ตอนที่ 5 : เป็นแฟนคนเถื่อน : 3
เป็นแฟนคนเถื่อน : 3
Rach Part :
วันศุกร์
“วันนี้คุณไปร้านเหล้าใช่ไหม?” มารุตที่นั่งทำงานอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมาถามในตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ
“อื้อ” ผมขานรับเบา ๆ แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมทาผิวขึ้นมาทา ผมผิวแห้งเลยต้องทาพวกโลชั่นอยู่บ่อย ๆ ของพวกนี้คุณแม่(ของมารุต)ก็เป็นคนซื้อมาให้
“ให้ผมไปส่งไหม?” มารุตเอ่ยถามออกมาทำให้ผมต้องเงยหน้ามองเขาผ่านบานกระจก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราขับรถไปเอง” ผมยกยิ้มบาง ผมขับรถไปกลับเองสะดวกกว่า อีกอย่างมารุตก็ต้องทำงานด้วย ผมไม่อยากให้เขาต้องมาคอยเป็นห่วงหรือพะวงกับเรื่องของผม
“ถึงร้านแล้วโทรบอกด้วย แล้วจะกลับก็โทรบอกด้วยนะ” เขากำชับเสียงดุ
“โอเค” ผมไม่มีปัญหาเรื่องโทรหามารุตอยู่แล้ว ผมสามารถโทรหาเขาได้ตลอดเวลาที่ว่างนั่นแหละ แต่ว่ามารุตจะว่างรับสายหรือเปล่า เขาเองก็คงยุ่งกับงาน
“ไหนดูชุดที่จะใส่ไปวันนี้หน่อย” เขาบอกพร้อมมองสบตากับผมผ่านกระจกบานใหญ่
“เชิ้ตฟ้ายีนดำ” ผมลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าที่เลือกไว้ให้มารุตดู มารุตขี้หวง แต่งหล่อมากก็ไม่ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากนะครับ ในเมื่อผมเกิดมาหล่อขนาดนี้ไม่ว่าจะแต่งอะไรมันก็ดูดีไปหมดนั่นแหละ
“โอเค ผ่าน” เขาพยักหน้าเบา ๆ ผมเลยเดินเข้าห้องน้ำไปอีกรอบเพื่อแต่งตัว ที่ต้องเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำก็เพราะว่าเดี๋ยวมารุตแอบดูครับ แอบดูไม่ว่าแต่เขาจะแกล้งผมด้วยน่ะสิ มารุตนิสัยเสียจะตาย โดนแกล้งทีผมก็ลำบากสิครับ
ใช้เวลาแต่งตัวและเช็คดูความเรียบร้อยอยู่สักพักผมก็พร้อมเตรียมออกจากห้อง เหลือบมองดูเวลาก็เห็นว่าใกล้ได้เวลานัดแล้ว ผมเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟให้กับมารุต เดี๋ยวเขาต้องทำงาน อาจง่วงนอนได้ ช่วงนี้มารุตงานเยอะมาก ๆ เห็นบอกว่าส่วนใหญ่เป็นรีพอร์ต ใช้เวลาทำนานและเนื้อหาค่อนข้างเยอะ ก็อยากช่วยนะแต่เราเรียนกันคนละคณะ เลยทำได้แค่ให้กำลังใจเพียงเท่านั้น ถือกาแฟเข้ามาในห้องนอนก็เห็นมารุตกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่กับจอโน้ตบุ๊ค
“รุต เราไปแล้วนะ” ผมวางแก้วกาแฟลงที่โต๊ะข้างเตียง
“มากอดก่อน” มารุตละสายตาจากหน้าจอมามองหน้าผมอ้อน ๆ
“อ้อนเราเหรอ?” ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย มารุตก็เอนตัวเข้ามาหาผมทันที
ขี้อ้อนจังเลย
ใครบอกว่าแฟนผมเถื่อน ไม่จริงสักหน่อย แฟนผมไม่ได้เถื่อนนะ
