ตอนที่ 16 : คือความรับผิดชอบ
“ผมโตแล้วนะครับป้าแจ่ม อะไรดี...ไม่ดี...ควร...ไม่ควรผมรู้ครับ ผมแค่อยากใกล้ชิดกับนายภีมให้มากๆ สงสารที่แกกำพร้าตั้งแต่เล็ก อยากให้แกคุ้นเคยกับผม คุ้นเคยกับคนในบ้าน ส่วนแม่ของแกผมก็ไม่ไว้ใจให้เลี้ยงดูคนเดียวลำพังที่บ้านโน้น ถ้าวันหนึ่งเธอมีทางไปของเธอ ผมก็อยากให้นายภีมอยู่กับพวกเราได้”
คนฟังยิ้มออกมาได้ ยกมือลูบอกอย่างเบาใจเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มคิดวางแผนไว้ว่ายังไงบ้าง
“ได้ฟังอย่างนี้ก็โล่งใจ...คุณน่ะไม่เคยมีแฟน ป้ากลัวจะไม่ทันเกมเอา ผู้หญิงสมัยนี้ทั้งไวไฟ ทั้งเจ้าเล่ห์มารยาสาไถ ไว้ใจไม่ได้ น่ากลัวค่ะ”
ภูวฤทธิ์หัวเราะขำ โคลงศีรษะไปมา เพราะป้าแจ่มจะมารู้อะไร ว่าสมัยอยู่ต่างประเทศ เขาน่ะประวัติโชกโชนและขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงขนาดไหน พอกลับมาเมืองไทย ก็ไม่ได้ทิ้งลายเสือ
เพียงแต่ว่างานใหญ่ยักษ์ที่หล่นลงมาบนตักให้ต้องรับผิดชอบ ไม่ให้เวลาเขากระดิกกระเดี้ยวไปไหนได้ อาจจะต้องอาศัยเวลาอีกสักพักใหญ่ ให้งานที่บริษัทเข้าที่เข้าทาง พอจะไว้วางใจให้ใครเข้ามาช่วยแบ่งเบา เขาก็คงจะคิดเรื่องของตัวเอง
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ อย่าห่วงเลยครับป้า ตอนนี้ผมไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นเลยจริงๆ ทีนี้ไปนอนได้รึยังครับ?”
ถามยิ้มๆ
“ค่า...ค่อยนอนตาหลับหน่อย”
คุณแม่บ้านยิ้มแฉ่งก่อนจะเดินจากไปอย่างโล่งหัวอก
ภูวฤทธิ์มองตามไปอย่างขันๆ เขาไม่ได้นึกกังวลในเรื่องที่ป้าแจ่มเป็นห่วง คนอย่างเขาไม่สนใจผู้หญิงที่เอาตัวแลกเงิน
และที่สำคัญ ระหว่างบัวชมพูกับเขามีฐานะอันไม่เหมาะไม่ควรเป็นกำแพงใหญ่ยักษ์ขวางกั้นอยู่ ให้เรื่องชู้สาวที่ป้าแจ่มกังวลไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้
บัวชมพูหลบวูบเมื่อป้าแจ่มเดิมสวนออกมา เธอตั้งใจแค่จะลงมาหาน้ำดื่ม แต่บังเอิญมาได้ยินว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกัน ลำคอถึงกับตีบตัน ใบหน้าชาราวกับถูกตบไม่ยั้งด้วยคำพูดที่ได้ยินว่าพวกเขาคิดยังไงกับเธอ
แม้รู้ว่าคนในบ้านนี้ไม่ได้มองเธอดีนัก แต่การถูกตั้งป้อมรังเกียจกล่าวหาว่าเธอเป็นไก่แก่แม่ปลาช่อนที่กำลังจ้องตาเป็นมันจะจับลูกเลี้ยงมาทำสามี ช่างทิ่มแทงหัวใจ และเหยียบย่ำความรู้สึกกันเหลือเกิน
“สวัสดีค่ะ มาติดต่ออะไรคะ?”
เจ้าหน้าที่สาวของโรงเรียนอนุบาลชื่อดังยกมือไหว้ทักทายชายหญิงที่เดินเคียงคู่มาด้วยกัน
หลังจากไปส่งภีรภัทรที่โรงเรียน ภูวฤทธิ์ก็พาเธอมายังโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน เพื่อติดต่อเรื่องย้ายน้องชายมาเรียนที่นี่ แม้เธอจะยืนยันว่าจะมาจัดการด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่ยอม และนั่นทำให้ป้าแจ่มยิ่งมองเธออย่างไม่ชอบหน้าเข้าไปใหญ่ ถึงจะไม่สบายใจแต่ใครเล่าจะไปขัดภูวฤทธิ์ได้
“ดิฉันต้องการจะย้ายลูกชายมาเรียนที่นี่น่ะค่ะ”
“น้องอยู่ชั้นอะไรคะ?”
