ตอนที่ 1 : #ซิมฟาง Prologue
Prologue
ตึกๆ ๆ ๆ ๆ!!!
ฟึบ!
“เฮ้ย! ทางนั้น”
“มึงแยกไปดักไว้อีกทาง เร็ว!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายพร้อมเสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักด้านนอกดังขึ้นเป็นระยะๆ หากแต่คนกลุ่มนั้นไม่รู้เลยว่าคนที่พวกเขาตามหากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสบายใจเฉิบอยู่หลังร้านข้าวมันไก่ที่พวกเขาเพิ่งวิ่งผ่านไป พร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดีด้วย จังหวะหลบขั้นเทพแบบนี้ไว้ใจผม...
ต้องขอบคุณร้านข้าวเจ้าประจำที่ผมกับเพื่อนชอบแวะมากินตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนี่จริงๆ สกิลการตีสนิทของผมทำให้เจ้าของร้านทั้งรักทั้งหลงอย่างกับเป็นน้องชายแท้ๆ แน่ะ
“ขอบคุณครับเจ๊” ผมบอกเจ้าของร้านนามว่า ‘หวาน’ เมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาทางหน้าร้าน ป่านนี้แก๊งผู้ชายหน้าโหดที่ไล่ล่าอยู่เมื่อกี้คงหลงไปทางอื่นแล้วเพราะ ‘ตัวล่อ’ ที่ผมไปดีลมาได้โดยบังเอิญ
ไอ้แก๊งกะโหลกๆ ในสายตาผมนั่น ให้ฝึกปรืออีกสิบปีก็คงยัง ‘จับตัว’ ผมไม่ได้หรอก ไม่เจียมกันเลย
“แล้วนี่ยังไง โดนแก๊งเดิมไล่มาเหรอเรา” เจ๊หวานถามพลางเดินถือแก้วใส่น้ำเย็นๆ มายื่นให้ ผมรับมาพร้อมก้มหัวส่งให้เธอเป็นเชิงขอบคุณ
“แก๊งเดิม แก๊งเดียว” ผมตอบขำๆ ก่อนกระดกน้ำดื่ม
“เจ๊ถามจริงๆ นะ สรุปว่าเราไปมีเรื่องอะไรกับไอ้พวกนั้น”
พรวด!
“แคกๆ ๆ” ผมแทบสำลักน้ำเพราะกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหวหลังจากได้ยินคำถามนั้น แถมคนพูดยังทำหน้าซีเรียสอีกด้วย ธรรมดาแหละ เจ๊แกเป็นห่วงผมจะตาย แต่นี่เป็นความลับหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกเธอเลย
“ค่อยๆ กินสิ”
“หล่อๆ อย่างผมเนี่ยนะจะไปมีเรื่องกับใคร”
“อย่างนี้แหละตัวดี เจ๊เห็นมานักต่อนักละ” เจ๊หวานทำหน้าจริงจังมากกว่าเดิม เล่นเอาผมขำพรืด เอื้อมมือไปวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนหันมาตอบคู่สนทนา
“เรื่องมันยาวน่ะเจ๊ ผมกับแก๊งนี้...จบกันยาก” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ที่จริงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเครียดเท่าไรหรอก ผมก็แค่รู้สึกรำคาญใจแล้วก็หงุดหงิดบ้างเป็นบางครั้งที่โดนตามจิกไม่เลิกแบบนี้ แต่ก็สนุกดี ถ้าขาดคนพวกนั้นไป สีสันชีวิตผมคงหายไปเยอะเหมือนกัน ผมชินแล้วล่ะที่เป็นแบบนี้
“อะ แล้วคืนนี้จะไปไหน”
“ความลับ!” ผมบอกก่อนขยิบตาให้เจ๊ไปทีหนึ่ง ที่จริงพอพูดแบบนั้นไปไม่ใช่เพราะอยากปิดบังหรืออะไรหรอกนะ ความจริงคำตอบนี้เหมือนเป็นที่รู้กันระหว่างผมกับเธออยู่แล้ว...