“อือ ไม่อยากให้ไปแล้ว” เขาพูดเสียงงึมงำพร้อมกอดผมแน่น หนำซ้ำยังจูบหน้าท้องผมอีก
“รุต~” ผมเกร็งหน้าท้องด้วยความตกใจ จะขยับหนีก็ไปไหนไม่ได้ มารุตกอดผมไว้แน่นมาก ตัวผมแทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเขาแล้ว
“โอเค รีบไปรีบกลับ ขับรถดี ๆ นะครับ” หลังจากที่กอดผมอยู่นานมารุตก็ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่วายดึงมือผมไปจูบอีกหลายที
“ครับ~” ผมรับคำเสียงทะเล้น ผละตัวออกจากมารุตได้ก็เดินมาหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ แล้วก็กุญแจรถ
มารุตเดินมาส่งผมที่หน้าประตูห้องก่อนจะกลับเข้าไปทำงานต่อ ผมเดินมาขึ้นลิฟต์ลงไปที่ชั้นจอดรถแล้วตรงเข้าไปหารถของตัวเอง ผมแทบไม่ได้ใช้รถของตัวเองเลย เวลาจะไปไหนมาไหนก็ใช้รถของมารุต เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ค่อยได้ขี่มอเตอร์ไซค์กันแล้ว มารุตขับแต่รถยนต์ ถึงจะเซ็งนิดหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร มารุตก็ห่วงเรื่องความปลอดภัยของผมนั่นแหละ ยังไงขี่มอเตอร์ไซค์ก็อันตรายกว่าขับรถยนต์อยู่แล้ว
ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงร้านเหล้าหลังมหา’ลัยตามที่เพื่อนนัด มาถึงก็เจอเชนที่มีพี่นิลขับรถมาส่ง แล้วก็ตามมาด้วยไทม์ที่ไปรับกรินที่บ้าน ตอนแรกกรินจะขับรถมาเอง แต่พวกเราไม่เห็นด้วย ไทม์เลยอาสาไปรับไปส่งกรินเอง ตอนแรกพี่หมอปัถย์เขาก็จะไม่ให้กรินมา เขาเป็นห่วง แต่กรินก็ดื้อจะมาให้ได้ ไทม์เลยต้องออกหน้ารับแทนว่าจะดูแลกรินเอง พี่หมอปัถย์เขาถึงยอมให้กรินมา วันนี้ร้านเหล้าถูกเหมาร้านเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ขอแอบกระซิบว่าเจ้าของงานรวยมาก เขาจัดเลี้ยงเพื่อน ๆ ฟรีหมด อาหารและเหล้ากินดื่มไม่อั้น คนอื่นก็ดื่มเหล้ากันดุเดือดมาก ส่วนผมกับเพื่อนเน้นกินอาหารมากกว่า ไม่มีใครกล้าเมาในวันนี้ เพราะไทม์ต้องไปส่งกริน เชนเองก็กลัวโดนพี่นิลดุ ส่วนผมไม่คิดจะดื่มเยอะอยู่แล้ว ขับรถมาเอง ดื่มเยอะได้ที่ไหน แล้วถ้าเมาไม่ได้สติล่ะก็โดนมารุตบ่นให้แน่ ๆ
11.01 PM
Rrrrr~
หลังจากที่แยกย้ายกับเพื่อน ๆ ที่หน้าร้านผมก็รีบเดินไว ๆ กลับไปที่รถของตัวเอง แต่ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือก็ส่งเสียงดังลั่นว่ามีสายเรียกเข้า
(“เมื่อไหร่คุณจะถึงห้อง?”) กดรับสายปุ๊บเสียงของปลายสายก็ลอยเข้ามาทันที ไม่มีการทักทายก่อนแต่อย่างใด
“ใจเย็นสิ นี่เพิ่งออกมาจากร้านเองนะ” ผมปลดล็อครถแล้วเข้าไปนั่งในรถ เปิดสปีกเกอร์โฟนไว้แล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เบาะข้างคนขับ
(“ถ้ารู้ว่าจะกลับดึกขนาดนี้ผมตามไปด้วยก็ดี”) อีกฝ่ายว่าเสียงดุ
