ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #27 : กลรักอสุรา l บทที่๒๕ ตอน คำขอ {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.79K
      212
      24 ก.พ. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *


    บทที่๒๕
    ตอน คำขอ

    หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา 

    พอห้วงคำนึกหวนนึกมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าของนางสวรรค์ที่ยังพอจำได้เลือนรางในหัว ก็ปรากฏภาพของนารีชนผู้หนึ่งขึ้นซ้อนทับให้ได้เห็น พร้อมเสียงบอกกล่าวอย่างหนักแน่นดูมั่นอกมั่นใจ

    ในฝันฉันเห็นท่านกับแม่จันทน์ผาพูดคุยกันอยู่ที่โถงทางเดิน บริเวณประตูวังเจ้าค่ะ เหมือนว่าแม่จันทน์ผาจะเดินชนท่านจนดอกบัวในพานร่วงเกลื่อนพื้น…’ โดยมีเสียงจากเศษเสี้ยวความทรงจำของเรา ผลักดันให้ส่งเสียงเติมต่อถ้อยวาจาของนางที่ขาดหาย

    ในครั้งนั้น...พี่คือผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยนางสวรรค์ตนนั้นก้มเก็บดอกบัว 

    อุราเริ่มเกิดอาการปวดแปล๊บขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ทันทีที่เสียงพูดคุยระหว่างเรากับแม่ทับทิมขาดหายไปจากภวังค์ แต่ด้วยเพราะมันคงเป็นกริยาที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ หากต้องแสดงความรู้สึกที่มีต่อหน้าผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพ

    ความเจ็บที่เกิดขึ้น จึงเหมือนเป็นกริชขนาดเล็กที่ค่อยๆ บาดลงกลางใจให้รู้สึกระบมอย่างเชื่องช้าตามประสาผู้ไร้ปัญญาเยียวยาแก้ไข ซ้ำยังก่อเกิดเป็นคำถามวนซ้ำไป ซ้ำมา ว่าเหตุใดเราจึงไม่อาจจดจำแม่จันทน์ผาได้เทียบเท่าดวงใจ หากว่าแท้จริงแล้วนางคือนางอัปสรที่เราต้องตามาตั้งแต่ต้น...

    ทว่า ยิ่งพยายามใคร่ครวญให้ลึกลงไปถึงก้นบึ้งความรู้สึกตนเองเท่าไหร่ สิ่งที่เราได้กลับคืนมานั้นกลับมีเพียงเสียงบอกกล่าวระคนร่ำไห้มากล้นไปด้วยความเจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจ

    หะ หากทับทิมเม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้อึกฮึกได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ

    ยิ่งเมื่อภาพนางสวรรค์ตนนั้นปรากฏขึ้นสู่ภาพความทรงจำเจนชัดมากขึ้นเท่าไหร่ อาการเจ็บปวดจากอุราซ้ายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซ้ำยังเริ่มแผ่กระจายเข้าสู่กมลความคิด 

    ปัจฉิมยามเช่นนี้ เจ้าบุกมากระทำสิ่งใดในสวนหลังวังเช่นนี้เพียงลำพังเล่านางอัปสร ?’

    คะ ครั้นเมื่อปัจฉิมยามเช่นนี้ หม่อมฉันเล็งเห็นว่าเป็นฤกษ์ยามดี สมควรแก่การเข้ามาชมพันธ์ไม้ในสวนน่ะเจ้าคะ แม้จะรู้สึกระบมไปทั่วทุกส่วนตามร่างกาย แต่ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือกริยาอ่อนหวานที่นางอัปสรตนนั้นมีกลับเริ่มเด่นชัดถ้อยชัดคำมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่านอสุรารู้หรือไม่เจ้าคะ ว่าดอกไม้นั้นมิได้ต่างจากทุกชีวาบนแผ่นดินสักเท่าไหร่

    มิต่างเช่นไรงั้นรึ เราหาได้เข้าใจความไม่

    ดูเช่นพิกุลทองต้นนี้สิเจ้าคะ ยามนี้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสวน หากเมื่อไหร่ที่ขาดการดูแลเอาใจใส่กลิ่นหอมเหล่านี้อาจจะเลือนหายไป เหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านที่แห้งตายด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงถือโอกาส ใช้ช่วงยามอันสงบเงียบครานี้ คอยดูแลเอาใจใส่พิกุลทองต้นนี้น่ะเจ้าค่ะ

    ด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงจิตใจอันดีในตอนชมต้นพิกุลทองค่ำคืนของนางกระมัง เราจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถ้อยคำถามต่อนางออกไป

    เจ้ามีนามว่า จันทน์ผางั้นรึ ?

    หมับ!

    ‘…เจ้าค่ะ หม่อมฉันชื่อจันทน์ผาที่น่าขบขันเห็นทีคงจะเป็น ไออุ่นจากอ้อมกอดหลังเสียงถามไถที่นางปรี่เข้าใช้กอดรัดกายเราอย่างถือวิสาสะแบบไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงในคืนนั้น หม่อมฉันคำนึกหาท่านอสุราอยู่ทุกเพลานะเจ้าคะ

    จนถึงยามนี้ เรายังรู้สึกถึงไออุ่นที่นางมีให้ราวกับว่าอ้อมกอดดังกล่าวเพิ่งพ้นผ่านไปได้ไม่นาน แม้สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น จะเป็นถ้อยคำขับไล่และต่อว่าจากปากเราก็ตามที

    ฟึ่บ!

    ออกห่างจากตัวเรา! ไยเจ้าจึงมิรู้จักสงวนตัวสงวนตน กระทำกริยาไร้มารยาท หาได้รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อเราเช่นนี้ไม่!’ 

    ยิ่งใคร่ครวญถึงห้วงความหลังมากเท่าไหร่ นอกจากใจที่ระบมเพราะอาการสับสนซึ่งไม่ยอมลดลงแล้ว อาการปวดแปลบราวกับมีบางสิ่งถูกกระแทกกระทั้นลงสู่ศีรษะก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    อึก…” จนต้องใช้มือขึ้นกุมขมับตนเองไว้โดยหวังว่าอาการดังกล่าวจะทุเลาลง

    หากต้องกล่าวว่าเราเองคุ้นชินกับอาการลักษณะนี้อยู่บ้าง มันก็คงไม่ผิดนัก เมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายยามนี้นั้น ได้เคยเกิดขึ้นกับตัวเรามาแล้วเช่นกัน  

    ฟึ่บ !

    ทะ ท่านอสุราขอรับ !” ทันทีที่อาการทั้งหมดเริ่มแสดงผ่านสีหน้าและความรู้สึก ท่านชมชิตทร์ซึ่งนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่เคียงกายไม่ห่าง จึงรีบส่งเสียงพร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้น ปรี่เข้าช่วยพยุงกายเสมือนเสียแรงของเราโดยทันที

    ถึงแม้เหตุการณ์เพลานี้จะคับคล้ายคับคลาหรือซ้ำอดีต แต่ที่ต่างออกไป เห็นทีจะเป็นตัวเราเองที่เลือกจะยกมือขึ้น เพื่อหยุดรับการช่วยเหลือ

    “ระ เรามิเป็นไร ท่านชมชิตทร์มิต้องเป็นห่วง...อึก” 

    หากจำไม่ผิด รู้สึกว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้น...ยามที่เราแอบลอบเข้าหานางอัปสรซึ่งถูกลงทัณฑ์

    มันเกิดขึ้นในคืนที่เงียบไร้ซึ่งขยลพัดไหว หลายชีวิตล้วนแล้วแต่พากันเข้าสู่ห้วงนิทรา เว้นเพียงบางชีวิตซึ่งยังคงทำหน้าที่อารักขาอยู่ต่างพื้นที่ต่างๆ ภายในวัง ซึ่งนั่นรวมถึงเรา

