คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : The forbidden book No.19 l Lucien Melchiore
The forbidden book No.19
[The reliable man who actually has a fragile heart]
APPLI☾ATION
“สิ่งหนึ่งที่คนอย่างผมพอจะทำเพื่อคนอื่นได้...คือการฟังพวกเขาพูด...”
“แต่ผมก็หวังเหมือนกันนะว่าจะมีใครสักคนที่ฟังผมพูด
เหมือนกับที่ผมฟังคนอื่นบ้าง...”
_____________________________________________________________________
บทบาท
:: [3] The Genesis | A deep and clear truth
ชื่อ-นามสกุล
:: Lucien Melchiore [ลูเชียน เมลชิออร์]
ชื่อเล่น :: ไม่มีค่ะ เรียกลูเซียนเถอะ
ความหมาย
:: แปรวมกันจะได้ว่า “แสงสว่างผู้นำพาราชันแห่งแสง”
ค่ะ
อายุ
:: 17
เพศ
:: ชาย
ส่วนสูง
| น้ำหนัก
:: 171 cm. / 63 kg.
เผ่าพันธุ์
:: ดอปเปลแกงเกอร์
รูปร่างลักษณะ
:: เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามอ่อนเยาว์ รูปร่างเพรียวแต่ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไปแต่ก็ได้สัดส่วนแขนขาเรียวยาว
ผิวกายสีขาวนวลเหมือนกับจะเปล่งแสงออกมาได้ทำให้เขาดูเปล่งประกายราวแสงจันทร์ในยามค่ำคืน
ยิ่งเมื่อสีเรือนผมสีขาวเงินพิสุทธิ์ราวกับขนของยูนิคอร์นมาก็ยิ่งทำให้เขาดูเจิดจ้าไปหมด
แม้มันจะสั้นและถูกจัดทรงอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักก็ตาม
ดวงหน้าของเขาประกอบกันจากเครื่องหน้าที่ลงตัวทุกอย่างตั้งแต่จมูก
ริมฝีปากบางสีอ่อน ไปจนถึงดวงตาสีฟ้าน้ำเงินดุจห้วงสมุทรกว้าง
ล้ำลึกเกินใครหยั่งถึง แพขนตาหนาและคิ้วเรียวช่วยเสริมให้ดวงตาคู่นั้นน่ามองจนน่าอิจฉาไม่น้อย
เจาะหูและใส่ต่างหูทั้งสองข้างทำให้ดูเผินๆ
แล้วอาจมีใครหลายคนเข้าใจผิดเรื่องเพศของเขาก็เป็นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่หรอก
เพียงแต่มองเป็นผู้ชายหน้าสวยเท่านั้นเอง
อุปนิสัย
::
Facts about ‘Lucien Melchiore’
#1 Gentle look with an aura of
kind elder brother – so comforting
ภาพลักษณ์สุภาพอ่อนโยนคล้ายกับเป็นพี่ชายคนหนึ่ง
ซึ่งชวนให้สบายใจมากๆ
ตั้งแต่แรกเห็น ‘ลูเซียน
เมลชิออร์’ นั้นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าเป็นครั้งคราวสลับกับสีหน้าสงบนิ่งดูน่าเชื่อถือ
แต่ไม่ได้ดูเยือกเย็นหรือเหินห่าง กิริยามารยาทท่าทางสุภาพไปเสียทุกอย่าง
แต่ก็ใช่ว่าจะสุภาพจนชวนให้เกร็งแต่อย่างใด
มีความเป็นกันเองแต่ยังให้เกียรติไม่ลามปาม จึงชวนให้เข้าหาได้อย่างง่ายดาย
และเป็นเรื่องง่ายยิ่งที่จะรู้สึกดีๆ
ด้วยแม้ว่าเขายังไม่ทันจะพูดหรือทำอะไรเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งมีความสุขุมสงบนิ่งประหนึ่งภูผาที่ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบก็ยังคงตั้งตระหง่านไม่หวั่นไหว
ราวกับว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรเขาก็จะไม่สติแตกและพร้อมรับมือกับทุกสิ่งอย่างใจเย็นอย่างไรอย่างนั้น
#2 Silent and reliable – you know you can count
on him
ค่อนข้างเงียบและพึ่งพาได้
ลูเซียนไม่ใช่คนที่พูดเยอะเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าพูดไม่เก่งหรืออะไร แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่เขามักจะให้โอกาสคู่สนทนาพูดมากกว่าจะพูดเสียเองเนี่ยสิ
เพราะเขาถูกหล่อหลอมมาให้เป็นสายรับฟังมากกว่าพูด
แล้วเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรถ้าไม่มีประเด็นให้พูดด้วยเนี่ยสิ
ดังนั้นไม่ค่อยแปลกที่คนจะคิดว่าลูเซียนเป็นคนเงียบ จะพูดก็ต่อเมื่อมีคนมาพูดกับเขาก่อน
หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเตือนคนอื่นก็เท่านั้นแหละ แถมยังเป็นคนพูดเสียงนุ่มๆ
ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่ตรงเกินไปแต่ก็ไม่ได้ตอแหล
มีมุขบ้างในบางครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายไม่เครียดแม้จะเล่นแบบสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยก็ตามที
และพูดแล้วฟังดูจริงใจอีกต่างหาก เรื่องคอยดูแลคนอื่นเนี่ยไว้ใจเขาได้เลย
ไม่ว่าจะมีอะไรเขาก็จะคอยบอกคอยเตือนเสมอ
ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีทำให้เขาเหมือนคนที่แขวนป้าย ‘ที่ปรึกษาแห่งชาติ’ เอาไว้ก็ไม่ผิดเลยล่ะ ส่วนเรื่องความรับผิดชอบไม่ต้องพูดถึง
ขนาดงานที่ไม่มีใครขอยังทำได้ดีขนาดนี้ ถ้าเป็นงานในความรับผิดชอบของเขา
เขาจะจัดการดูแลมันให้ออกมาดีที่สุดเลยล่ะ
#3 Happy to see others happy, while bear the
