คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : #พี่เตคนคูล - 02
ตอนเย็น
พอฉันกับขนมผิงเลิกเรียนเสร็จก็ตรงดิ่งไปที่ร้านเกมเฮียเผ่าแบบไม่สนอะไรทั้งสิ้น
มันกลายเป็นกิจวัตประจำวันไปแล้วสำหรับการเล่นเกมก่อนกลับบ้าน
เราสองคนอยู่ที่ร้านเกมเฮียเผ่านานจนตอนนี้ฟ้ามืดสนิทไปแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษๆ ซึ่งก็ได้เวลาที่ฉันกับขนมผิงต้องกลับบ้าน ยานพาหนะของเราคือมอเตอร์ไซค์
Kawasaki KSR สีขาวดำ มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันแรกที่พ่อซื้อให้ฉันตอนขึ้นมัธยมปลาย
แต่ห้ามให้ฉันเป็นคนขี่ ตั้งแต่ได้มอเตอร์ไซค์คันนี้มาฉันเลยทำได้แค่นั่งซ้อนท้าย
ขนมผิงเป็นคนขี่ให้ฉันซ้อน
ทุกอย่างควรเรียบง่าย เราสองคนควรจะถึงบ้านในเร็วๆ นี้ ทว่ามันดันไม่ใช่แบบนั้นเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในซอยปุ๊บสายตาฉันก็ทอดไปกระทบกับร่างสูงโปร่งที่เห็นเพียงด้านหลังก็ทำให้หัวใจฉันสั่นไหวผิดปกติแล้ว
“จอดๆ ไอ้ผิงจอด” ฉันตบไหล่ขนมผิงประกอบคำสั่ง
และแน่นอนว่าทันทีที่สั่งคนอายุน้อยกว่าก็หยุดรถทันควัน
“อะไรของพี่เนี่ย จะให้จอดทำไมอีก ผิงหิวข้าวแล้วนะ” ขนมผิงหันมางอแงใส่ฉัน
ฉันไม่ได้ตอบอะไร
แค่วาดขาลงรถแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาบุคคลที่เดินลากเท้าอยู่ริมถนนข้างหน้า
“เดินคนเดียวเหงามั้ย” ฉันถามไถ่ตอนที่เดินไปขนานข้างวอดก้า
“เธอ!” บุคคลที่เดินอยู่ก่อนแล้วดูตกใจนิดหน่อยที่เห็นหน้าฉัน
ร่างสูงโปร่งหยุดชะงักพร้อมกับถามฉันกลับด้วยสีหน้างุนงง “มาได้ยังไง นี่เธอแอบตามเรามาเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ฉันแกล้งพูดความเท็จออกไปให้เขากลัวเล่นๆ “พี่คลั่งน้องวอดก้าม๊ากมากเลยแอบตามมา”
“…” คำพูดของฉันทำวอดก้าหน้าถอดสี
ร่างสูงกว่ากระชับเป้สะพายหลังก่อนจะหลุบตาต่ำ ฉันมองว่าการกระทำของเขาอยู่ทุกท่วงท่า
มันน่ารักมาก น่ารักจนฉันอยากจะยิ้มเขินให้ปากฉีกไปถึงใบหู
“ล้อเล่น บ้านพี่อยู่ท้ายซอยนี้เอง” เพียงครู่เดียวฉันก็เฉลยความจริงออกไปพร้อมกับถามต่อ “บ้านน้องวอดก้าอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอ”
เมื่อวานก็เจอ
วันนี้ก็เจอ มันอดมาได้ที่จะคิดว่าเขาอยู่แถวนี้จริงๆ
“เราไม่บอกเธอหรอก” วอดก้ามองหน้าฉันเหมือนไม่ไว้ใจ
ไม่แปลกหรอกถ้าเขาไม่ไว้ใจ ฉันรุกเขาเร็วขนาดนี้เขาก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
“ทำไมล่ะ พี่ไม่ได้จะพาเพื่อนไปยกเค้าบ้านน้องสักหน่อย”
“เราไว้ใจเธอได้ด้วยเหรอ” คำถามของวอดก้าเป็นเหมือนหลักฐานยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความไว้เนื้อเชื่อใจฉันเลยสักนิดเดียว
“ถ้าพี่จะขโมยอะไรในบ้านน้อง พี่คงเลือกที่จะขโมยน้องนั่นแหละ” แม้จะเขินมากตอนที่พูดประโยคนั้นออกไปแต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า และที่พูดนั่นก็คือความรู้สึกฉันจริงๆ
ฉันอยากขโมยเขาไปไว้บ้าน มองทุกการกระทำของเขาให้ตาเป็นต้อไปเลย
“เธอนี่เป็นผู้หญิงแบบไหนกัน”
มันเป็นคำถามที่ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะตอบ
“เป็นผู้หญิงที่โคตรเด็ด แถมยังลิมิเต็ดอิดิชั่น”
“…” วอดก้าไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ถอนหายใจเอือมๆ แล้วเดินต่อ
แน่นอนว่าฉันไม่ปล่อยให้เขาเดินจากไปเฉยๆ หรอก
“ให้พี่ไปส่งมั้ย” ฉันถามพลางเดินขนานข้างไปพร้อมๆ
วอดก้า
“ไม่เป็นไร เราเดินกลับเองได้”
“แต่พี่จะไปส่ง”
“แล้วเธอจะถามเราทำไม” วอดก้าหันมามองหน้าฉันแบบไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าโดนป้ายยาเสน่ห์ตอนไหนฉันถึงมองทุกการกระทำของเขาน่ารักไปหมด เขาทำอะไร
พูดอะไรมันก็ดูน่ารักไปซะทุกอย่าง ไม่รู้ว่าควรชมผู้ชายว่าน่ารักไหม แต่สำหรับฉัน นิยามของคำว่าน่ารักก็คือวอดก้า
“ถามไปงั้นแหละ” แต่เชื่อเถอะว่าแม้จะเขินหรือแอบกรีดร้องในใจว่าวอดก้าน่ารักขนาดไหนแต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าให้เขาเห็นเลย “ป้ะ ไปเถอะ”
หมับ!
