอย่างนายนั่นแหละ!”

                อืม ก็อย่างที่เห็น มันเป็นการเริ่มต้นทำความรู้จักที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สึบาสะก็ขี้ตื้อ ฮารุนะก็ขี้รำคาญแถมยังติดเพื่อนอีก วันแล้ววันเล่า สึบาสะแค่อยากจะได้เพื่อนเพิ่มอีกสักคน แต่ฮารุนะก็ดูจะกีดกันเขาเสมอ แต่ก็นะลึก ๆ แล้วเธอก็ไม่รู้ตัวหรอก ว่าเริ่มชอบเขาขึ้นมาแล้ว จากที่เชิดหน้าใส่ทุกครั้งหลับกลายเป็นมองหา ว่าเขาจะมาเมื่อไหร่—ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดสิ้นดีเลย

                พักหลัง ๆ สึบาสะเริ่มถอยห่างจากเธอเพราะติดธุระที่บ้านนิดหน่อย คราวนั้นเองก็กลายเป็นบททดสอบหัวใจของฮารุนะไป กลายเป็นว่าเธอคิดถึงเขามากกว่าที่เขาคิดถึงเธอเสียอีก พอสึบาสะกลับมา เธอก็กลั้นใจสารภาพออกไปเสียก่อนว่ารู้สึกกับเขาอย่างไร

                ในคราวนั้น สึบาสะไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ ถึงจะอายุสิบเจ็ดแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่อะไรนัก เขารู้แค่ว่ารู้สึกดี ๆ กับเธออยู่บ้าง แล้วก็รู้สึกว่าเธอน่ารักดีด้วย ในความขี้หงุดหงิดนั่นก็เหมือนแมว—น่ารักดี เพราะงั้นเขาถึงได้ของเธอคบไป

                ที่บ้านของเขาก็รับรู้เสมอว่าเขาคบกับใคร แต่ทางบ้านของฮารุนะดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

                พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ฮารุนะรู้แล้วว่าสึบาสะเป็นลูกชายของตระกูลที่มีฐานะดีตระกูลหนึ่ง ส่วนสึบาสะก็รู้แล้วว่าทางบ้านของฮารุนะมีฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเธอติดสุรา แล้วแม่ก็ติดพนัน งานของพวกเขามีแค่เป็นพ่อบ้านและแม่บ้านตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

                ตอนแรกสึบาสะตั้งใจว่าจะช่วยเหลือเรื่องเงินกับฮารุนะอย่างเต็มที่ ทว่าฮารุนะก็ปฏิเสธไปก่อน เธอบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น เธอจะอยู่กินได้ และไม่อยากรบกวนเขาให้มากนัก

                ฮารุนะดูจะนิสัยดีขึ้นมากหลังจากคบกับสึบาสะ ช่วงมอปลายปีสองถึงมอปลายปีสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงคบกันอยู่ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้หลากหลายคือทุก ๆ คนมองฮารุนะในแง่ดีขึ้นมาก แล้วทั้งคู่ก็ช่วยเหลือกันในหลาย ๆ อย่างด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไปได้ด้วยดีเลยทีเดียวถึงแม้จะมีเรื่องให้ทะเลาะกันบ้างนิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วก็คืนดีกัน แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

                แต่อย่างไรก็ตามคนที่เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองมาที่สุดก็คือสึบาสะ และคนที่ปกปิดตัวเองไว้มากกว่าที่ใครจะคาดถึงก็คือฮารุนะ—แน่นอนว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จบลงด้วยตัวเอง

     

                อะไรนะ?” เรียวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเป็นปมแน่น หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพจากปากของแฟนสาว—ฮารุนะ ฮารุนะเรียกเขามาพบที่บ้าน เพื่อที่จะบอกความจริงบางอย่าง และความจริงนั้นมันก็ทำให้เขาแทบพูดไม่ออกเลย