“อย่าเยอะน่า งานตัวเองทำเสร็จหรือยัง? จะสอบแล้วนะ” ผมถอยรถออกจากที่จอด สายตาจ้องมองถนน ปากก็พูดตอบคนปลายสายไปด้วย มารุตชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่ผมมาร้านเหล้ากับเพื่อนแค่นี้เขาก็เอาแต่บ่นไม่หยุด
ขี้บ่นจริง ๆ เลย
(“จะสอบแล้วยังจะไปร้านเหล้ากันอีก”) อีกฝ่ายสวนกลับมาทันควัน
“ทำไงได้ล่ะ ก็วันเกิดเพื่อนนี่” ผมยู่หน้าใส่ทั้งที่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น
(“เพื่อนเยอะจังนะ”) เขาว่าเชิงประชด
“อย่าประชดสิ” ผมเหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ มารุตนี่จริง ๆ เลย
(“ผมขอใช้สิทธิ์งอนคุณ”) อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียงงอน ๆ
“อาทิตย์นี้งอนครบ 3 ครั้งแล้วนะ ถ้างอนอีกก็เกินโควต้าสิ” ผมรีบร้องแย้งทันที ผมกับมารุตมีข้อตกลงกันว่าเราจะงอนกันได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่ออาทิตย์ แต่ผมไม่เคยใช้สิทธิ์ครบเลยสักครั้ง มีแต่มารุตนั่นแหละที่ใช้สิทธิ์เกินโควต้าตลอด
(“คุณจะไม่ง้อผมเหรอ?”) มารุตร้องเสียงหลง
“จะรีบกลับไปง้อนะ” ผมอมยิ้มกับตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าอย่างมารุตนี่จะเรียกว่าขี้งอนได้หรือเปล่า แต่ละครั้งที่เขางอนก็เหมือนจะงอนไม่จริง งอนแบบงอนเล่น ๆ ให้ผมตามง้อ ทุกครั้งที่งอนก็จะบอกตลอดว่า ‘งอนนะ’ หรือไม่ก็ ‘ผมงอนคุณอยู่นะ’ แล้วก็เป็นผมที่ต้องตามง้อทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้มีปัญหากับการตามง้องอนมารุต ผมสามารถง้อเขาได้ตลอดตามที่เขาต้องการ แต่มันก็ออกจะเปลืองตัวและเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย บางทีผมก็แอบคิดนะว่าที่มารุตงอนผมบ่อย ๆ นี่ก็แค่เพราะอยากจะหาเรื่องลวนลามผมหรือเปล่า
(“คุณ”) จู่ ๆ มารุตก็เงียบไป
“ว่าไง?” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
(“กลับมาเร็ว ๆ นะ อยากกอดคุณจะแย่แล้ว”) เขาพูดเสียงพึมพำออกมาจนเกือบฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็หูดีพอที่จะได้ยินประโยคเมื่อกี้ทั้งหมด
“รอแปบนะ ขอขับรถก่อน” ผมระบายยิ้มบางด้วยความเอ็นดู มารุตทำตัวน่ารักอีกแล้ว เวลาที่มารุตอ้อน เขาจะน่ารักมาก ๆ ผิดกับภายนอกที่เห็นเลย
(“ไม่ต้องวางสายนะ คุยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอนโดฯ”) ถึงเขาไม่บอกผมก็จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ
“ครับ~” แกล้งรับคำเสียงลากยาวแบบกวน ๆ
(“อยากฟัดคุณว่ะ”) อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา
“โรคจิต” แค่ได้ยินก็ถึงกับขนลุกซู่แล้ว มารุตน่ากลัวเสมอในเวลาที่เขาเป็นแบบนี้
(“ก็คุณชอบทำตัวน่ารัก”) น่ากลัวจริง ๆ ด้วย!