“อนุบาลสองค่ะ”
“ค่ะ...งั้นเดี๋ยวเชิญคุณพ่อคุณแม่ทางนี้เลยนะคะ”
เจ้าหล่อนผายมือให้ พร้อมกับเดินนำคุณพ่อคุณแม่ที่หันมามองหน้ากันอัตโนมัติ
บัวชมพูรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอไม่โทษเจ้าหน้าที่คนนั้น แต่เกรงว่าชายหนุ่มอาจจะไม่พอใจที่ถูกเข้าใจผิด ช่วยไม่ได้เขาเป็นคนยืนยันที่จะมาติดต่อขอย้ายโรงเรียนให้ภีรภัทรพร้อมกับเธอเอง
แม้เธอบอกแล้วว่าเกรงใจไม่อยากให้เขาต้องปลีกเวลางานมาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ คำพูดของเขากับป้าแจ่มเมื่อหลายคืนก่อนยังวนเวียนอยู่ในหัวกวนใจ เธอพยายามแล้วที่จะอยู่ให้ห่างจากเขา
‘เรื่องของน้องชายทั้งคน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆ หรอก...นายภีมสำคัญกับผม’
เมื่อเขาย้ำคำหนักแน่นอย่างนั้น เธอจะไปว่าอะไรได้
“เขาเชิญแล้วไง ไปสิคุณ” ใบหน้าที่เดาไม่ออกว่าคิดยังไงพยักพเยิดตามเจ้าหน้าที่ไป
“เดี๋ยวช่วยกรอกเอกสารนี่ให้หน่อยนะคะ”
เจ้าหน้าที่ยื่นแบบฟอร์มการสมัครเข้าเรียนให้ เมื่อเธอกับภูวฤทธิ์ไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อย บัวชมพูรับมาก่อนจะบรรจงกรอกข้อมูลลงไปในแบบฟอร์ม
ชายหนุ่มมองตัวหนังสือสวยเป็นระเบียบเรียบร้อยก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าของลายมือเป็นคนที่เข้มงวดมีระเบียบ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่สาวก็ได้แจกแจงรายละเอียดรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ
ภูวฤทธิ์ตั้งใจฟัง เขาอยากมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบดูแลภีรภัทรอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยเวลาหลายปีที่ไม่เคยรู้ตัวว่ามีพี่น้องร่วมสายเลือดอยู่ กระทั่งบัวชมพูยื่นเอกสารคืนให้เจ้าหน้าที่
“คุณบัวชมพู กับคุณภูมิชาตินะคะ”
เจ้าหล่อนอ่านรายชื่อจากในใบสมัคร
“เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ...ฉันบัวชมพู ส่วนนี่คุณภูวฤทธิ์”
“อ้อ คุณพ่อเปลี่ยนชื่อหรือคะ หรือว่าเอ่อ...”
อาจารย์สาวยั้งคำพูดที่สงสัยเกรงจะไม่เหมาะไม่ควร
“ผมเป็นผู้ปกครองของแกครับ”
เขาเลี่ยงที่จะบอกว่าตัวเองเป็นพี่ชาย บัวชมพูปรายตามองชายหนุ่มแว่บหนึ่ง ไม่ว่ากระไร
“อ้อ ค่ะ พอดีว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายเทอมแล้วนะคะ อีกสองอาทิตย์ก็จะปิดเทอม แต่โชคดีที่น้องยังชั้นเล็กอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไรในการย้ายโรงเรียน ยังไงคุณแม่กับคุณพ่อ เอ๊ย! ผู้ปกครองสามารถพาน้องมาลองร่วมชั้นเรียนกับเพื่อนๆ ก่อนได้เลยนะคะ”
เธอแนะนำ
ภูวฤทธิ์โล่งใจที่ทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจัดการจ่ายค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายให้ภีรภัทรเสร็จเรียบร้อย จึงเดินตามหญิงสาวไปขึ้นรถเพื่อพากลับไปส่งเธอที่บ้าน
อันที่จริง บัวชมพูมีรถญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัดที่คุณภูมิชาติซื้อให้เพื่อไว้รับส่งลูกชาย แต่หลังจากเห็นเลขไมล์ที่หน้าปัดรถแล้ว ทำให้ภูวฤทธิ์ออกจะอึ้งไปไม่น้อย รถยนต์ซื้อมาได้เกือบห้าปี แต่เลขไมล์ยังอยู่ที่สามหมื่นกิโลเมตรต้นๆ หญิงสาวบอกว่าเธอไม่ได้ขับไปไหนไกล นอกจากรับส่งบุตรชายเท่านั้น ได้ยินเช่นนั้นเขาออกจะพอใจที่เธอไม่ใช่คนชอบเที่ยว และดูไม่ใช้คนฟุ้งเฟ้ออะไร แต่ของอย่างนี้ก็ต้องดูไปนานๆ ภูวฤทธิ์จึงตัดสินใจว่า วันนี้เขาควรเป็นคนขับรถ และให้ลุงเกษมหรือจ่อยมารับส่งเจ้าหนูในวันที่เขาไม่ว่างมาส่งแกแทน แม้บัวชมพูจะบอกว่าเธออยากมาส่งลูกเองก็เถอะ
“ที่ผมไม่บอกว่าตัวเองเป็นพี่ชายนายภีม เพราะมันดูแปลกๆ อายุผมห่างจากแกมาก และผมก็ไม่อยากให้ใครมองคุณพ่อผมเป็นตาแก่หัวงูหลอกเด็กด้วย”
เขาออกตัวพร้อมดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเพื่อความปลอดภัย ยังจำใบหน้าของครูสาวตอนที่รู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อของภีรภัทรได้
“ทั้งที่ความจริงผมว่าท่านน่าจะเป็นฝ่ายโดนหลอกเสียมากกว่า”
ประโยคที่เหมือนเปรยทั่วไปทำเอาคนฟังหน้าชาเพราะคำพูดนั่นคล้ายตีวัวกระทบคราดมาถึงเธอ ใบหน้างามหันขวับมามองเขาไม่พอใจ
ชอบก็อย่าลืมกดหัวใจด้านล่าง
และคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะจ๊ะ
กดติดตามผลงานของนักเขียนได้ที่เพจนี้นะจ๊ะ
จะได้ไม่พลาดการติดตามน๊า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