                เขาเพิ่งรู้ว่าฮารุนะมีแฟนอยู่แล้ว โยชิ —และคบกันกันมาตั้งแต่ช่วงสมัยมอต้น เขาคนนี้เองก็เป็นลูกชายของนักธุรกิจที่มีฐานะคนหนึ่ง แต่ก็มักจะเป็นคู่แข่งทางการตลาดกับครอบครัวของสึบาสะอยู่ตลอด ในช่วงเวลาที่ฮารุนะเพิ่งย้ายโรงเรียนไปใหม่ เธอได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้กับโยชิฟังเสมอนั่นทำให้โยชิคิดแผนการอะไรบางอย่างออก

                เขาตั้งใจให้ฮารุนะตอบตกลงคบกับสึบาสะ แล้วพัฒนาความสัมพันกันไปเรื่อย ๆ ทำให้สึบาสะตายใจ จากนั้นค่อยหาทางหักหลังและคดโกงทางบริษัทของบ้านสึบาสะให้ล้มละลายไป—เพราะโยชิรู้อยู่แล้วว่าสึบาราชิไม่ได้รับช่วงต่อจากบริษัท แต่จะเป็นสึบาสะเสียเองที่ทำหน้าที่นี้ ฉะนั้นฮารุนะจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนกับสปายสายลับอะไรแบบนั้นเลย

                ฮารุนะ!!” แต่ดูเหมือนนบ้านหลังนี้จะไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน—โยชิที่เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้พุ่งเข้ามากระชากแขนเธอเอาไว้อย่างโกรธเกรี้ยว อีกมือหนึ่งง้างขึ้น หมายจะตบหญิงสาว สึบาสะที่ตั้งตัวไม่ทันก็ถลาเข้าไปห้ามไว้

                เฮ้! เดี๋ยวสิ! หยุดเลยนะ!” เขาร้องตะโกน แล้วเหตุการณ์วุ่นวายทะเลาะวิวาทภายในบ้านหลังเล็ก ๆ นี่ก็ดูจะเริ่มขึ้น เมื่อโยชิไม่ยอมทำตามที่สึบาสะบอก เจ้าตัวปล่อยหมัดผ่านวงแขนของสึบาสะไปโดนที่แก้มซีกขวาของฮารุนะพอดี ตอนนั้นเองที่สึบาสะสวนกลับไปบ้าง—

                ผลั่ก!!

                “บอกให้พอไง!” เขาคำราม หมัดนั่นแรงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มล้มหงายหลังตึง รูปร่างค่อนข้างอวบท้วมนั่นค่อย ๆ ตะกายลุกขึ้น ดวงตามองมาที่สึบาสะอย่างเคืองแค้น แต่เรื่องนั้นสึบาสะก็ไม่ได้สนใจอีกแล้ว

                ดูเหมือนฮารุนะจะไม่รู้เรื่องที่โยชิแอบเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยเธอคงตั้งใจนัดเขามาแค่คนเดียว แต่ก็เป็นโยชิเสียเองที่แอบตามเข้ามา เหตุผลก็อาจจะเพราะสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเธอไม่ผิดแน่

                ฮารุนะ สึบาสะหันไปช่วยพยุงหญิงสาวที่ล้มบงไปขึ้นมา

                เหอะ! พวกแกมันน่ารังเกียจกันทั้งคู่นั่นแหละ!” โยชิตะโกน ก่อนจะชี้หน้าฮารุนะ แกมันก็ไม่ภักดีเอาซะเลย รู้มั้ยว่าฉันให้เงินแกไปตั้งเท่าไหร่ แล้วจู่ ๆ จะมาหักหลังกันแบบนี้น่ะเหรอ ความจริงแล้วแกก็รักมันใช่ไหมล่ะ!?”

                จบคำนั้นสึบาสะก็หันมาสบตากับฮารุนะ—ดวงตาที่รื้อไปด้วยน้ำตา ทำเอาเขาถอนหายใจแล้วหันไปหาโยชิอีกครั้ง

                กลับไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจ

                “แก—!”

                บอกให้กลับไปไง!”