    ฉันล่ะสงสารแม่จันทน์ผา ไม่รู้เหตุใดดลใจให้ลักลอบกระทำการเช่นนั้นได้ลง…’

    เห็นว่ารับโทษหนัก มิรู้ยามนี้จักมีสภาพเป็นเช่นไรบ้างเหตุคงเพราะเสียงเจรจาของเหล่านางอัปสรในวังที่พูดถึงเหตุการณ์ลงทัณฑ์กระมัง ที่ทำให้เราร้อนอกร้อนใจจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง จนท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะลอบเข้าไปดูสภาพของผู้กระทำผิดตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ได้ยลยินเป็นขวัญตา

    ทั้งที่มีอำนาจไม่แพ้ผู้ใดในนครยักษ์ หากแต่ในตอนนั้นเรากลับมีสภาพมิต่างจากโจรผู้ร้าย ที่พยายามแอบลอบเข้าสู่พื้นที่ภายในวัง อนึ่งเพราะไม่อยากให้หญิงคนรักล่วงรู้ถึงสิ่งที่หมายกระทำจนผิดใจเช่นที่ผ่านมา สอง เพราะการเข้าไปเยี่ยมหาผู้กระทำผิดนั้น หาใช่กงการใดที่เราต้องลงมือกระทำตัวตนเองไม่

    ดังนั้นมันคงไม่แปลกอะไร หากสภาพเราในคืนนั้น จะลงเอยด้วยสภาพเช่นนี้...

    ภายในห้องพักอับชื้นตามสถานภาพของผู้พักอาศัย บนเตียงไม้ไร้หมอน ไร้ผ้าปู หรือผ้าห่ม ปรากฏร่างของหญิงสาวในสภาพบอบช้ำไม่ต่างจากคำล่ำลือ นอนขดตัวอยู่ท่ามกลางอากาศภายในห้องที่หนาวเหน็บในอาการสั่นเทา

    เนื้อตัวนางเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนตีไม่ต่างจากช่วงเวลาที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า หากแต่สภาพนางในช่วงเพลานั้นดูบอบช้ำกว่าที่เคยเห็นในครั้งแรกนัก และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเรากำลังรู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ยลเห็นสภาพบอบช้ำบนเรือนร่างนางอัปสร

    หากในตอนนั้นเราพูดอะไรเพียงสักหน่อย เนื้อตัวนางคงไม่บอบช้ำถึงเพียงนี้...

    แม่จันทน์ผา…’ ท่ามกลางความเงียบภายในห้อง เราได้ยินเสียงของตัวเองที่ใช้ขานเรียกนางสวรรค์ตนนั้น อีกทั้งยังจำสัมผัสของตนเองขณะใช้ฝ่ามือถือวิสาสะแตะลงตามเนื้อตัวที่ร้อนผ่าวราวกับกำลังจับไข้ของนางได้

    น่าสังเวชและเวทนานัก เรารู้สึกเช่นนั้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเราเสียเองที่ เปลี่ยนหน้าตักตนเองเป็นหมอนให้นางใช้หนุนอิง และคอยอยู่เฝ้าปรนนิบัติดูแลพิษไข้ของผู้ผิดให้บรรเทาลง

    ยังเจ็บอยู่หรือไม่ แม่จันทน์ผา…’ ซ้ำยังถามไถ่อาการอยู่ทุกช่วงเพลา แม้นไม่มีเสียงของผู้ถูกถามเอ่ยตอบกลับก็ตามที ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่ช่วงเวลาในความเงียบซึ่งหลงเหลือเพียงแสงไฟสลัวจากแสงเทียน กลับกลายเป็นช่วงเวลาเดียวที่เราสามารถจดจำใบหน้าสวยของแม่จันทน์ผาได้อย่างชัดเจนที่สุด

    จำได้แม้กระทั่งสัมผัสของตัวเองขณะลากไล้ปลายนิ้วเกลี่ยปรอยผมที่ปกปิดใบหน้าสวยให้เข้าที่ หรือแม้แต่เสียงลมหายใจระหว่างเราที่ดังสลับในช่วงคืนยามนั้น โดยเฉพาะกับความรู้สึกชั่ววูบบางอย่างที่ดลจิตดลใจให้พลั้งเผลอทำเรื่องไม่สมควร

    ก้มจุมพิตบริเวณหน้าผากนางสวรรค์ตนนั้น เฉกเช่นความรู้สึกแรกเมื่อครั้งลงเรือพายเก็บดอกบัวในสระ แม้จิตนึกคิดจะรับรู้ดีว่านางไม่ใช่หญิงคนรักของตัวเองก็ตามที...

    นี่คงเป็นอีกเรื่องที่เรานั้นไม่อาจหาเหตุผลให้ตัวเองได้ ว่าเหตุใด ทั้งที่เป็นปฏิเสธและพยายามอยู่ให้ไกลห่าง เพื่อตัดสัมพันธ์ข้องเกี่ยวระหว่างเราลง หากแต่ในช่วงยามนั้นกลับเป็นเราเสียเองที่เหมือนถูกใบหน้าสวยไร้ความคุ้นเคยดวงนั้นสะกด ซ้ำยังอยู่ดูแลใกล้ชิด ราวกับความสัมพันธ์ของสองเราไม่ใช่เพียงคนรู้จัก 

    และการอยู่เฝ้าปรนนิบัติดูแลเฉกเช่นคนรักในคืนนั้น มันเลยทำให้อาการปวดหนึบภายในศีรษะในแบบที่ไม่เคยเป็นบังเกิดขึ้น

    ขะ ขอเพลา…’ มันเริ่มมาจากเสียงแหบพร่าไม่เป็นศัพท์คล้ายกับคนละเมอของนางขณะนอนหนุนอยู่บนตัก อีกเพียงสักนิดเถิดนะเจ้าคะทะ ท่านวิรุฬ

     นางกำลังละเมอครวญหาชายคนรักในเมืองมนุษย์ของตนเอง นั่นจึงทำให้ฝ่ามือที่ช่วงลูบไปตามกรอบหน้าได้รูปจากเราหยุดลงไปพร้อมมนต์สะกดชวนดึงดูด แต่ว่า

    ว่าดะ ดอกบัว

    ดอกบัวงั้นรึ ?ความแคลงใจเพราะเสียงละเมอไม่ได้ศัพท์ ทำเอาพลั้งปากถามอย่างลืมตัว หากแต่สิ่งที่ได้คืนมา กลับกลายเป็นถ้อยคำซึ่งน่าจะมีเพียงเราและแม่นิมมานรดีเท่านั้นที่ควรรู้

    ‘ดอกบัว...กะ ใกล้แย้มในมือท่านอสุรามะ เมื่อครานั้น งดงามเสียยิ่งกว่าบุปผาสายพันธุ์ใด 

    แปล๊บ...

