ตอนที่ 15 : #ซิมฟาง 05 [2]
05
"You don't know about me."
[2]
“อย่าลืมกินข้าวนะฟาง”
“ค่ะ”
ฉันยิ้มรับเรียบๆ พร้อมผงกหัวลงเล็กๆ ให้ ‘คุณปอ’ หรือพี่ปอของพนักงาน เขาเป็นเจ้าของร้าน Bullet Café หนุ่มโสดวัยสามสิบต้นๆ ที่ทั้งน่ารักและใจดีกับพนักงาน ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นพี่น้องในครอบครัว และนั่นทำให้ทุกคนรักและเคารพพี่แกมาก
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานของฉันแล้ว ดังนั้นฉันจึงเข้ามาเตรียมตัวกลับบ้านอยู่ที่ห้องด้านใน เลยมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่ปอนิดหน่อย เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นหลังเดินแยกกับพี่เซิร์ชสักนิด ตอนนั้นกว่าฉันจะดึงสติของตัวเองได้ก็เล่นเอายืนมึนอยู่สักพักเลยล่ะ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับฉันเท่าไรนัก เพราะร่างกายฉันมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ฉันรู้ดีว่าสักพักมันจะดีขึ้น หรือถ้าไม่ดีขึ้น นั่นแปลว่ามันคงถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปจากโลกนี้สักที
ฉันเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ มันเหมือนกับว่าในหัวมีเรื่องให้คิดมากมาย ทว่า พอลองตั้งใจจะโฟกัสอะไรสักอย่างในนั้นกลับยากเย็น
แต่ก็เอาเถอะ
นี่น่ะ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดที่ฉันเคยเผชิญมาหรอก
ให้ตายสิ อยู่ๆ วันนี้ก็เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกแล้ว...
“เฮ้อ”
ฉันเดินกลับบ้านไปพลางถอนหายใจมาตลอดทาง โชคดีหน่อยที่พอได้ทำงานแล้วมันก็ช่วยฮีลได้เยอะเลยล่ะ ว่าแต่มื้อเย็นรวมกับมื้อค่ำของวันนี้จะกินอะไรดีล่ะ คิดแล้วเท้าก็พลันเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นทางผ่านกลับบ้าน โชคดีที่ย่านนี้เป็นเขตที่พักอาศัย ตลอดทั้งซอยเลยเต็มไปด้วยร้านรวง และมันก็เป็นที่ประจำที่ฉันมาฝากท้องไว้สม่ำเสมอ เรียกว่าบ่อยกว่าแถวมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ฉันไม่ค่อยชอบย่านแถวมหาวิทยาลัยสักเท่าไร แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยนักศึกษา และเป็นเรื่องง่ายที่จะเจอคนรู้จัก ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจออะไรขนาดนั้นหรอกนะ ฉันแค่ชอบที่จะอยู่ในที่ที่สบายใจมากกว่าก็เท่านั้น
“ข้าวหมูแดงที่หนึ่งจ้ะเฮีย” ฉันตัดสินใจแวะเข้าร้านข้าวหมูแดงหมูกรอบเจ้าประจำ พอสั่งสิ่งที่ต้องการเรียบร้อยจึงเดินเข้ามาหาโต๊ะว่างในร้าน ระหว่างนั่งรอก็กวาดสายตามองบรรยากาศคึกคักยามค่ำคืนของซอยไปด้วย หลายคนยิ้มได้อย่างสบายใจจนฉันนึกสงสัยว่าเขาจะมีเรื่องเครียดมากๆ หรือเปล่านะ
‘Pizza Go Go’
สายตาของฉันไปปะทะเข้ากับร้านพิซซ่าที่ตั้งอยู่บล็อกฝั่งตรงข้าม พลันภาพใบหน้าของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในหัว วันนั้นเขามาหาฉันพร้อมกล่องพิซซ่าจากร้านนี้นั่นแหละ พอนึกได้แบบนั้นก็อดสอดส่องสายตามองเข้าไปภายในร้านไม่ได้ ทั้งที่ก็ไม่ได้อยากเจอเขาสักเท่าไร และต่อให้เจอก็คงไม่เข้าไปหาเขาอยู่ดี
แต่ก็นะ ดีแล้วล่ะนะที่ไม่เจอ...
ฉันละความสนใจจากร้านพิซซ่ามายังข้าวตรงหน้าที่มาเสิร์ฟพอดี นี่ฉันชักจะกังวลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นมากไปแล้วนะเนี่ย
หลังจากกินข้าวเรียบร้อยฉันก็แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของใช้จำเป็นนิดหน่อยติดมือกลับไปด้วย พอเดินออกมาพ้นซอยที่คนพลุกพล่านแล้วก็เอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแก้เซ็ง วันนี้ฉันคงคิดอะไรมากไปหน่อยเลยรู้สึกเพลียมากเป็นพิเศษ ฉันเดินด้วยจังหวะเนิบช้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่พัก พอก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายมาถึงบนดาดฟ้าก็อดแหงนหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้ มันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันของฉันไปแล้ว นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าวันหนึ่งเกิดมีเหตุจำเป็นอะไรให้ฉันต้องย้ายออกไปจากที่นี่ ชีวิตฉันจะเหงาขนาดไหนถ้าไม่ได้ออกมานั่งพูดคุยกับดวงดาวที่มองแทบไม่ค่อยเห็นข้างบนนั้น
ฉันจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงออกมาหน้าห้องอย่างที่ชอบทำ ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ทั้งที่พรุ่งนี้ก็มีเรียนเช้าและฉันก็รู้สึกเหนื่อยมากกว่าทุกวัน หากแต่กลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลย
หมับ...
