ตอนที่ 8 : #ซิมฟาง 03 [1]
03
[1]
“อย่างนี้พิณก็ไม่ใช่แฟนฟางน่ะสิ”
เห?
ถึงกับนิ่วหน้าหนักเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ก็ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนฟางก็หมายความว่าฟางมีแฟนแล้วคือเขา แสดงว่าพิณกับฟางก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เอ่อ ฉันหมายถึงไม่ได้เป็นแฟนกันน่ะใช่ไหม” นิดหน่อยหลับหูหลับตาพูดแบบไม่หยุดหายใจ จากที่ฉันมึนและงงอยู่แล้วยิ่งเอ๋อหนักเข้าไปใหญ่
“ตั้งสติแล้วถามใหม่ทีละคำถาม” ฉันดึงสติตัวเองแล้วพูดกับนิดหน่อยอย่างใจเย็น บางทีอาจเพราะเมื่อกี้เราต่างก็ตกอยู่ในอาการตกใจทั้งคู่ เลยถามหรือตอบอะไรแบบไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
แน่นอนว่าฉันเผลอตอบผิดความจริงไปเต็มๆ
“เอ่อ…” นิดหน่อยชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นลังเลอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของเธอเหล่มองซิมคล้ายชั่งใจ “ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนฟางเหรอ”
“ไม่ใช่/ใช่ๆ” ฉันตอบความจริง ทว่า ดันมีเสียงดังแทรกขึ้นในจังหวะเดียวกัน เลยมีอันต้องหันขวับไปทางคนพูด
ซิมกลอกตาไปมาราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรผิด มือหนายังลูบๆ คลำๆ บริเวณที่โดนประตูฟาดหน้าเมื่อกี้ ตีหน้ามึนไปเสียอย่างนั้นอะ
“ตกลงว่าใช่หรือไม่ใช่” นิดหน่อยถามย้ำอีกครั้งเผื่อความแน่ใจ สีหน้ายัยนี่กำลังสับสนขั้นหนัก
“ไม่ใช่ เราสองคนไม่รู้…” เกือบพลั้งปากบอกออกไปว่า ‘ไม่รู้จักกัน’ ดีที่คิดขึ้นมาได้ทันว่าอาจจะต้องตอบคำถามยาวกว่าเดิม เพราะงั้นเลยแก้ใหม่เป็น “แค่คนรู้จักกันน่ะ”
“เพื่อนกันเหรอ” นิดหน่อยถามต่อ นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ฉันไม่อยากจะสนิทกับนิดหน่อยเท่าไร แม้ว่าที่จริงแล้วเธอจะไม่ได้ทำอะไรผิด เข้าใจแหละ เธอก็แค่สงสัย
“ก็อะไรทำนองนั้น” ตอบพลางหันไปถลึงตาขู่ซิมเอาไว้ไม่ให้เขาพูดมาก
“แล้วกับพิณ…”
“นั่นก็เพื่อน” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิด
จริงอยู่ที่ฉันกับพิณสนิทกันมาก แถมหมอนั่นยังออกอาการห่วงฉันจนเหมือนเกินสถานะเพื่อน แต่ไม่ว่าใครจะมองยังไง เราสองคนก็รู้กันดีว่ามันไม่ใช่อย่างที่คนอื่นเข้าใจ และใครอยากจะเข้าใจแบบไหนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเราที่ต้องเที่ยวไปอธิบายให้ใครฟัง เว้นแต่มีคนถาม ก็ตอบตามจริงแบบนี้นั่นแหละ
“เพื่อนเยอะดี” เป็นซิมที่สอดขึ้นมาอีกครั้ง คิ้วฉันกระตุกขึ้นมาตงิดๆ ความคิดที่ว่าอยากปิดประตูใส่หน้าเขาอีกครั้งแว็บเข้าในหัวอย่างช่วยไม่ได้ หมอนี่ก็พูดมาก น่าจับมัดรวมกับนิดหน่อยแล้วโยนลงไปข้างล่างทั้งคู่ ฉันจะได้อยู่เงียบๆ เสียที เฮ้อ!