    วูบหนึ่งที่เผลอหวนนึกตามวจีเพียงเท่านั้น กะโหลกศีรษะก็คล้ายกับถูกบางสิ่งตอกลงมาพร้อมอาการปวดหนึบในแบบที่ไม่เคยได้พบได้เจอ ราวกับว่าอาการเหล่านี้ต้องการให้ทุกความคิดทั้งหมดที่มีหยุดลง

    ไม่สิ ไม่ใช่แค่ชั่วยามครั้งนั้น หากแต่อาการระบมไปทั่วกะโหลกราวกับถูกเหล็กร้อนทิ่มแทงเช่นนี้ มักบังเกิดกับร่างกายเสียทุกครั้ง ในยามที่เผลอครุ่นคิดเรื่องนางสวรรค์ตนนั้นถึงจะถูก

    เพราะเหตุนี้กระมัง เศษเสี้ยวความคิดของเราที่มีต่อแม่จันทน์ผา นอกจากรู้พื้นเพต้นกำเนิดแล้ว เรื่องความสัมพันธ์อื่นจึงมีไม่มากนัก เมื่อเทียบเท่ากับหญิงคนรักซึ่งคอยอยู่ใกล้เคียงกายไม่ห่าง 

    ทว่า ในหนนี้ความเจ็บปวดทางกายที่ถือกำเนิดขึ้นจากการนึกทบทวน ก็ไม่อาจให้เราหยุดความตั้งใจที่มีลงได้เฉกเช่นที่แล้วมาอีกต่อไป ถึงแม้จะตั้งปณิธานต่อตนเองเช่นนั้น แต่ยิ่งพยายามนึก อาการปวดแปลบในหัวก็คล้ายกับทวีความรุนแรงขึ้น 

    อึก…” จนพลอยให้ลมหายใจที่เคยเป็นปกติถี่รัวขึ้นในแบบที่ไม่เคยเป็น เราเหมือนผู้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงซึ่งเอาแต่ปฏิเสธความหวังดีของท่านปุโรหิตด้วยการยกมือห้ามปรามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ 

    จะพอเป็นไปได้ไหมเจ้าคะ หากผู้ชายที่ชื่อวิรุฬคนนั้นจะใช้อาคมที่ตัวเองมี ทำอะไรบางอย่างใส่ท่าน... แต่ก่อนความคิดที่มี ต้องยุติลงเพราะอาการระบมในหัวเฉกเช่นที่ผ่าน ช่วงเพลานั้นเรากลับได้ยินอีกเสียงดังผ่านความเจ็บปวดทั้งหมดเข้ามาประมาณว่าที่ท่านจดจำเรื่องของแม่นิมมานรดีได้อย่างเดียวนั้น อาจจะเกิดจากฝีมือของผู้ชายคนนั้น’ 

    จะ จดจำแค่เพียงแม่นิมมานรดีงั้นรึ

    กะ ก็เขารักแม่จันทน์ผาไม่ใช่หรือเจ้าคะ ส่วนแม่นิมมานรดีก็อาจจะชอบท่าน... หากเป็นดั่งที่แม่ทับทิมสงสัย เหตุผลที่เราไม่อาจทบทวนเรื่องราวระหว่างตนและจันทนผา นั้นเกิดเพราะอาคมไอ้วิรุฬเช่นนั้นจริง นั่นก็หมายความว่า...

    ฟึ่บ! กึก!

    ท่านอสุราขอรับ…” 

    “เฮือก!” แต่ก่อนจะทันได้ใคร่ครวญตามเสียงที่ได้ยินไปมากกว่านี้ มันกลับเป็นช่วงเพลาเดียวกันกับที่เสียงของท่านปุโรหิตชมชิตทร์ดังขึ้นเสียก่อน ขณะวางมือแตะลงบนเนื้อกายเพื่อช่วยประคองกายให้กลับมายืนหยัดได้ดั่งเก่าอีกครั้ง พลอยให้ทุกการนึกคิดหันเหความสนใจทั้งหมดที่มีไปยังเจ้าของเสียงอย่างไม่อาจบังคับ

    ซึ่งนั่นก็ตามมาด้วยถ้อยคำบอกกล่าวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    หากบางสิ่งที่ท่านอสุราต้องประสงค์นั้น ทำให้กำลังวังชาอ่อนลง กระหม่อมคะเนว่า ท่านอสุราหยุดพักเถิดขอรับ…” ไม่ใช่แค่น้ำคำเท่านั้นซึ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย แต่รวมถึงสีหน้ากับแววตาที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นด้วยเช่นกัน ทว่า ความรู้สึกที่รับรู้ได้เหล่านั้น กลับไม่ได้ทำให้ความปรารถนาลึกๆ ของเราให้สงบลงเลยแม้เพียงนิด

    “มิได้ !” ซ้ำยังส่งผลให้ปากขยับแสดงเจตจำนงหนักแน่นของตัวเองออกไป ก่อนตบท้ายด้วยคำถามกึ่งร้องขอ ท่านชมชิตทร์จักเป็นไปได้หรือไม่ หากเราหมายจักล่วงรู้ดวงชะตาเมืองเมื่อครั้งก่อนเกิดสงครามสรวง

    วูบหนึ่งที่ผู้ฟังเปลี่ยนสีหน้าหลังเสียงร้องขอจบลง แววตาซึ่งให้ความเป็นห่วงเป็นใย ยามนี้กลับแสดงถึงความวิตกกังวลซึ่งเข้ามาแทนที่ ซ้ำยังแสดงทีท่าขืนขัดราวกับต้องการจะบ่ายเบี่ยง จนกระทั่งเราออกปากเร่งเป็นหนที่สอง

    ได้หรือไม่ท่านชมชิตทร์ !?”

    เสียงหนักแน่นซึ่งไม่ลดความปรารถนาที่มี ทำเอาท่านชมชิตทร์ยอมก้มหัวเล็กน้อยพลางลดมือที่ใช้ประคองออกห่างไปในที่สุด ซ้ำยังทิ้งกายลงนั่งในท่าคุกเข่าทั้งๆ อย่างนั้น และเอ่ยขึ้นพร้อมสองมือพนมขึ้นเหนือหัว

    หมอกดำกลืนกินก่อเกิดเป็นกรรมใหญ่ เพชรหึงสาดเข้าใส่ให้ต้องสูญ สามภพจักร้อนต้องอาดูร จักมีสูญและเสียหามีดี งานมงคลหาหาได้ฤกษ์ดั่งสมหมาย ถูกทำลายหมดสิ้นให้กำสรวล ด้วยฟ้าดินเห็นเหตุมิสมควร ผูกเป็นตรวนคล้องกรรมให้ตายใจ…”

    คำทำนายดวงชะตาเมื่อครั้งอดีตที่ได้รับฟังในยามนี้ แม้จักเคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่งก็ตาม แต่ดูท่าแล้วทุกวลีที่ลอดผ่านปากผู้ทำนายดวงชะตาในหนนี้กลับฟังดูขัดเจนกว่าในท้องพระโรงเมื่อหลายหมื่นยามก่อนนัก ซ้ำมันยังทำให้เราสามารถใช้ช่วงเพลาขณะรับฟังไตร่ตรองและคิดตามคำทำนายได้มากขึ้น

    ครั้นเมื่ออสูรสิ้นชีพชีวาวาย พระพายจักพลัดพรากบางสิ่งให้ระทมทุกข์ เฉกเช่นเปลวเพลิงปราศจากสุขทุกข์ไฉน หากลางร้ายเคลื่อนคล้อยดับไป เมฆหมอกจะเลือนรางจางใสในบัดดล…” และทันทีที่เสียงคำทำนายดวงชะตาบ้านเมืองเงียบลง ผู้ที่ต่อยอดบทสนทนาไม่ให้ขาดช่วงลงนั้น คือตัวเราเอง

    เมื่อครานั้นฟ้าดินเห็นสิ่งใดมิสมควรเช่นนั้นหรือ ท่านชมชิตทร์ซึ่งนี่คงเป็นอีกหนที่เสียงไถ่ถามของเราไม่ได้รับวาจาใดตอบกลับจากผู้ถูกถาม นอกจากสีหน้าและแววตาวิตกกังวล จำต้องเอ่ยปากเร่ง ตอบถ้อยเราเสียสิ ว่าสิ่งใดที่ฟ้าดินเล็งเห็นว่ามิสมควร ท่านชมชิตทร์ !”

    หามิได้ขอรับ…” เมื่อถูกเร่งมากเข้า ท่านปุโรหิตประจำวังจึงไม่รอช้า รีบส่งเสียงโต้กลับโดยทันควัน สังเกตได้ว่าสีหน้าของท่านชมชิตทร์ในยามนี้ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นักซ้ำยังดูอึกอักและลังเลยิ่งกว่าเก่า โดยเฉพาะเสียงถ้อยคำช่วงหลังซึ่งดูไม่หนักแน่นเช่นเคย สะ สิ่งที่ไม่สมควรเมื่อคราวนั้น กระหม่อมมิอาจล่วงรู้ได้…”

    จนฟังคล้ายเป็นคำลวงหลอก จำต้องส่งเสียงแย้ง

    ไยท่านจึงโป้ปดเราเล่า ท่านชมชิตทร์ !”