pain all to himself alone
ยินดีที่เห็นคนอื่นมีความสุข
ในขณะที่ตัวเองแบกทุกข์ไว้ตามลำพัง
ตั้งแต่เล็กแล้ว
ลูเซียนรักที่จะเห็นผู้คนรอบตัวเขายิ้มแย้ม เขาไม่ชอบเห็นคนที่เขารักและใส่ใจทำหน้าหมองเศร้า
โดยเฉพาะครอบครัวและเพื่อนพ้อง และเพื่อการนั้น
เขาจึงได้เลือกจะแบ่งเบาภาระของพวกเขาแม้เพียงสักนิดก็ยังดี
สิ่งที่เขาพอจะทำได้...แม้ปัญหาของอีกฝ่ายจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
สิ่งที่เขาทำได้อย่างหนึ่งแน่ๆ คือการรับฟังพวกเขา และให้คำปรึกษา คำปลอบประโลม
คำแนะนำตามที่เหมาะสมด้วยท่าทีใส่ใจ
ถ้าทำได้มากกว่านั้นและเขาไหวก็ยินดีจะยื่นมือช่วยเหลือดูแล
ทำให้คนอื่นยิ้มออกไม่ก็อารมณ์ดีขึ้นแม้ว่าดวงตาจะยังเปื้อนคราบน้ำตาก็ตาม
แต่สิ่งที่เขาละเลยที่สุดกลับเป็นจิตใจเขาเอง เขาทำเพื่อคนอื่น ฟังคนอื่น
แต่พอตัวเองมีปัญหาอยากระบาย ดันไม่พูดให้ใครฟังเสียอย่างนั้น
เพราะไม่อยากให้คนอื่นเป็นกังวล เพราะไม่อยากให้คนอื่นทำหน้าเศร้าโดยมีเขาเป็นต้นเหตุ
ดังนั้นเขาจึงเก็บเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเอ่ยออกไปให้ใครได้ยินได้ไว้เพียงลำพัง
จะบอกว่าเก็บกดก็ไม่ผิดหรอก แล้วพอมีคนมาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า
ประโยคสุดคลาสสิกที่ลูเซียนตอบคือ ‘ไม่เป็นไรหรอก ฉันสบายดี’
อยู่เสมอ แม้ว่าภายในใจจะกรีดร้องแค่ไหนก็ตามที เขาก็แค่ต้องการใครสักคนที่ฟังเขาโดยที่ไม่ทำให้ใครคนนั้นทำหน้าเศร้า
ก็แค่ใครสักคน ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นไปไม่ได้แค่ไหนก็ตามที...
เรื่องโกรธกับเสียใจ
ลูเซียนไม่ค่อยโกรธใครเท่าไหร่ ดังนั้นแปลว่าถ้าโกรธแปลว่าถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ
หรือไม่ก็ดันไปล้ำเส้นเข้าแล้ว แต่คนที่เขาโกรธบ่อยที่สุดคือตัวเองนี่แหละ
แต่ไม่แสดงออกให้ใครเห็น ถ้าช่วยอะไรใครไม่ได้ส่วนใหญ่คนแรกที่จะโทษก็คือตัวเอง
ไม่โทษคนอื่นเท่าไหร่หรอก แถมกว่าจะให้อภัยตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่
ในขณะที่พอเป็นคนอื่นกลับหายโกรธง่ายๆ ซะงั้น
ส่วนเสียใจนี่...ไม่มีวันแสดงออกให้ใครเห็นหรอก มีแต่ไปร้องไห้เงียบๆ
ตามลำพังราวกับเด็กน้อย ให้อารมณ์ไหลไปกับน้ำตาก่อนที่จะตั้งสติใหม่ก็เท่านั้นเอง
#4 Much more fragile than anyone can ever think
of
เปราะบางกว่าที่ใครหลายคนคิดไว้มากมาย
แม้ว่าภาพพจน์ของลูเซียนจะเข้มแข็ง
เหมือนขุนเขาที่ตั้งตระหง่านอย่างนิ่งสงบไม่หวั่นไหว พร้อมให้ใครคนอื่นมาพึ่งพา
แต่หารู้ไม่ว่าจิตใจของเขาแท้จริงแล้วบอบบางราวผืนน้ำ
เพียงมีลมพัดหรือมีก้อนกรวดตกลงมากระทบผิวก็ไหวไปตามแรงเสียแล้ว ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้กังวลและอ่อนไหวเอาเรื่องเลยล่ะ
เพราะงั้นเวลามีใครมาปรึกษาอะไรก็จะชอบเก็บไปคิดแล้วก็ปวดหัวเอง เครียดเอง
กลุ้มใจเองอยู่ไม่น้อย
เข้าทำนองว่าห่วงคนอื่นแต่ไม่ห่วงตัวเองเลยว่าสุขภาพจิตตัวเองจะเสียหายขนาดไหน
แต่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเช่นเดิม ฟังดูน่าเศร้าไม่น้อย
เพราะการทำอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้เชื่อใจใครมากพอที่จะระบายความทุกข์ให้ฟังเลย
กระทั่งคนในครอบครัวก็ตาม และไม่ได้มองว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นอีกต่างหาก...ได้เพียงแต่ทน
ทน ทน รอวันที่ตนเองจะแตกสลายเพราะไม่ไหวก็เท่านั้นเอง
#5 Perceiving more than judging – everybody
always has his own reasons and thoughts
รับรู้มากกว่าจะตัดสิน เขาเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลและความคิดเป็นของตัวเอง
หนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ใครหลายคนชอบมาปรึกษาหรือระบายกับลูเซียน
คือการที่เขาเป็นคนที่ไม่ตัดสินใครง่ายๆ
แต่เขาเชื่อว่าแต่ละคนมีความคิดและเหตุผลที่ต่างกันออกไปก็เท่านั้น
ยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคลว่าไม่มีใครในโลกเหมือนกันไปหมดหรอก
เกลียดการแบ่งแยกเพียงเพราะความแตกต่างเพราะตัวเองก็เคยผ่านเรื่องราวแบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน
แต่ถึงกระนั้นเมื่อเป็นแง่ของศีลธรรมจรรยาที่บอกได้ชัดเจนว่าทำผิดแล้ว
เขาก็ไม่ได้เข้าข้างหรือหาเหตุผลให้กับความผิดพวกนั้นหรอกนะ ออกจะให้ไปยอมรับผิดเสียด้วยซ้ำซึ่งก็จะกล่อมเนียนๆ
ไปตามเรื่องตามราว
เห็นแบบนี้ก็มีความชัดเจนเด็ดขาดในตัวอยู่เหมือนกันแม้หลายคนจะบอกว่าเขาเป็นพวกเออออไปหมดในบางทีก็เถอะ