                แม้จะไม่เต็มใจ แต่โยชิก็ยินยอมกลับไปอยู่ดี ในเมื่อสู้แรงกับสึบาสะไมได้ แถมยังถูกขู่ว่าจะแจ้งตำรวจอีก แบบนั้นก็คงไม่มีเหตุผลอะไรจะให้เขาอยู่ต่อแล้ว และหลังจากที่เขาไปแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง กระทั่งสึบาสะเอ่ยขึ้น

                “…เป็นจริงตามที่ทั้งเธอแล้วก็เขาพูดใช่ไหม ฮารุนะ

                สึบาสะ…” เรียกเล็ก ๆ นั่นสั่นคลอน ฮึกฉะ—ฉันไม่ได้รักโยชิจริง ๆ หรอกนะ ที่ฉันคบเขาก็เพราะว่าฉันเดือดร้อนเรื่องเงินต่างหาก แล้ว แล้วฉันก็รักนายจริง ๆ นะ ตอนที่นายเข้ามาในชีวิตฉัน มันทำให้ฉันมีความสุขมากจริง ๆ แล้วที่ฉันมาสารภาพกับนายวันนี้ก็เพราะฉันไม่อยากโกหกกับนายอีกแล้วน่ะสิ ให้อภัยฉันได้ไหม...นะ?"

                แม้เสียงนั่นจะอ้อนวอน แต่แววตาของสึบาสะกลับเหนื่อยล้าและเจ็บปวด

                รู้มั้ยว่าฉันถามเธอไปตั้งหลายครั้งแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ฉันยินดียื่นมือเข้าไปช่วยเธอได้ทุกอย่าง ฉันสามารถเอาเงินเก็บให้เธอมากมายแค่ไหนก็ได้แต่เธอก็ปฏิเสธฉัน และเลือกที่จะทำตามความต้องการของเขาต่อ—คำถามคือ ถ้าเธอรักฉัน แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมเลือกฉันตั้งแต่แรกล่ะ?”

                “สึบาสะ…”

                “อีกอย่างฉันเชื่อใจเธอเสมอ บอกความจริงกับเธอเสมอ ฉันเปิดเผยกับเธอทุกเรื่องง แต่วันนี้ก็ก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอปิดบังฉันไว้มากมายแค่ไหน ฉันเริ่มสับสนจริง ๆ แล้วล่ะ ว่าที่ผ่านมามันคืออะไรกันแน่ เธอหลอกลวงฉันรึเปล่า น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นคลอนบ้าง เธอรักฉันจริง ๆ หรือแค่เห็นฉันเป็นที่พึ่งเหมือนกับที่เห็นเขาเป็นแหล่งถุงเงินล่ะฮารุนะ? ตอบฉันมาสักทีได้ไหม?” คงเป็นครั้งแรกในรอบปีที่ฮารุนะเห็นว่าเขามีน้ำตา—ทั้งที่ความจริงแล้วสึบาสะอดทนเก่งมาก แล้วก็จะยิ้มอยู่ตลอดเลย

                นั่นทำให้ฮารุนะอดไม่ได้ที่ปล่อยโฮออกมา เธอเสียใจ—เสียใจที่ตัวเองทำผิดไป ผิดแม้กระทั่งทำให้คนดี ๆ แบบเขาหลงเข้ามาคบกับเธอ ผิดที่ไม่ไว้ใจเขาตั้งแต่แรก และผิดที่คิดถึงตัวเองมากเกินไป

                ถึงจะรักมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้ว เธอก็รู้ดีกว่าเธอเป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขารวดร้าว มันคงยากที่จะต่อกลับเข้ามา

                ต่อให้เรื่องนี้คลี่คลาย แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจก็คงคลางแคลง สู้ปล่อยเขาให้ไปเจอคนที่ดีกว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ

                “สึบาสะ ฮารุนะสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นใจเอ่ยคำนั้นออกไป— เราจบกันแค่นี้เถอะนะ