    การตวาดเสียงกลับไปเช่นนั้น ทำเอาผู้ฟังสะดุ้งเฮือกในอาการสั่นเทา รีบก้มหัวลงต่ำราวกับหวาดกลัวขณะสองมือพนมกราบลงแทบเท้าอย่างร้อนรน ซ้ำยังส่งเสียงละล่ำละลักร้องขอชีวิต

    วะ ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิดขอรับท่านอสุรา กระหม่อมผิดไปแล้ว…” ด้วยเพราะเราเองก็ใช่จะหมายเอาเรื่องมาตั้งแต่ต้น พอเห็นทีท่าหวาดกลัวจากผู้ใหญ่ที่เราและพระพี่ชายให้ความไว้วางใจ มันก็เป็นเราเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายย่อตัวลงในนั่งท่าชันเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นหญ้า ก่อนกล่าวขึ้นอีกหนด้วยโทนเสียงอ่อนลง

    เงยหน้าขึ้นเถิดท่านชมชิตทร์ เราหาได้หมายจักลงโทษท่านเช่นน้ำเสียงวาทีที่สาดใส่เสียเมื่อไหร่…” ทั้งที่บอกกล่าวเช่นนั้นแล้ว แต่ผู้ฟังกลับเลือกที่จะเงียบในอาการตัวสั่น ก้มหัวค้างไว้ด้วยท่วงท่าเดิม ราวกับว่านั่นคือสิ่งที่ท่านชมชิตทร์ต้องประสงค์และมั่นหมายที่จะทำอย่างหนักแน่น

    เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาเลือกที่จะปิดปากตนเองไว้ ไม่ยอมคายความตอบกลับโดยง่าย เราจึงไม่รอช้าที่จะกล่าวความนัย โดยหวังว่าผู้ฟังจะปรานีและยอมบอกกล่าวบางสิ่งออกมาบ้าง

    ท่านบอกเราเองมิใช่หรอกรึท่านชมชิตทร์ หากมีสิ่งใดติดค้างอยู่ในอก เรานั้นควรคิดไตร่ตรองถึงที่มาให้ถ้วนถี่ จึงจักได้พบในสิ่งที่ต้องการ แล้วไยยามนี้ ท่านที่เราหมายให้เป็นที่พึ่งพา กลับเลือกปิดบังบางสิ่งที่เราควรใคร่รู้เช่นนี้เล่า ?

    ท่านชมชิตทร์นิ่งไปอยู่ชั่วขณะหนึ่งหลังเราเอ่ยวาจาจนสิ้นคำ ก่อนเริ่มตอบสนองวาทีที่ได้รับด้วยการเงยหน้า ช้อนตาขึ้นสบตาเราเล็กน้อย โดยยังคงแสดงอากัปกริยาบนดวงหน้าไว้ดังเก่า แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก่อนที่นัยน์ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยริ้วรอบบอกอายุขัยจะหลุบกลับไปยังพื้นหญ้าเป็นหนที่สอง พร้อมถอยวจีไม่เต็มคำสักเท่าไหร่นัก

    กะ กระหม่อมมิอาจทนเห็นท่านทนรับชะตาสาหัสเช่นนี้ได้ขอรับ…” หากฟังไม่ผิด ดูท่าแล้วนั่นคงเป็นคำตอบที่เราต้องการ กระหม่อมมิอาจทนเห็นชะตาในภายภาคหน้าเป็นจริงดั่งเช่นคำทำนายทายทักขอรับ ท่านอสุรา…”

    ท่านหมายความถึงสิ่งใดท่านชมชิตทร์

    คะ เคราะห์กรรมบ้านเมือง ที่กระหม่อมเคยกล่าวทูลพระองค์ไปเมื่อหลายชั่วยามก่อน…” ได้ยินเพียงเท่านั้น เราก็สามารถเข้าใจความของคู่สนทนาได้โดยไม่ยาก

    นับจากที่ท่านและพระเชษฐาเสด็จลงไปเยือนยังเมืองมนุษย์ กระหม่อมนิมิตเห็นภาพดวงชะตาพระนครมิค่อยสู้ดีนัก กระหม่อมยลถึงเคราะห์กรรมบ้านเมืองหลังจากนี้อีกมิกี่ช่วงยามนครยักษ์จักเกิดการสูญเสียและแปรเปลี่ยน’ 

    หากจำไม่ผิดรู้สึกว่า คำทำนายที่ท่านชมชิตทร์เคยกล่าวไว้เมื่อครานั้นจะบอกถึงเรื่องการสูญเสียของรัก หากแต่อีกนัยหนึ่งก็ฟังดูไม่ต่างจากคำเตือน

    หากไร้วิบากกรรมใดผูกติด จิตบริสุทธิ์อย่าริผลีผลามให้เกิดผล ด้วยเหตุเพราะตนเป็นยักษามิใช่ปุถุชน อย่าเวียนว่ายตายวนตามเคราะห์เวียน

    หากคำทำนายที่ปรากฏบนกระดานชนวนนั้นไซร้ คือประสงค์ฟ้า แล้วไยท่านจึงต้องหวาดกลัวอีกเล่า ?เพราะจดจำได้ เราจึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามให้ตนเองคลายความสงสัย หรือแท้จริงแล้ว สิ่งที่ท่านเกรงว่าจักสูญเสียตามคำทำนายนั้น คือตัวเราเช่นนั้นรึ ท่านชมชิตทร์ ?

    ผู้ถูกถามไม่ปริปากตอบในสิ่งที่ได้ฟัง เอาแต่ก้มหน้าแทบธรณีเขียวชอุ่มอยู่เช่นนั้น  และถึงแม้ท่านชมชิตทร์จะไม่ยอมเอ่ยถ้อยตอบกลับ หากแต่อากัปปริยาเพียงเท่านั้น มันก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เราต้องการ 

    แม้คู่กรณีไม่ยอมโต้กลับ กระนั้นแล้วเรากลับรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นมองมา ต่อให้สายตาเรายามนี้เลือกที่จะลดจากภาพของคู่สนทนา ปรายมองไปยังต้นพิกุลทองใหญ่ท้ายสวนแล้วก็ตาม

    ขณะที่ทุกเสียงรอบกายเงียบงันลงจนเหลือเพียงลมไหว ฉับพลันกลับปรากฏภาพนางสวรรค์ตนหนึ่งขึ้นบนพื้นที่โล่งใต้ต้นพิกุลทองให้ได้มองเห็น ขณะกำลังเคลื่อนมือขึ้นแตะกิ่งช่อที่ห้อยย้อยต่ำลงมาเพื่อชมเชยดอกพิกุลที่แย้มบาน ไม่ต่างจากเหตุการณ์ในช่วงปัจฉิมยามที่เคยพ้นผ่านมา

    เสี้ยวหน้าสวยยามปราศจากบาดแผลและรอยช้ำของนางเวลานี้ ดูสวยสง่าเสียยิ่งกว่านางสวรรค์ตนใด เฉกเช่นแววตาโอบอ้อมอารีและดูบริสุทธิ์ขณะเชยชมดอกพิกุลทองบนช่อด้วยความสนใจ เพราะภาพสวยสะกดเช่นนั้นกระมัง ที่นำพาเราให้ย่างกรายมุ่งเข้าไปทักทายในค่ำคืนนั้น