“ไอ้ซิม!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังแหวกอากาศมาทันทีที่ผมลงจากรถแท็กซี่ตรงหน้าทางเข้าคลับชื่อดังในย่านรวมสถานที่เที่ยวกลางคืน ผมหันไปพยักพเยิดหน้าให้เพื่อนสนิท ก่อนเตรียมจะปิดประตูรถเขาพี่เขาได้ไปต่อ
“เดี๋ยวน้อง! เงินทอน” พี่คนขับแท็กซี่เรียกผมเอาไว้เพื่อให้รับส่วนต่างที่จ่ายไป ที่จริงค่ารถมันร้อยกว่าบาทเท่านั้น แต่เพราะธนบัตรเล็กสุดในกระเป๋าตอนนี้เป็นแบบห้าร้อยเลยจำต้องให้ไป แต่ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนักหรอก แค่นี้เรื่องเล็ก
“ไม่ต้องทอนครับ” ผมบอกแล้วปิดประตูรถให้พี่แท็กซี่ ก่อนเดินเข้ามาสมทบกับเพื่อนสนิทที่ยืนรออยู่
‘ไอ้เติ้ล’ นี่แหละเพื่อนสนิทผม รู้จักมันไว้สิ เพื่อนผมหล่อใสสไตล์เกาหลีที่คุณคู่ควรเลยล่ะ ผิวแม่งขาวจัดจนผู้หญิงยังอาย ผมยืนกับมันก็ไม่ถึงกับเป็นทางม้าลายหรอก อย่างผมเขาเรียกว่าผิวสองสีดูสุขภาพดีแบบคนออกกำลังกายน่ะ รู้ยัง
“แน่ะ ไม่ขับรถมา ดูมีลับลมคมใน” ไอ้เติ้ลทำหน้ารู้ทัน ที่จริงก็แซวมาตั้งแต่ตอนที่ผมไลน์ไปบอกว่าให้ออกมารอข้างหน้าเพราะจะนั่งแท็กซี่มาแล้วแหละ
“มึงขับมาหรือเปล่าล่ะ” ผมพยักพเยิดหน้าถามกลับพร้อมทำสายตากวนตีนส่งไปให้ ปกติแล้วผมจะขับรถมาเพราะเที่ยวทีไรก็ไม่ค่อยเน้นดื่มหรอก เน้นซึมซับบรรยากาศแล้วหาสาวสักคนกลับไปนอนกอดมากกว่าน่ะ
“ของกูไม่นับสิ รถกูเสีย” มันพูดติดตลก
“พูดเหมือนมีคันเดียว”
“เออน่า แล้วยังไง มึงจะเมาเหรอวันนี้”
“เปล่า กูแค่ขี้เกียจขับรถ” ผมบอกสาเหตุที่แท้จริงออกไป ใช่ วันนี้ผมก็แค่รู้สึกขี้เกียจเฉยๆ ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น ก็นะ ผมไม่ใช่คนชอบคิดอะไรซับซ้อนเท่าไร มันน่าปวดหัว (ยกเว้นตอนคิดแผนหนีแก๊งที่พยายามจับตัวผมนั่นน่ะ)
เราสองคนเดินคุยอะไรกันมาเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงหน้าคลับ ไอ้เติ้ลแสดงบัตรประชาชนเตรียมจะเข้าไปด้านในแล้ว แต่ผมดันนึกอะไรขึ้นมาได้เสียก่อน
“มึง! เดี๋ยวกูตามเข้าไปนะ” ผมตะโกนบอกคนที่มาด้วยกันซึ่งกำลังผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจเข้าไปแล้ว ตั้งใจว่าจะแยกตัวไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อไฟแช็กก่อน สงสัยจะหล่นหายไปตอนวิ่งหนีไอ้พวกนั้น
“อ้าว ไปไหนวะ”
“ซื้อของ” ผมบอกแค่นั้นหันหลังเดินออกมา แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่ายืมไอ้เติ้ลก่อนก็ได้ เออ แต่ช่างแม่งแล้วกัน ยังไงผมก็ต้องซื้อของตัวเองใหม่อยู่ดี จะไปยืมมันตลอดได้ยังไง
หลังจากได้ของที่ต้องการแล้วผมก็เดินแยกมาอีกด้าน ว่าจะสูบบุหรี่ก่อนสักมวนค่อยตามเพื่อนเข้าไปในคลับ เท้าของผมเดินอ้อยอิ่งมาเรื่อยๆ ตรงที่แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย มือกำลังจะล้วงบุหรี่ออกมา หากแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นหัวขาวๆ ของใครบางคนเข้า
หรือไม่ขาววะ
โอเค จุดเรียกความสนใจใหม่ทำให้ผมเก็บซองบุหรี่เข้ากระเป๋าก่อนค่อยๆ ขยับเดินเข้าไปใกล้ ‘ผู้หญิงผมสั้นสีบลอนด์สว่าง’ กับกระป๋องเบียร์ของเธอ มองจากด้านข้างก็รู้เลยว่า...