                ให้เธอเป็นฝ่ายจบเองเสียจะดีกว่าอย่างน้อย ๆ ฝ่ายที่ถูกบอกเลิกก็อาจจะไม่ต้องรู้สึกผิด

                เอาแบบนี้เลยเหรอ…” สึบาสะพึมพำ เขาเดาได้จากสายตาของเธอ—ว่าเธอเองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ใจหนึ่งเขาก็อยากจะยื้อไว้ แต่อีกใจก็ปวดหนึบจนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว เขามีเวลาตัดสินใจแค่ไม่กี่นาทีเสียด้วย แย่มาก ๆ เลยล่ะ

                “เถอะนะฮารุนะว่าแล้วสวมกอดเขา มันน่าจะดีกว่านะ เชื่อฉันปลายคางของเธอวางอยู่บนบ่าของเขา แล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ร่างกายสั่นเทิ่มจวนเจียนจะล้มลง แต่ก็ได้แต่เกาะบ่ากว้างของเขาไว้

                ถ้าเธอต้องการแบบนั้น…” เสียงของเขาเบาหวิว—สึบาสะมักจะดูแลเธออย่างดีเสมอ รวมทั้งยังตามอกตามใจไปหมดด้วย แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นการตามใจครั้งสุดท้ายแล้วสิ เราเลิกกันเถอะ

                กลายเป็นว่ารักครั้งแรกในชุดนักเรียนของวัยรุ่นที่แสนมีสีสันของเขา แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว

                ช่างเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เท่เอาซะเลย ให้ตายสิ

     

                สึบาสะเคยแต่งเพลงเพลงนึงเอาไว้ และตั้งใจว่าจะร้องในงานเลี้ยงจบการศึกษาให้กับฮารุนะ—แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างถูกยกเลิกไป หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็กลับมาที่บ้าน ซุกตัวอยู่ในห้องพักใหญ่ ๆ กว่าจะไปโรงเรียนเหมือนเดิม ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นทั้งเขาและฮารุนะก็แทบไม่ได้คุยกันเลย มีแค่เรื่องงานหรือไม่ก็ความจำเป็นบางอย่างเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าพวกเขาเลิกกันแล้ว แต่ไม่ได้รู้ลึกอะไร

                ทั้งคู่เริ่มจากที่คุยกันได้แบบกระอักกระอ่วนนิดหน่อย ไปจนถึงคุยกันได้ตามปกติ มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนกัน สุดท้ายก็จบการศึกษาไปด้วยกันอย่างดี—แต่ฮารุนะไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าสึบาสะแต่งเพลงให้ และแน่นอนว่าเขาก็เก็บไว้เป็นความลับเหมือนกัน

                ฮารุนะเลิกยุ่งกับโยชิขาด แล้วก็ย้ายเมืองที่อยู่ไปแล้วด้วย พ่อและแม่ของเธอได้รับการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจากสึบาสะในการบำบัดเล็กน้อย แล้วก็หางานที่ดีกว่านี้ให้ทำ ฮารุนะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฮิเมจิ ซึ่งพ่อแม่ของเธอก็ทำงานที่นั่นด้วย โดยการเป็นพนักงานเสิร์ฟกับทำอาหารในร้านอาหารที่เมืองนั้น

                ชีวิตของเธอดีขึ้นมาก—และเขาก็เช่นกัน เขาใช้เวลาทำใจอยู่หลายเดือน สุดท้ายแล้วก็ทำใจคุยกับเธอได้ตามปกติสักที ช่วงชีวิตของเขาผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้ง เรื่องวุ่นวายเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

                สึบาสะกลับมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าของตัวเองบ่อยมาก และมากพอที่จะทำให้อาจารย์บางคนเบื่อขี้หน้าไปแล้ว กระนั้นเขาก็ยังมา เพราะมหาวิทยาลัยของเขาไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่นัก หลาย ๆ ครั้งเขาก็มักจะมาเยี่ยมลูกน้องที่สนิท หรือไม่ก็ไปเล่นกีฬาตามสนามต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ ของตัวเอง

