ตอนที่ 5 : #ซิมฟาง 01 [4]
01
[4]
“ไอ้...ไอ้โรคจิต! นายสะกดรอยตามฉันมาเหรอ” ฉันเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นชี้หน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ให้ตายสิ ถึงคราวซวยอะไรของฉันอีกหรือไง ทั้งชีวิตนี้จะต้องเจอคนประเภทนี้ไปอีกเท่าไรกัน แค่เรื่องในอดีตที่ยังตามหลอกหลอนเป็นเงาถึงทุกวันนี้ยังไม่พออีกเหรอ
“อ๊ะๆ ฉันไม่ใช่โรคจิต” เขายกนิ้วชี้ขึ้นแกว่งไปมาเพื่อปฏิเสธ ก่อนผุดลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วล้วงสองมือเข้าไปในแจ็กเก็ตปักลายประณีตที่สวมอยู่ คนตัวสูงกว่าไม่ได้เดินเข้ามาหาฉัน เขาก็แค่ยืนพิงโต๊ะแล้วทิ้งสายตามาทางนี้ก็เท่านั้น “แค่เห็นว่าเราสองคนยังมีเรื่องติดค้างกันอยู่เฉยๆ น้องบุหรี่ :)”
รอยยิ้มยียวนแบบนั้นอีกแล้ว อยากจิ้มตาเขาชะมัด!
“เลิกเรียกฉันแบบนั้นสักที” ฉันขู่ฟ่อ
“อ่าๆ น้อง...ฟาง”
“ฉันไม่มีพี่” พูดก็พูดเถอะ เขาดูแก่กว่าฉันก็จริงแต่ก็ไม่น่าจะมากเท่าไร อีกอย่าง เราสองคนไม่ได้รู้จักมักจี่กันด้วย
“โอเค้! ไม่ถนัดเรียกน้องเหมือนกัน ถนัดเรียกที่รัก” พูดจากวนโอ๊ยจบก็ขยิบตาตามสไตล์ที่เขาชอบทำ
“...”
“พูดมาดีกว่า เราติดค้างอะไรกัน” ถามพร้อมมองเขาอย่างระแวดระวัง ไม่วายเหลือบมองกล่องพิซซ่าที่วางอยู่ข้างแล็ปท็อปของตัวเองด้วย ข้างๆ กันนั้นยังมีน้ำอัดลมขวดใหญ่ตั้งอยู่และของกินเล่นอีกนิดหน่อย ซิมมองอาการตื่นๆ ของฉันแล้วยิ้มขำๆ ฉันก็ต้องคอยสังเกตท่าทีว่าเขาจะมาไม้ไหนสิ! ถ้ารู้ก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็จะรีบตกลงไปกินข้าวกับพิณแล้วล่ะ งานยังไม่ทันได้ทำก็มาเจอเรื่องประสาทกลับก่อนเสียได้
“ก็เมื่อคืนไง แกล้งลืมไม่เนียนน้า” คนกวนประสาทลากเสียงพร้อมทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยด้วย บ้าฉิบ! อยู่ๆ อากาศดีๆ บนชั้นดาดฟ้าของฉันก็ร้อนๆ หนาวๆ วูบวาบขึ้นมา
“นั่นมันนายคนเดียวที่ติดค้างฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้นด้วย เพราะงั้นมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย หวังว่าคงไม่ต้องเจอกันอีก สวัสดี!” ฉันร่ายยาวแบบไม่เว้นวรรคหายใจหายคอ ทว่า คนฟังกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนสิ่งที่บอกเขาไปมันเป็นเรื่องน่าเอ็นดูในสายตาของเจ้าตัว
“ไม่เอาอะ อยากเจออีก”
อะ...ไอ้...!