สวยว่ะ
การแต่งตัวแต่งหน้าก็ถือว่าจัดจ้านในย่านนี้ ถ้าได้กอดสักทีคงอุ่น... เฮ้ย! คิดบ้าอะไรของผมวะ ให้ตายเหอะ ห้ามตัวเองไม่ให้มองต่ำลงไปที่หน้าอกของเธอไม่ได้เลย หยาบคายกว่านิสัยก็คงเป็นสายตาเจ้ากรรมที่แหละ
ผมหยุดยืนแอบมองเธออยู่ห่างๆ เจ้าตัวยกเบียร์ขึ้นซดไปหลายอึก อารมณ์เปลี่ยวฉิบหายเลยว่ะ คลับอยู่แค่ใกล้ๆ ดันแยกมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ ผมก็โดนตกให้มายืนเป็นไอ้ถ้ำมองแบบนี้ได้ยังไง แต่คนอะไร ยิ่งมองยิ่งเพลิน จังหวะยกมือขึ้นเสยผมหน้าม้าแบบเซ็งๆ โลกนั่นโคตรดีเลยให้ตาย
เฮ้ยเดี๋ยว
ผมชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเจ้าตัววางกระป๋องเบียร์ลง ก่อนเปลี่ยนเป็นหยิบบุหรี่ในกระเป๋าออกมาเตรียมจะจุดสูบ แต่แล้วสมองอันปราดเปรื่องของผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หาอะไรสนุกๆ ทำสักหน่อยดีกว่า...
FANG’S POV
น่าเบื่อ...
ในหัวฉันมีแต่คำนี้วนเวียนอยู่เป็นล้านคำ คำเดิมซ้ำๆ ที่คิดแล้วมันก็เบื่อจริงๆ นานเท่าไรแล้วนะที่ต้องอยู่กับความรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้ บางครั้งก็มีความสุขดี แต่บางครั้งก็ไม่รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่เท่าไร กับคนที่เจอแต่เรื่องลวงโลกอย่างฉัน ควรจะใช้ชีวิตแต่ละวันยังไงดีให้ลืมเรื่องแย่ๆ ในอดีตทั้งหมด
‘ฟาง’ คือชื่อที่ทุกคนเรียกฉัน ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละนะ ใครถามว่าชื่ออะไร ฉันก็บอกไปแบบนั้นนี่ แต่เชื่อไหม ขนาดชื่อนี้ยังเป็นเรื่องหลอกลวงที่ฉันเจอเลย ที่จริงแล้วจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่ออะไรกันแน่ มันนานมากที่ฉันถูกโปรแกรมฝังหัวมาว่าตัวเองชื่อ ฟาง นานจนฉันเองก็...ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หลายครั้งที่เหมือนจะจำได้ แต่มันก็เลือนรางจนเหมือนความฝัน
ฉันเติบโตมาในชุมชนแออัดกับครอบครัวจอมปลอมที่น่ารังเกียจ คนพวกนั้นบอกว่านับฉันเป็นลูกแท้ๆ แต่สิ่งที่พวกเขาทำกลับไม่ใช่ ฉันมันก็แค่เด็กไม่มีทางสู้คนหนึ่งที่ต้องก้มหน้ารับกรรมของตัวเอง จนกระทั่งวันที่รู้ว่าพ่อแม่ใจร้ายพวกนั้นจากโลกนี้ไปแล้วเพราะเรื่องเลวๆ ที่เขาทำ วันนั้นเองที่ฉันโคตรดีใจและรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระ
ทว่า การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันนั้นมันไม่ง่ายเลย
โชคดีที่ฉันยังไม่ได้ถอดใจจากชีวิตน่าสมเพชนี้ไป ก็แค่ ‘เกือบ’ ในหลายๆ ครั้งที่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ความอิสระที่ฉันได้มามันโอเคก็จริง แต่... ฉันก็ยังติดอยู่กับอดีตอันเลวร้ายและความคลุมเครือเกี่ยวกับตัวเองอยู่ดี คิดว่าคงต้องติดแหง็กอยู่กับมันไปตลอดชีวิตเฮงซวยนี่ล่ะมั้ง
เฮ้อ! ไหนๆ วันนี้ก็เงินเดือนที่ทำพาร์ตไทม์ออกแล้ว ฉลองให้กับเรื่องบ้าบอที่เจอมาตลอดหน่อยเป็นไง