“หลงเราแล้วล่ะสิ” ผมพูดยิ้ม ๆ ผมชอบแหย่มารุตแบบนี้ แกล้งเขาแต่ตัวเองก็ชอบเขินเอง
(“หลงมาตั้งนานแล้ว รักคุณว่ะ”) อีกฝ่ายบอกรักออกมาโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาตกใจจนเกือบหักพวงมาลัยพุ่งเข้าข้างทาง
“เฮ้ย! บอกรักกันแบบนี้เลยเหรอ?” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ
(“อือ เขินเปล่า?”) เขาตอบกลับมาซื่อ ๆ
“เขิน” ผมเม้มปากแน่นพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้มุมปากยกสูงจนเกินไป
(“คุณแม่ง!”) อีกฝ่ายสบถเสียงดัง
“แพ้อีกแล้วนะรุต” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ มารุตไม่เคยเก็บอาการได้เลยสักครั้ง มีคนเคยบอกผมว่าแท้จริงแล้วมารุตเป็นคนซื่อ ๆ เขาไม่ได้มีพิษมีภัยกับใคร ซึ่งผมก็เห็นด้วย แต่นั่นต้องไม่ใช่ตอนที่มารุตโกรธนะครับ เพราะถ้าโกรธมารุตจะน่ากลัวมาก
(“อือ แพ้คุณตลอดแหละ ใจบางเป็น Paper Hearth เลย”) ปลายสายพูดเสียงงึมงำเหมือนบ่นคนเดียว การกระทำของมารุตยิ่งทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูเขามากขึ้น
“ตลก” ผมยกยิ้มจนปวดแก้ม มารุตมักทำให้ผมยิ้มได้เสมอ และผมก็ชอบที่ตัวเองมีรอยยิ้มเพราะเขา มารุตคือความสุขของผม
(“ถึงไหนแล้ว?”)
“ใกล้จะเข้าซอยคอนโดฯ แล้ว” อีกไม่กี่นาทีผมก็จะถึงคอนโดฯ ของมารุตแล้วครับ ผมมาทางลัดซึ่งซอยมันค่อนข้างเปลี่ยว แต่ถนนเส้นนี้อยู่ติดกับพวกโรงแรมและสถานบันเทิง ภายในซอยก็แอบน่ากลัวอยู่หน่อย ๆ จะว่าอันตรายก็คงไม่ผิดนัก
(“เร็ว ๆ คิดถึงแล้ว”) อีกฝ่ายร้องโวยวายมาเบา ๆ
“รู้ละ เฮ้ย!” ผมขานตอบรับคนปลายสายแล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีบางอย่างพุ่งออกมาจากข้างทางแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้ารถของผม
เอี๊ยด!
ตุ้บ!
(“เล็ก! เกิดอะไรขึ้น?”) มารุตที่ได้ยินเสียงร้องตกใจของผมก็รีบร้องถามกลับมาทันที
“มีคนวิ่งออกมาตัดหน้ารถ” ผมมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต้นรัว ความตกใจยังไม่จางหาย จู่ ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้วิ่งมาตัดหน้ารถ แล้วเขาก็ล้มลงไปตรงหน้ารถพอดี
(“ชนเขาหรือเปล่า?”) มารุตเอ่ยถามเสียงเครียด
“ไม่แน่ใจ เดี๋ยวลงไปดูก่อนนะ” ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชนอีกฝ่ายหรือเปล่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก
(“ระวังตัวด้วยนะ”)
“อื้อ” เสียงเตือนจากมารุตทำให้ผมหันมองรอบ ๆ ข้างก่อนที่จะลงจากรถ ผมวางสายจากมารุตไปก่อน แล้วถึงค่อยเดินลงไปดู
“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมนั่งยอง ๆ ข้างคนที่ล้มอยู่หน้ารถ แสงไฟจากหน้ารถพอให้ผมมองเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวเล็ก ลักษณะท่าทางคุ้น ๆ เหมือนเป็นคนรู้จัก
“…” อีกฝ่ายไม่ได้ขานตอบอะไร แต่เขาก็พยายามดันตัวเองลุกขึ้นมา
“คุณคะ ไอริส!” ผมที่กำลังจะเอ่ยถามอีกครั้งก็ตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
“พะ พี่รัชช์” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นคล้ายตกใจ ไอริสเรียกชื่อผมแล้วก็หมดสติไป นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ไอริส! ไอริส!” ผมเขย่าร่างเล็กเพื่อเรียกให้ตื่น แต่ไอริสก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว ผมเลยตัดสินใจอุ้มอีกฝ่ายขึ้นรถแล้วพาไปโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าตัวเองขับรถชนไอริสหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ เลยคือท่าทางของไอริสดูไม่สู้ดีนัก ผมต้องรีบพาเขาไปหาหมอ
ผมพาไอริสมาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เป็นโรงพยาบาลเอกชน ก็โรงพยาบาลที่ผมเคยพาไอริสมาหาหมอเมื่อปีก่อนนั่นแหละ ผมเพิ่งจำได้ว่าโรงพยาบาลนี้เป็นของพี่บริน จำพี่บรินกันได้ไหมครับ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง อายุเท่าคุณใหญ่ เขาเป็นศัลยแพทย์ ตอนนี้กลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ แน่นอนว่าพี่บรินอาศัยอยู่กับกริช สมใจเจ้าแฝดคนน้องแล้ว รอมาตั้งหลายปี ตอนนี้ก็มีความสุขสักที
Rrrrr~
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ผมจำต้องละสายตาจากประตูห้องฉุกเฉินมาเป็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือแทน คนที่โทรมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มารุตนั่นแหละครับ
(“คุณ! ทำไมยังไม่ถึงห้องอีก?”) พอผมกดรับสายเสียงร้องโวยของมารุตก็ดังขึ้นมาทันที
“รุต เราอยู่โรงพยาบาล” ผมเอ่ยบอกอย่างใจเย็นและพูดด้วยเสียงที่เบาเพราะตรงนี้มันเป็นโถงทางเดิน เสียงมันค่อนข้างจะก้องและดัง
(“เกิดอะไรขึ้น?”) มารุตถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“เราเจอไอริส” ผมยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเบา ๆ รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย ขนาดไม่ได้ดื่มเหล้าเยอะนะ แต่จากเหตุการณ์ที่เจอไอริสโดยบังเอิญก็ทำเอาผมมึนไปพอสมควร ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองขับรถชนไอริสหรือเปล่า
(“คือยังไงนะ? อย่าบอกนะว่าคนที่วิ่งตัดหน้ารถคุณคือไอริส?”) มารุตเอ่ยถามกลับงง ๆ
“ใช่ ไอริสถูกทำร้าย ตามตัวมีแต่รอยช้ำเต็มไปหมดเลย” ผมเพิ่งมาเห็นบาดแผลและร่องรอยตามตัวของไอริสก็ตอนที่พาอีกฝ่ายมาส่งที่โรงพยาบาลนั่นแหละ ถึงรอยจะไม่เยอะและไม่ค่อยเด่นชัดแต่ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ควรเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับไอริส อีกฝ่ายตัวเล็กนิดเดียวเอง น่าสงสารจังเลย
(“คุณอยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวผมไปหา”) มารุตว่าด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ไม่ต้องหรอก หมอออกมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะ”
(“เล็ก เดี๋ยว…”)
ติ๊ด!