เขารู้ว่ากับคนแบบไหนจะต้องพูดแบบไหนด้วย บางคนต้องใช้ยาแรงตรงๆ บางคนต้องค่อยๆ
ตะล่อมไป อะไรแบบนี้ คือจะบอกว่าลูเซียนช่างสังเกตก็ไม่ผิดเท่าไหร่เลยล่ะ
#6 Smart, especially about reading emotion and
predict what’ll happen next, but he tells no one
ฉลาด
โดยเฉพาะกับการอ่านอารมณ์คนอื่น และคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรต่อไป
แต่เขาไม่เคยบอกใครหรอก
ลูเซียนเป็นคนหัวไวและเรียนรู้เร็วในแทบทุกด้าน
แต่ชอบทำตัวเนียนๆ ไปกับคนอื่นเสียมากกว่าจะแสดงความรู้ความสามารถออกมาอย่างโดดเด่น
คนเลยไม่ค่อยรู้ว่าเขามีความสามารถในการจับอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ดีมาก
คือเห็นหน้าแวบเดียวก็พอจะเดาออกแล้วว่าคนๆ นี้กำลังรู้สึกยังไง
ยิ่งรู้จักหรือสนิทมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้ละเอียด
ถึงขั้นที่ว่าเดาออกด้วยซ้ำว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
บางทีถึงกับเดาได้ด้วยซ้ำว่าใครจะทำอะไรต่อไปบ้าง
ซึ่งด้วยความสามารถแบบนี้เองที่ทำให้การปรึกษาของเขาตรงจุดสุดๆ
จนหลายคนประหลาดใจเลยล่ะ
#7 ‘Live simply, luxury is not his things
ใช้ชีวิตเรียบง่าย
ไม่ชอบอะไรหรูหราเท่าไหร่
ความสุขของลูเซียนช่างเรียบง่ายยิ่งนัก
ความสงบกับหนังสือดีๆ หรือการได้เห็นคนสำคัญของเขามีความสุขมันก็พอแล้วสำหรับเขา
เขาไม่ได้ต้องการเงินทองมากมาย อำนาจล้นฟ้า หรืออะไรสูงศักดิ์ที่หลายคนใช้ทั้งชีวิตเพื่อไขว่คว้ามันไม่เคยใช่สิ่งที่เขานึกปรารถนาเลยแม้แต่น้อย
เขาพอใจเพียงอะไรเรียบง่ายอย่างการได้อยู่กับคนที่เขารักอย่างมีความสุข
เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว คือเขาเป็นคนไม่ค่อยเรื่องมาก กินง่ายอยู่ง่าย
ตราบเท่าที่ยังมีปัจจัยสี่ครบสมบูรณ์ก็เรียกว่าโอเคแล้ว แต่การจะมีอะไรดีๆ พิเศษๆ
โผล่มาบ้างเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไร
เพียงแต่รู้สึกว่าความหรูหราเป็นทางการนั้นให้ความรู้สึกเหินห่าง
เขาชอบอยู่อย่างสบายๆ และอบอุ่นมากกว่าก็เท่านั้นเอง
และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนสนิทถึงน้อย ทั้งๆ ที่ก็ดูเพื่อนเยอะไปหมดทั่วทุกสารทิศ
ก็เพราะเห็นงี้เขาก็เลือกนะ ถึงไม่เรื่องมากเรื่องของ
แต่เรื่องคนมันเป็นคนละประเด็นกันนา...กับเพื่อนสนิทหรือครอบครัวเขาจะทุ่มให้สุดๆ
ชนิดที่ว่าถ้าตายแทนได้เขาอาจจะทำก็ได้เชียวล่ะ...
#8 Calm when the storm comes
สงบนิ่งยามภัยมา
แม้จะกล่าวว่าลูเซียนเป็นพวกอ่อนไหวกว่าที่เห็น
เครียดและกังวลกับเรื่องเล็กน้อยได้อย่างง่ายดาย
แต่ถึงอย่างนั้นพอเจอเรื่องใหญ่จริงๆ ดันสงบได้
แล้วใช้เหตุผลและความเยือกเย็นเข้าสู้ได้เสียอย่างนั้น
รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงเพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น เหมือนกับว่าเรื่องยุ่บยั่บในหัวที่เคยมาทำให้เขากังวลไม่มีผลอะไรใดๆ
ทั้งสิ้นกับเขาในเวลานี้
และตอนนี้แหละที่ความสามารถที่ซ่อนเอาไว้จะเปล่งประกายอย่างเต็มที่จนทำเอาคนอื่นอึ้ง
แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่เพราะเดิมทีก็มีภาพพจน์พึ่งพาได้อยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้ก็เท่านั้นแหละ ก็ลูเซียนดันเป็นพวกคมในฝักนี่...
ชีวประวัติ
::
Is
there anybody out there who’ll listen to me?
ลูเซียนถือกำเนิดมาในบ้านเมลชิออร์อันเป็นตระกูลของดอปเปอร์แกงเกลอร์ที่ขึ้นชื่อพอสมควร
แต่ว่าเขาดันเกิดมาประหลาดตรงสีผมของเขาเป็นสีขาวเงินสว่าง
แถมตายังเป็นสีฟ้าใส
ซึ่งปกติแล้วเผ่าพันธุ์นี้มักจะมีสีผมและสีตาดำสนิทเสียมากกว่าให้สมเป็นภูตเงา...
และนั่นเองทำให้ลูเซียนโดนมองจากพวกตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ
อยู่เรื่อยตั้งแต่เล็ก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดเพียงเพราะสีผมและสีตาด้วย
เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ จนต้องไปถามแม่
“แม่ครับ...ทำไมพวกเขาถึงได้เกลียดผมล่ะ...”
“...แม่ขอโทษนะลูเซียน
แม่ขอโทษ...”
มารดาไม่ได้ดุว่าหรือปลอบโยนเขา
ทำเพียงแค่มองเขาด้วยสายตาเจ็บปวดยิ่ง ก่อนจะดึงเขาเข้าไปกอด
พร่ำขอโทษที่เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าขอโทษทำไม
แต่เขาไม่ได้อยากเห็นแม่ร้องไห้
ลูเซียนตอนนั้นจึงเพียงยิ้มบางๆ กอดแม่กลับไป
“...ไม่เป็นไรครับ
ผมไม่เป็นไรแล้วครับแม่...”
แม้เขาจะยังไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตามที...