                จนแล้วจนรอดวันหนึ่งเขาก็เพิ่งจะได้ยินข่าวลือเรื่องของชมรมประหลาดชมรมหนึ่ง ทีที่เปิดกว้างพอที่จะให้ศิษย์เก่าอย่างเขาเสนอหน้าเข้าไปได้ จากคำโปรยแนะนำที่ว่าจะได้พบกับคู่เดตที่หลากหลาย ได้พบกับผู้คนมากมายทำให้เขาค่อนข้างสนใจ จึงตัดสินใจที่จะแยกตัวออกมาจากเพื่อนเพื่อที่จะตามหาห้องชมรมนั้น

                และเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าหัวหน้าชมรมที่เรียกตัวเองว่า ไวโอเล็ตจะเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง—และสิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ ตอนที่เขาไป เขาไม่เจอใครเลย คงสรุปได้ว่าหัวหน้าชมรมอาจจะไม่ได้อยู่ในห้อง เพราะแบบนั้นเขาจึงได้เดินออกมาด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ นิดหน่อย—

                ทว่าครานั้นแหละ ในช่วงขณะที่ชายหนุ่มเดินออกมาทางประตูหลังที่เป็นสวนดอกไม้หลังอาคาร ที่ทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นพอดี—ไม่สิ ต้องเรียกว่าเธอกำลังเดินเข้ามาต่างหาก ดูเหมือนเธอคนนี้จะออกมาชมดอกไม้ และกำลังกลับเข้าไปไม่ผิดแน่

                สายลมพัดแผ่วเบา แต่ก็ทำให้กลีบดอกไม้ปลิวปลิวผ่านหน้าเขาไปกลีบแล้วกลีบเล่ากลิ่นหอม ๆ นั่นฟุ้งกระจาย สยายอยู่ท่ามกลางสวนอันงดงามและท้องฟ้าช่วงสายที่สว่างจ้า

                ณ เวลาที่เธออาจไม่ทันได้สังเกตเห็นเขาเพราะต้องรีบวิ่งเข้าอาคารไป เธอคงจะคิดว่าเขาเป็นอาจารย์หรือไม่ก็รุ่นพี่สักคนเท่านั้น—แต่ก็ใช่แหละ เขาเป็นรุ่นพี่ และเป็นศิษย์เก่าด้วย เอาเป็นว่าเธอคงไม่ได้ใส่ใจเขานัก แต่สำหรับเขามันเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษมากทีเดียว กลิ่นหอมหวาน ดวงหน้างดงามที่แม้จะดูร้อนรน หรือแม้แต่ท่วงท่าเหล่านั้น—ราวกับมีบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขาเข้าไปแล้ว

                เสมือนกับเป็นแม่เหล็กดึงดูด ในตอนนั้นเองที่เขาเดินตามเธอเข้าไป เพื่อที่จะได้ทราบว่าเธอตรงเข้าไปในห้องชมรมที่เขาเพิ่งจะออกมา—และแล้วเขาก็ได้รู้ว่าเธอนั่นแหละ คือหัวหน้าชมรม

                หลังจากช่วงเวลานั้นเขาก็เดินออกมาเงียบ ๆ ตัดสินใจที่จะยังไม่ทัก แต่วันต่อมาเขาก็เดินวนเวียนกลับมาแถว ๆ อาคารนี้อีกครั้ง เฝ้ามองเธออยู่ห่าง ๆ (แต่แน่นอนว่าไม่ได้ตามติดมากซะจนดูโรคจิตน่ากลัว) ท้ายที่สุดแล้ว—ผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียว เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทักเธอจนได้

                กล่าวว่าเธอน่าสนใจโดยที่เธอก็คงจะงงเต๊ก ว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร แล้วมาทักเธอได้ยังไงกันนะ—

                แต่ช่างเถอะ สึบาสะคิดว่าค่อย ๆ ทำความรู้จักกับเธอไปดีกว่า :)

     

    To be continued...?

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×