    แต่แล้วตอนนั้นเองขณะภาพของนางสวรรค์ที่เรายลเห็นกำลังเบี่ยงหน้ามองกลับมาอยู่นั้น เสียงบอกกล่าวของคู่สนทนาซึ่งขาดหายไปพักใหญ่กลับดังขึ้น พลอยให้ภาพเบื้องเจือจางไปจากสายตา 

    แม่นิมมานรดีขอรับ…” คำบอกกล่าวยืดยาวของท่านชมชิตทร์ ทำเราลดตาลงต่ำ มองไปยังเจ้าของเสียงพูดอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ นางหาได้สมพงศ์หรือเหมาะสมต่อสถานะพระขนิษฐภคินีปกครองนคร เมื่อยามใดที่ศรรักปักใจ งานเฉลิมฉลองอันเป็นมงคลจึงมิอาจเกิดขึ้นได้ตามประสงค์ หากแม้นได้ฤกษ์ก็จักมีเรื่องวุ่นวายเข้าขัดขวาง…”

     บอกไม่ถูกว่าหลังจากถ้อยคำเหล่านั้นสิ้นสุดลงไป เราควรรู้สึกต่อสิ่งที่ได้รับฟังเช่นไร แต่ก่อนจะทันได้ตั้งสติเอ่ยวจีใดตอบกลับไป มันก็เป็นท่านชมชิตทร์เสียเองที่กล่าวขึ้นราวกับต้องการตอกย้ำ

    เพราะชะตาถูกฟ้าลิขิต ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นในคืนก่อนพิธีแต่งตั้ง…” และภาพความทรงจำเดียวซึ่งดูสอดคล้องและรับกับคำพูดดังกล่าวมากที่สุด เห็นที่จะเป็นภาพเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อประดับสำหรับมอบให้หญิงคนรักในคืนก่อนเริ่มพิธีถูกขโมยไปจากห้องพิธี รวมถึงเสียงครวญของแม่จันทน์ผาเมื่อครั้งนั้น

    หะ หากทับทิมเม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้อึกฮึกได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ

    กระหม่อมทราบดี ว่าตนเองคือผู้ชี้แนะให้ท่านทบทวนบางสิ่ง อันเป็นเรื่องติดค้าง กระนั้นแล้วกระหม่อมก็ยังรู้สึกหวาดกลัว ถึงสิ่งที่จักเกิดขึ้นนับจากนี้…” 

    ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ที่เราถูกปิดปากให้เงียบลงด้วยถ้อยคำยืดยาวของท่านปุโรหิตที่เราไว้วางใจ 

    ดั่งเช่นที่กระหม่อมกราบทูลท่านอสุรา ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่มีต้นสายปลายเหตุ แม้นกระหม่อมหาได้มองเห็นอนาคตเฉกเช่นผู้มีอิทธิฤทธิ์ กระนั้นแล้วกระหม่อมก็เชื่อถือความแม่นยำและวิชาที่กระหม่อมมี เพียงได้ยลพระพักตร์พระองค์เพียงเท่านั้น กระหม่อมก็พอจักคาดคะเนได้ ว่าบัดนี้กำลังเกิดสิ่งใดขึ้น

    “…” แต่มันก็นานมากพอ จนทำให้เรารับรู้ความปรารถนาทั้งหมดที่อีกฝ่ายมี

    กระหม่อมหวาดกลัวขอรับ กลัวว่าหากท่านอสุราล่วงรู้บางสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในพระอุระข้างซ้ายไปมากกว่านี้ คำนายที่ปรากฏขึ้นบนกระดานชนวนนี้ จักกลับกลายเป็นความจริง…”

    เรื่องของตัวเราเช่นนั้นหรือ ?และนั่นคงเป็นเพียงคำถามเดียวที่เราพอจะถามเจ้าของเสียงกลับไป เมื่อสบโอกาส

    ขะ ขอรับ…” แม้ว่าเสียงบอกวัยที่ได้กลับมาจะฟังไม่เต็มคำเท่าไหร่นัก แต่ขณะเดียวกันกลับฟังดูหนักแน่นมากกว่าทุกครั้ง สำหรับผู้ซึ่งกำลังเกิดความสับสน

    ความคิดในหัวเวลาเหมือนก่อเกิดสงครามตีกันพลวันยุ่งเหยิง ภาพต่างๆ ที่เคยผ่านสายตาเริ่มผุดเข้าสู่กมลความคิดทีละเล็กละน้อยราวกับท้าทายเสียงกล่าวเตือน นับจากภาพและเสียงของนางอัปสรในขบวนแห่

    หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านท้าวอสุเรนทร์รวมถึงสายตาของนางสวรรค์อีกตนซึ่งกำลังแอบลอบมองมาทางจากกลุ่มบุปผาหลายสิบชีวิตในขบวน

    นัยน์ตากลมหากแต่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาดซึ่งยังติดค้างอยู่ในหัวนั่น เริ่มก่อเกิดอาการปวดหนึบให้ลุกลามขึ้นในหัวอีกครั้ง ซ้ำยังเริ่มลุกลามรุนแรงขึ้นทุกที เมื่อภาพเจ้าของนัยน์ตาคู่นั้นปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้งด้วยสีหน้าและท่าทางที่เปลี่ยนไปหลังถูกต่อว่า

    เหตุใดจึงมองเหม่อหาได้มีสติดูทางเช่นนี้เล่า นางอัปสร…’ 

    ขออภัยเจ้าค่ะท่านอสุรา หม่อมฉันรีบเร่งจึงมิได้มองเส้นทางเบื้องหน้า กรุณาอย่างลงโทษหม่อมฉันเลยนะเจ้าคะ…’ ยิ่งหวนนึกถึง ทั้งกายและใจยิ่งร้อนดั่งไฟสุม จนเรี่ยวแรงที่กลับคืนมาเริ่มอ่อนลงไปอีกครั้ง ราวกับจะต่อต้านทุกสิ่งที่ก่อขึ้นให้หัว

    อึก…” ท่ามกลางอาการเจ็บปวดที่ถือกำเนิดมากขึ้นทุกที เราได้ยินเสียงเรียกของท่านชมชิตทร์ หากแต่เสียงดังกล่าวกลับฟังห่างไกลตัวออกไปไกลลิบ เมื่อเทียบกลับเสียงหวานขางนางอัปสรซึ่งยังดังสะท้อนอยู่ในห้วงกมล

    กระเถิบไปนิดสิเจ้าคะ ดอกตูมใกล้เคียงมือท่านนั่นหล่ะเจ้าค่ะ เสียงบอกกล่าวอย่างอ่อนน้อมนั่นยังคงติดอยู่ในห้วงคำนึงมาโดยตลอด หากแต่ภาพที่มองเห็นกลับไม่เจนชัดเท่าในตอนนี้นัก ราวกับว่าเพลานี้ ยิ่งความเจ็บปวดในหัวรุนแรงมากเท่าไหร่ ภาพที่เคยเลือนรางอยู่ในหัวก็ยิ่งชัดขึ้นอย่างไรก็อย่างนั้น

    บัวดอกนี้ใกล้แย้มบานเต็มแก่แล้ว ขืนตัดไป มิทันไรคงสะพรั่นหาได้งามตาเช่นดอกตูมเหล่านี้ไม่…’

    เราหาได้เลือกบัวดอกนี้ เพื่อให้เจ้านำไปถวายพระพี่ชายเราไม่หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?’ ยิ่งด้วยในภาพทรงจำมีเสียงโต้ตอบของเราดังขึ้นด้วยแล้ว ลมหายใจที่เคยประคองไว้ก็คลายกลับจะดับสิ้นลงตามความเจ็บที่ได้รับไปด้วย

    หะ หามิได้เจ้าค่ะ ท่านอสุรา…’ จนท้ายที่สุด เราก็ไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดทางกายที่ได้รับไม่ไหว จำต้องใช้มือทายลงบริเวณขมับทั้งสองข้างอย่างไม่มีทางเลือก

    แม้นอยากนึกหวนเท่าไหร่ หากแต่ความเจ็บทางกายที่ประสบอยู่ในยามนี้กลับมีอนุภาพรุนแรงมากกว่า ทว่า ทั้งที่เลือกที่จะหยุด และความคิดกลับเลือกที่จะดื้อด้าน ถลำลึกไปสู่เสี้ยวความทรงจำในห้วงอดีตที่มีเพียงภาพของนางอัปสรนอกสัมพันธ์สลับกับใบหน้าสวยของหญิงคนรักไปมาไม่ยอมหยุด

    ฟุ่บ !