ฉันใช้สองมือจับขอบกำแพงดาดฟ้าไว้ให้มั่น เตรียมตัวจะกระโดดขึ้นไป
ทว่า...
“เฮ้ย!!!”
ฟึ่บ!
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องของใครบางคนดังขึ้นก่อนตามมาด้วยแรงกระชากจากด้านหลังดึงฉันกลับลงไปในเสี้ยวนาทีไล่เลี่ยกัน
“เป็นอะไรวะ! ทำไมคิดสั้นแบบนี้” เขาถามอย่างฉุนๆ และประโยคใหม่นี้เองที่ทำให้ฉันระลึกได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร
ซิมกำลังล็อกตัวฉันเอาไว้จากด้านหลัง กลิ่นน้ำหอมที่ฉันเริ่มรู้สึกคุ้นลอยคลุ้งมาเตะจมูก แรงมหาศาลของเขาทำเอาฉันขยับตัวไปไหนไม่ได้ เหมือนเขากอดฉันจากทางด้านหลังอยู่กลายๆ เลยล่ะ ฉันช็อกจนร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ ลืมแม้กระทั่งวิธีที่จะพูดตอบโต้กับคนมาใหม่
“เห็นชีวิตเป็นของเล่นเหรอ ถ้าเธอไม่อยู่แล้วพ่อแม่เธอจะอยู่ยังไง” คนด้านหลังถามอีกเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่เงียบ ในขณะที่เขาเองก็ยังไม่ปล่อยมือ มิหนำซ้ำยังดึงฉันให้ออกห่างจากกำแพงมากขึ้นอีกสองสามก้าว
คราวนี้ฉันได้สติแล้ว ไม่ใช่เพราะการที่เขาขยับตัว แต่เพราะคำว่า ‘พ่อแม่’ ที่เขาพูดเมื่อกี้ต่างหาก
ฉันแกะมือเขาออกให้พ้นตัวทันที มันไม่ใช่การแกะธรรมดาทั่วไป แต่คล้ายว่ากระชากออกเหมือนรังเกียจด้วยซ้ำ ไม่... ฉันไม่ได้รังเกียจที่เขามาช่วยฉันเอาไว้เพราะความเข้าใจผิดโง่ๆ นั่น แต่ฉันรังเกียจคำสองคำนั้น
“พ่อแม่เหรอ...” ฉันหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวสูงกว่าที่มองมาด้วยสายตาหวาดระแวง เขาดูไม่ได้ตกใจที่ฉันทำรุนแรงกับเขาเมื่อกี้ นัยน์ตาคู่นั้นค่อนข้างอ่านยาก แต่คิดว่าเขากลัวฉันจะคิดสั้นหรือทำอะไรบ้าๆ ทำนองนั้นที่เขาเข้าใจ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก เม้มริมฝีปากนิดหน่อยอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ซิมไม่ผิด และฉันก็ไม่ควรโมโหใส่เขา “ฉันไม่มีหรอก”
คนพวกนั้นตายไปแล้ว
ส่วนคนที่ให้กำเนิดฉันจริงๆ น่ะ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร
ขอบตาของฉันร้อนผ่าว แล้วน้ำใสๆ พลันไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองอย่างช่วยไม่ได้ มันทั้งรู้สึกแย่กับเรื่องเก่าๆ ที่ยังคิดไม่ตก และดีใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ที่เห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าเขาคงจะเบื่อแล้วก็หายไปโดยไม่กลับมาอีก เราสองคนแทบจะไม่เรียกว่ารู้จักกันด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าการมีเขาอยู่ใกล้ๆ มันจะเป็นอันตรายอะไรนัก แม้ลึกๆ จะหวั่นใจแปลกๆ อยู่บ้างก็ตามเพราะเราไม่รู้จักกันนี่แหละ และถึงแม้จะเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไปจากการอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างพิณก็ตาม ทว่า หากให้เทียบกับการเจอคนรู้จักที่ไม่ได้สนิทนัก ฉันว่ามีซิมอยู่ด้วยกันน่าจะดีกว่า
ความรู้สึกบ้าที่ผสมปนเปกันนี่มัน...

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฟางไม่ได้ป่วยเป็นซึมเศร้านะ มาๆ กอดๆ
คำผิด_เรียกว่าบ่อย(ก)ว่าแถวมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ
แก้ไขเรียบร้อย <3
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เจิมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม