คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : #พี่เตคนคูล - 04
สองอาทิตย์ผ่านไป
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่โคตรไม่มีความสุขของฉันอีกวัน
เรื่องของวอดก้าทำฉันเสียศูนย์ไปสองอาทิตย์กว่าๆ ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก
เป็นฉันเองที่ไม่พยายามไปเจอ ซ้ำยังพยามหลบหน้าทุกครั้งที่เราบังเอิญเจอกัน
ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย แต่มันยังไม่พร้อม ฉันพูดกับตัวเองอยู่ทุกวันว่านี่ไม่ใช่การยอมแพ้
แต่มันคือการถอยออกมาตั้งหลัก
ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าฉันจะตั้งหลักนานขนาดนี้
เรื่องวันนั้นทำให้ฉันสับสนกับความรู้สึกตัวเองมาก
“ลูกพี่เร็วๆ” รุ่นน้องคนสนิทที่เพิ่งจอดรถเข้าที่เข้าทางเสร็จหมาดๆ
หันมาเร่งฉันที่กำลังล็อกรั้วบ้าน
ฉันได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆ
เกี่ยวกับวอดก้าออกแล้วตอบกลับคนอายุน้อยกว่าไปแบบไม่ได้หันไปมองหน้ามัน
“เออๆ รีบอยู่”
“เดี๋ยวผิงไปเปิดคอมรอนะ”
ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มเศษๆ
พระจันทร์เคลื่อนขึ้นมาแทนพระอาทิตย์ที่คอยส่องแสงสว่าง ความมืดปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศบ่งบอกเวลาให้ฉันกับขนมผิงออกจากโลกแห่งความเพลิดเพลินอย่างโลกของเกมแล้วกลับบ้าน
แต่ถึงอย่างนั้นฉันกับขนมผิงก็มักจะสร้างโลกเกมที่บ้านอยู่เป็นประจำ เช่นวันนี้
เราเพิ่งกลับจากร้านเกมเฮียเผ่า กลับมาเพื่อเล่นกันต่อที่บ้าน
ครืนนน
ครืนนน ครืนนน
ยังไม่ทันได้พูดหรือตอบไอ้ผิงโทรศัพท์มือถือของฉันก็สั่นเครือเป็นเจ้าเข้าอยู่ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ขายาวตัวเก่ง
ฉันหยิบมันออกมาดูก่อนจะกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์โทรของ ‘ฮอน’ สหายสายเกมเมอร์พ่วงด้วยสถานะอดีตเพื่อนร่วมคณะ
[เต] ปลายสายเรียกชื่อฉันสั้นๆ เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้กล่าวทักทาย
“ฟังอยู่” ฉันพูดกับปลายสายพร้อมกับหมุนตัวเพื่อเดินมุ่งหน้าเข้าไปในบ้านหลังจากล็อกรั้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว
[มีเรื่องให้ช่วย] ฮอนเข้าเรื่องทันทีโดยไม่ยืดยาดให้เปลืองคำพูด
แต่คำพูดแสนตรงของมันนั้นทำให้ฉันถึงกับกลอกตาเป็นเลขแปดเมื่อได้ยิน
“วางสายตอนนี้ทันป้ะ”
[ไม่ทันแล้ว]
“แล้วมีอะไร” เนื่องจากไม่อยากคุยเยิ่นเย้อฉันเลยถามถึงหัวข้อที่ทำให้อดีตเพื่อนร่วมคณะโทรมาหา
[ฉันรับปากเพื่อนว่าจะไปซ่อมคอม’ให้มันวันนี้อ่ะ เธอช่วยไปแทนหน่อยดิ
บ้านมันอยู่ในซอยเดียวกับเธอนี่เอง ใกล้ๆ]
“ใกล้แล้วทำไมแกไม่ไปเอง”
นั่นคือสิ่งที่ฉันสงสัย
ถ้าใกล้แล้วทำไมมันไม่ไปเอง เพราะจริงๆ แล้วฮอนคือน้องชายคนละแม่ของเฮียเผ่า
มันมักจะกิน นอน และเล่นเกมอยู่ที่ชั้นสองของร้านเกมเฮียเผ่าตลอด
ฉันกับฮอนสนิทกันดี เราเจอกันบ้างตามโอกาส เนื่องจากเพื่อนสายเกมเมอร์ของฉันคนนี้มันเป็นคนเก็บตัว
นั่นเลยทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยเกินจำเป็นแม้จะอยู่ใกล้กันมากก็ตามที แต่ถึงแม้ว่าฮอนมันจะเก็บตัวสักแค่ไหน