หมอเดินออกมาพอดี ผมเลยรีบวางสายจากมารุตเพื่อที่จะไปคุยกับคุณหมอ ผมเป็นห่วงไอริสไม่น้อยเลย นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมเจอไอริสในสภาพแบบนี้ ทำไมเขาถึงได้โชคร้ายถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่รู้ ตัวก็เล็กแค่นี้เอง จะไปสู้อะไรใครเขาได้
“คุณหมอครับ คนเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ?” ผมเดินเข้าไปหาคุณหมอทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ร่างกายมีความบอบช้ำเล็กน้อย และเพราะความอ่อนล้าเลยทำให้สลบไปเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่มีอะไรต้องกังวลแต่เพื่อความแน่ใจยังไงก็ให้เขาอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลสัก 2-3 วันนะครับ” คุณหมอวัยกลางคนท่าทางใจดีเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มบางเบา
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณคุณหมอแล้วไปจัดการเรื่องห้องพักฟื้นให้กับไอริส ผมเลือกห้องพิเศษและจ้างพยาบาลพิเศษเพื่อให้ดูแลไอริสในคืนนี้ วันนี้ผมอยู่กับเขาไม่ได้ แต่พรุ่งนี้ผมจะรีบมาหาเขาแต่เช้า
Rrrrr~
“ฮัลโหล” ระหว่างที่กำลังถอยรถเข้าจอดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
(“เป็นยังไงบ้าง?”) ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับโดยที่ไม่ได้มองหน้าจอ เสียงของมารุตดังสวนมาจากปลายสายเลยทำให้รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เราถึงคอนโดฯ แล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” ผมเอ่ยบอกเสียงเพลีย รู้สึกเหนื่อยจังเลยครับ
(“อืม”) มารุตรับคำสั้น ๆ แล้วก็กดวางสายไป ผมเดินมาขึ้นลิฟต์ด้วยความอ่อนล้า อยากนอนมาก ๆ เลยล่ะครับ เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมอดที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนไม่ได้ ผมก็เคยช่วยไอริสไว้เหมือนในครั้งนี้ ผมไม่คิดว่าจะกลับมาเจอกับเขาอีกในสภาพแบบนี้
แกร๊ก!
“เล็ก!” ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามามารุตก็เอ่ยเรียกผมทันที
“…” ผมมองหน้าคนรักของตัวเองแล้วก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขาที่โซฟา
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น? ไอริสเป็นอะไรเหรอ?” มารุตที่เห็นผมเอนหัวไปซบไหล่ของเขาก็เอ่ยถามขึ้นมา
“สภาพไอริสเหมือนถูกร้าย เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ตอนที่เราลงรถไปดูเขา ไอริสเรียกเราแล้วก็สลบไป” ผมรู้สึกสับสน จนกระทั่งถึงตอนที่ผมจะกลับห้อง ไอริสก็ยังไม่รู้สึกตัว เขายังไม่ฟื้น ตอนแรกผมก็ชั่งใจว่าจะรอเขาตื่นก่อนดีไหม แต่ผมก็เหนื่อยล้าจนอยู่รอไม่ไหว เลยตัดสินใจกลับมาก่อน แต่ผมก็จ้างพยาบาลพิเศษให้เฝ้าเขาแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก พรุ่งนี้ผมคงต้องออกไปดูเขาแต่เช้า
“ไอริสโดนทำร้าย? เขาไปมีปัญหากับใครมา?” มารุตมีสีหน้างุนงง ซึ่งผมเองก็สงสัยไม่ต่างกัน
“ตอนที่เขาวิ่งตัดหน้ารถเรา เหมือนเขากำลังหนีอะไรสักอย่าง” จู่ ๆ เขาก็วิ่งตัดหน้ารถผมออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“หนีคนที่ทำร้ายเขาหรือเปล่า?” มารุตลองสันนิษฐานออกมา
“คงจะอย่างนั้น” ผมก็คิดเหมือนกับมารุตนั่นแหละ ไอริสคงกำลังวิ่งหนีใครสักคน แล้วเขาก็บังเอิญมาเจอผม ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงไอริสมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าไอริสกำลังเผชิญอยู่กับอะไร
“เป็นห่วงไอริสเหรอ?” มารุตยกมือขึ้นลูบแก้มผมอย่างเบามือ