เมื่อโตขึ้น
ยามลูเซียนอายุได้ราวเจ็ดขวบปี ในยามนี้เขาเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างค่อนข้างดี
พวกญาติก็แค่หวาดกลัวและตั้งแง่กับความแปลกประหลาดของสีผมและสีตาของเขาเท่านั้น
อีกอย่างคือพวกเขาคิดว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อ
ซึ่งก็ตลกสิ้นดีเมื่อพ่อของเขาไม่ได้รับรู้หรือใส่ใจเรื่องนี้เลย
หากใครมาถามก็จะโดนมองแรงและสวนกลับไปข้อหายุ่งเรื่องชาวบ้าน
ทั้งที่ความจริงหากนับเรื่องพลังแล้ว
เขาไม่ได้ด้อยกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันเลยแม้แต่น้อย
กลับจะโดดเด่นพอสมควรเสียด้วยซ้ำ จนเขาต้องเพลาๆ
ไม่แสดงออกถึงความสามารถที่มากเกินไป
ถึงกระนั้นเขาก็ยังโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ
แต่เขาก็ยังทำยิ้ม ทำเป็นไม่รับรู้อะไร...
และหลังจากนั้นไม่นาน
แม่ก็ให้กำเนิดน้องแฝดขึ้นมา
และมันทำเอาเขาหนักใจว่าน้องทั้งสองของเขานั้นก็ล้วนมีผมสีขาวเงินสว่างเฉกเช่นเดียวกับเขา
ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กทั้งสองคนนี้...
เขาเห็นแม่ร้องไห้
พึมพำโทษตัวเองเช่นทุกครั้ง และสิ่งที่เขาพอจะทำได้เพื่อไม่ให้คนที่เขารักสุดหัวใจต้องร้องไห้เช่นนี้
มีเพียงการเดินเข้าไปกอดปลอบ
และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนั้น
“ไม่เป็นไรนะครับแม่
ผมจะช่วยดูน้องๆ เอง...”
ถึงเขาอยากจะร้องไห้
ถึงเขาอยากจะบอกว่าขอโทษไปก็ไม่ช่วยอะไร...
แต่ไม่เป็นไร เพื่อแม่แล้ว
เขาไม่เป็นไร...
ลูเซียนคาดการณ์แม่นเหมือนตาเห็น
เมื่อน้องๆ โตขึ้นมาก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับเขาจริงๆ
ในฐานะพี่ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมา
เขาจึงเข้าใจความรู้สึกดี และปล่อยให้น้องๆ ร้องระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่เหล่าน้องๆ
จะรักและให้ความเคารพเขาเป็นอันมาก มีอะไรก็จะนึกถึงเขาปรึกษาเขาเป็นคนแรก
ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหา
แต่ปัญหานั้นมี ยังคงมีมาตลอด และมีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น
หนึ่ง เขาฟังที่ทุกคนพูด
ฟังที่ทุกคนระบาย แล้วใครล่ะที่ฟังเขาบ้าง?
แต่เขาก็ไม่ได้อยากพูดออกไป
เขาชอบที่จะเป็นที่พึ่งพาในสายตาน้องๆ
ชอบที่แม่ไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไปแล้วถึงแม้ว่าจะชอบทำหน้าเศร้าเวลามองมายังพวกเขาสามพี่น้องก็ตาม
และนั่นเป็นปัญหาที่สองของเขา
คือแม่ปิดบังอะไรไว้กันแน่...
แต่ไม่เป็นไร
เขาเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก สักวันคำตอบจะต้องปรากฎออกมาแน่ สักวัน...
แม้ว่าเขาจะหวั่นใจว่าคำตอบที่รอคอยจะเป็นอะไรที่เขารับไม่ได้ก็ตามที...
เมื่อลูเซียนอายุได้สิบสาม
เขาก็ได้รับหนึ่งในคำตอบของคำถามที่เขาเฝ้ารอคอยมานาน...
แม่ของเขาล้มป่วยเป็นโรคประหลาดหายาก
หมอที่ตามมาก็เพียงถอนหายใจ ส่ายหน้า บอกเพียงว่าหากอยากยื้อให้รอดจาดโรคนี้ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือต้องอาศัยเลือดไม่ก็เขาของยูนิคอร์น
ยูนิคอร์น...
ชื่อนี้ทำเอาลูเซียนถอนหายใจ
สิ่งมีชีวิตแห่งแสงสว่างที่งดงาม
มันหาตัวยากแสนยากซ้ำยังยอมให้เพียงหญิงสาวพรหมจารีเท่านั้นแตะต้อง และที่สำคัญเขาและเลือดของยูนิคอร์นก็ไม่ต่างอะไรจากการพรากชีวิตของยูนิคอร์นตัวนั้นมา
แต่อย่างว่า...เพื่อแม่แล้วเขาก็คงทำ
แต่ปัญหาคือเขาจะไปหายูนิคอร์นมาได้ยังไงเนี่ยสิ
บิดาของเขาตบไหล่เบาๆ
บอกเพียงว่าไม่ต้องกังวลให้มากนัก ทุกอย่างจะดีขึ้น
ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาถึงได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่ง...
คืนหนึ่งเขารู้สึกนอนไม่หลับเพราะมีแสงจ้าส่องเข้าตา
เมื่อเห็นว่าแสงนั้นเข้าใกล้ห้องของแม่
ลูเซียนก็รีบลุกกระโจนไปยังห้องของแม่ทันทีเผื่อว่าจะเป็นอันตราย
แต่แล้วภาพตรงหน้าที่เขาเห็นก็ทำเขาตะลึง...
ยูนิคอร์น...
เป็นยูนิคอร์นจริงๆ
อยู่ในห้องนอนของมารดา และที่ช็อกยิ่งกว่าคือเมื่อมันหันมามองเขา
“...ลูเซียนรึ”
“...ทำไม...คุณถึง...”
เกิดแสงจ้าบาดตา
ก่อนยูนิคอร์นตรงหน้าจะกลายเป็นหญิงสาวดูสง่างาม
ผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายจับตา ทำเอาเขาละสายตาไม่ได้
“...เราเพิ่งเคยพบกันสินะ...หลานยาย”
“...ฮะ?”
ยาย! เขามียายเป็นยูนิคอร์น!!!
คำถามมากมายได้รับคำตอบในทันที
ทำไมบิดาถึงไม่ร้อนใจทั้งที่ก็รู้ว่ายูนิคอร์นก็หาตัวยาก
และทำไมสีผมและสีตาของเขารวมถึงน้องๆ ถึงได้ออกมาผ่าเหล่าผ่ากอขนาดนี้...
เพราะแบบนี้นี่เอง...
“เห็นทีว่าหลานคงจะได้เชื้อยายไปมากกว่าคอร์เดเลียลูกเราเป็นแน่
จึงได้มีสีผมและสีตาเหมือนยายเช่นนี้”
อีกฝ่ายพูดอย่างใจดี
แต่แล้วก็ถอนหายใจ
“ที่จริงแล้วยายมีเรื่องมากมายนักที่อยากจะพูดกับหลาน
แต่ตอนนี้ต้องช่วยแม่ของหลานก่อน”
ว่าแล้วก็หยิบมีดมากรีดมือตัวเอง
โลหิตสีเงินบริสุทธิ์ไหลออกมาใส่โถแก้ว
ก่อนจะพยักเพยิดให้เขาประคองโถนั้นไปที่ริมฝีปากของมารดา
หลังจากได้ดื่มแล้วก็มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวมองอย่างพึงพอใจก่อนจะหันมาหาเขา และเดินมาลูบหัวเขา
“ยายเห็นทุกอย่างแล้ว หลานอดทนได้ดี
ยายภูมิใจนัก...เพียงแต่บางทีเจ้าก็ต้องรู้จักเอาแต่ใจเสียบ้าง...”
“ผม..”
“ยายต้องไปแล้ว”
หญิงสาวทำหน้าเศร้าด้วยความเสียดาย ก่อนจะยิ้ม “ไว้ว่างๆ จะมาหาหลานใหม่นะ...”
ลูเซียนยอมรับว่าตนเองเฝ้ารอหญิงสาวผู้ที่เป็นยายของเขาจะกลับมาหาอีกครั้ง
มีเพียงจดหมายที่นานๆ
ส่งมาครั้งเท่านั้นที่บอกเล่าว่าเธอยังสบายดี
หลังจากนั้นราวสองปี
เขาได้ข่าวว่ายายหายสาบสูญเพราะพวกกบฏ ทำเอาเขาทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
แต่เขาก็ไม่สามารถไประบายให้ใครฟังได้ ได้แต่เก็บความกังวลนี้ไว้เพียงลำพัง...
จนกระทั่งถึงวัยที่เขาสามารถเขาเรียนได้ที่ซิลวาเนีย
เขาจึงเข้าไปตามกฎ และอีกสาเหตุเป็นเพราะจดหมายฉบับสุดท้ายของยายเขียนเกี่ยวกับซิลวาเนียไว้
ทำให้เขาคิดว่าถ้ามาที่นี่อาจจะได้เบาะแสของยายก็เป็นได้
ความสามารถ
::
- การรับฟังผู้อื่น
- การทำงานบ้านการเรือนทุกอย่าง
(ทำอาหารเก่งมาก)
- เล่นไวโอลิน
- การเลียนแบบทักษะและการเคลื่อนไหวของคนอื่น
(ที่ไม่ใช่ทักษะพิเศษของแต่ละเผ่า)
(อารมณ์เหมือนเพอร์เฟ็คก๊อปปี้ของคิเสะในคุโระบาสน่ะค่ะ เลียนแบบได้
แต่จะทำได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นกับขีดจำกัดร่างกายตัวเอง บางอย่างเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
จะบอกว่าเรียนรู้เร็วก็ไม่ผิดอะไร)
- วิ่งเร็วมาก
พลังพิเศษ
::
- เทเลพอร์ต: สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปในรัศมี
50 กิโลเมตรจากจุดที่อยู่ได้
โดยการหลับตานึกสถานที่ในหัวหรือคิดในใจว่าอยากไปในสถานที่ประมาณไหน
ถ้านึกภาพไม่ชัดมันก็จะไปสุ่มให้ตามนั้น เช่น ถ้าบอกว่าอยากไปที่ๆ โล่งๆ นี่ก็อาจจะไปโผล่กลางทุ่งร้างหรือบ้านร้างในระยะที่กำหนด
เพราะโล่งจริง เพราะงั้นหากนึกได้ชัดเจนหรือรายละเอียดเยอะก็จะยิ่งดี
ไม่ก็ต้องคิดชื่อสถานที่มาเลย
แต่เงื่อนไขในการเทเลพอร์ตนั้นจะใช้ได้ต่อเมื่อยืนอยู่ใน “เงา”
ของบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น และทางออกที่จะโผล่ไปก็จะอยู่ใน “เงา”
ของบางอย่างเช่นกัน เช่นอาจจะวาร์ปไปจากเงาเพื่อน ไปโผล่ใต้ร่มไม้ เป็นต้น
- มายาเงา: ความสามารถของเผ่าภูตเงา
คือสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงรูปร่างเงาได้ดั่งใจ
อนึ่งเป็นความสามารถของเผ่าทำให้ขีดจำกัดมีเพียงแค่ใช้ได้วันละเจ็ดชั่วโมงเท่านั้น
โดยที่ใช้หลักๆ คือ
เงาเลียนแบบ –
ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเลียนแบบท่าของเรา (...คาถาของชิกามารุในนารุโตะนั่นแหละค่ะ)
ควบคุมรูปร่างและเปลี่ยนรูปเงา –
อันนี้ใช้ได้หลายแบบอยู่ เป็นคาถาประจำตัวเลยก็ไม่ผิด
มายาเงาทมิฬ –
ทำให้เงาอีกฝ่ายเหมือนมีชีวิต และสามารถควบคุมมันได้
เงานี้จะมีความสามารถเหมือนเจ้าของทุกประการ เวทมนตร์นี้แรงมากและทรงพลังสุดๆ
เป็นมนตราระดับสูงของภูตเงา แต่ข้อจำกัดก็เยอะเช่นกัน คือ
สามารถใช้ได้แค่วันละครั้ง แต่ละครั้งคุมได้สูงสุดแค่สามเงา
และใช้ต่อเนื่องได้ไม่เกินสามชั่วโมง มากกว่านี้คนใช้จะน็อก (ถ้าโตขึ้น
พลังมากกว่านี้ ขีดจำกัดก็จะน้อยลง แต่ตอนนี้ได้แค่นี้แหละ)
สิ่งที่ชอบ
::
- ความสงบ
[เพราะมันทำให้เขาสบายใจ ถ้าสงบก็จะอารมณ์ดี]
- รอยยิ้ม
โดยเฉพาะของคนสำคัญ [เหมือนกับข้อแรก]
- เวลากลางคืน
[เพราะด้วยเผ่าพันธุ์ของเขาทำให้เขารู้สึกสบายกว่าหากเป็นยามราตรี
ก็รู้สึกดีนั่นแหละ]
- เสียงไวโอลิน
[เพราะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
เวลาเครียดก็จะชอบเอามาเล่น]
- การที่ตัวเองทำให้คนอื่นยิ้มได้
[เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ ถ้าทำได้ก็จะดีใจมากๆ]
- นกฮูก
นกเค้าแมว ว่าง่ายๆ พวกสัตว์กลางคืน [เพราะเหมือนเป็นเพื่อนที่อยู่ในยามราตรี
ถ้าเจอก็จะยิ้มเอ็นดู]
- ชาเข้มๆ
หรือโกโก้เข้มๆ [เพราะมันทำให้เขาอารมณ์ดี
ได้ดื่มแล้วจะรู้สึกปลอดโปร่ง]
- คุณยาย [เพราะเป็นคนที่เขาเจอแล้วรู้สึกสบายใจมากๆ
ถ้าได้เจออีกชาตินี้เขาคงไม่ขออะไรแล้วล่ะ]
สิ่งที่ไม่ชอบ
::
- การรอคอยโดยไร้จุดหมาย
[เพราะทำให้เขาเศร้าน่ะสิ
เวลาเจอเจอห่อเหี่ยวและกังวลมาก]
- การที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรคนอื่นได้เท่าที่ควร
[เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย
เวลาเป็นแบบนี้ก็ห่อเหี่ยวอีก]
- อะไรที่เป็นทางการมากเกินไป
[เพราะรู้สึกห่างเหิน
เวลาเจอก็จะไม่อะไรหรอก แต่ในใจจะอึดอัด]
- อากาศร้อนจัด
[คือเพราะเขาขี้ร้อนด้วยแหละนะ
เวลาเจอจะรีบหลบเข้าร่มเลย]
- การเป็นจุดเด่น
[เพราะว่าเขารักสงบและชอบที่จะช่วยคนอื่นมากกว่าจะเด่นเอง
ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาก็จะเหมือนไม่อะไร แต่ในใจจะรู้สึกประหม่า]
สิ่งที่เกลียด
::
- การโดนแบ่งแยกเพราะความแตกต่างเฉพาะบุคคล
[เพราะเขาเคยผ่านมันมาก่อนแล้ว
ถ้าเจอจะไม่พอใจมากๆ บางทีอาจจะสวนด้วย]
- สีหน้าเสียใจของคนสำคัญ
ถ้ามีน้ำตาด้วยจะยิ่งหนักมาก [เพราะว่ามันยิ่งตอกย้ำความไม่เอาไหนของเขาน่ะสิ
เวลาเห็นจะเจ็บใจมากและโทษตัวเองก่อนเลย]
- การทำให้คนอื่นเดือดร้อน [เหมือนกับข้อที่แล้ว]
- แมลงสาบ [เพราะเขารู้สึกว่ามันสกปรกน่ะ
ถ้าเจอบี้ทิ้งสถานเดียว]
- ของที่แลกมาด้วยชีวิตของยูนิคอร์น
[อาทิ พวกเขา
เลือด อะไรแบบนี้
ที่เกลียดนี่คือปนกลัวด้วยว่าจะเป็นยายของเขาล่ะนะ...ถ้าเจอก็จะมองด้วยสายตาทั้งโกรธทั้งเศร้า
แต่ก็พูดอะไรไม่ออก]
สิ่งที่กลัว
::
- คนสำคัญเสียชีวิต
(โดยเฉพาะคุณยาย) หรือไม่ก็อยู่ๆ หายไปเลยแบบไม่บอกกล่าว [เพราะแค่ยายเขาเป็นตายร้ายดียังไงเขาก็กลัวจะตายอยู่แล้ว
อย่ามีอีกเลย เพราะถ้ามีเขาคงจิตตกไปอีกนาน...]
- การที่ตัวเองไม่สามารถทำให้คนสำคัญมีความสุขได้อีก
[เพราะความสุขของคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเขา
ตัวตนของเขาอยูได้ด้วยสิ่งนี้ หากทำไม่ได้แล้วจะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไร้ค่ามากๆ]
แพ้
:: ไม่มี
งานอดิเรก
:: ทำอาหาร / เดินเล่น / เล่นไวโอลิน / อ่านหนังสือ
ลักษณะการพูด
::
- ลูเซียนเป็นคนที่มีน้ำเสียงสงบ
แต่ไม่ราบเรียบ และก็ไม่ใส่อารมณ์มากเกินไป (ยกเว้นกำลังเกรี้ยวกราดหรือโกรธมากๆ)
ฟังแล้วทำให้จิตใจสงบตามเหมือนได้รับการปลอบประโลม น้ำเสียงของเขานั้นไม่สูงไม่ต่ำเกินไป
เป็นโทนมาตรฐานของเด็กหนุ่มในวัยนั้น
-
ลูเซียนเป็นคนพูดจาสุภาพ มักมีคำว่า “ครับ” โผล่มาเป็นะระยะไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม
แต่จะมากน้อยขึ้นกับบริบทของการสนทนา และคู่สนทนาเป็นใคร เช่น
ถ้าเป็นเพื่อนก็จะนานๆ ทีมา แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะมาบ่อยขึ้น
แต่ต่อให้ไม่มีคำลงท้ายฟังยังไงก็สุภาพ
- มักแทนตัวเองว่า
“ผม” แทนคนอื่นด้วย “ชื่อ” (ตามที่อีกฝ่ายอยากให้เรียก) ไม่ก็ “คุณ” สนิทหน่อยแล้ววัยใกล้กันก็
“นาย” “เธอ”
ตัวอย่าง
I – Introduce
“ฉันชื่อ...นายล่ะ?”
“ผม...ลูเซียน เมลชิออร์ ยินดีที่ได้พบนะครับคุณ...(ชื่ออีกฝ่าย)
จะเรียกผมว่าลูเซียนก็ได้นะครับ”
II – Only thing I can do for you
“เฮ้อ...แบบนี้ฉันก็ควรจะไปเคลียร์ให้มันเรียบร้อยสินะ”
อีกฝ่ายถอนหายใจ มองลูเซียนที่ฟังเขาพล่ามมาร่วมชั่วโมง “โทษทีนะลูเซียน
อุตส่าห์มานั่งฟังฉันตั้งนานแถมยังให้คำแนะนำอีก ขอบใจมาก แกนี่เป็นคนดีจริงๆ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นเรื่องที่ผมพอจะทำได้ก็เท่านั้นเอง...แค่นายรู้สึกดีขึ้นผมก็ดีใจแล้ว”
III – Are you alright?