“ถ้านายไม่ไป ฉันจะแจ้งตำรวจ” ฉันรีบก้มลงไปเก็บของที่เผลอปล่อยหลุดมือก่อนหน้านี้ขึ้นมากอดแนบอก ก่อนถลาเข้าไปตรงโต๊ะเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ตั้งแต่ทีแรก ซึ่งระหว่างนั้นก็จ้องผู้บุกรุกไม่วางตา เพราะกลัวว่าเขาจะพุ่งเข้ามาจู่โจมในตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว นาทีนี้ต้องมีสติทุกย่างก้าว
“เดี๋ยวๆ ฉันขอคุยด้วยดีๆ” เขาดึงมือออกจากแจ็กเก็ตแล้วชูขึ้นระดับศีรษะคล้ายบอกเป็นนัยว่า ‘ฉันมาดีนะ’ แถมยังพยักพเยิดหน้าไปทางของกินที่เอามาด้วย พร้อมคำเชิญชวนว่า “เห็นว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยซื้อมาให้กินด้วยกัน”
“ฮะ?”
“ก็เห็นว่าออกจากร้านกาแฟก็กลับมานี่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ยุ่งไรอะ” ฉันนิ่วหน้างง ไม่ว่าจะตีความไปทางไหน ก็ไม่เข้าใจการกระทำทั้งหมดของเขาจริงๆ
“เอางี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เรามากินพิซซ่าร่วมสาบานกันดีกว่า มั่นใจได้ว่าฉันไม่ใช่คนไม่ดี” อีกฝ่ายพยักหน้าชวนอีก ไม่วายนั่งลงที่เดิมก่อนใครเพื่อน แถมยัง... “มาๆ เชิญนั่ง”
เดี๋ยว! นี่มันบ้านฉันนะโว้ย
“นายจะไม่ยอมไปดีๆ ใช่ไหม”
“ไม่เอาน่า มากินสักหน่อยให้ใจเย็นๆ ก่อน ฉันไม่วางยาแน่นอน ไม่ต้องกังวล ให้เธอเลือกก็ได้อะว่าจะให้ฉันกินชิ้นไหนให้ดูก่อน” พูดไปก็แกะกล่องพิซซ่าไปพลาง กลิ่นหอมเครื่องเทศลอยมาเตะจมูกจนฉันที่ยังไม่ได้กินอะไรอย่างที่เขาว่าเริ่มจะหิวตงิดๆ ขึ้นมาแล้วสิ
“เฮ้ย นายนี่มัน...” ฉันมองคนตรงหน้าอย่างทึ่งๆ หมดคำจะพูดจริงๆ ครั้นจะโทรเรียกตำรวจอย่างที่ปากขู่เอาไว้ก็ทำไม่ลง จะว่ายังไงดีล่ะ เขาให้ความรู้สึกเหมือนยัยนิดหน่อยอยู่นิดๆ ดูไม่ได้เป็นอันตราย แต่ก็...น่าหงุดหงิดแบบไม่มาก
จู่ๆ ซิมก็ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “มีกระติกใส่น้ำแข็งไหมอะ เดี๋ยวมันละลายหมด”
“...”
“น่าจะมีเนอะ เข้าไปเอากระติกแล้วหยิบแก้วมาด้วยนะ” เขาชี้นิ้วไปทางห้องฉันที่ประตูยังเปิดค้างอยู่ “อ้อ เกือบลืมจุดประสงค์หลัก”
ซิมนึกอะไรขึ้นมาได้อีกก็ไม่รู้ ทว่า เขาเฉลยด้วยการกระทำในวินาทีต่อมา เจ้าตัวดึงซองบุหรี่อันใหม่ยังไม่ได้แกะสูบมาวางไว้ตรงที่ว่างบนโต๊ะให้เห็นได้ถนัดตา เหลือบมองบุหรี่ยี่ห้อแพงนั่นแล้วคิ้วกระตุกไปนิดหนึ่ง เอามาคืนจริงๆ เหรอเนี่ย แถมยังเอาของดีกว่ามาให้ด้วย เชื่อเขาเลย
ยืนนิ่งมองบุหรี่สลับกับผู้ชายประหลาดอย่างซิมอยู่สักพักจนเกือบลืมว่าควรจะทำอะไร กระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงกระแอมขึ้นเรียกสติ
“บอกให้ไปเอากระติกมา ถ้าน้ำแข็งละลายหมดเธอไปซื้อเลยนะ ขี้เกียจเดินแล้ว”
อะไรก็แล้วแต่มาดลใจให้ฉันบ้าจี้เดินกลับเข้ามาในห้องอย่างงงๆ หยิบของที่ผู้ชายคนนั้นต้องการ ก่อนกลับออกมาวางทั้งหมดนั่นไว้บนโต๊ะให้เขาจัดการต่อ
“ทำดีมาก” เขายิ้มรับแล้วยัดถุงน้ำแข็งใส่ลงไปในกระติก ตามด้วยฉีกถุงออกนิดหน่อยให้พอหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ฉันยังคงมองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายหยิบน้ำแข็งใส่แก้วครบทั้งสองใบ พร้อมทั้งเทน้ำอัดลมให้เรียบร้อยนั่นแหละ ถึงเพิ่งคิดได้ว่าควรพูดหรือทำอะไรสักอย่าง
แต่ว่านะ...หิวจัง
พิซซ่าที่เขาเอามาโคตรทำร้ายฉันเลย
“มองอย่างเดียวไม่อิ่มหรอก มานั่งกินดิ” ซิมกวักมือเรียกให้นั่งลงด้วยกัน แล้วฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องของกินนานเกินจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอ่านเกมออก
“กินได้จริงเหรอ” ถามอย่างไม่แน่ใจ และเริ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องญาติดีกับผู้ชายคนนี้ด้วย
“ได้ดิ หรือต้องป้อนไหม”
“ไม่ต้อง!” ฉันรีบส่ายหน้าปฏิเสธจนอีกคนหลุดเสียงหัวเราะ และสุดท้ายก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาจนได้ จัดแจงดันอุปกรณ์ทำการบ้านของตัวเองไปสุมๆ อีกทางให้พ้นฝั่งของกิน แต่ว่านะ ฉันก็ยังไม่กล้ากินหรอกแม้จะหิวแค่ไหนก็ตาม “นายตามฉันมาเพื่อทำทั้งหมดนี่เหรอ”
หรือเขาจะมีอาการทางประสาทจริงๆ นะ
“จะเอาของมาคืนไง”
“แล้ว...” พูดได้แค่นั้นก็เงียบไป ใช้สายตามองบรรดาของอย่างอื่นที่ซิมซื้อมานอกเหนือจากบุหรี่แทนคำถาม
“เดินผ่านแล้วเห็นมันน่ากินเลยแวะซื้อมา”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้ารับก่อนเหลือบมองพิซซ่าอีกครั้ง เจ้าของพยักพเยิดหน้าให้เป็นเชิงว่า ‘กินสิ’ ฉันเลยเอื้อมมือไปดึงมาชิ้นหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะเอาเข้าปากก็มีอันต้องชะงักเพราะคำพูดต่อมาของอีกคน
“ทีแรกเลยก็จะกินที่ร้าน แต่สั่ง ‘น่ารัก’ แล้วเขาไม่มี เลยเอาหน้าซีฟู้ดแล้วมาหาน่ารักเอาที่นี่ เธอจะได้กินด้วยกันด้วย เห็นข้างบนนี้ว่างๆ ฉันเองก็ว่าง ขอนั่งกินหน่อยแล้วกัน”
ปึก!
เล่นเอาของกินในมือฉันหล่นคว่ำหน้าลงไปบนส่วนของฝากล่องเลยทีเดียว...
“หิวจนมือสั่นเลยเหรอ”


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตีมึนตลอด เอาใจไปเลยค้าบ
อิพี่....ไม่เว้นให้หายใจเลยนะคะ หยอดเก่งงงงงง
เกลี๊ยดดดดด สรุปฟางเป็นคนหรือถาดขนมครกกันแน่คะ ทำไมซิมหยอดเก่งแบบนี้