ในเมื่อมันรับปากเพื่อนไว้แล้วมันก็น่าจะไปทำธุระของมันเอง
ไม่ใช่ปัดความรับผิดชอบมาให้ฉันแบบนี้
[ฉันไม่ว่าง]
“แกติดอะไร”
[ติดเมีย]
“ให้ตายเถอะฮอน” ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่กับคำตอบแสนงี่เง่าของเพื่อน
[ฮ่าๆ ๆ ฉันพูดเล่น] ปลายสายบอกเสริมหลังจากอำฉันเล่นจนพอใจ
แน่นอนว่าฉันเกือบเชื่อจริงๆ ว่ามันติดเมีย ถึงจะเป็นคนเก็บตัวแต่หน้าตาหล่อๆ
แบบฮอนน่ะหาสาวได้ไม่ยากหรอก [เธอช่วยไปซ่อมให้หน่อยนะ ฉันไม่ว่างจริงๆ]
“ฉันซ่อมไม่เป็นหรอก” ความจริงแล้วก็ซ่อมเป็น
แต่บอกปฏิเสธไว้น่าจะเป็นผลดีกับชีวิตฉันที่สุดแล้ว
[อย่ามาโกหก เธอเรียนวิศวะฯ คอม’นะเต]
นี่เป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงเลยว่าคนเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ต้องซ่อมคอม’เป็น มันไม่ใช่ ฉันไม่ได้เรียนมาให้ซ่อมคอมพิวเตอร์
ที่ฉันเรียนมันเป็นอะไรลึกซึ้งกว่านั้นมาก ลึกมากถึงขนาดที่ทำให้ฉันมองไอ้จอสี่เหลี่ยมเล็กๆ
นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์เลยล่ะ
“แกก็รู้ว่าวิศวะฯ คอม’ไม่ได้สอนให้ฉันซ่อมคอมพิวเตอร์”
ฉันรู้ว่าฮอนมันรู้ดีเพราะมันเองก็เคยเรียนกับฉันตอนปีหนึ่ง
เรียนได้เทอมเดียวเท่านั้นเพื่อนคนเก่งของฉันก็ซิ่วหนี เหตุผลเพราะเรียนไม่ไหวบวกกับใจไม่เอา
ฮอนเป็นคนที่ชอบเล่นเกมมากมันเลยเลือกเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง สุดท้ายมันก็เทวิศวะฯ ไปหาเรียนอย่างอื่น
[แต่อย่างน้อยเธอก็ซ่อมเป็นฉันรู้]
การที่เราจะซ่อมคอมพิวเตอร์เป็นหรือไม่เป็นมันก็แล้วแต่ว่าเราจะเรียนรู้เพิ่มเติมเอาเองหรือเปล่า
ซึ่งแน่นอนว่าฉันศึกษามันเพิ่มเติม
“ไม่ได้เก่งเท่าแก แล้วอีกอย่าง เพื่อนก็เพื่อนแก รับปากไว้ก็ไปทำเองดิ”
ฉันไม่ได้อยากทำตัวไร้น้ำใจหรอกนะ แต่ช่วงนี้ฉันไม่มีความรู้สึกอยากทำอะไร
แล้วอีกอย่างนี่ก็เป็นความรับผิดชอบของฮอนเอง มันจะมาปัดให้ฉันแบบนี้ไม่ได้
[อย่าใจร้ายกับเพื่อนดิ]
“ใครเพื่อนแก” ฉันชิงพูดก่อนที่ไอ้ฮอนจะได้ดราม่าใส่ว่าแค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้เหรออะไรเทือกนั้น
[เต~] ฮอนเรียกฉันเสียงอ่อย เหมือนจะน่ารัก แต่ไม่เลย
[ช่วยหน่อยนะ อย่างน้อยแค่เข้าไปดูอาการให้หน่อยก็ยังดี ฉันกลัวเพื่อนฉันมันจะรีบใช้]
พรึบ!
ฉันทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวนุ่นก่อนจะเอนศีรษะไปซบไหล่บุคคลที่นั่งดูทีวีอยู่ก่อนแล้วอย่างพี่ไหม
การที่ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ทำให้เธอยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉันอย่างแผ่วเบา
“ขอร้องฉันสิ” ฉันยังเล่นตัวไม่เลิกแม้ใจในจะตกลงยอมช่วยมันไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเห็นแก่มันหรอกนะ แต่ฉันเห็นใจเพื่อนมัน ถ้าเขารีบใช้งานเขาก็คงร้อนใจมากที่คอมพิวเตอร์มาพัง
ซ้ำยังยอมให้เพื่อนไม่มีความรับผิดชอบแบบไอ้ฮอนไปช่วยอีก
คราวซวยของเขาที่แท้จริงเลยล่ะ
[ขอร้องนะครับเพื่อนครับ]
ไม่รู้หรอกนะว่าเพื่อนคนนี้ไอ้ฮอนมันด้วยสนิทระดับไหน
แต่คงเป็นเพื่อนคนสำคัญอยู่เหมือนกันมันถึงได้แคร์เขาขนาดนั้น ทั้งๆ
ที่มันจะเลือกโทรยกเลิกนัดก็ได้ ทว่ามันดันโทรมาขอความช่วยเหลือจากฉัน
“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอ” ฉันถามอีกพร้อมกับทอดสายตาไปยังนาฬิกาแขวนผนัง
เวลาตอนนี้ใกล้จะสองทุ่มแล้ว
[อาฮะ]
“แค่ไปดูอาการให้นะ แล้วแกค่อยไปซ่อมเอง”
[แค่นั้นก็เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงแล้วครับเพื่อน]
ไม่อยากว่าเพื่อนโอเว่อร์หรอก
แต่แม่งโอเว่อร์จริงๆ ตอนขอให้ช่วยนี่เรียกเพื่อนอย่างนั้นเพื่อนอย่างนี้ ตอนอยู่กันปกตินี่แทบจะแดกหัวฉัน
“แล้วที่ว่าในซอยเดียวกับฉันนี่บ้านหลังไหนวะ ซอยนี้ไม่ได้มีแค่บ้านฉันกับบ้านเพื่อนแกสองหลังนะโว้ย”
[ฉันอธิบายไม่เก่งว่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันส่งรูปกับรายละเอียดให้ดูในไลน์แล้วกันนะ]
“อาฮะ”
เมื่อตกลงกันเสร็จแล้วฉันจึงกดวางสายไปก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัว
“น้องเตดูเหนื่อยๆ นะ” น้ำเสียงติดเป็นห่วงของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ
เอ่ยทักตอนที่เห็นฉันละเครื่องมือสื่อสารออกจากหูแล้ว “เรียนหนักเหรอ”
“อื้อ นิดหน่อยอ่ะ” ฉันวาดแขนทั้งสองข้างโอบเอวบางของพี่ไหมไว้หลวมๆ
ทั้งๆ ที่ยังซบไหล่เธออยู่แบบนั้น “แต่แค่ได้กอดพี่ไหมเตก็หายเหนื่อยแล้ว~”
“อ้อนอะไรเนี่ยน้องเต” พี่ไหมไม่ได้ผลักไสอ้อมกอดของฉัน
เธอถามแบบนั้นพร้อมกับโอบหลังฉันไว้แล้วโยกไปมาเบาๆ พาให้ฉันผ่อนคลายลงได้บ้างนิดหน่อย
“หิวข้าวเหรอ หรือยังไงหื้ม”
ถ้าฉันอยากกินอะไรเป็นพิเศษแล้วอยากให้พี่ไหมเป็นคนทำให้
ลูกอ้อนแบบนี้มักจะใช้ได้ผลเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ฉันไม่ได้อยากกินอะไรเป็นพิเศษ
แค่อยากกอดใครสักคนก็เท่านั้น
“เตไม่ได้หิวหรอก” ฉันตอบคำถามก่อนจะเป็นคนถามบ้าง “พ่อกลับมาหรือยังอ่ะ”
“คุณลุงขึ้นห้องไปพักแล้วจ้ะ เห็นบ่นว่าเหนื่อยๆ น่ะ”
ฉันผละอ้อมกอดออกก่อนจะพยักหน้ารับรู้
รอยยิ้มบางๆ ของพี่ไหมที่ส่งมาทำให้ฉันยิ้มตามง่ายๆ
แต่พอคิดถึงรอยยิ้มแสนน่ารักของวอดก้าที่ยิ้มให้อดีตดาวบริหารก็ทำให้ใบหน้าฉันกลับมาเรียบดึงราวกับฉีดโบท็อกซ์มาเป็นสิบเข็มทันที
ให้ตายสิ นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะ ทำไมฉันยังสลัดเรื่องนี้ไม่หลุดจากหัวสักที!
ฉันคิดว่าการไม่ไปเจอวอดก้าจะทำให้ฉันมีความคิดที่อยากตัดใจจากเขาบ้าง
แต่มันไม่ใช่เลย ยิ่งไม่เจอก็ยิ่งทำให้คิดถึง ฉันอยากไปพูดเสี่ยวๆ
ให้เขาทำหน้าตางุนงงที่แสนน่ารักใส่ อยากได้ยินเสียงทุ้มแสนละมุนหูของเขา
แต่ถึงจะไม่ตัดใจ ฉันก็ไม่ได้พยายามเข้าไปใกล้เขาแบบที่ทำไปก่อนหน้า
ฉันยังสับสนอยู่เลยว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี
ฉันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วฉันรู้สึกยังไงอยู่กันแน่
เอาจริงๆ ยูนิต NCT ยังเข้าใจง่ายกว่าความรู้สึกของฉันตอนนี้เลย
“ลูกพี่! ผิงรอนานแล้วนะเนี่ย” เสียงบุคคลที่สามแทรกเข้ามาระหว่างบทสนทนาของฉันกับพี่ไหม
“ไอ้ฟ่าขอร่วมตี้[ตี้
: การเล่นเกมแบบทีม] ด้วย รีบมาเร็ว”
“…” ฉันหันไปมองต้นเสียงก็พบขนมผิงยืนเสนอหน้าอยู่ตรงบันได
“พี่ฮอนก็ออนไลน์อยู่ เดี๋ยวผิงชวนเขาด้วย”
ที่บอกฉันว่าไม่ว่างนี่คือไอ้ฮอนมันเล่นเกมอยู่น่ะเหรอ
ให้ตายเถอะ!
“พวกแกเล่นกันไปก่อนเลย ฉันมีธุระต้องไปทำ” ฉันตัดบทง่ายๆ
แม้จะแอบแค้นเพื่อนหัวหมออย่างไอ้ฮอนอยู่บ้างแต่ในเมื่อฉันรับปากมันไปแล้วยังไงก็ต้องไป
“อ้าว ไปไหนอ่ะ ให้ไปเป็นเพื่อนเปล่า”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปคนเดียว”
“ไปยังไง” คนอายุน้อยกว่ายังถามไม่หยุด มันคงเห็นว่าฉันโดนสั่งห้ามไม่ให้ขี่มอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วถึงได้ถามคำถามนั้นออกมา
แต่จะให้ตอบดีๆ บทสนทนาระหว่างฉันกับมันคงยืดยาวกว่านี้เป็นแน่
“ไม่เสือกดิ”
“แล้วอีกนานมั้ยอ่ะ เดี๋ยวผิงรอ” รุ่นน้องยังคงเห็นความสำคัญของฉันอยู่เสมอ
“ตี้ที่ไม่มีลูกพี่ก็เปรียบเหมือนหน้าที่โดนกระดาษซับแล้วอ่ะ”
“ยังไง”
“ไม่มัน”
ฉันถึงกับถอนหายใจทิ้งเมื่อได้ยินมุกตลกของขนมผิง
มันไม่ได้ตลกอ่ะ
“เล่นกันไปก่อนเลยไป อีกนานกว่าจะเสร็จ” ฉันปัดมือไล่รุ่นน้องที่ยืนอยู่ขั้นบันไดอย่างเอือมละอา
เนื่องจากไอ้ฮอนยังไม่ส่งรายละเอียดบ้านเพื่อนมันมาให้ฉันเลยยังไปจัดการธุระไม่ได้
และคงอีกนานกว่าฉันจะได้เล่นเกมกับขนมผิง แต่เชื่อเถอะว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
เพราะพรุ่งนี้วันเสาร์
“โอเค รับทราบครับผม” ขนมผิงตอบแค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปอย่างว่าง่าย
ที่ว่าง่ายขนาดนี้เพราะมันเสี้ยนจะเล่นเกมนั่นแหละ มันไม่ได้เป็นเด็กดีเชื่อฟังฉันขนาดนั้นหรอก
“ไอ้น้องคนนี้นี่มันติดเกมซะจริงเลยนะ” พี่ไหมที่มองฉันกับขนมผิงสนทนากันอยู่พูดออกมาเอือมๆ
ฉันก็คิดแบบพี่ไหมแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะฉันเองก็ติดเกมไม่แพ้ขนมผิงเลย
“ไงไอ้อ้วน~” ฉันเอ่ยทักทายแมวหน้าหยิ่งตัวอ้วนที่มีขนสีขาวปุกปุย
มันชื่อว่า ‘หมูปิ้ง’ เป็นแมวของเบียร์สดที่เอามาฝากเลี้ยงหลังจากเลิกกับแฟนเก่า
“เมี๊ยว~” แมวแสนรู้ร้องเหมียวรับทันทีที่ฉันเอ่ยทักทายมัน
ไอ้ตัวอ้วนปีนขึ้นมานอนบนตักฉันอย่างถือดีก่อนจะใช้หัวเล็กๆ ถูไถแขนของฉันที่วางอยู่หน้าขาอย่างออดอ้อนออเซาะ
“เออน้องเต วันนี้ช่วงห้าโมงเย็นมีผู้ชายคนนึงมารอน้องเตด้วย”
“ใครอ่ะ ไอ้เบียร์เหรอ” ฉันถามออกไปแบบนั้นเพราะเพื่อนที่จะมาบ้านฉันได้น่ะมีไม่กี่คนหรอก
“ไม่ใช่เบียร์นะ เห็นบอกว่าชื่อวอดก้า”
“…” ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินพี่ไหมบอกแบบนั้น
หัวใจที่แห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้ใกล้ตายของฉันตอนนี้กลับมาพองโตราวกับได้รับน้ำประทังชีวิต
เขามาหาฉันทำไมไม่รู้
แต่ฉันรู้สึกดีใจอย่างที่ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก
“หน้าตาน่ารักเชียวแหละ” พี่ไหมยิ้มแซวฉัน “มีเพื่อนน่ารักๆ แบบนี้ทำไมไม่เห็นเคยพามาบ้านเลยล่ะ”
จะพามาได้ยังไงกันล่ะ
คุยกันได้สองวันฉันก็หนีหน้าเขาซะแล้ว
“เขาได้บอกไว้หรือเปล่าว่ามาหาเตทำไม” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับเกาหัวไอ้หมูปิ้งที่นอนอยู่บนตักเบาๆ
แม้ฉันอยากจะดีใจแค่ไหนแต่การเก็บสีหน้ามันดันเป็นอย่างหนึ่งที่ฉันชอบทำมากๆ
ซะแล้ว
“เห็นบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ”
“มีเรื่องอยากคุย”
ฉันกับเขายังมีอะไรที่ต้องคุยกันนะ
ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ
“เขาบอกพี่แค่นั้นแหละ นั่งรอน้องเตตั้งนานสองนานเลยนะ
แต่สุดท้ายก็ถอดใจกลับไปก่อน” พี่ไหมเอื้อมมือไปหยิบรีโหมดทีวีจากโต๊ะกระจกตัวเตี้ยที่ห่างจากโซฟาเพียงนิดหน่อยมากดเปลี่ยนช่องทีวี
ดวงตาคู่สวยมองไปที่จอสี่เหลี่ยมพลางพูดต่อ “เขากลับไปได้พักนึงน้องเตก็มาพอดี
เสียดายแย่เลยนะคลาดกันแบบนี้”
“…” เงียบคือสิ่งเดียวที่ฉันทำตอนนี้ มันมีคำถามโถมเข้ามาในหัวมากมาย
แต่สุดท้ายฉันก็หาเหตุผลดีๆ มาตอบตัวเองไม่ได้เลยสักคำถามเดียว
ครืน! ครืน!