เป็นเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วที่ฉันหลบมานั่งคิดอะไรคนเดียวตรงนี้ มุมหนึ่งไม่ไกลคลับชื่อดังที่ตั้งใจมาเที่ยวเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เบียร์กระป๋องหนึ่งที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อตอนเข้าไปซื้อบุหรี่หมดพอดี น่าจะได้เวลาเข้าไปปลดปล่อยอย่างที่ต้องการแล้วมั้ง
แต่ก่อนไป ขอสักหน่อยแล้วกัน...
ฉันวางกระป๋องเบียร์ที่หมดเกลี้ยงแล้วลงข้างๆ ตัว ก่อนหยิบบุหรี่ออกมาแทน รู้ว่าเป็นผู้หญิงสูบบุหรี่มันไม่ดีนัก แต่แล้วยังไง การจะเป็นคนดีหรือไม่ดีมันตัดสินกันแค่ที่ภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ที่คนนั้นทำเท่านั้นเหรอ เหอะ บ้าบอไปสักหน่อยสำหรับฉัน เพราะงั้น ฉันไม่แคร์หรอก
“เป็นผู้หญิง สูบบุหรี่ไม่ดีนะ”
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวคนพูดที่ย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างฉันพร้อมแย่งบุหรี่กับไฟแช็กในมือไปอย่างถือวิสาสะ ให้ตายสิ นี่ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับใครนะ ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบเจอแต่เรื่องอยู่เรื่อย
ฉันสะบัดหน้าหันไปทางคนมาใหม่อย่างขัดใจ ชะงักไปนิดหน่อยกับสีหน้าสดใสและออกไปทางทะเล้นมากกว่าซีเรียสของ ‘เขา’ ซึ่งดูแล้วช่างสวนทางกับสิ่งที่เจ้าตัวพูดเมื่อครู่อยู่มาก นึกว่าจะเป็นพลเมือง(กล้า)ดี ไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาเสียอีก จากที่สำรวจผ่านๆ ในเสี้ยวนาทีแล้ว หมอนี่น่าจะเป็นคนที่มาเที่ยวกลางคืนแถวนี้เหมือนกัน
“เสือก” ฉันพูดเสียงเบาใส่คนตรงหน้า เน้นไปทางขยับปากให้เขาเห็นชัดๆ มากกว่า
คนฟังยิ้มขำๆ ก่อนตอบว่า “ใช่ มาเสือก”
“ไม่มีกฎบอกว่าผู้หญิงสูบไม่ได้” ฉันพูดเรียบๆ พร้อมเหล่ตาไปทางของของตัวเองเป็นนัยว่า ‘เอาคืนมา’ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครแล้วเข้ามาจุ้นจ้านทำไมเนี่ย ประสาท
เขายักไหล่ขึ้นพร้อมกับเบ้ปากนิดหน่อย ทำหน้าทำตากวนส้น... “ใช่ ไม่มี”
“งั้นอย่ามาสองมาตรฐานตรงนี้ เอาของฉันคืนมาแล้วจะไปไหนก็ไป”
“ไม่คืน” อีกฝ่ายส่ายหน้าพร้อมทำท่าทางทะเล้น
“เฮ้ย นี่เราไม่รู้จักกันสักหน่อย”
“อยากรู้จักไหมล่ะ”
ฉันกลอกตาเซ็งกับมุกเดิมๆ แน่นอนว่าฉันไม่อยากรู้จักเขาหรอก คนบ้าอะไรมาทำอย่างนี้กับคนแปลกหน้า เพี้ยนไปแล้วหรือไง หรือเขาจะเครียดอะไรมาจนประสาทกลับ
“มานั่งดูดาวเหรอ” เขาถามเหมือนอยากจะชวนคุยพร้อมแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มองเห็นได้ชัดจากมุมนี้ หากแต่ท้องฟ้าในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องและสปอร์ตไลต์น่ะ ไม่มีดาวให้เห็นหรอก ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจอยู่ในลำคอ ขณะที่คนปากดียังมีหน้าพูดต่อ “ดาวที่นี่ไม่สวยเท่าห้องฉันหรอก”
หือ?
