ตอนที่ 14 : #ซิมฟาง 05 [1]
05
"I NEED YOUR LOVE BEFORE I FALL..."
[1]
ฉันยืนเอียงหน้ามองซิมอยู่สักพักหนึ่งเลยล่ะ เขาไม่ได้หันมาสนใจฉันอีก หากแต่ขยับออกไปอ่านป้ายประกาศต่างๆ ที่อยู่บนบอร์ดติดผนัง ความสนใจของฉันถูกรบกวนอีกครั้งเมื่อสัญญาณแจ้งเตือนว่ารถไฟฯ กำลังเข้าสู่ชานชาลาดังขึ้น ซิมเหลือบสายตามองมาที่ฉันนิดหน่อยก่อนที่ฉันจะหันหน้ากลับมาและเตรียมตัวขึ้นรถไฟฯ กระทั่งขบวนรถจอดเทียบชานชาลาและประตูเปิดออกถึงได้เดินเข้ามา
รู้สึกแปลกๆ แฮะ...
นั่นเป็นความรู้สึกแรกทันทีที่ฉันขยับเดินเข้ามาด้านใน ครั้นพอหันไปมองที่ประตูถึงได้รู้ว่าซิมไม่ได้เข้ามาด้วยกัน และยิ่งไปกว่านั้นคือเขาหายไปไหนแล้วไม่รู้
แน่นอนว่าฉันไม่คิดบ้าๆ ขนาดจะเดินออกไปตามหาให้เขามาด้วยกันหรอก ที่จริงมันก็เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เขาไม่ได้ตามมาแล้ว หากแต่ก็ยอมรับว่าอดสงสัยและแปลกใจไม่ได้อยู่ดี ฉันแอบสอดส่ายสายตามองผ่านผนังกระจกออกไปยังบอร์ดที่เห็นว่าเขายืนอ่านป้ายอยู่เมื่อครู่
แต่ไม่พบ
หายไปไหนของเขานะ
หลังจากรถไฟฯ ออกแล้วฉันก็ยังไม่วายกวาดสายตามองไปรอบๆ ตู้ขบวนที่ฉันขึ้นมา ไม่ได้คิดว่าจะเจอผู้ชายคนนั้นหรอกนะ ก็แค่อยากรู้ว่านี่เขาไปแล้วจริงๆ หรือว่าฉันมองไม่ทั่วเองกันแน่ คิดว่าถ้าเขาตามมาด้วยกันเราน่าจะต้องบังเอิญสบตากันบ้าง เพราะเขาเองก็น่าจะมองฉันอยู่ แต่เหตุการณ์แบบนั้นกลับไม่เกิดขึ้น
สงสัยจะไปแล้วจริงๆ แหละมั้ง
บางทีเขาอาจจะเห็นว่าชีวิตฉันมันน่าเบื่อเกินไปก็ได้ วันหนึ่งก็แค่มาเรียน กลับไปทำพาร์ตไทม์ กลับห้อง แล้วก็วนอย่างนั้นไปเรื่อย ฉันเองก็ยังคิดว่าชีวิตนี้มันช่างน่าเบื่อเสียจริงๆ ไม่รู้เลยว่าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใครหรือรออะไร ฉันไม่มีความฝันเป็นของตัวเอง ไม่สิ ฉันไม่กล้าฝันมากกว่า บทเรียนหลายอย่างในอดีตทำให้ฉันเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ความฝัน เพราะถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องคาดหวังแล้วละก็ ฉันไม่อยากผิดหวังกับอะไรทั้งนั้น
บนโลกที่กว้างใหญ่นี้...แท้จริงแล้วฉันเป็นใครกันนะ
ฉันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลาระหว่างเดินทาง พลันน้ำตาหยดหนึ่งกลับหยดลงบนหน้าจอดังแหมะ... ให้ตายสิ แค่อยู่ๆ คนที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในชีวิตฉันทำไมหายไปแบบดื้อๆ ฉันกลับต้องมาคิดมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เฮ้อ” คราวนี้ฉันพ่นลมหายใจแรงกว่าเดิมนิดหน่อย ใช้หลังมือปาดน้ำตาแบบลวกๆ บ้าเอ๊ย ฉันไม่ควรปล่อยให้ใครเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของตัวเองอีก ไม่ว่าใครก็ตาม
หลังออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่เป็นจุดหมายแล้ว ฉันก็เดินมาเรื่อยๆ อย่างเลื่อนลอย ความรู้สึกเหมือนเท้ากำลังก้าวอยู่แต่สมองกลับคิดอะไรไม่รู้จนมึนไปหมด แม้แต่ตัวเองก็ยังจับใจความสิ่งที่คิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนไอ้ที่เดินถูกทางก็เหมือนเป็นความเคยชินของร่างกายเท่านั้น หลังจากนี้ฉันต้องทำอะไรอีกนะ
อืม... ร้านกาแฟ
หมับ!