โทรศัพท์มือถือของฉันสั่นครืนเพื่อแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้า
ฉันควานหามันจนเจอแล้วหยิบขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเป็นฮอนที่ส่งมา
H.HON
: บ้านเลขที่ 20/2 เป็นบ้านไม้สีเบจอ่ะ
เพื่อนฉันชื่อวอดก้า
H.HON
: *แนบรูปภาพ*
“ไอ้ฉิบหาย” ฉันสบถคำหยาบคายออกมาอย่างเหลืออดเมื่อเห็นบ้านไม้สีเบจที่ไอ้ฮอนส่งรูปมา
หัวใจมันเต้นรัวและเร็วขึ้นแบบบอกไม่ถูก
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ลืมพิมพ์แช่งไอ้ฮอนที่มันปัดภาระของมันมาให้ฉันแล้วหนีไปเล่นเกมอย่างสบายใจ
T. :
ถ้าที่บอกว่าไม่ว่างคือหนีไปเล่นเกมฉันก็ขอให้แกแรงค์ตก [แรงค์ : อันดับในเกม]
H.HON
: แหะๆ
“ไอ้ห่า แหะที่หน้าแกดิ” ฉันสบถคำหยาบออกมาอีกรอบก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมท่าตัวที่สวมอยู่
“น้องเต” พี่ไหมส่งสายตามาเอ็ดเมื่อเห็นว่าฉันพูดหยาบคายออกมาตั้งสองรอบ
ปกติแล้วฉันไม่พูดคะหรือขา
แต่ก็ไม่พูดคำหยาบเช่นเดียวกัน ไม่พูดหยาบเฉพาะตอนอยู่บ้านน่ะ พี่ไหมกับพ่อไม่ชอบให้ฉันดูเป็นเด็กหยาบคาย
ห่ามได้แต่อย่าหยาบ ทว่าอยู่กับเพื่อนฉันก็หลุดปากบ่อยๆ เผลอหยาบใส่เพื่อนไปตั้งหลายครั้งแล้วเหมือนกัน
“พี่ไหม” ฉันเรียกชื่อคนอายุมากกว่าเบาๆ ก่อนจะทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายใส่เธอ
ฉันปวดหัวมากจริงๆ เมื่อคิดว่าต้องไปเจอวอดก้าทั้งๆ ที่ยังสับสนกับความรู้สึกอยู่แบบนี้
ให้แก้โจทย์คณิตเรื่องแคลคูลัสยังง่ายกว่าการไปเจอเขาทั้งๆ
ที่ใจฉันยังสับสนอยู่แบบนี้เลย
“ว่าไงจ๊ะ”
แต่ฉันเชื่อว่าพี่ไหมจะเป็นที่ปรึกษาที่ดีสำหรับเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
“วอดก้าคือคนที่เตชอบ”
“หือ” คู่สนทนายิ้มกริ่มใส่ฉัน เธอคงหวังจะแซวเพราะเขาเพิ่งมาบ้านฉันวันนี้
แต่รอยยิ้มของคนอายุมากกว่าก็เจือจางไปเมื่อฉันบอกออกไปอีกประโยค
“แต่เขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้ว”
“โถน้องเต” พี่ไหมมองฉันอย่างนึกเห็นใจ ฉันไม่ชอบเวลาที่โดนมองด้วยสายตาแบบนี้
มันเหมือนกับว่าฉันแพ้
“เตไม่เป็นไรหรอกนะ แค่สับสนนิดหน่อย”
ฉันเคยบอกวอดก้าว่าฉันจะพยายามจีบเขาให้ติดไม่สนว่าเขาจะชอบฉันกลับหรือเปล่า
ฉันพยายามหนักแน่นในคำพูดนั้น แต่ลึกๆ แล้วฉันกลับสับสนจนแทบเป็นบ้า
“มีอะไรจะพูดกับพี่หรือเปล่าจ๊ะ” มือเรียวเอื้อมมาลูบเรือนผมสีไพลินของฉันอย่างแผ่วเบาก่อนจะเกลี่ยเส้นผมข้างแก้มไปทัดใบหูให้
“พูดมาได้นะ ถ้ามันช่วยได้”
ฉันรู้ว่าพี่ไหมเป็นห่วงความรู้สึกของฉัน
เธอเป็นทุกอย่างให้ฉัน ทั้งพี่สาวที่แสนใจดี บางครั้งเธอก็ขี้บ่นเป็นคุณแม่ แถมบางครั้งยังดุเป็นคุณครู
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้ว่าเธอทำทั้งหมดเพราะรัก ฉันพยักหน้ารับเบาๆ เพื่อบอกเธอว่าอยากได้คำปรึกษา
“เตไม่รู้ว่าควรสู้ต่อหรือพอแค่นี้” นั่นคือสิ่งที่ฉันตัดสินใจไม่ได้สักที
มันก่ำกึ่งอยู่ตลอด ตอนฉันยังสู้ต่อ อีกด้านในใจฉันมันก็บอกให้ถอยออกมา แต่พอฉันจะถอยอีกด้านมันก็บอกให้สู้ต่อ
ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“น้องเตยังชอบเขาอยู่มั้ย”
“ชอบสิ” ฉันกล้าพูดเต็มปากเลยว่าฉันยังชอบวอดก้าไม่เปลี่ยน
ความรู้สึกฉันมันยังเหมือนเดิม เหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
“แล้วมีแค่เหตุผลเดียวเหรอที่ทำให้น้องเตจะไม่สู้ต่อ แบบนั้นมันผิดวิสัยของเรามากเลยนะ”
พี่ไหมยังถามต่อ คำถามของเธอทำให้ฉันได้คิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง นั่นเลยทำให้ฉันรู้ว่าการที่เขาชอบคนอื่นไม่ใช่เหตุผลเดียว
“คนที่เขาชอบ…ดูเหมาะสมกับเขามากเลยล่ะ”
แม้จะแอบประท้วงอยู่ในใจแต่สิ่งที่พูดไปมันคือความจริง
วอดก้ากับอดีตดาวบริหารดูเหมาะสมกันจริงๆ เธอคนนั้นดูเรียบร้อย อ่อนหวาน วอดก้าเองก็อ่อนโยน
สายตาที่เขามองเธอคนนั้นมันอ่อนโยนซะจนฉันอยากอาเจียน
มันเป็นความจริงที่โคตรเจ็บเลยอ่ะ
“พี่อยากให้น้องเตสู้ต่อนะ” พี่ไหมเป็นคนมีเหตุผล
ดังนั้นเธอจึงอธิบายต่อ “เขาแค่มีคนที่ชอบ
แต่เขายังไม่ได้คบกันนี่เนาะ น้องเตมีสิทธิ์สู้ต่อ”
“…” อันนั้นฉันรู้ดี ฉันมีสิทธิ์ แต่ฉันไม่มีกำลังใจจะสู้นี่สิปัญหา
เขาดูเหมาะสมกันเกินกว่าที่ฉันจะแทรกเข้าไปแม้ว่าอดีตดาวบริหารจะไม่รู้เลยว่าวอดก้าชอบเธอก็เถอะ
เขาสองคนเหมาะสมกัน…นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นเขาสองคนยืนใกล้ๆ
กันเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
แต่อีกด้านในใจฉันมันก็เถียงแบบไม่มีเสียงว่าฉันก็เหมาะสมกับวอดก้าเหมือนกันโว้ย!
