ตอนที่ 8 : เป็นแฟนคนเถื่อน : 6
เป็นแฟนคนเถื่อน : 6
Rach Part :
“หน้ายุ่งเชียว” มือใหญ่ยื่นมาบีบแก้มผมทำให้ผมที่นั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ
“เป็นห่วงไอริส” ผมหันไปมองหน้ามารุตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเอนหัวไปซบไหล่เขา
วันนี้ไอริสออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมกับมารุตไม่ได้ไปหาเพราะอยากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมาร์โลว์ ฝ่ายนั้นเขาก็ดูเต็มใจที่จะดูแลไอริส ผมคิดว่าควรปล่อยให้มาร์โลว์ได้มีโอกาสดูแลไอริสอย่างเต็มที่ แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้ ก็ห่วงทั้งคู่นั่นแหละ เห็นมาร์โลว์กับไอริสแล้วคล้ายกับเห็นภาพของตัวเองกับมารุตเมื่อก่อนเลย มาร์โลว์ตีมึนเก่งมาก ไม่ว่าไอริสจะบ่นอะไรมาร์โลว์ก็นิ่งและไม่สนใจ เขาจะทำทุกอย่างตามใจตัวเอง โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดและหัวร้อนแค่ไหน
เหมือนผมตอนตามจีบมารุตเลย
“ไม่เป็นไรหรอก มาร์โลว์ดูแลไอริสได้” มารุตบอกเสียงนุ่มพร้อมยกมือขึ้นโอบไหล่ผมไว้
“อือ” ที่ห่วงคงเป็นสภาพจิตใจมากกว่า ผมไม่รู้ว่าไอริสเจอเรื่องอะไรมา ไม่รู้เลยว่าหัวใจของคนตัวเล็กจะบอบช้ำมากน้อยแค่ไหน ถ้ามาร์โลว์รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับไอริส ผมก็หวังว่าเขาจะดูแลไอริสได้อย่างดีที่สุด
“ยิ้มให้ผมดูหน่อย” เขาก้มหน้าลงมาหา ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ ขยับนิดหน่อยปากก็จะชนกันแล้ว
“รุต” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา
“ยิ้มเร็ว” เขาบอกพร้อมยกยิ้มให้ผมดู
“????” แล้วผมก็หลุดยิ้มตามเขาออกมา
ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมยิ้มได้เพราะเขาอีกกี่ครั้งกัน ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยิ้มเพราะมารุตไปมากเท่าไหร่แล้ว ผมรู้แค่ว่าเขาเป็นทั้งรอยยิ้มและความสุขของผม
“น่ารัก” อีกฝ่ายขยับเข้ามากดจูบที่ริมฝีปากผมเบา ๆ ก่อนจะผละออกไปเล็กน้อยแล้วจ้องหน้าผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เราไปโทรหาคุณกลางก่อนนะ” ผมที่จู่ ๆ ก็รู้สึกเขินอายเพราะสายตาของมารุตก็ผละตัวถอยหนีแล้วขยับไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาด้วยท่าทางเงอะงะ
ทำอะไรไม่ถูกเลย
“เดี๋ยวผมไปร้านสะดวกซื้อนะ” มารุตที่เห็นท่าทางของผมก็หลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ
อือ เขาดูออกว่าผมเขิน
ตอนแกล้งให้อีกฝ่ายเขินมันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่พอมาโดนทำให้เขินเองกลับทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่ไม่ควรจะเขินเลยแท้ ๆ แต่ผมดันเสียอาการซะได้ น่าอายจริง ๆ เลย
“ซื้อไอศกรีมมาให้เราด้วย” ผมรีบบอกทันทีที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไปไหน ผมอยากกินของหวาน ปกติก็ไม่ค่อยได้กินหรอก แต่พักหลังมานี้เริ่มติดของหวานแล้ว ก็เพราะมารุตนั่นแหละชอบพาผมไปกินนั่นกินนี่ เดี๋ยวก็เค้ก เดี๋ยวก็ไอศกรีม ล่าสุดก็เพิ่งไปกินบิงซูมาเมื่ออาทิตย์ก่อน มีแต่ของที่ทำให้อ้วนง่ายทั้งนั้น แต่ถามว่ากินไหม? ก็กินแหละ อร่อยดี พอตามใจปากก็มาลำบากท้อง
“ไม่กลัวอ้วนหรือไง?” จึก! แทงใจดำกันสุด ๆ
“รุตก็พาเราออกกำลังกายสิ” ผมกระตุกยิ้มที่มุมปาก รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้แต่ก็ยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีก
“พูดแบบนี้ผมไม่ออกไปไหนแล้ว” มารุตชะงักหรี่ตามองก่อนจะกระโจนเข้ามาใส่ตัวผมที่นั่งอยู่บนโซฟา
“รุต~ ปล่อย~” ผมพยายามดิ้นหนีให้หลุดออกจากอ้อมแขนแกร่งแต่มันก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน มือเหนียวเป็นหนวดหมึกเลยนะ!
“มันเขี้ยวว่ะ” เขาว่าก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้
“รุต~ จั๊กจี้” จมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับแก้มของผมก่อนจะค่อย ๆ ลากลงไปที่ลำคอ แต่ไรหนวดที่เริ่มขึ้นก็เสียดสีไปกับผิวเนื้อทำเอาจั๊กจี้จนต้องหดคอหนี
ตุ้บ!
จุ๊บ!
“ลุกเลย” ผมพยายามจะเอนหลบแต่กลายเป็นว่าไหลลงไปนอนราบกับโซฟาเสียอย่างนั้น แถมมารุตก็ยังโถมตัวลงมาทับ ปากแตะปากกันเบา ๆ แต่ท่าแบบนี้มันล่อแหลมกว่าคำพูดเมื่อกี้อีกนะ ผมไม่ได้จะยั่วหรืออ่อยมารุตนะ อย่ามองผมด้วยสายตาแปลก ๆ แบบนั้นสิ มันเป็นอุบัติเหตุ(?)
“อยากกอด” เขาพึมพำอยู่ที่ข้างใบหู แขนแกร่งโอบกระชับรอบเอวของผมให้แน่นขึ้น จมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับผิวแก้มไม่ห่าง แล้วที่บอกว่าอยากกอดน่ะ ไม่ได้อยากกอดจริง ๆ หรอก น่าจะอยากกดเสียมากกว่า
“รุต” ผมเม้มปากแน่น เวลามารุตพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้มันน่าอายนะ เขาเขินหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ผมน่ะเขิน เขินมาก ๆ เลยด้วย
“ไม่ได้เหรอ?” เขาช้อนตาขึ้นมองทำหน้าอ้อน
“หิวข้าว” ผมหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองสบตากับอีกฝ่าย แกล้งทำเป็นเนียนเปลี่ยนเรื่องเพราะรู้ว่าตัวเองรอดยากแล้ว
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย” มารุตแสร้งทำเสียงดุ
“หิวข้าวจริง ๆ” ผมเงยหน้าขึ้นไปกดจูบที่ปลายคางของอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วเป็นฝ่ายมองเขาด้วยสายตาออดอ้อนบ้าง
“ก็ได้ แต่คืนนี้คุณโดนแน่ อย่าหวังว่าจะรอด” ร่างสูงยอมผละตัวออกไปแม้จะรู้สึกขัดใจ มารุตขยับลุกขึ้นไปยืนข้างโซฟาแล้วจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย
“กลัวจังเลยน้า~” ผมแกล้งยกยิ้มยั่วทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่บนโซฟา
“เดี๋ยวเถอะ” อีกฝ่ายถลึงตาดุใส่ก่อนจะยื่นมือมาให้ผมจับ ผมวางมือลงกับมือใหญ่แล้วลุกขึ้นตามแรงฉุดของคนรัก
จุ๊บ!
