ตอนที่ 33 : ตัดสินคดีไท่จื่อ
“ถวายบังคมฮ่องเต้ ขอทรงมีพระชนม์หมื่นปี หมื่นๆ ปี” เมื่อขันทีประคองพระวรกายอันสูงส่งของเหนือหัวประทับบนบัลลังก์มังกรแล้ว ขุนนางต่างแซ่ซ้องถวายพระพร
“ลุกขึ้นเถิด ขุนนางที่รักทั้งหลาย” สุรเสียงแม้แหบพร่าไปบ้างแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจแห่งโอรสมังกร
“วันนี้พวกเจ้านัดหมายกันเพื่อตัดสินคดีไท่จื่อก่อกบฏกระมัง” ฮ่องเต้ตรัสถาม ขุนนางฝั่งซ้ายนิ่งงัน มหาเสนาบดีถือโอกาสกราบทูล
“ทูลฮ่องเต้ ขุนนางเหล่านี้แอบอ้างองค์ชายแปดจับกุมไท่จื่อข้อหาก่อกบฏ กล่าวว่ามีหลักฐานพยานแน่นหนาวันนี้นัดมาตัดสินคดีพร้อมหน้า กระหม่อมมิอาจทัดทานได้พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้แย้มสรวลหันไปทางฝั่งซ้าย
“พวกเจ้ามีหลักฐานแล้วก็นำออกมาเถิด เจิ้นจะตัดสินให้เอง รับรองว่าจะให้ความเที่ยงธรรมกับทุกฝ่าย”
เสนาฝั่งซ้ายมองตากันอย่างอับจน แม้จะมั่นใจว่าตนได้ยินสุรเสียงตรัสในตำหนักชัดเจน แต่เมื่อมิเห็นองค์ชายแปดก็มิอาจคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นใด ยามนี้ได้แต่อ้ำอึ้งมิอาจส่งเสียง
“หลักฐานที่เจ้าว่านั้นคือเสียงของเจิ้นที่บอกว่าจะถอดถอนไท่จื่อกระมัง ผู้ใดได้ยินเสียงกับหูตนเองก้าวออกมาสิ” รอเนิ่นนานมิมีผู้ออกมากราบทูลฮ่องเต้จึงตรัสถามเสียเอง ขุนนางกลับมิมีผู้ใดก้าวออกมา
“หึ เช่นนั้นพวกเจ้าก็คงได้ยินผู้อื่นพูดมากระมัง”
“ทูลฮ่องเต้ เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่เจ้าหน้าที่ที่ได้ยินล้วนแต่รักษาการณ์รอบพระตำหนักเทียนเฟิงในวันนั้น และกล่าวเป็นเสียงเดียวกันทุกถ้อยความพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมพิธีการหม่าติงเหอตัดสินใจก้าวออกมากราบทูล
“นำตัวพวกเขาเข้ามา” สิ้นรับสั่งคนหลายคนในเครื่องแต่งกายเป็นทหารรักษาวังบ้าง ขันที นางกำนัล รวมแล้วเกือบยี่สิบชีวิตเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม หากมีบุรุษผู้หนึ่งที่ถูกมัดมือไขว้หลังเข้ามา
“พวกเจ้าหรือไม่ที่ได้ยินเสียงเจิ้นในคืนนั้น”
“ทูลฮ่องเต้ เป็นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ / เป็นหม่อมฉันเพคะ” เสียงกราบทูลพร้อมเพรียงกันมิผิดเพี้ยนไร้การลังเล ขุนนางฝ่ายซ้ายยิ้มในหน้าอย่างลำพอง
“ใช่เสียงนี้หรือไม่” ฮ่องเต้ส่งสายพระเนตรไปที่บุรุษผู้นั้นที่ได้แต่อ้าปากส่งเสียงออกมาอย่างอับจน ถ้อยคำที่พูดออกมาล้วนเป็นคำเดียวกับที่พวกพยานทั้งหลายได้ยินในคืนนั้นมิผิดเพี้ยน ทั้งน้ำเสียงก็มิได้แตกต่างสักนิด หลายคนเริ่มหันไปมองตากันอย่างตระหนก นี่มันเล่ห์กลอันใด