สองความคิดนี้ตีกันในหัวฉันจนถึงตอนนี้
ฉันรู้ว่าฉันควรหนักแน่นกับคำพูดที่เคยพูดกับวอดก้าไว้
แต่ไม่รู้ทำไมใจฉันมันถึงไม่มีแรงจะฮึดสู้บ้างเลย
“เขาเป็นคนแรกที่น้องเตชอบ พี่อยากให้น้องเตได้เรียนรู้” ดวงตาคู่สวยของบุคคลตรงหน้าฉายความอบอุ่นมาปกคลุมหัวใจฉัน “น้องเตอาจจะได้เจอความรักจากคนอื่นมากมายในอนาคต
คู่แท้ของน้องเตอาจจะไม่ใช่เขา การสู้ครั้งนี้พี่ไม่ได้หวังให้เรามีชัยชนะหรอกนะ
แค่สู้ให้เต็มที่ แม้สุดท้ายจะแพ้อย่างน้อยน้องเตก็ได้เรียนรู้เรื่องความรัก”
“…” ฉันใช้ฟันขบริมฝีปากล่างพร้อมกับคิดตามคำพูดของคนอายุมากกว่า
“การเจอรักดีๆ มันยากพอๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะ เรียนรู้ไปเถอะ ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนเปิดสอนวิชาความรักหรอกนะ
พี่อยากให้น้องเตมีความรู้ด้านความรักกับชาวบ้านเขาบ้าง
ไม่ใช่เก่งแต่เรียนกับเล่นเกมอย่างเดียว”
ฉันยิ้มออกมาเมื่อความอบอุ่นของพี่ไหมโอบอุ้มใจฉันไม่ให้หลงทาง
ฉันไม่รู้เลยว่าจะเปรียบความอบอุ่นนี้เหมือนไมโครเวฟหรือฮีตเตอร์ดี
ฉันรู้แค่ว่ามันอบอุ่นเป็นบ้าเลย
‘อะไรที่รู้ว่าจะแพ้ก็ไม่ควรแข่งมั้ยวะพี่’
อยู่ๆ
ฉันก็นึกถึงคำพูดของขนมผิงขึ้นมา และฉันก็จำได้ว่าตอบรุ่นน้องไปว่ายังไง
ฉันต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้ามันจะเจ็บ อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงตาย แม้สุดท้ายจะแพ้
แต่วอดก้าจะเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับฉัน
“รักดีๆ ไม่ได้หายากพอๆ กับการงมเข็มในมหาสมุทรหรอกนะพี่ไหม” ฉันพูดบ้างหลังจากเงียบไปนาน คำพูดของพี่ไหมทำให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น ฉันไม่ใช่คนที่ไม่พยายาม
ฉันตั้งใจอะไรไว้ฉันต้องได้ทำมัน การที่คุยกับพี่ไหมมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยล่ะ
ฉันควรคุยกับเธอตั้งนานแล้ว ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองต้องอยู่กับความสับสนตั้งสองอาทิตย์เต็มๆ
“หือ” คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วสูงเชิงถามว่าคำพูดของฉันมันหมายถึงอะไร
“แล้วมันเปรียบกับอะไรได้อีกล่ะ”
“มันคือการงมเข็มในกองเข็ม”
งมเข็มในกองเข็มมันยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรตรงที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเข็มเล่มไหนคือความรักที่เราตามหา
เข็มเล่มไหนคือความรักดีๆ ที่เราอยากเจอ เพราะในกองเข็ม…มันก็มีแต่เข็มเหมือนๆ กันหมด
“นั่นสินะ” พี่ไหมเข้าใจคำพูดฉันก็ยิ้มออกมาทันทีแบบห้ามไม่ได้
“ถึงเวลาที่เตต้องไปแล้วแหละ” ฉันอุ้มแมวตัวอ้วนที่มีขนสีขาวปุกปุยไปวางไว้บนตักพี่ไหมก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปัดขนสีขาวของไอ้หมูปิ้งออกจากตัวจนสะอาดเรียบร้อย
“ไปไหนจ๊ะ นี่มืดแล้วนะ”
ฉันแสยะยิ้มใส่พี่ไหมก่อนจะบอกออกไปอย่างหนักแน่น
“ไปงมเข็ม”
ว่าจบฉันก็สาวเท้าเดินมุ่งหน้าขึ้นบ้านไปหยิบไขควงวัดไฟในห้องก่อนจะกลับลงมาหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่มันไปยังบ้านเลขที่
20/2 บ้านไม้สีเบจที่ฉันเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
นี่เป็นการขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนนจริงๆ ครั้งแรกของฉัน และฉันก็ทำมันได้ดี
ไม่ได้ไปชนใครที่ไหน
ฉันจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างรั้วก่อนจะยืนทำใจครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือไปกดกริ่งหน้าบ้าน