    อึก…” ร่างกายที่เริ่มต้านอาการซึ่งประเดประดันไม่ไหว ทรุดกายลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงทนฝืน แต่ก่อนที่สติและความรู้สึกทั้งหมดที่มีจะดับหายไปจนเหลือเพียงความมืด เสียงและภาพสุดท้ายที่เราได้มองเห็นและได้ยินกลับกลายเป็นเสียงของตัวเราเอง

    หลับเสียเถิดดวงใจพี่...ฮึก แม้นชาติภพนี้ เราสองจักมิได้เคียงรักกันดั่งคำมั่น พี่ขอให้น้องจงอุบัติสิ้นเสียใหม่...ขณะวอนขอต่อลมฟ้า กอดร่างไร้ศีรษะของหญิงคนรักไว้แนบอก เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราต้องรักกัน สืบไปจากนี้..ทุกภพทุกชาติ...’ 

    ความเจ็บปวดตามร่างกายที่เคยประสบพบเจอ ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับความมืดที่เข้ามาแทรกแทน คาดว่าช่วงเพลานี้เราคงทนพิษความเจ็บปวดภายในกายไม่ไหว ถึงได้ลับลาเข้าสู่ความมืดในภวังค์เช่นนี้ หากแต่ท่ามกลางพื้นที่สีทมิฬซึ่งห้อมล้อมกายเราไว้ กลับไม่ได้เงียบสงบเฉกเช่นที่ควรจะเป็น

    เพราะเราได้ยินเสียงซีซอบทเพลงหวาน หากคละคลุ้งไปด้วยความเศร้าของผู้บรรเลง...

    เสียงเพลงหวานจากการผ่านสีของเครื่องสาย ทำเราเริ่มกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เช่นเดียวกับเปลือกตาที่เปิดขึ้นจนสามารถมองเห็นสิ่งรอบกายได้เป็นหนที่สอง ทว่า แม้จะลืมตาตื่น ก็ใช่ว่าเสียงเครื่องสายที่เคยได้ยินนั้นจะดับตามลงไปด้วยตามภาพฝันแต่อย่างใด ซ้ำเสียงบทเพลงดังกล่าวยังฟังคุ้นหูจนน่าประหลาดใจ

    นอกจากบทเพลงแสนคุ้นหูนั่นแล้ว สถานที่ที่เราหยัดยืนอยู่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นตาไม่ต่างกัน เมื่อที่แห่งนี้คือห้องสำหรับพักผ่อนของตัวเราเอง

    แม้จะรู้สึกประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ถึงกระนั้นเราก็ใช่จะหยุดยืนนิ่งต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เมื่อความคิดสั่งการให้เท้าเริ่มขยับก้าวเดินมุ่งตรงไปหาต้นเหตุที่มาของต้นเสียงเพื่อหวังลดความสงสัยที่มี ทว่า ในช่วงที่เท้าก้าวเดินมุ่งเข้าสู่พื้นที่ต้นกำเนิดเสียงบรรเลงเพลงแสนเศร้า เรากลับต้องเป็นฝ่ายตกใจมากยิ่งกว่าเก่า เมื่อผู้ซึ่งกำลังสีซอเพลงหวานแสนเศร้าบริเวณหน้าต่างคือตัวเราเอง

    หรือว่า นี่เป็นนิมิตฝันอย่างนั้นหรอกรึ ?

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อได้ภาพของตนเองในลักษณะนี้แล้ว ในหัวกลับต้องเริ่มคิดหนักอีกครั้งถึงเหตุและที่มา หากว่านี่คือภาพนิมิตหลังกายหยาบลับตาสู่ห้วงนิทราแล้วก็ เหตุใดเราจึงมองเห็นภาพของตนเองปรากฏขึ้นในฝันเช่นนี้

    แต่หลังจากไม่เท่าไหร่นักเทียบเท่ากับความรู้สึกและความต้องการ ท้ายที่สุดเราก็ได้คำตอบที่ต้องการ เมื่อเสียงบรรเลงซอหยุดลงพร้อมกับมือผู้เล่น หากแต่นั่นตามมาด้วยคำพูดที่เราตัวเราเองเกือบจะหลงลืมไปแล้ว

    หากว่าฟ้าดินยังคงสลับรับฟังเสียงขอ โปรดจงช่วยส่งสัญญาณบอกกล่าวเราเสียหน่อยเถิด…’ มันคือคำขอร้องขอแรกของเราหลังแต่เฝ้ารอคอยผ่านกาลเพลามาหลายร้อยชั่วยามอย่างผู้สิ้นหวังว่ายามนี้รักแรกของเรานั้นอยู่หนแห่งไหน มีสุขหรือทุกข์เช่นไรหากต้องรอคอยอย่างผู้สิ้นหวังหาได้ล่วงรู้ความเป็นอยู่เช่นนี้ เห็นทีอุราเราคงมิคลายระบม

    ในยามนั้นเพราะเราไร้ซึ่งหนทาง ซ้ำยังรู้ตนดี ว่าตนเองนั้นหาได้มีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพี่ชาย คำขอที่เคยกล่าวไว้เมื่อยามจากลาจึงไม่อาจประสบผลดั่งที่ใจหวังนัก จึงทำได้เพียงแค่เอ่ยบอกต่อลมและฟ้าในช่วงรัตติกาลแบบนี้แต่เพียงเท่านั้น 

    แม้นว่าตลอกหลายหมื่นยามที่พ้นมา เราจะหมดความอดทนกับการรอคอย แต่อย่างไรเสีย เราก็ใช่จะหมดหวังหรือยอมแพ้แต่อย่างใด ต่อให้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเสียงขอของตนเองจะประสบเมื่อไหร่ อย่างไรเสียเราก็ยังรอคอย จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ กลับมีเสียงของหญิงสาว หากแต่ฟังดูพิกลหูดังขึ้นให้ได้ยิน

    ท่านอสุราเจ้าขา ดีใจจังเลย ฉันจะได้มีท่านเป็นของตัวเองแล้ว...รู้ไหมเจ้าคะ ว่าฉันน่ะเป็น FC ท่านตัวยงเลยนะเจ้าคะ !’ 