“สีหน้าเธอดูผิดหวัง” ฉันตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นนัยน์ตาเศร้าๆ ของผู้หญิงตรงหน้า อีกทั้งยังจำคำถามก่อนหน้านี้ได้ชัดเจน
“อะ...เปล่าสักหน่อย ฉันก็แค่คิดว่าพิณคงจีบเธออยู่น่ะ ถ้าตอนนี้ไม่ใช่แฟน อีกหน่อยก็ไม่แน่ใช่ไหมล่ะ” น้ำเสียงของนิดหน่อยเศร้าสร้อยไม่แพ้สีหน้า ฉันว่าเท่านี้ก็ชัดแล้วล่ะ
“ชอบพิณเหรอ” ฉันถาม
“เปล่า!” รีบตอบแบบนี้มีพิรุธสุดๆ “เอ่อ…ฉันแค่รู้สึกว่าเขาดูน่าค้นหาดี”
ไม่แปลกที่เธอจะคิดแบบนั้น เพราะฉันเองยังรู้สึกว่าพิณเป็นผู้ชายที่ดูน่าค้นหาและลึกลับยังไงชอบกล ขนาดฉันที่ว่าสนิทด้วยนั้น ที่จริงก็แทบจะไม่รู้จักเขาเลยในบางครั้ง แต่ฉันไม่คิดว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรหรอก เพราะขนาดฉันเองก็มีมุมส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ใครรู้เหมือนกัน
บางที…คนเราก็ควรคบกันเฉพาะด้านที่รู้จักกันแล้วสบายใจทั้งคู่จะดีกว่า
“เขายังไม่มีแฟนใช่ไหม” นิดหน่อยถามอีก ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ อีกฝ่ายมองหน้าฉันสลับกับซิมเลิ่กลั่กก่อนตัดสินใจยัดแก้วที่ถือมาใส่มือฉัน “ฉันทำนมอุ่นๆ มาให้ฟางดื่มก่อนนอนน่ะ เอ่อ…ไปก่อนนะ ฝันดีจ้ะ”
ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับของเธอเสร็จก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับลงไปข้างล่าง แอบเห็นว่าหน้าเธอแดงๆ เหมือนกำลังเขินอยู่ด้วย ฉันมองตามไปแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้
“พิณไม่ชอบเธอแน่ๆ” ฉันพูดกับคนที่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะมองให้ดีอีกกี่ครั้ง นิดหน่อยก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะจัดการผู้ชายอย่างพิณได้
“ถ้าพูดต่อหน้า เธอจะเป็นคนใจร้ายมากเลยนะ” ซิมบอกด้วยน้ำเสียงติดตลก “ผู้หญิงคนนั้นดูไม่มีพิษภัยอะไร”
“เพราะงั้นเลยพูดลับหลังไง” ฉันพึมพำก่อนตวัดสายตาไปมองซิมนิดหนึ่ง “ว่าแต่นาย เมื่อไหร่จะกลับ”
“เนี่ย โคตรใจร้าย” คนตัวสูงกว่าทำหน้างอแง ก่อนแทรกตัวออกมาจากช่องประตูแล้วดันปิดให้เรียบร้อย ฉันเห็นแบบนั้นก็เลยเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม ไม่วายกระดกนมอุ่นในแก้วดื่มแก้เซ็งด้วย หมดแก้วแล้วถึงค่อยวาง
“คนเมื่อกี้ใครเหรอ” ซิมถามหลังจากเดินตามกลับมานั่งฝั่งตรงข้าม
“ลูกเจ้าของตึกที่เช่าอยู่นี่แหละ”
ฉันตอบและทำทีเป็นไม่สนใจเขาด้วยการพยายามจะลงมือทำงานต่อ ซิมพยายามกระแอมเรียกร้องความสนใจอยู่หลายครั้ง บางทีก็ร้องโอดโอยเพราะเจ็บหน้าผาก ได้ยินว่ามันเริ่มปูดโนแล้วด้วย ถามว่าเป็นห่วงไหมก็นิดหน่อยแหละ แต่เห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะแบบนั้นฉันจะไม่สนใจเขาหรอก
จนกระทั่ง...
“กลับดีกว่า เธอคงไม่อยากคุยกับฉันแล้ว” ซิมลุกพรวดขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไปแต่ก็ยัง ฉันเงยหน้ามองเขาพอเป็นพิธี คิดว่าเขาคงจะกลับแล้วจริงๆ ทว่า “ฉันจะกลับแล้วนะ”
เขาจะย้ำทำไม
“รู้แล้ว”
“เย็นชาจังวะ”
“ฮะ?” คราวนี้ถึงกับนิ่วหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ เขาจะกลับมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ หรือฉันควรต้องพูดอะไรมากกว่าแค่รับรู้เฉยๆ ล่ะ แต่ก็ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องพูดอะไรสักหน่อย
“เฮ้อ” คนที่ยืนเต็มความสูงอยู่ข้างโต๊ะถอนหายใจพรืดก่อนใช้สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตแล้วหมุนตัวเดินไปทางบันได ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวลงไปที่ขั้นแรกดีฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“กลับดีๆ นะ” ฉันบอกอีกฝ่าย เขาชะงักไปแต่ไม่ได้หันมา ทำเพียงชูมือขึ้นโบกให้ข้างหลังก็เท่านั้น
พอมองซิมจนสุดสายตาที่เขาเดินพ้นกรอบการมองเห็นไปแล้วก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ ผู้ชายอะไรประหลาดคนจริง ตอนนี้เราก็ไม่มีเรื่องอะไรติดค้างกันแล้ว คิดว่าคงไม่ต้องเจอกันอีก แต่ว่านะ พอเขาไปแล้วแบบนี้บรรยากาศโดยรอบก็เงียบขึ้นมาโดยปริยาย
โอเค จะได้มีสมาธิทำงานสักที
เช้าวันถัดมา
วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟเต็มวัน สุดท้ายเมื่อคืนก็ปั่นงานจนเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี คิดว่าจะไม่เสร็จแล้วแท้ๆ ขอบคุณหมอนั่นที่เจ็บตัวแล้วหนีกลับไปก่อน นึกว่าจะอยู่ยันสว่างเสียแล้วไหมล่ะ
อืม จะว่าไปแล้ว ฉันเป็นคนทำให้เขาเจ็บตัว เมื่อคืนนี้ควรแสดงความเป็นห่วงมากกว่านั้นหรือเปล่านะ เฮ้อ! ยังไงก็ช่างเถอะ คงไม่เจอกันละ...
‘ของใคร’
ความสงสัยแทรกขึ้นแทนที่เรื่องเมื่อคืนนี้ที่กำลังนึกอยู่ ฉันเอาถุงขยะใบเล็กจากในห้องมารวมใส่ถุงใหญ่ในถังด้านนอก ตั้งใจว่าจะถือติดมือลงไปทิ้งถังขยะของเขตด้านล่างระหว่างเดินไปทำงาน หากแต่ยังไม่ทันจะได้รวมขยะ สายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุบางอย่างตกอยู่ไม่ห่างกันนี้ เมื่อมองให้ดีแล้วจึงรู้ว่ามันคือกุญแจรถ
ไม่ใช่ของฉันแน่นอน
คนที่ขึ้นมาบนนี้ก็มีนิดหน่อย แต่ยัยนั่นก็ไม่ได้ขับรถ
หรือว่า...
การคาดเดาของฉันเป็นจริงขึ้นมาทันทีที่ก้มลงไปหยิบกุญแจรถขึ้นมา พวงกุญแจสลักชื่อที่ห้อยต่องแต่งอยู่ด้วยกันประจักษ์ชัดเจนแก่สายตา
‘Zim’
เราจะหนีกันไม่พ้นใช่ไหม...

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อันนี้ลืมหรือตั้งใจทิ้งไว้คะ ตอบ