และรอไม่นานนักประตูไม้ก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือผู้หญิงวัยกลางคน
“สะ…สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้คนอายุมากกว่าประกอบคำพูด
ก่อนจะพูดออกไปอีกพร้อมกับชูไขควงวัดไฟในมือไปด้วย “มาดูอาการคอม’ให้วอดก้าแทนฮอนน่ะค่ะ พอดีมันไม่ว่าง”
ฉันรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเพราะส่วนมากแล้วฉันไม่ค่อยได้เข้าสังคมกับผู้ใหญ่สักเท่าไหร่
ฉันอ้างชื่อไอ้ฮอนเพราะคนในบ้านนี้ไม่ได้รู้จักมักจี่กับฉัน
แต่แน่นอนว่าต้องรู้จักฮอน ก็มันสาระแนเป็นเพื่อนกับลูกชายเจ้าของบ้านหลังนี้นี่เนาะ
ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันไปรู้จักกับวอดก้าได้ยังไง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกจากฉันมันมีคนอื่นคบเป็นเพื่อนด้วย
“เพื่อนตาฮอนเหรอลูก” ผู้หญิงวัยกลางคนถามฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เป็นรอยยิ้มที่ดูใจดีมาก ท่าทางเป็นมิตรนั่นลดอาการเกร็งของฉันลงได้เยอะอยู่เหมือนกัน
“ชื่ออะไรล่ะ”
“ต้องเตค่ะ”
“น้องเตเนาะ” หญิงวัยกลางคนลดความห่างเหินของเราลงมาก
ทำให้อาการเกร็งของฉันหายไปจนหมด “เข้ามาในบ้านก่อนสิลูก”
“…” ฉันยิ้มนิดๆ พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินตามหลังเจ้าของบ้านเข้ามาข้างใน
“เดี๋ยวแม่ไปเรียกน้องก้าให้นะลูก นั่งรอก่อนนะ” รอยยิ้มที่ส่งมาให้ฉันยังดูใจดีไม่เปลี่ยน
ใบหน้าของหญิงมีอายุคนนี้เหมือนวอดก้าอยู่มากเลยล่ะ แม้จะเริ่มมีริ้วรอยตามช่วงอายุแต่ก็พูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นคนมีอายุที่ดูดีมากเลย
“ได้ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
ทันทีที่เจ้าของบ้านเดินขึ้นบันไดไม้ที่ดูเรียบหรูไปยังชั้นบนของบ้านฉันก็ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวนุ่นสีน้ำตาลแก่
สายตาของฉันกวาดไปรอบๆ บ้านที่ตกแต่งสไตล์วินเทจแบบไม่มีที่วางตา บ้านหลังนี้มองข้างนอกอาจจะไม่ดึงดูดอะไรมากมาย
ทว่าภายในกลับตกแต่งได้น่าอยู่เป็นบ้าเลย
ระหว่างที่ฉันชื่นชมความงามของบ้านหลังนี้อย่างเพลินตาเจ้าของบ้านคนเดิมก็เดินกลับมาหา
“น้องก้าอาบน้ำอยู่น่ะลูก แต่ว่าเขาบอกให้เข้าไปดูในห้องได้เลย” ฉันลุกเต็มความสูงเมื่อเจ้าของบ้านบอกแบบนั้น “ตามแม่มาเลยจ้ะ”
“…” คุณแม่ของวอดก้าพาฉันเดินขึ้นบันไดไม้มายังชั้นบนของบ้าน ฉันเองก็ได้แต่เดินตามหลังท่านอย่างเงียบๆ
มือเรียวที่เนื้อหนังเริ่มเหี่ยวย่นตามช่วงอายุเอื้อมไปเปิดประตูไม้บานกว้างออกก่อนจะหันมาคุยกับฉัน
“คอม’อยู่ฝั่งนั้นนะลูก ขาดเหลืออะไรบอกแม่ได้นะ เดี๋ยวน้องก้าคงเข้ามา”
“ได้ค่ะ” ฉันว่าพร้อมกับฉีกยิ้มให้คนที่อาวุโสกว่า
ฉันสาวเท้าเดินไปยังมุมที่ถูกจัดเป็นมุมเขียนหนังสือ
ข้างๆ โต๊ะคอมพิวเตอร์มีโต๊ะเปล่าๆ ตั้งอยู่ แม้ขาจะก้าวเข้าไปหาคอม’แต่สายตากลับกวาดมองรอบๆ ห้องเพื่อสำรวจไปด้วย
เจ้าของบ้านเดินกลับออกไปทางเดิมก่อนจะปิดประตูลง
ตอนที่ภายในห้องนอนของวอดก้าเหลือเพียงฉันอยู่ตามลำพังทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสนิทจนได้ยินแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่
บอกตรงๆ
ว่าฉันอายมาก ห้องนอนวอดก้าเรียบร้อยกว่าห้องนอนของฉันสิบเท่าเลยล่ะ ปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่ไม่เรียบร้อยนะสำหรับการจัดห้องนอน
แต่เขาแค่เรียบร้อยกว่าก็เท่านั้น