“พี่ลูเซียน พี่ไหวรึเปล่า
สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ?”
เจ้าตัวฟื้นขึ้นมาจากภวังค์
ปรับสีหน้าให้ดูยิ้มแย้มอย่างเก่า “...พี่ไม่เป็นไรครับลูคัส พี่สบายดี
คงแค่พักผ่อนน้อยไปหน่อยน่ะ...”
...เขาบอกไม่ได้หรอกว่าเผลอคิดถึงเรื่องของยายอีกแล้ว
บอกใครไม่ได้หรอก
IV – Worry,
not worry
“แกว่าฉันควรจะทำไงดีวะ...ทั้งๆ
ที่ฉันไม่ควรจะไปชอบแฟนเพื่อนแท้ๆ...”
ความกังวลก่อขึ้นในใจลูเซียนทันทีที่รู้หัวข้อ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้คำแนะนำไปตามเคย
“...คนที่ใช่ ในเวลาที่ไม่ใช่
มันก็คือไม่ใช่อยู่ดีนะ...ถ้านายอึดอัดมาก นายจะไปบอกความรู้สึกเขาก็ได้
แต่ผมว่าถ้านายทำอย่างนั้นนายคงมองหน้าเพื่อนไม่ติดหรอก
เรื่องนี้ผมคงแนะนำได้แค่นี้”
“เออ ฉันก็ว่างั้นแหละ เฮ้อ..ไว้จะไปคิดดีๆ
แล้วกัน”
คล้อยหลังเพื่อนไป
สีหน้าของลูเซียนกลับมาเครียดทันที ถอนหายใจยาวพลางเอามือก่ายหน้าผาก
...มันจะรอดมั้ยเนี่ย
นิสัยอย่างหมอนั่นมีหวังวิ่งโร่ไปบอกแฟนเพื่อนมัน
แล้วมันก็จะวิ่งกลับมาบอกว่าขัดใจกับเพื่อนเรื่องแฟนแน่ๆ...
และเขาก็เดาไม่ผิดจริงๆ...
V – Discrimination
“เป็นภูตเงาแท้ๆ แต่ดันมีสีผมสีตาแบบนี้สงสัยสายเลือดจะไม่เข้มข้น
เอ...หรือว่านี่จะไม่ใช่ลูกของ...”
“...นั่นสินะครับ” ลูเซียนเอ่ยตัดประโยคอย่างน้อยครั้งจะทำ
ส่งยิ้มเย็นยะเยือกไปให้ “ขนาดผมที่สายเลือดไม่ข้นยังยังมีพลังเวทเหนือคุณ
ถ้าเป็นสายเลือดแท้คงทิ้งห่างคุณจนน่าสงสารแน่ๆ เอ...แต่สายเลือดแท้จะมีพลังน้อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...หรือว่าคุณกันแน่ที่เป็นสายเลือดไม่แท้?”
VI – Calm in crisis
“สงบสติไว้ครับทุกคน
แตกตื่นตอนนี้ไปก็มีแต่จะเข้าทางอีกฝ่ายเท่านั้นแหละครับ...”
เพิ่มเติม
::
-
เรื่องของยาย ลูเซียนเก็บมิดมาก ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาติดต่อกับยายอยู่ แม่กับน้องๆ
ก็ไม่รู้ (ยายชื่อ กาบริเอลล่า ไซเลนเซีย Gabriella Silencia) ลูเซียนและน้องๆ
ได้สีผมและสีตามาจากยายหมด แต่แม่เขาดันสีผมสีตาดำสนิทซะงั้น...
- จากข้อที่แล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่เคยบอกใครว่าตัวเองมีสายเลือดยูนิคอร์น กระทั่งน้องก็ไม่บอก
-
แน่นอนว่าเป็นคนเก็บความลับได้มิดมาก
-
พ่อแม่ของบ้านนี้เป็นไทป์ที่ให้ลูกโตเอง เพื่อจะได้เข้มแข็ง เลยกลายเป็นแบบนี้ไป ซึ่งแม่นั้นกลุ้มใจเรื่องสายเลือดตัวเองมาตลอดเพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแม่(ยาย)จะเป็นอันตราย
แต่ก็เจ็บที่ต้องทนเห็นลูกเจ็บปวด
-
น้องแฝดสองคนของลูเซียนเป็นแฝดชายหญิง ลูคัส Lucas – เลน่า Lena ตอนนี้อายุได้ 10 ปี รักลูเซียนที่สุดในบ้าน
ชนิดที่ว่าถ้าบอกให้เลือกฟังแค่คนเดียวในบ้าน
สองแฝดจะตอบอย่างไม่ลังเลว่าจะฟังลูเซียน
-
ทักษะพิเศษที่ดูเหมือนจะได้มาจากเลือดยูนิคอร์นของยาย
คือลูเซียนสามารถรับรู้ได้หากมียูนิคอร์นอยู่ใกล้ๆ ในรัศมีห้ากิโลเมตร
และสามารถแตะตัวพวกมันได้โดยมันไม่หนีหรือถีบเขาทิ้งก่อน (ยายเขาว่างั้นนะ
ก็ยายเป็นยูนิคอร์นอ่ะ)
แต่ไม่ได้รับทักษะการรักษาหรือพลังอะไรจากยูนิคอร์นมาทั้งสิ้น
_____________________________________________________________________
TALK
WITH CHARACTER
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนซิลวาเนีย กรุณาแนะนำตัวด้วยชื่อ นามสกุลและเผ่าพันธุ์ของคุณเพื่อยืนยันตัวตนด้วยค่ะ”
ANS
:: ลูเซียนยิ้มน้อยๆ แม้ในใจจะเริ่มเป็นกังวลกับคำถาม
แต่ก็ตอบไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไร “ลูเซียน เมลชิออร์ครับ...เผ่าพันธุ์ดอปเปลแกงเกอร์
ไม่ทราบว่าตรงกับข้อมูลของทางคุณไหมครับ”
เขาถามกลับ
ในใจภาวนาให้ทางนั้นอย่ารู้เลยว่าเขามีเลือดยูนิคอร์นอยู่หนึ่งในสี่น่ะ
ไม่งั้นเรื่องยาวแน่...
“ขอทราบทัศนคติเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของคุณได้มั้ยคะ?”
ANS
:: “...หมายถึงทัศนคติเกี่ยวกับเผ่าของผมสินะครับ”
ลูเซียนยืนยันคำถาม ก่อนจะทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย
แต่ในใจเองก็กังวลว่าควรจะตอบอย่างไรจึงจะเหมาะสมดี สุดท้ายก็เลยตัดสินใจตอบกลางๆ “ก็...เป็นเผ่าพันธุ์ที่เขาว่ามีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายติดตัวล่ะมั้งครับ
บ้างก็ว่าพวกเราช่วยปกป้องคุ้มครอง บ้างก็ว่าถ้าเจอพวกเราถือเป็นลางร้าย
แต่ผมว่าพวกเราก็ไม่ได้ต่างจากเผ่าอื่นหรอกครับนอกจากพลังพิเศษของแต่ละเผ่า...”
“คำว่ามนุษย์มีความหมายว่าอะไรและเป็นอย่างไรในความคิดคุณ”
ANS
:: “มนุษย์?”
ลูเซียนกระพริบตา เป็นคำถามที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาพอสมควรเลยทีเดียว
“อืม...จะพูดว่ายังไงดีล่ะ...ผมเองก็นิยามไม่ค่อยถูก
แต่พวกเขาเป็น...อะไรก็ตามที่บางทีพวกเราก็เข้าไม่ค่อยถึงในหลายๆ ด้านน่ะครับ
ทั้งความคิด ทั้งทัศนคติ อะไรหลายๆ อย่าง
แต่ผมก็ทึ่งนะที่พวกเขาไม่มีพลังพิเศษอะไรเลยกลับสร้างความเจริญให้กับพวกตัวเองได้ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย...”
“ตามประวัติศาสตร์ คุณคิดว่าการกระทำของท่านเป็นอย่างไรที่สร้างอีเดนนี้ให้กับเรา”
ANS
:: เหงื่อของลูเซียนเริ่มตก คำถามยากกว่าเดิมอีก แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสงดออกถึงความกังวลเลยแม้แต่น้อย
“ผมไม่อาจทราบได้ว่าท่านผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ตอนสร้างอีเดนนี้ขึ้นมา แต่ผมคิดว่า...ท่านอาจจะคิดว่าถ้าไม่สร้างเอาไว้
อาจจะเกิดปัญหามากไปกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้...เพราะถ้าไม่มีอีเดน
ตอนนี้เราก็คงอยู่ร่วมกับมนุษย์อยู่ และผมนึกไม่ออกจริงๆ ครับ ว่าถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมา
พวกเราจะเป็นยังไงกันแน่...”
“คำถามสุดท้าย
คุณคิดไว้หรือยังว่าอนาคตอันใกล้นี้จะเลือกอยู่หรือไปจากอีเดน”
ANS
:: “ผมคงอยู่..” ลูเซียนเอ่ยเสียงเบา แต่ไร้ความลังเล “คนสำคัญของผมอยู่ที่นี่มากมาย
เพราะฉะนั้นผมต้องอยู่ที่นี่เพื่อพวกเขา...”
แต่ถ้าพวกเขาไม่อยู่แล้ว...ก็อาจจะเป็นอีกเรื่อง
นี่เป็นสิ่งที่ลูเซียนคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
_____________________________________________________________________
TALK
WITH PARENTS
สวัสดีอีกครั้งนะคะ
ฮันนี่เองค่า ผปค.ชื่ออะไรกันเอ่ย
ANS
:: ยูกินะเอง
เพิ่มเติมคือรอบที่สามแหล่ว / อย่าตีเลาว์
เหตุผลที่เลือกบทนี้มีอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ?
ANS
:: อืม...รู้สึกเป็นบทที่มีอะไรซ่อนอยู่ที่เราก็บอกไม่ถูก
ตอนแรกเราว่าบทนี้ให้อิมเมจคล้ายบทของนาเดชิโกะ แต่คิดไปคิดมาอันนี้จะมีความเปราะบางมากกว่า
และอะไรหลายอย่างที่ทำให้รู้ว่าการแสดงออกกับสิ่งในใจไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ทุกคนคิดน่ะค่ะ
ถ้าน้องไม่ติดบทหลัก
สนใจบทเสริมหรือรับกลับคะ?
ANS
:: รับกลับค่ะ
ขอคำนิยามให้น้องหน่อยค่ะ
ANS
:: “ห้องสารภาพบาป” ค่ะ คือห้องสารภาพบาปเป็นสถานที่ๆ
คนจะไประบายบอกเล่าความทุกข์ได้ โดยที่อีกฝ่ายก็จะเพียงฟังและให้คำแนะนำไปตามสมควร
เป็นสถานที่ๆ มีไว้เพื่อรับฟังการระบาย แต่คนข้างในเองเนี่ยสิ
ดันระบายอะไรออกไปให้ใครฟังไม่ได้เลย และภายในห้องที่มีผนังกั้นไว้ จริงๆ
แล้วคนหลังผนังอาจจะกำลังเจ็บปวด กรีดร้อง เปราะบาง
หรืออะไรมากมายกว่าคนที่มาระบายเสียอีก แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มแล้วก็ให้คำแนะนำกลับไป
ราวกับว่าไม่ว่าจะฟ้าถล่มทลายยังไงก็จะยังอยู่ตรงนี้เพื่อคนอื่นเสมอค่ะ
เรื่องนี้ไม่ได้เน้นเรื่องคู่เท่าไหร่
แล้วแต่การจับคู่ของเราซะส่วนใหญ่ อยากทราบว่าโอเคกับ Normal,
Yaoi, Yuri มั้ยคะ
ANS
:: โอเคค่า
เรื่องนี้เน้นดาร์กมากค่ะ
ถ้าน้องมีโอกาสตายปานกลางค่อนไปทางสูงจะโอเครึเปล่าคะ
ANS
:: ไม่มีปัญหาค่ะ
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณที่มาสมัครเรื่องนี้
รักทุกคนนะคะ <3
ANS :: เช่นกันค่ะ รับลูเซียน เลติเตีย และนาเดชิโกะไว้พิจารณาด้วยนะคะ
Matcha ot;">
ความคิดเห็น