ตอนที่ 1 : แขกยามเช้า
“คุณหนูคะ...คุณหนูขา...คุณหนูเจ้าขา”
เสียงเคาะประตูปังๆ พร้อมกับร้องเรียก ‘คุณหนู’ สลับกันดังลั่นอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ ประหนึ่งเจ็กตื่นไฟ กระต่ายตื่นตูมของป้าแจ่มแม่บ้าน
มีผลทำให้คุณหนูตัวเท่าวัวที่งัวเงียอยู่บนเตียงตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูครั้งแรกผงกศีรษะขึ้นมาหัวหูฟูยุ่งเหยิง ใบหน้ายับย่นเป็นผลมาจากหมอนนุ่มที่เขาซุกหน้าหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลียอยู่หลายชั่วโมง
ภูวฤทธิ์ยังไม่ตื่นเต็มตา ใบหน้าง่วงงุนแต่ยังความหล่อเหลาเอาไว้ได้ทุกกระเบียดนิ้ว เขม้นดวงตารียาวคมกริบมองไปที่ประตูไม้บานเขื่อง ดูเหมือนว่าป้าแจ่มจะไม่ยอมลดทอนเสียงเรียกและจังหวะการเคาะประตูอันแสนจะหนักหน่วงเร้าใจ...เรียกว่าถ้าไม่ตื่นก็ให้มันรู้กันไปสิเออ
คนที่เพิ่งเข้านอนเมื่อตอนตีห้าเพราะมัวแต่ตรวจสอบผลประกอบการไตรมาสแรกของปี หลังจากที่เขาได้เข้ามารับตำแหน่งรักษาการประธานบริษัทที่ PCA Packaging บริษัทบรรจุภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวอยู่ทั้งคืน
และในเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ ก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะนอนให้เต็มอิ่ม ชายหนุ่มปรายสายตาไปยังหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียง
เก้าโมง...เพิ่งจะเก้าโมงเท่านั้นเอง...หลังจากต้องนอนดึกตื่นเช้ามาหลายวันติดกันเพื่อศึกษาการทำงานในบริษัทที่เพิ่งเข้าไปดูแลเต็มตัวเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
สำหรับวันหยุดสุดแสนวิเศษเช่นนี้ เขาน่าจะได้ตื่นตอนเที่ยงวันเป็นอย่างน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และถ้าไม่มีเรื่องสำคัญใหญ่โตอะไร ป้าแจ่มก็คงไม่มารบกวนเวลานอนอันแสนสุขของเขาเป็นแน่
มือหนาผลักร่างกำยำเปล่าเปลือยท่อนบนให้ลุกขึ้นมา หน้าตายังง่วงงุน มือหนายกขึ้นเสยผมลวกๆ แล้วตวัดผ้าห่มที่คลุมกายออก ช่วงขายาวก้าวลงจากเตียงนอนกว้าง
คว้าเอาเสื้อคลุมที่ถอดพาดไว้ข้างเตียงมาคลุมทับเรือนร่างสูงใหญ่ผึ่งผายที่มีเพียงกางเกงขายาวสีขาวเนื้อผ้าเบาสบายตัวเดียวเกาะอยู่บนสะโพกแน่นตึง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู ยื่นหน้าให้ป้าแจ่มเห็น เพื่อนางจะได้หยุดเรียกเขาเสียที
“มีอะไรหรือครับป้าแจ่ม?”
น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดๆ นั่นบอกให้คุณแม่บ้านรู้ว่าเจ้านายหนุ่มไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่นี่มันไม่ใช่เวลามานึกถึงเรื่องอะไรที่สำคัญน้อยไปกว่าเรื่องใหญ่ที่รอคอยหน้าแฉล้มแช่มช้อยอยู่ที่ห้องรับแขก
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
สาวใหญ่ที่ทำงานในบ้านหลังนี้มาหลายปีดีดัก จนได้ครองตำแหน่งผู้อาวุโสฝ่ายหญิงแห่งคฤหาสน์ ‘อัครเดชาชาญ’ ที่คนในบ้านต่างเคารพยำเกรงไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองยื่นมือมาเขย่าที่ท่อนแขนล่ำสัน
“เรื่องใหญ่อะไรครับป้าแจ่ม?”
ภูวฤทธิ์นิ่วหน้า มือข้างว่างยกขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ ไม่มีทีท่าจะตื่นเต้นไปกับเรื่องใหญ่ของป้าแจ่มเลยสักนิด
เพราะไม่ว่าจะงูเลื้อยเข้าบ้าน เจ้าโตโร่หมาของเขาไม่สบาย หรือว่าท่อน้ำประปาหน้าบ้านแตก ป้าแจ่มก็ถือว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น
“เมียคุณท่านมาเจ้าค่ะ”
ป้าแจ่มหรือนางแจ่มจิตรีบรายงานทันทีเมื่อเห็นว่าผู้เป็นประมุขคนล่าสุดของบ้านไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจไปกับความร้อนรนของเจ้าหล่อน
‘เมียคุณท่าน’
จะหมายถึงใครได้ ถ้าไม่ใช่มารดาของเขา แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว ก่อนที่บิดาจะมาด่วนจากไปอีกคนเมื่อหกเดือนก่อน ทิ้งกิจการใหญ่โต ที่มีพนักงานร่วมพันชีวิตให้บุตรชายโทนคนเดียวอย่างเขาต้องรับผิดชอบดูแล
“อะไรนะครับ?”