ฉันถอดเสื้อช็อปสีกรมท่าออกแล้วพาดมันไว้ที่พนักพิงเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง
ฉันกวาดสายตามองรอบๆ โต๊ะคอมพิวเตอร์ของวอดก้าก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดเครื่องเพื่อเช็คดูว่าอาการมันเป็นยังไงและมีอะไรเสียบ้าง
ฉันสงสัยอยู่อย่างเดียวคือคอมพิวเตอร์ที่วอดก้าใช้มันคือคอมพิวเตอร์แบบประกอบ[คอมพิวเตอร์แบบประกอบ : คอมพิวเตอร์ที่ประกอบขึ้นเอง
สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างอิสระ] ถ้าเขาใช้คอม’ประกอบก็น่าจะรู้เรื่องคอม’ดีนี่ ทำไมยังตามให้ไอ้ฮอนมาซ่อมให้ล่ะ
แกร๊ก~
ฉันอยู่ในห้องนอนของวอดก้าคนเดียวเพียงไม่นานก็มีเสียงประตูห้องถูกเปิดออกก่อนจะถูกปิดลงด้วยฝีมือคนๆ
เดียว ฉันทอดสายตาไปยังเจ้าของห้องที่เพิ่งเดินเข้ามา ร่างกายท่อนบนของวอดก้าเปลือยเปล่าและพราวไปด้วยหยาดน้ำ
นั่นทำให้ฉันกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอได้อย่างยากลำบาก
ตอนนี้มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวสะอาดตาเท่านั้นที่พันรอบเอวปิดบังตัวตนของเขาอยู่
จะบอกว่าไม่เคยเห็นผู้ชายเปลือยก็ไม่ได้เพราะฉันเห็นไอ้ผิงแก้ผ้าเดินรอบบ้านบ่อยมาก
จะพูดให้ถูก…ต้องบอกว่าไม่เคยเห็นผู้ชายที่ตัวเองชอบเปลือยแบบนี้
ฉันรู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อากาศในห้องนี้เย็นเยือกเพราะเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานอยู่
“เราคิดว่านายจะเบี้ยวนัดเราแล้วนะ” เจ้าของห้องก้มหน้าก้มตาใช้ผ้าสีขาวผืนเล็กที่คล้องคอเข้ามาในห้องด้วยเช็ดเส้นผมที่เปียกโชก
เขาไม่ได้สังเกตเห็นฉัน ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนก่อนจะว่าต่อ “เพิ่งรู้ว่านายรักษาคำพูดเป็นเหมือนชาวบ้านด้วย”
เป็นการด่าแบบสุภาพสไตล์อีกแล้วสินะ
ไอ้ฮอนได้ยินมันคงเจ็บกระดองใจอยู่เหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าสองคนสนิทกับระดับไหน
แต่ขอยืนยันอีกเสียงว่าคำด่าของวอดก้านั้นค่อนข้างจริง การไม่รักษาคำพูดถือเป็นนิสัยเสียมากที่สุดสำหรับไอ้ฮอน
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่คิดจะแก้นิสัยเสียๆ ของมันเลย
“หัวนมสีชมพูเชียวนะ” แทนที่จะอธิบายเรื่องเพื่อนของเขาให้ฟังฉันกลับเท้าแขนกับพนักผิงเก้าอี้แล้วพูดแซวเจ้าของห้องด้วยเรื่องทะลึ่ง
วอดก้าเงยหน้าขึ้นมามองฉันก่อนจะชะงักไปเกือบนาที
“เธอ!” และเมื่อสติเขากลับมาคำถามมากมายจึงถูกยิงมาที่ฉันไม่ยั้ง
“เธอมาอยู่ในห้องเราได้ยังไง แล้วฮอนไปไหน ทำไมเป็นเธอล่ะ
เอ๊ะ! ให้ตายสิเต เมื่อกี้เธอทักหัวนมเราเหรอ ทะลึ่ง!”
ฉันได้แต่นึกขำอยู่ในใจ
เขาทำอย่างกับไม่เคยมีใครได้เห็นเรือนร่างแสนกำยำของเขาอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้หน้าบางกว่าผู้ชายที่อยู่รอบๆ
ตัวฉันนักนะ
“จะให้ตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ” แม้ในใจจะนึกขำแต่ฉันกลับถามเขากลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“คำถามไหนก็ตอบมาเถอะ เรารอฟังอยู่” วอดก้าว่าพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่ใช้เช็ดเส้นผมอยู่ก่อนหน้าปกปิดหน้าอกขาวๆ
ที่ฉันเพิ่งใช้สายตาลวนลามไป
“พี่คิดถึงน้องก้าม๊ากมาก”
“อะ…อันนั้นเราไม่ได้ถามซะหน่อย”
“อันนี้พี่อยากบอกเองอ่ะ”
นี่อาจจะเป็นการกลับมาที่ไม่ต่างจากเดิม
แต่บอกเลยว่าที่เพิ่มเติมคือครั้งนี้ฉันไม่ถอยไปไหนแน่ๆ จนกว่าเขาจะเป็นคนตัดสินฉันให้แพ้จริงๆ
ความคิดเห็น