คิ้วฉันขมวดเล็กน้อยเพราะเริ่มตงิดใจแปลกๆ กับสิ่งที่ได้ยิน
“ไปดูดาวที่ห้องฉันไหม เธอจะได้เห็นทั้งกาแล็กซี่เลย :)”
ไม่ตลก!
เขาเป็นใครกัน
“เหอะ ไอ้บ้านี่...”
ฉันแค่นหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปหวังจะแย่งบุหรี่คืนมาอีกครั้งตอนเขาเผลอ แต่ก็ช้าไป อีกฝ่ายลุกขึ้นเหมือนรู้ตัว เขาก้มลงคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็กของฉันไปด้วยก่อนเดินตัวปลิวออกไปจากตรงนี้ ฉันเอี้ยวตัวไปมองหมอนั่น ทั้งตกใจ แปลกใจ แล้วก็งงผสมปนเปกันไปหมด ฉันว่าเราสองคนไม่รู้จักกันนะ แต่ไอ้สิ่งที่เขาเอาไปก็ไม่ใช่ราคาบาทสองบาท กว่าจะหาเงินมาได้มันไม่ใช่ง่ายๆ นะเว้ย คนที่ทั้งเรียน ทั้งทำงานส่งตัวเองไปด้วยแบบฉันควรต้องมาเจอกับไอ้บ้าประสาทแดกแบบเขาอย่างนั้นเหรอ
ปล้นบุหรี่หน้าด้านๆ?
“นี่นาย!”
พอได้สติก็ลุกขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนตัวสูงกว่าไป จนถึงระยะใกล้พอก็เอื้อมมือไปกระชากไหล่อีกคนให้หันกลับมา ทว่า สิ่งที่เห็นคือเขากำลังสูบบุหรี่ที่แย่งไปจากฉันด้วยใบหน้าพิลึก
“เหอะ ขอกันดีๆ ก็ได้หรือเปล่า” ฉันนิ่วหน้าแล้วแค่นหัวเราะ ไม่เข้าใจหมอนี่เลยจริงๆ
“บุหรี่เธอแม่ง...แย่มาก” เขาทำหน้าเหยเกก่อนจะทิ้งมวนบุหรี่เกือบเต็มมวนลงพื้น ไม่วายใช้รองเท้าขยี้ดับไฟด้วย มิหนำซ้ำยังเดินเอาบุหรี่ทั้งซองของฉันไปโยนลงถังขยะอีกต่างหาก เล่นเอาฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “อยากได้คืนเหรอ”
เขาหันมาเลิกคิ้วถามฉันที่กำลังยืนอึ้งอยู่ และสับสนไม่รู้ว่าควรจะตบหน้าหรือจับหัวไอ้หมอนี่โขกถังขยะดี ถึงจะสาสมกับสิ่งที่เขาทำลงไป ชีวิตฉันจะเจอแต่คนแบบนี้ใช่ไหมวะเนี่ย!