“ไปเร็ว ๆ หิวข้าวแล้ว” ผมกดจูบที่ข้างแก้มของมารุตเบา ๆ หนึ่งทีผมรู้ว่าทำแบบไหนแล้วมารุตจะยอมจำนนต่อผม
อือ ก็ต้องเปลืองตัวหน่อยแหละ
“ครับ~” มารุตรับคำหน้าชื่นตาบาน เห็นแบบนั้นแล้วก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกันไม่ได้
มารุตนี่มันมารุตจริง ๆ
หลังจากที่มารุตออกจากห้องไปผมก็ไปอาบน้ำแล้วออกมาโทรหาคุณกลาง คุณกลางเล่าให้ฟังว่าตกใจมากตอนที่เจอไอริสอยู่ที่สนาม มาร์โลว์บอกแค่ว่าไอริสเป็นเมียเขาและจะมาอยู่ที่สนามแต่ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น พี่มาวินก็แปลกใจที่อยู่ดี ๆ มาร์โลว์ก็พาคนอื่นไปอยู่ด้วย เท่าที่ได้ยินมาคือมาร์โลว์ไม่เคยคบใครหรือให้ความสำคัญกับใครเลย แต่จู่ ๆ ก็พาไอริสไปที่สนามเสียอย่างนั้นสร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก คนที่ไม่เคยมีเรื่องเสียหายเกี่ยวกับผู้หญิงอย่างมาร์โลว์อยู่ ๆ ก็พาคนที่เพิ่งรู้จักกันเข้าบ้าน คิดว่ามันแปลกไหมครับ?
“มาแล้วครับ~” เสียงตะโกนที่ดังอยู่นอกห้องนอนทำให้ผมต้องลุกเดินออกไปดู
“ซื้ออะไรมา?” เห็นถุงอาหารในมือใหญ่แล้วก็อดจะสงสัยไม่ได้
“อาหารเกาหลี” มารุตยกยิ้มแล้วเดินไปที่โต๊ะกินข้าว
“จริงเหรอ?” ผมรีบเดินไว ๆ ตามไปติด ๆ
“อยากกินใช่ไหม?” เขาหันมาอมยิ้มถามพร้อมทั้งแกะกล่องอาหารออกมาทีละกล่อง
ต็อกบกกี!
“รู้ใจ” ผมยกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี เคยบอกเขาไปทีหนึ่งแล้วว่าอยากกินต็อกบกกีแต่มารุตก็ดูนิ่ง ๆ ผมนึกว่าเขาลืมไปแล้ว แต่ที่ไหนได้เขาจำมันได้ แฟนใครน่ารักจังเลย
“ไหนรางวัล?” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกริ่ม
จุ๊บ!
“มา มากินกัน” ผมขยับไปกดจูบที่ริมฝีปากของเขาไว ๆ แล้วรีบกลับมานั่งที่ ทำเป็นหยิบช้อนขึ้นมาตักชิมต็อกบกกีตรงหน้า
“อร่อยไหม?” เขาถามยิ้ม ๆ
“มาก ซื้อร้านไหน?” ผมชอบที่สุด รสชาติถูกปากมาก เหมือนไปกินที่เกาหลีจริง ๆ ร้านนี้ให้ผ่านเลย
“ร้านเปิดใหม่ใกล้ ๆ คอนโดฯ” มารุตมองผมยิ้ม ๆ ยิ่งถูกมองด้วยสายตาเอ็นดูผมก็ยิ่งเขินแฟนตัวเองมากขึ้น ไม่ยุติธรรมเลยทำไมช่วงนี้ผมถึงเขินมารุตบ่อยนัก ปกติเขาต้องเป็นฝ่ายเขินผมไม่ใช่เหรอ?