“น้องฟาง!”
เฮือก...
“คะ?” ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนทิ้งน้ำหนักลงบนบ่า เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเลยไม่ทันสังเกตว่าเขาเข้ามาประชิดตัว พอได้สติหันไปมองหน้าคนมาใหม่เท่านั้นแหละ สมองฉันก็ค้นข้อมูลเกี่ยวกับเขาขึ้นมาได้ทันควัน “อ้าว พี่...”
ที่แท้คนที่เข้ามาทักฉันกลับไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย ‘พี่เซิร์ช’ เจ้าของกรอบหน้าได้รูปรับกับแว่นที่สวมอยู่ ร่างสูงโปร่งและผมสีบลอนด์เป็นเอกลักษณ์คุ้นตาที่ฉันและพนักงานคนอื่นๆ ในร้านรู้จักกันดี และใช่ เขาคือลูกค้าประจำของ Bullet Café ที่ฉันทำงานอยู่
“มาเข้างานเหรอ” เขาถาม
“อ๋อ ค่ะ”
“เมื่อกี้ขอโทษที่ทำให้ตกใจ เป็นไรเปล่าเห็นเหม่อๆ พี่โบกมือให้ตั้งแต่ตรงโน้น ฟางมองแต่ฟางไม่เห็น” เขาพูดขำๆ พลางชี้ไปทางหน้าร้านที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร จากสถานการณ์แล้วเหมือนเขาจะเดินออกมาจากร้านแล้วกำลังจะสวนทางกับฉันที่มุ่งหน้าไปทางนั้นพอดี
“พอดีเผลอคิดอะไรนิดหน่อยค่ะ ว่าแต่ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ปกติแล้วเขามักจะมานั่งทำงานอยู่ที่ร้านเกือบทั้งวันเลย จึงไม่แปลกที่ฉันหรือคนอื่นๆ ในร้านจะคุ้นเคยกับอีกฝ่าย อืม ถ้าจำไม่ผิด เหมือนเขาจะเป็นโปรแกรมเมอร์นะ เขาไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวเขามากไปกว่านั้น รู้แค่ว่า แม้เราจะไม่สนิทกัน แต่เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ได้คุย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“มีเรื่องต้องไปทำต่อน่ะ ไปก่อนนะ”
...แปลกที่คำล่ำลาของเขาทำให้ฉันรู้สึกเบาโหวงขึ้นมา
พี่เซิร์ชโบกมือให้ทิ้งท้าย ฉันพยักหน้ารับแล้วเอี้ยวตัวมองตามคนตัวสูงกว่าไปนิดหนึ่ง ก่อนหันกลับมาถอนหายใจให้กับตัวเอง สติของฉันเริ่มจะไปอีกแล้วล่ะมั้งเนี่ย ให้ตายสิ
เอาล่ะ กลับมาโฟกัสเรื่องตรงหน้าที่ต้องทำได้แล้วฟาง!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คำว่า ล่ำลา กับ ร่ำลา เหมือนกันไหมคะ?