“ทำบ้าอะไรของนายวะ”
“อยากได้คืนเปล่า เดี๋ยวคืนให้” เขาถามยิ้มๆ ก่อนจะเดินตัวปลิวหนีไปทางร้านสะดวกซื้อ ฉันใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเพราะคิดว่าเขาจะเข้าไปซื้อบุหรี่คืนให้ สารภาพก็ได้ว่าโคตรเสียดายของ ฉันซื้อมาใหม่ยังไม่ได้สูบสักมวนเลยนะเว้ย ไม่ร้องไห้ก็บุญเท่าไรแล้ว ไอ้คนประหลาดนี่ทำฉันเสียเวลาชีวิตจริงๆ เลย
“นี่นาย ทำไม...” ฉันมองอีกฝ่ายแบบงงๆ เมื่อเดินตามเข้ามาก็เห็นว่าเขาหยิบปากกาแท่งหนึ่งมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ และไม่ได้ออกปากแสดงความต้องการบุหรี่กับพนักงานแต่อย่างใด
“มานี่” เขาบอกฉันพร้อมกับถือวิสาสะเข้ามาจับแขนฉันแล้วลากกลับออกมาจากร้านสะดวกซื้อ แกะปากกาที่เพิ่งซื้อมา โยนซองลงถังขยะใกล้ๆ ก่อนคว้ามือฉันไป
“เดี๋ยวๆ จะทำบ้าอะไรอีก” ฉันขืนแรงเขาเอาไว้ พยายามต้านด้วยการดึงมือตัวเองกลับ แต่แรงของผู้ชายมันเยอะกว่า เขาบังคับให้ฉันแบมือออกก่อนจรดปากกาลงแล้วเขียนอะไรบางอย่างลงไปด้วยลายมือขยุกขยิก แต่ก็ไม่ได้อ่านยากอะไรเพราะมันเป็นตัวเลข
“ไม่ได้ขอหวย! ขอบุหรี่คืน”
“เฮ้! เบอร์ฉันไม่ใช่หวย” เจ้าตัวเงยหน้ายุ่งๆ ขึ้นมามองตาขวาง ผิดกับฉันที่รีบชักมือตัวเองกลับมาทันที่เขาเขียนจบ ดูดีๆ แล้วคือเบอร์โทรศัพท์จริงๆ ด้วยว่ะ ว่าแต่เขาจะให้มาทำไม
“รู้ว่าขอเบอร์เธอก็คงไม่ให้ เอาเบอร์ฉันไปแทนแล้วกัน”
“ฮะ?”
“โทรมานะ ถ้าอยากได้บุหรี่คืน”
“...”
“ฉันซื้อคืนให้ได้มากกว่าที่เธอคิดนะ”
“...”
“สูบให้เป็นมะเร็งปอดตายไปเลย เอาให้หนำใจ”
“...!”
“อย่าลืมโทรมาล่ะ” คนตัวสูงขยิบตามาให้ทีหนึ่งอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินหนีไป ทิ้งให้ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตกและพยายามประมวลผลคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ ฉันอาจจะคิดช้าไปหน่อย แต่พอทบทวนอีกครั้งแล้วก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นทำทั้งหมดอยู่ดี ต้องการอะไรวะ โอเค ถ้าเดาไม่ผิด เขาก็แค่อาจจะอยากได้ใครสักคนกลับห้องไปด้วยคืนนี้ตามประสาผู้ชายเที่ยวกลางคืน แต่มันจำเป็นต้องทำมากขนาดนี้เลยเหรอ
แล้วเอาอะไรมามั่นใจว่าฉันจะโทรกลับไปน่ะฮะ?!
“ไอ้…!” จะตะโกนไล่หลังแต่ก็ไม่รู้จักชื่อเลยได้แต่ยกมือที่เขาเขียนเบอร์ให้ขึ้นมาดูอีกครั้ง มีชื่อเขาต่อท้ายเบอร์ด้วยนี่หว่า
ซิม :)


นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ใช่ฟาง ติดบุหรี่มันไม่ดี มาติดบุรุษดีกว่า
พี่ซิมคนจริง คนบ้าไรอ่อนได้เรี่ยราดมาก แต่ฟางคงงงและงงในดงคำว่างงแน่ๆ อยู่ๆก็มาคุย แถทให้เบอร์อีก 5555
น่ารักกกกกกกกกกกก แงงงงง ฟีลกู้ดอะ
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
หูยยยยยย พี่ซิมขราาาาาา อ่อยเก่งทรี่สุดดดด
โห นี่ถึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเมมเบอร์เลยอะ แต่ลืมไป มีแค่ฟางที่ได้ ว้าาาา