“กินไหม?” ผมตักต็อกบกกีขึ้นมาพร้อมเอ่ยถามอีกคนที่เอาแต่นั่งมองผมไม่เลิก
“ป้อนหน่อย” เขาบอกแล้วอ้าปากรอไว้ ผมก็เลยยกช้อนที่ถืออยู่ขึ้นป้อนเขา
“เป็นไง?” เห็นอีกฝ่ายเคี้ยว ๆ แล้วก็เงียบไปผมเลยลองถามดู มารุตไม่ชอบอาหารเกาหลี แต่เขาก็ยังซื้อมันมาให้ผมกินเพราะเขารู้ว่าผมชอบกินอาหารเกาหลีมาก ๆ
น่ารักเนอะ
“ก็ดี” มารุตพยักหน้าเบา ๆ
“ไม่ซื้ออย่างอื่นมากินล่ะ ไม่ชอบกินอาหารเกาหลีไม่ใช่เหรอ?” ผมไม่เคยบังคับให้มารุตต้องมากินอาหารเกาหลีกับผม เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ชอบ บอกแล้วไงว่าผมเอาความสบายใจของมารุตเป็นหลัก จริง ๆ ผมกินอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารเกาหลีหรอก
“กินได้ กินเป็นเพื่อนคุณจนชินแล้ว” มารุตก็คือมารุต เขาเองก็ชอบที่จะเอาใจและตามใจผมอยู่เสมอ อาจเพราะแบบนี้ใคร ๆ ถึงได้บอกกันว่าผมดื้อขึ้นเยอะเพราะมีมารุตคอยตามใจ แต่ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกันเสียหน่อย การที่มารุตตามใจผมไม่ได้ทำให้ผมดื้อขึ้นกว่าเดิมหรอกนะ พวกคุณก็คิดเหมือนผมใช่ไหม?
“ข้าวไหม?” ผมถามพร้อมชี้ไปที่ข้าวผัดกิมจิห่อสาหร่าย
“ป้อน” มารุตไม่ปฏิเสธ ก็คงจะหิวนั่นแหละ
“อ้าปาก” ผมตักข้าววางลงบนแผ่นสาหร่ายแล้วห่อเป็นขนาดพอดีคำให้อีกฝ่าย มารุตอ้าปากทำตามอย่างว่าง่าย
การกินอาหารมื้อกลางวันของเราเป็นไปอย่างเชื่องช้า มารุตไม่ยอมตักกินเองเลย เขารอให้ผมป้อนเพียงอย่างเดียว แต่ผมก็ไม่ได้มีปัญหากับการป้อนเขา ตักกินเองบ้างป้อนเขาบ้าง หลังจากที่จัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงแล้วผมก็เตรียมเก็บไปล้าง แต่กลับโดนมารุตแย่งไปทำเองหมด จะเข้าไปช่วยเขาก็ไม่ยอม ผมเลยทำได้แค่ยืนเป็นกำลังใจให้เขา
“อิ่มไหม?” มารุตหันมาถามหลังจากที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อิ่มมาก” ท้องผมแน่นไปหมด สงสัยคงต้องไปออกกำลังกายจริง ๆ ซะแล้ว หรือให้มารุตช่วยดีนะ ออกกำลังกายก่อนนอนเหมือนที่มารุตบอก
แฮร่! ล้อเล่นครับ ใครจะไปทำแบบนั้นกันล่ะ น่าอายจะตาย
ชีวิตของเด็กมหา’ลัยเป็นอะไรที่ท้าทายชีวิตมาก เหนื่อยจนต้องร้องขอชีวิต จะจบไหมให้อาจารย์ทำนายกัน ขนาดไม่ได้ไปเรียนนะ แค่ไปคุยงานกับอาจารย์เฉย ๆ ผมยังรู้สึกเหนื่อยมากขนาดนี้ อยากจบโดยไม่ต้องเรียนจังเลย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เฮ้อ~
“พรุ่งนี้ไปหาไอริสกันไหม?” ระหว่างที่นั่งดูหนังแก้เครียดผมก็เผลอนึกไปถึงไอริส ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลมาผมก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเลย มัวแต่วุ่นวายอยู่กับมารุตเนี่ย
“อืม เอาสิ” มารุตที่นอนหนุนตักผมอยู่ละสายตาจากจอทีวีหันมามองหน้าผม
“ซื้อขนมไปฝากไอริสด้วยดีไหมนะ?” ไม่รู้ว่าไอริสจะอยากกินหรือเปล่า แต่จะให้ไปหาโดยที่ไม่มีของติดไม้ติดมือไปด้วยมันก็ดูแปลก ๆ นะครับ
“ทำไมคุณไม่ทำเอง ไอริสน่าจะดีใจถ้ารู้ว่าคุณทำให้เขา” มารุตบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่นน่ามอง
“เป็นความคิดที่ดี” ผมเห็นด้วย ทำบลูเบอร์รี่ชีสเค้กไปให้ไอริสดีกว่า
“ช่วยไหม?” เขาขยับลุกขึ้นมานั่งยิ้มตาหยี
“ช่วยให้เสร็จหรือช่วยให้วุ่นกว่าเดิม” ผมหรี่ตามองอย่างจับผิด อย่างมารุตนี่ไม่น่าช่วยให้เสร็จนะ น่าจะป่วนจนผมทำขนมไม่เสร็จแน่ ๆ
“ช่วยให้เสร็จสิ เสร็จแน่ ๆ” เขาพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา แค่คำพูดและสายตาผมก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไร
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!” ยกมือขึ้นฟาดแขนหนาไปทีข้อหาพูดจาทะลึ่งตึงตัง มันน่าตีให้ร้องไห้ แต่อย่างมารุตเหรอครับจะร้องไห้ ไม่มีทางหรอก
“พูดจาแบบนี้อีกแล้วนะ” ผมตวัดตามองดุ ๆ จะมีสักวันไหมที่เขาจะไม่พูดเรื่องใต้สะดือน่ะ นิสัยไม่ดีเลย
“นี่ผมจริงจังนะ” เขาพูดหน้านิ่ง สีหน้าและแววตาดูจริงจังน่ากลัว ถ้าเขมือบผมเข้าไปได้เขาคงทำไปแล้ว
“หยุดเลย” ผมยกมือขึ้นห้ามความคิดของอีกฝ่าย มารุตทำท่าจะเข้ามาจูบผม แต่ผมก็ไวกว่ายกมือขึ้นมากั้นกลางระหว่างใบหน้าของเราทั้งคู่
“ขอโทษครับ~” ริมฝีปากหยักกดจูบที่ฝ่ามือของผมเบา ๆ แล้วผละออกไปมองหน้าผมอ้อน ๆ เหมือนลูกหมาหิวนม
ไม่หลงกลหรอกนะ
“เราไปโทรหาคุณกลางดีกว่า” ผมเชิดหน้าหนี ไม่มองหน้าและไม่สบตากับอีกฝ่าย ไม่ได้เขินหรอกนะ ก็แค่ไม่อยากมองเฉย ๆ
“เดี๋ยวผมบอกเร็กซ์ให้ คุณไปทำขนมเถอะ” มารุตดึงโทรศัพท์ของผมไปถือไว้ เขาพยักพเยิดหน้าเข้าไปทางห้องครัว
“โอเค” ผมพยักหน้ารับแล้วลุกเดินเข้าห้องครัวไป
ผมจำได้ว่าผมยังมีวัตถุดิบอยู่นะ เพราะล่าสุดก็เพิ่งทำบลูเบอร์รี่ชีสเค้กให้มารุตกินไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเอง เปิดตู้หาทั้งวัตถุดิบและอุปกรณ์ออกมาวางกอง ๆ กันไว้ก่อนจะเริ่มเตรียมส่วนผสมตามสูตรที่อยู่ในหัว ได้ยินเสียงมารุตคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ ๆ ชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่ายืนอยู่ตรงหน้าห้องครัวนี่เอง จากที่ได้ยินมาเหมือนจะคุยกับพี่มาวินนะครับ ผมเลิกสนใจมารุตแล้วหันมาเร่งมือเตรียมส่วนผสม ทำขนมทิ้งไว้ก่อนแล้วพรุ่งนี้ก็เข้าไปหาไอริสแต่เช้า ซื้อของกินเข้าไปฝากคุณกลางกับพี่มาวินด้วยดีกว่า ส่วนมาร์โลว์ ช่างเขาเถอะครับ
“ไม่ให้ผมช่วยเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างใบหูก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงแรงโอบรัดที่เอว
“ไปไกล ๆ เลย” ผมเบี่ยงตัวหลบ จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ป่วนจนสมาธิผมแตกกระเจิงไปหมด ดีนะที่ทำขนมเสร็จแล้วตอนนี้ก็เหลือแค่เก็บล้างเท่านั้น ถ้าเขามาป่วนผมตอนทำขนมอยู่นี่อาจมีใส่ส่วนผสมผิดได้
“ใกล้เสร็จหรือยัง?” แขนแกร่งโอบกระชับรอบเอวผมให้แน่นขึ้น ร่างกายบดเบียดเข้าหากันอย่างแนบชิด
“เสร็จแล้ว อ๊ะ!” ผมล้างมือให้สะอาดปิดน้ำแล้วหันกลับไปหามารุตแต่กลับต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายอุ้มผมขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ที่ว่างอยู่
ตกใจหมดเลย
“ว่างแล้วเนอะ” เขาถามยิ้ม ๆ
“ทำไม?” ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ มารุตแทรกตัวเข้ามายืนระหว่างขาของผมแล้วเกี่ยวเอวผมให้ขยับเข้าไปหาเขา
“ขอเวลาให้ผมบ้าง” อีกฝ่ายยกยิ้มแล้วเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผม
“รุต อืม~” ผมที่กำลังจะเอ่ยเรียกเขากลับต้องชะงักกลืนคำพูดลงคอไปเมื่อริมฝีปากอุ่นทาบทับลงมาบนริมฝีปากของผม มารุตกดจูบแผ่วเบาให้ความรู้สึกอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
“หวาน” เขาผละริมฝีปากออกไปเล็กน้อย รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา ผมมองรอยยิ้มนั้นด้วยความหลงใหล ผมชอบรอยยิ้มของมารุต ยิ่งเป็นยิ้มที่เกิดจากผม ผมยิ่งชอบ
“ไม่ทำตรงนี้นะ” ผมพูดดักไว้ก่อนเมื่อรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มารุตไม่มีทางปล่อยผมไปง่าย ๆ หรอก ผมรู้ว่าเขาต้องการผม เพราะผมเองก็ต้องการเขาเหมือนกัน
เราต่างต้องการกันและกัน
“โต๊ะกินข้าว” เขาอมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ไม่!” ผมปฏิเสธทันควัน ขอเถอะ ห้องก็กว้างขนาดนี้ จะทำตรงไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ห้องครัวหรือโต๊ะกินข้าวสิ ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไงถ้าต้องทำอาหารในครัวที่เราทำเรื่องอย่างว่ากัน หรือต้องนั่งกินข้าวบนโต๊ะที่เรา เอาล่ะ พอแค่นี้ดีกว่า เอาเป็นว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้ทำในห้องครัวและที่โต๊ะกินข้าวแน่ ๆ
“โอเค ที่โซฟาก็ได้” มารุตที่น่าจะรู้ทันความคิดผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาขยับเข้ามาอุ้มผม
“อือ” ผมขานรับเบา ๆ แล้วเอนหน้าซบลงกับหน้าอกแกร่ง มารุตอุ้มผมมาที่โซฟา เขานั่งลงและจับให้ผมนั่งทับบนตักของเขา เรามองหน้ากัน แค่นั้นก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ดึงให้ใบหน้าของเราเคลื่อนเข้าหากัน จูบแผ่วเบาเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์ จากจูบอ่อนโยนกลายเป็นจูบที่ดูดดื่ม มารุตขบเม้มที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ ก่อนจะสอดเรียวลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากของผม ลิ้นของเราเกี่ยวตวัดเข้าหากันราวกับโหยหากันเหลือเกิน ทั้งที่ก็จูบกันอยู่ทุกวัน ก็ตลกดีนะครับ ยิ่งได้ก็ยิ่งต้องการมาก และมันต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
CUT
------------------------------
ตัดให้ขาดเลยฉับ ฉับ ฉับ
หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดู
มารุตไม่ได้หื่น แค่เก็บกดเฉย ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

68 ความคิดเห็น
-
#42 ENJOY_EVERYDAY (จากตอนที่ 8)วันที่ 30 มีนาคม 2563 / 23:04เบาหน่อยรุต เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณรัชช์ลุกไม่ไหวล่ะแย่เลยนะรุตนะ#420