“บอกให้พวกเจ้ารู้ คืนนั้นเจิ้นหาได้กล่าวสิ่งใดไม่ ผู้ที่กล่าวคือบุรุษผู้นี้ “ เสียงฮือฮาดังขึ้นมาในบัดดลฮ่องเต้ยกพระหัตถ์เสียงจึงเงียบลง
“คืนนั้นเจิ้นรู้สึกว่ายาที่ส่งมามีกลิ่นแปลกไปจากเดิม จึงตัดสินใจเททิ้งเสียแล้วนอนหลับตานิ่งแสร้งหลับอยู่บนเตียง จึงได้เห็นลูกแปดนำบุรุษผู้นี้เข้ามา จากนั้นเสียงไท่จื่อมาเข้าเฝ้าและโต้เถียงกับบุรุษผู้นี้อยู่ร่วมเค่อก่อนไท่จื่อจะผลุนผลันกลับไป หากนี่คือหลักฐานที่พวกเจ้ากล่าวอ้างเจิ้นขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นแผนการของเหอเทียนเฟิงทั้งสิ้น” ขุนนางฝั่งซ้ายเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นก้มลงกราบกรานขอพระเมตตา พวกตนหลงเชื่อองค์ชายแปด คิดตัดสินประหารไท่จื่อโดยพลการเยี่ยงนี้ใยมิกลายเป็นกบฏไปเสียเอง พวกตนต้องแย่แน่ครานี้ องค์ชายแปดคงหนีไปแล้วพวกตนถูกทอดทิ้งเป็นแน่
“ทูลฮ่องเต้ พวกกระหม่อมโง่งมหลงเชื่อคนเลว ใส่ร้ายไท่จื่อมีความผิดสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” หม่าติงเหอ รีบกราบทูลเนื้อตัวสั่นเทาด้วยเกรงอาญา ชำเลืองมองแววตาเย้ยหยันจากฝ่ายตรงข้ามยิ่งหวาดกลัวจนเหงื่อหยดไหลถ้วนหน้า
“หลงเชื่อคนเลวเพราะถูกหลอกลวงหาใช่ความผิด เพียงแต่พวกเจ้าเป็นข้าราชบริพารที่ควรภักดีต่อเจิ้นต่อไท่จื่อผู้จะเป็นเจ้าเหนือหัวองค์ต่อไป แต่เจ้ากลับเอาใจลำเอียงไปเข้าข้างองค์ชายแปดเพราะคิดว่าองค์ชายแปดจะให้ประโยชน์กับพวกเจ้าได้มากกว่า พวกเจ้าสอบเข้ามาเป็นขุนนางกินเบี้ยหวัดจากภาษีของราษฎร กลับคิดถึงแต่ความสะดวกสบายของตนเอง แบ่งพรรคแบ่งพวกทำให้การทำงานมิประสบความสำเร็จ ราษฎรเดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะมีขุนนางเลวๆ เยี่ยงพวกเจ้า” ขุนนางฝั่งซ้ายก้มหน้าหมอบกราบอย่างหวาดเกรง ฝั่งขวาเองก็ใช่จะยืดคอได้มากนักด้วยถ้อยดำรัสล้วนกระทบใจทุกคนสิ้น
“บัดนี้ เจิ้นอายุมากอีกทั้งป่วยมาเนิ่นนานแล้ว ถึงเวลาที่จะมอบอำนาจให้ไท่จื่อดูแลแว่นแคว้นสิบต่อไป แต่ว่าไท่จื่อนั้นยังเยาว์นัก อีกทั้งประสบการณ์ยังมิมากพอที่จะบริหารบ้านเมืองโดยลำพัง จำต้องมีผู้ช่วยชี้นำที่มีความสามารถ” ฮ่องเต้ตรัสทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ทำให้หลายฝ่ายคิดไปต่างๆ นาๆ
“ไท่จื่อ รับราชโองการ” เหอเทียนเหิงคุกเข่าประสานมือ
“ไท่จื่อเหอเทียนเหิง เป็นพระโอรสที่ประสูติจากฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว เป็นรัชทายาทอันชอบธรรมด้วยข้อบัญญัติของแคว้น เป็นผู้มีคุณธรรมอันประเสริฐที่จะดูแลราษฎรต่อจากเจิ้นได้ แต่งตั้งให้ไท่จื่อเหอเทียนเหิงเป็นฮ่องเต้ ฮองเฮาเลื่อนขึ้นมาเป็นไทเฮา สืบราชบัลลังก์นับแต่วันนี้”