“อือ ไอริสตัวนิดเดียวเองนะ ใครกันที่ใจร้ายทำกับเขาได้” สำหรับผมแล้วไอริสก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง ถึงเราจะไม่ได้สนิทกันมากแต่เราก็รู้จักกัน และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแฟนเก่าของมารุต แต่ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร เรื่องระหว่างพวกเขามันจบลงแล้ว ก็เหมือนเรื่องของผมกับพี่นิลนั่นแหละ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่อดีต เรามีปัจจุบันและอนาคตรออยู่ และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
“ผมว่าคุณไปอาบน้ำเถอะ ดึกแล้วจะได้มาพักผ่อน” สัมผัสบางเบากดลงที่ศีรษะของผมก่อนที่มารุตจะผละตัวออก ผมนั่งมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ พลางคิดไปด้วยว่าโดนจูบหัวอีกแล้วเหรอ ตั้งแต่คบกันมามารุตมักจะชอบจูบตามร่างกายของผมอยู่เสมอ เผลอไม่ได้หรอก โดนลวนลามตลอด
“พรุ่งนี้เช้าเราจะไปหาไอริส” ผมบอกถึงสิ่งที่ผมคิดและอยากจะทำ
“ผมไปด้วย” มารุตรีบเอ่ยบอกทันที
“อือ” ผมพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ
ดึกมากแล้ว ผมควรพักผ่อนเสียที ถ้าผมยังไม่ยอมนอน มารุตก็จะไม่ได้นอนไปด้วย การนอนของมารุตมีเงื่อนไขค่อนข้างเยอะ จะต้องได้จุ๊บผมก่อนนอน จะต้องนอนพร้อมกัน และจะต้องได้นอนกอดผมทั้งคืน ถ้าผมลุกไปไหนโดยที่เขายังหลับอยู่ มารุตจะรู้สึกตัวได้ในเวลาไม่นาน และเขาก็จะโวยวายเรียกผมทันที เหมือนตัวเขาถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่าจะต้องร้องเรียกหาผมทันทีที่ผมหายไป แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มารุตติดผมมากขนาดนี้ ผมเองก็ชอบที่เขาติดผมแบบนี้ เพราะผมก็ติดเขามากเหมือนกัน
“รุต” หลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็พากันมานอน แต่นอนมาสักพักแล้วผมก็ยังหลับไม่ลง ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของไอริสจนนอนไม่หลับ
“ครับ?” มารุตขานรับเสียงเบา เขาโอบกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วกดจูบลงมาที่หัวของผม(อีกแล้ว)
“เราเป็นห่วงไอริส” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าหล่อของคนเป็นแฟนผ่านความมืด ผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องของไอริสได้เลย ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับไอริสมันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ และเขาอาจจะกำลังลำบากอยู่ก็ได้
“ผมจะหึงแล้วนะ” มารุตก้มหน้าลงมาหาผม คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น มารุตทำหน้าดุใส่ผม
“ตลก เราแค่ห่วงเขาในฐานะคนรู้จักกัน ก่อนหน้านี้อยู่ดี ๆ ก็หายเงียบไป พอเจอกันอีกทีก็มาเจอกันในสภาพแบบนี้ รู้สึกไม่ดีเลย” ผมเอาหัวชนกับปลายคางเรียวเบา ๆ
คิดได้เนอะ หึงผมไอริสเนี่ย ถึงไอริสจะน่ารักมาก แต่ผมชอบคนหล่อมากกว่า โดยเฉพาะผู้ชายรูปร่างสูง ตัวหนา หน้าตาคมคาย ผิวสีแทน หน้าตาโหด ๆ หน่อย อือ เจาะจงเลยก็ได้ว่าชื่อมารุตน่ะ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมไอริสกัน ไปถามเขาให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ดีไหม?” มารุตระบายยิ้มบาง ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ คล้ายปลอบประโลม
“อือ” ผมพยักหน้ารับ ยังไงก็คงต้องคุยกับไอริสให้รู้เรื่อง ผมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขามันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว ถ้าเขาถูกทำร้ายร่างกายมา ก็ควรจะไปแจ้งตำรวจ
“นอนได้แล้วครับ” มารุตบอกเสียงนุ่มพร้อมทั้งลูบหัวลูบหลังกล่อมผมไม่หยุด
“อือ ฝันดีนะ”
จุ๊บ!
“ฝันดีครับ” Good night kiss ก่อนนอนแล้วผมก็เริ่มที่จะง่วง ผมควรจะนอนได้แล้ว ตอนนี้มันเลยเวลานอนของผมมามากแล้วล่ะ เรื่องของไอริสก็คงต้องยกเป็นวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ครับ
------------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อไวๆนะคะ สู้ๆ