ภูวฤทธิ์คิดว่าตัวเองหูฝาดไปแน่ๆ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นผลพวงมาจากการนอนน้อย ก็เป็นได้
“เอ่อ...มีผู้หญิง อุ้มเด็กตัวเล็กๆ มาด้วย อ้างว่าเป็นภรรยาอีกคนของคุณท่าน และเด็กคนนั้นก็เป็นน้องชายของคุณค่ะ”
ป้าแจ่มก็มีใบหน้ากังวลไม่น้อยกับเรื่องที่บอกเล่ารายงาน
‘เมีย’ กับ ‘ลูก’ งั้นหรือ?
พวกสิบแปดมงกุฏเดี๋ยวนี้ช่างกล้าหน้าไม่อาย ถึงได้เอาเรื่องเช่นนี้มาแอบอ้าง
นี่พวกมันคงจะรู้สินะว่านายภูมิชาติบิดาของเขาเสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ และกองมรดกนับพันล้านของ ‘อัครเดชาชาญ’ ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ เขาเชื่อว่าพวกมันได้สืบเสาะหาข้อมูลมาอย่างดีถึงได้กล้ามาแสดงตัวโดยไม่กลัวโดนตำรวจจับ
คนฟังหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“บ้านะสิครับ จะเป็นไปได้ยังไง”
ภูวฤทธิ์สบถอย่างฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเรื่องที่ปักใจเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าโกหก คนอย่างบิดาของเขานี่นะ จะไปมีเมียทิ้งไว้เรี่ยราดขนาดต้องตามมาทวงสิทธิ์กันถึงบ้าน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด...ที่สำคัญทำไมเจ้าหล่อนถึงเพิ่งโผล่หน้ามาตอนนี้ ทั้งที่บิดาของเขาเสียชีวิตไปตั้งหกเดือนแล้ว
เป็นเมียประสาอะไรถึงไม่รู้ว่าผัวตัวเองตายแล้ว และไม่แม้แต่จะย่างกรายมาร่วมงานศพ ถ้าเจ้าหล่อนต้องการจะทวงสิทธิ์จริงๆ คงไม่ยอมปล่อยเวลาทิ้งเอาไว้ให้เนิ่นนานขนาดนี้หรอก ก็น่าจะมาแสดงตัวตั้งแต่แรกนั่นแล้ว...ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลงใจ
“ไม่บ้าหรอกค่ะ เพราะตอนนี้แม่เลี้ยงของคุณมานั่งหน้าแฉล้มอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว”
“อะไรนะครับ? นี่ป้าแจ่มเปิดประตูให้ใครเข้าออกบ้านเราได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือครับ?”
เขานึกไม่พอใจ คนเดี๋ยวนี้หากินกันแปลกๆ มิจฉาชีพมีวิธีหากินใหม่ๆ ที่ประชาชนคนธรรมดามักตามไม่ค่อยทัน เห็นทีว่าเขาต้องเข้มงวดให้คนในบ้านได้ดูข่าวสารบ้านเมืองกันให้มากกว่าแค่ดูละครทีวีหลังข่าวเสียแล้ว จะได้ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกขโมยขโจร
“เอ่อ...ได้หรือไม่ได้ คุณหนูก็ไปดูกับตาตัวเองเถอะค่ะ”
ป้าแจ่มหน้าเจื่อนลง แต่ก็จนใจจะอธิบายเช่นกัน ทีแรกนางตั้งท่าจะขับไล่สองแม่ลูกออกไปให้พ้นจากประตูบ้าน แต่พอเห็นเด็กชายตาดำๆ มองตาแป๋วแหวว ก็นึกเวทนาสงสาร จะใจไม้ไส้ระกำไล่ไปจริงๆ ก็ทำไม่ลง เพราะจะว่าพิศมาพิศไปเจ้าหนูน้อยนั่นมีส่วนคลับคล้ายคลับคลากับชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้านี่อยู่บ้างเหมือนกัน
“มีใครมาบ้างครับ?”
ร่างสูงก้าวพรวดออกมาจากห้องนอน...เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว เพราะแม่สิบแปดมงกุฏนั่น ไม่ได้แอบอ้างเพียงอย่างเดียว แต่กลับหลอกป้าแจ่มจนเชื่อสนิทใจและเข้ามานั่งลอยหน้าในบ้านของเขาได้แล้ว ชะรอยตอนนี้เจ้าหล่อนอาจลักขโมยเอาทรัพย์สินออกไป หรือไม่ก็มาเปิดประตูเรียกสมัครพรรคพวกเข้ามาปล้นขนข้าวของออกจากบ้านของเขาก็เป็นได้
“ผู้หญิงกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งค่ะ”
“มาแค่สองคนเองเหรอ?”
โจรสมัยนี้มันกล้าจริงๆ แค่ผู้หญิงกับเด็ก เพศและวัยที่อ่อนแอ ควรแก่การสงสาร แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่างเขาแน่
เมื่อป้าแจ่มพยักหน้ารับ ภูวฤทธิ์ก็ไม่รอช้า
“ได้ เดี๋ยวผมจะลงไปดูเอง” พูดจบร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่โตและทายาทเพียงหนึ่งเดียวของอัครเดชาชาญ ก็ก้าวผ่านหน้าป้าแจ่มไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินลงบนไดวนหินอ่อนมือหนาจับราวบันไดเหล็กดัดชุบโครเมี่ยมสลักเสลาเงาวับลงมายังห้องรับแขกข้างล่าง เพื่อจะได้มาดูหน้าคนแอบอ้างให้เห็นชัดๆ กับตาของตัวเอง
...พวกผู้หญิงหน้าไม่อาย
ชอบก็อย่าลืมกดหัวใจด้านล่าง
และคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะจ๊ะ
กดติดตามผลงานของนักเขียนได้ที่เพจนี้นะจ๊ะ
จะได้ไม่พลาดการติดตามน๊า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