    ทันทีที่ความคิดนึกห้วนความหลังมาถึงตรงนี้ ภาพท้องฟ้าซึ่งถูกฉาบไว้ด้วยความมืดของราตรีกาลนอกหน้าต่าง กลับค่อยแปรเปลี่ยนไปกลับกลายเป็นนภาผ่องอำไพ เช่นเดียวกับตัวเราอีกตนที่ยามนี้ได้ปรับเปลี่ยนทีท่าจากการยืนถือเครื่องสายงาช้างไว้ในมือ มาอยู่ในเท้าแขนลงกับขอบหน้าต่าง ขณะเอ่ยปากตอบถ้อยวาจาพิกลพิการที่รับรู้ได้กลับไป

    เจ้าพูดกับรึ ? เอ็บสีที่เจ้าว่าหมายถึงสิ่งใดเล่าแม่หญิง เราหาได้เข้าใจความไม่…’

    ไม่ใช่แค่เพียงเสียงตอบถ้อยซึ่งดังต่อเนื่องจากจากห้วงความคิดแต่เพียงเท่านั้น แต่เหมือนกับว่า ทุกเสียงที่เริ่มดังขึ้นหลังจากนี้ คล้ายกับเป็นการทวนให้นึกถึงช่วงยามที่พ้นผ่านจนเหมือนจะลืมไปหมดทั้งใจ

    ไปอยู่ด้วยกันเถิดนะเจ้าคะ ฉันสัญญาจะดูแลท่านให้ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ !’ เสียงหวานหากแต่มากล้นด้วยความกระตือรือร้นซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยความสุข ทำเราที่เกือบหมดหวังในตอนนั้น เริ่มกลับฟื้นคืนความรู้สึกอีกครั้งราวกับแสงสว่างของปลายเทียนยามท้องฟ้ามือด 

    แม้ไม่เคยยลเห็นใบหน้าแต่ลึกๆ เรากลับรับรู้ได้โดยทันที ว่าคำขอที่เคยร้องต่อฟ้าดินไว้ บัดนี้ได้ประสบผลเป็นอันลุล่วง

    ฉันอ่านเรื่องของท่านมาเยอะรู้หรือเปล่าเจ้าคะ จากนี้ไปท่านต้องอยู่คอยดูแลและปกป้องฉันให้เหมือนแม่นิมมานรดีด้วยนะเจ้าคะ...งื้ออ เขิน!

    อ่านเรื่องของเรางั้นรึ เจ้ากำลังกล่าว57'เรื่องอันใดเล่า ไยจึงดูประหลาดนัก ? ทั้งที่เราทั้งคู่อยู่ห่างไกลกัน ซ้ำยังเจรจาคนละภาษา แต่ทุกครั้งที่เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้น เราก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถ้อยตอบกลับใจความประหลาดที่ได้ยินผ่านลมและฟ้ากลับไปเสมอๆ

    วันนี้ทานข้าวไม่อร่อยเลยเจ้าค่ะ ข้อสอบที่มหาลัยวันนี้โหดสุดๆ ไปเลย จะติด F หรือเปล่าก็ไม่รู้

    ที่ที่เจ้าอยู่ มีเรื่องประหลาดเช่นนั้นด้วยงั้นรึ ? เราสามารถรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวจากการพูดคุยกันคนละวาจา ผ่านการบอกกล่าวเล่าความ แม้มองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ถึงการมาและไป

    ฉันไปทำงานพิเศษก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวเย็นๆ จะกลับมายืนคุยกับท่านใหม่ อวยพรให้ฉันหน่อยสิเจ้าคะท่านอสุรา...

    รับรู้ความรู้สึกเศร้าหมองที่หญิงสาวผู้นั้นมี ผ่านน้ำคำและเสียงสะอื้น

    ฮึกเหนื่อยจังเลยเจ้าคะ ฉันจะทำยังไงดี…’ จนบางครั้งบางคราว เราก็คล้ายจะวิปลาสลงในทุกวี่วันที่ดันเอ่ยถ้อยตอบนางกลับไปอย่างร้อนอกร้อนใจ ทั้งที่รู้ว่าถ้อยคำเรานั้นไม่อาจส่งไปถึงผู้ฟัง

    มิเป็นสิ่งใดหรอกหนาทุกเรื่องร้ายที่เจ้าพบเจอจักผ่านไปด้วยดี

    หรือแม้แต่น้ำเสียงของความสุขซึ่งเต็มไปด้วยคำโอ้อวดในแบบที่เราสัมผัสไม่ได้

    แต่นแต้นนน ท่านอสุราดูสิเจ้าคะ ฉันเรียนจบแล้วนะ ชุดนี้สวยหรือเปล่า เขาเอาไว้ใส่ตอนรับปริญญาน่ะเจ้าค่ะ คิกๆ ฉันสวยใช่ไหมล่ะ ?และเหมือนเคย แม้นไม่เห็น แต่ทุกครั้งเรากลับเผลอหลุดยิ้มให้กับเสียงหวานๆ แก้มทะเล้นที่ได้ยินอยู่ดี 

    จนกลายเป็นว่ายิ่งได้รับรู้ความเป็นไปของเจ้าของเสียงที่ดังก้องมาถึงสรวงมากขึ้นเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกรักและผูกพัน ซ้ำยังอารมณ์เหล่านั้นยังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ทำให้เราเฝ้าเร่งวันเร่งคืนให้ผ่านพ้นไปโดยไวเพื่อให้ได้พบเจอดวงใจที่เฝ้าตามหา แต่ใครจะคิด ว่าสิ่งที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานจะผิดเพี้ยนไปจากที่เข้าใจได้มากถึงเพียงนี้

    เมื่อแรกเริ่มเดิมที เรารู้สึกเช่นนี้นั่นหล่ะ แต่ไม่ใช่กับยามนี้

    ยามที่เราเริ่มเข้าใจความต่างๆ มากขึ้น

    เหตุใดท่านอสุราจึงตรัสเช่นนั้นเล่าขอรับ ในเมื่อทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีเหตุ มีผลทั้งหมดทั้งสิ้น’ หากว่าเรื่องทั้งหมดที่เราต้องประสบอยู่ คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามดั่งคำขอที่เคยร้องต่อฟ้าดินแล้วล่ะก็

    หากว่าฟ้าดินยังคงสลับรับฟังเสียงขอ โปรดจงช่วยส่งสัญญาณบอกกล่าวเราเสียหน่อยเถิดว่ายามนี้รักแรกของเรานั้นอยู่หนแห่งไหน มีสุขหรือทุกข์เช่นไร…’ เหตุที่นำพาเราให้ได้พบแม่ทับทิมจนเกิดเป็นความรู้สึกเหล่านี้นั้น แท้จริงแล้วมันก็คือตัวเราเองทั้งหมดทั้งสิ้นหากต้องรอคอยอย่างผู้สิ้นหวังหาได้ล่วงรู้ความเป็นอยู่เช่นนี้ เห็นทีอุราเราคงมิคลายระบม

    ถ้าแม่จันทน์ผาคือรักแรกของเราดั่งเช่นแม่ทับทิมกล่าว แล้วเหตุใดยามนี้เราถึงยังรู้สึกผูกพันธ์กับแม่นิมานรดีถึงเพียงนี้เล่า

    ในฝันฉันเห็นท่านกับแม่จันทน์ผาพูดคุยกันอยู่ที่โถงทางเดิน บริเวณประตูวังเจ้าค่ะ เหมือนว่าแม่จันทน์ผาจะเดินชนท่านจนดอกบัวในพานร่วงเกลื่อนพื้น…’ เพราะอาคมของไอ้วิรุฬตามการคาดคะเนของแม่ทับทิมเช่นนั้นหรือ ?

    กึก

    ท่ามกลางเสียงความคิดภายในนิมิตฝันซึ่งล้นไปด้วยอาการชวนสับสน ภาพทุกภาพที่เคยปรากฏต่อสายตากลับค่อยเลือนหายไปอย่างเชื่อง พร้อมเพรียงกับเสียงเรียกขาน ปลุกเราให้หลุดพ้นจากห้วงนิทราชวนเวียนหัว

    ท่านอสุราขอรับ…” สติที่เหมือนถูกตรึงไว้กับห้วงเวลาเก่าๆ ทยอยกลับคืนสู่เนื้อกายอีกครั้ง ขณะที่เปลือกตาหนักๆ ปรือขึ้นตอบสนองเสียงเรียกเป็นหนที่สองตามความรู้สึก

    ภาพใบหน้าเลือนรางของท่านชมชิตทร์ที่ปรากฏตรงหน้า ทำเราหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับภาพที่เห็นให้คมชัดขึ้น ก่อนพบว่าเราในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ภายในสวนตามอย่างที่เข้าใจอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นบนเตียงสำหรับพักผ่อนกายา รอบกายห้อมล้อมไปด้วยเหล่าทหารและท่านปุโรหิต ซึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่ผิดเพี้ยนไปจากก่อนนี้เท่าไหร่นัก

    เรามองเห็นบางสิ่ง...บางสิ่งซึ่งเคยติดค้างอยู่ในอกส่วนนี่คงเป็นถ้อยคำแรกที่เรามี หลังจากฟื้นกลับคืนสติอีกหนเป็นดังที่ท่านชี้แนะทุกสิ่งท่านชมชิตทร์ ต้นสายปลายเหตุทั้งหมดที่เกิดกับบนเมืองมนุษย์นั้น แท้จริงล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือเรา

    ท่ามกลางความเงียบภายในห้องบรรทมซึ่งมีแค่เสียงเรานั้นที่ขยับปากบอกกล่าวความรู้สึก ทุกชีวิตล้วนแล้วแต่อยู่ในความสงบ ราวกับกำลังตั้งใจรับฟังการบอกกล่าว

    หากแต่ยังมีบางสิ่งที่เรามิอาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเรื่องเหล่านี้ถึงได้บังเกิดขึ้นกับตัวเรา ?

    เพราะทุกชีวา ล้วนแล้วแต่มีเวรและกรรมผูกตนมาตั้งแต่ถือกำเนิด อยู่ที่ว่าผู้ใดจะผูกบ่วงที่มีติดตัวให้รัดกายตนเองจนแน่นขึ้นกว่าที่เป็นเท่านั้นเราได้ยินเสียงท่านชมชิตทร์เอ่ยกล่าวแบบนั้น หากแต่ไม่ใช่กับสายตาที่กำลังมองเหม่อไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งเพื่อใช้ช่วงเวลาขณะรับฟังครุ่นคิดตาม 

    มีเวรและกรรมผูกตนมาตั้งแต่ถือกำเนิดงั้นรึ

    ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้สึก ยิ่งเป็นอันตรายต่อกายและใจอนึ่งตัวท่านนั้นคือยักษ์หาใช่ปุถุชน แม้นยามนี้จักล่วงรู้ทุกสิ่ง แต่การพาองค์ลงไปข้องเกี่ยวจนผูกติดเวรกรรมที่คอยท่าอยู่นั้นหาใช่เรื่องที่ดีไม่ด้วยเหตุนั้นกระหม่อมจึงมิอยากให้ท่านอสุราครวญนึกถึงเหตุและผลในอดีตนัก

    เพราะท่านชมชิตทร์กลัวว่าเราจักพลัดหลงผูกติดบ่วงเวรและกรรมที่รอคอยอยู่ ถึงได้พยายามบ่ายเบี่ยง ซ้ำยังแสดงสีหน้าให้ได้เห็นเช่นนั้นยามถูกเร่งเร้าเอาความอย่างนั้นเองหรอกหรือ

    ครู่หนึ่งหลังเสียงบอกกล่าวเงียบลง สายตาที่เคยมองเหม่อในทีแรกกลับเลื่อนมองไปยังใบหน้าเจ้าของคำพูด ซึ่งนั่นคือช่วงเพลาเดียวกันกับที่ท่านชมหันไปพยักพเยิดหน้าไล่เหล่าทหารซึ่งยืนเฝ้าอารักษ์ขา และเมื่อพวกมันเห็นว่าเราไม่กล่าวถ้อยขัดแย้งสิ่งใด เหล่าทหารกล้าจึงพากันก้มหัวลงเล็กน้อย ก่อนกลับหลังหัน เดินชักเท้า มุ่งตรงไปยังประตูทางออก

    เพียงไม่นาน หลังจากเหล่าทหารยักษ์เดินคล้อยหลังออกไป ท่านชมชิตทร์ที่คอยท่าอยู่แต่แรก จึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นอีกหนด้วยระดับเสียงที่มีแค่เราเท่านั้นที่ได้ยิน

    จักเป็นผลดีกว่าหรือไม่ขอรับ หากท่านอสุราจะปล่อยเรื่องราวที่รับรู้ผ่านการนึกทวนและการพบเจอ ให้เป็นเหมือนเช่นลมโชย…” ปล่อยเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รู้ เหมือนลมงั้นหรือ ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ท่านได้พบเจออยู่นั้น ท่านหาได้นำพากลับคืนถิ่นต้นกำเนิดเดิมได้ ไยจึงไม่พบเพื่อรู้ เพื่อบรรเทาความคิดถึง ก่อนน้อมรับเมื่อครั้นวันลาจากมาถึงเล่าขอรับ ?

    วันการจากลางั้นรึ

    เพราะมีสิ่งต่างๆ และความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าใส่มากเกินจนจะทานไหวกระมัง เราจึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท มันก็อย่างที่ท่านชมชิตทร์ว่า ต่อให้เราหมายปองสิ่งใดในเมืองมนุษย์มากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่อาจครอบครองติดกายไว้ดั่งที่ใจปรารถนาอยู่ดี

    ท่านอสุราขอรับ ยามนี้กระหม่อมมิอาจห้ามปรามท่านให้หยุดนึกหวนหรือตามหาในสิ่งที่องค์ทรงใคร่อยากรู้ จักเป็นได้หรือไม่หากกระหม่อมจักขอบางสิ่งจากท่านบ้าง…” หนที่เท่าไหร่ไม่รู้ ที่เสียงของท่านชมชิตทร์ยังคงดังแทรกเสียงความให้เราได้ยิน ถ้อยคำบอกกล่าวในยามแรกนั้นมันได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการร้องขอ นครยักษ์มิอาจขาดผู้ปกครองนครผู้ใดผู้หนึ่งไปได้ ท่านท้าวอสุเรนทร์เองก็คงมิโปรดนัก หากต้องสูญเสียอนุชาคู่บุญเช่นท่านไป…”

    ซ้ำถ้อยคำร้องขอมากมายผ่านปากท่านชมชิตทร์เพลานี้ทำผู้ฟังเช่นเราเอ่ยถ้อยสิ่งใดตอบโต้ไม่ถูก ซ้ำยังแปรเปลี่ยนหลายสิ่งในหัวให้ตกอยู่ในบทสนทนาที่เกิดขึ้นได้ราวกับใช้มนต์ตรา

    ในเมื่อยามนี้ท่านล่วงรู้ถึงเวรกรรมและคำทำนายมิว่าสิ่งใดที่อยู่ในพระอุระพระองค์ยามนี้ หากได้รับคำตอบแล้วไซร้ กระหม่อมขอทรงอย่าเพิ่งผลีผลามกระทำการตามใจตนจนตกอยู่ในบ่วงกรรมที่คอยท่าอยู่เลยนะขอรับ

    ยิ่งได้รับฟังถ้อยคำขอจากผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น เรายิ่งรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่ท่านปุโรหิตมีต่อเราและพระพี่ชายเป็นอย่างมาก ซึ่งเราเองก็ไม่ได้เบาปัญญาถึงขนาดไม่เข้าใจเสียงร้องขอ 

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ที่กระหม่อมร้องขอยามนี้นั้น หาใช่ให้ท่านอสุรากระทำเพื่อท่านท้าว ตัวกระหม่อมหรือพระนครแต่อย่างใด 

    โดยเฉพาะกับเหตุผลประโยคสุดท้าย 

    แต่เพื่อตัวท่านเองนะขอรับ…”


    Talk1 ชาร์ปนี้ไม่รู้จะทอล์กอะไรดี แงงงงง
    Talk2 ตลอดเวลาที่เขียนชาร์ปนี้ เรารู้สึกอึดอัดแทนท่านอสุราอยู่ตลอดเวลาไม่รู้ทำไม ฮือออ
    Talk3 เพื่อตัวท่านเองนะขอรับ

    ___________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T


    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดหัวใจให้เราก็ได้น้าา 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×