“น้อมรับราชโองการ” เหอเทียนเหิงปิติยินดียิ่งนัก เอื้อมพระหัตถ์รับราชโองการถือไว้ในพระหัตถ์อย่างกระหยิ่มพระทัย
“หมิงอ๋องเหอเซียนเล่อ รับราชโองการ” หมิงอ๋องคุกเข่าประสานมือ
“หมิงอ๋องเหอเซียนเล่อพระอนุชาแห่งเจิ้น เป็นผู้มากความสามารถปกป้องแว่นแคว้นจากข้าศึกศัตรูมานานปี อีกทั้งช่วยคลี่คลายภัยพิบัติในราชวังหลวงอันเกิดจากแผนการขององค์ชายแปดกับพระญาติ ทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบร่มเย็น แต่งตั้งให้เป็นมหาอุปราชเคียงคู่ฮ่องเต้ มีอำนาจตัดสินใจแทนพระองค์ได้ทุกประการ เนื่องเพราะเป็นพระญาติผู้ใหญ่ พบหน้าฮ่องเต้มิต้องถวายบังคม อีกทั้งห้ามมิให้ฮ่องเต้ลงโทษหรือปลดจากตำแหน่งได้ ให้ดำรงตำแหน่งนับจากวันนี้เป็นต้นไป” หมิงอ๋องน้อมรับราชโองการมาถือไว้ในพระหัตถ์ด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย ผิดกับเหอเทียนเหิงและฝั่งพระญาติที่มีสีหน้าซีดเซียว ได้แต่ชำเลืองมองกันอย่างอับจน เยี่ยงนี้ใยมิใช่ยกแผ่นดินให้หมิงอ๋องเล่า มีอำนาจเทียบเท่าฮ่องเต้นั่นแสดงว่าพวกตนก็ต้องเชื่อฟังอย่างมิมีข้อโต้แย้งใดๆ
“ทูลฮ่องเต้ เป็นเช่นนี้มิได้นะเพคะ มิได้เด็ดขาด ให้หมิงอ๋องครองอำนาจเทียมเท่าฮ่องเต้เยี่ยงนี้ ใยมิใช่ยกบัลลังก์ให้หมิงอ๋องไปแล้ว”
“เจิ้นประกาศไปแล้วให้เป็นตามนั้นมิต้องโต้แย้ง เจิ้นคิดการณ์รอบคอบถี่ถ้วนแล้ว หากหมิงอ๋องหมายปองบัลลังก์เจิ้นก็ยินดีจะยกให้ จนใจก็แต่หมิงอ๋องมิปรารถนาเท่านั้นเจิ้นจึงต้องขอให้ช่วยบริหารบ้านเมืองช่วยฮ่องเต้นเยี่ยงนี้” ฮองเฮาพระพักตร์ซีดเซียว นับจากนี้ตนคงมิอาจแตะต้องหมิงอ๋องได้อีกแล้ว
“ถวายพระพรฮ่องเต้ ถวายพระพรพระมหาอุปราช ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” หม่าติงเหอชิงกล่าวถวายพระพรก่อนผู้ใด ผู้อื่นได้สติจึงคุกเข่าถวายพระพรกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง แต่การถวายพระพรฮ่องเต้แล้วตามด้วยมหาอุปราชนั้นแม้อาจดูแปลกสักหน่อย แต่หม่าติงเหอตีความตามราชโองการว่ามหาอุปราชมีอำนาจตัดสินพระทัยเทียบเท่าฮ่องเต้ ใยมิใช่แผ่นดินมีฮ่องเต้สองพระองค์พร้อมกัน แต่ขุนนางฝั่งซ้ายค่อยมีสีเลือดบนใบหน้าเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้แสดงว่าฮ่องเต้โยนเรื่องของพวกตนให้สองพระองค์ตัดสินพระทัย หากมีเพียงไท่จื่อครองอำนาจพวกตนต้องตายอย่างมิต้องสงสัย หากยามนี้กลับมีหมิงอ๋องคานอำนาจถ่วงดุลอยู่ พวกตนย่อมมีความหวังจะรอดชีวิตบ้างแล้ว แม้แต่หม่าติงเหอก็ยังอดมิได้ที่จะคิดว่าหมิงอ๋องจะเห็นแก่หน้าฟางจิ่นลี่ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อตาบ้าง
ขอบคุณมากค่ะ ดีใจจังได้อ่านแต่เช้า