ฉันคว้าข้อมือของบุคคลข้างๆ
หวังจะให้เขาเดินตาม ทว่าเขากลับหยุดนิ่งอยู่กับที่
“เธอจะมาจับมือถือแขนผู้ชายแบบนี้ไม่ได้นะ” วอดก้าว่าพร้อมกับมองข้อมือตัวเองที่โดนฉันพันธนาการไว้
ถึงปากเขาจะพูดแบบนั้นแต่ร่างสูงโปร่งตรงหน้าก็ไม่ได้สะบัดมือออกเลย
“นี่มันปีไหนแล้วน้องก้า ผู้หญิงจับมือผู้ชายมันเป็นเรื่องปกติมาก” ฉันอยากจะขำให้กับคำพูดของบุคคลข้างๆ ซะจริง
ไม่รู้ว่าเขาหลงยุคมาหรือเปล่าถึงได้หัวโบราณขนาดนี้
“แต่เราเพิ่งรู้จักกันไง” วอดก้าพยายามอธิบาย
ฉันรู้ว่าเขาคงหวังดีกลัวฉันโดนมองไม่ดี แต่ใครจะสนล่ะ มันไม่มีใครมาสนใจหรอก
“ไม่เป็นไรหรอก” ฉันพูดพร้อมกับกระตุกมือเขาเบาๆ
เพื่อจะบอกว่าให้เขาเดินตาม
“…” วอดก้าเอาแต่เงียบและมองหน้าฉันแบบไม่เข้าใจ
เขาคงเอือมกับผู้หญิงแบบฉันเต็มทน แต่ก็ใช่ว่าฉันจะสน
“ลูกพี่!” เสียงตะโกนจากข้างหลังทำให้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้อยู่กับวอดก้าแค่สองคน
“อะไร” ฉันกลับหลังหันไปหาขนมผิงเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั่น
“ผิงหิวข้าว” ขนมผิงทำหน้าตางอแงสุดฤทธิ์ ปากนี่ยื่นแทบจะถึงพื้นอยู่แล้ว
“แกกลับไปก่อนก็ได้ ฉันจะไปส่งแฟน”
“เดี๋ยวนะ” บุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ
แทรกขึ้นมาเมื่อฉันขี้ตู่ว่าเขาเป็นแฟน “เราไม่ใช่แฟนเธอซะหน่อย”
ฉันมองหน้าวอดก้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วพูดกับเขาเสียงเรียบ
“เดี๋ยวก็เป็น”
“…” วอดก้าขมวดคิ้วจนเป็นปมมองฉันด้วยสีหน้าไม่เข้าใจสุดๆ ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบนี้ใส่ฉันรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ว
แต่บอกตรงๆ ว่าฉันรู้สึกชอบสีหน้าแบบนี้ของเขาชะมัดเลย
“กลับไปก่อนไม่ได้ดิ มาด้วยกันอ่ะ” ขนมผิงทำหน้างอคอหักเป็นปลาทูแม่กลองก่อนจะบอกเสริม “แล้วอีกอย่าง ถ้าพี่ไหมถามหาลูกพี่ขึ้นมาเดี๋ยวผิงซวย”
ตอนแรกก็นึกว่าห่วงฉัน
ที่แท้มันก็ห่วงตัวเอง
“เราว่าเธอกลับไปกับน้องเธอดีกว่านะ” วอดก้าออกความเห็น
แต่เป็นความเห็นที่ฉันไม่เห็นด้วยมากๆ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ฉันจะได้รู้จักบ้านเขา
ขนาดประเทศที่ฉันอยู่ยังไม่มีประชาธิปไตย
แล้วทำไมฉันต้องฟังเสียงส่วนมาก
“แต่พี่ว่าพี่ไปส่งน้องก้าดีกว่านะ” ฉันยังตื๊อที่จะไปส่งเขาให้ได้
“แต่น้องเธอหิวข้าวนะ” วอดก้าเองก็หาร้อยแปดเหตุผลมาอ้างเพื่อที่จะไม่ให้ฉันไปส่งที่บ้าน
ความจริงแล้วฉันไม่ได้แค่อยากรู้จักบ้านเขา
แต่ถ้าฉันได้ไปส่งเขาแน่นอนว่าเราต้องได้คุยกันมากกว่านี้
นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากทำ
เพียงแค่อยากคุยกับเขามากกว่านี้สักนิด
“หิวมากมั้ยผิง” ฉันถามคนอายุน้อยกว่าพร้อมกับชูสามนิ้วขึ้นมาระหว่างอกเพื่อเป็นการบอกใบ้ว่าฉันจะยอมจ่ายให้มันเท่าไหร่
แน่นอนว่าขนมผิงมันรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร
คนศีลไม่เสมอกันมันคบกันไม่ได้หรอก
“ก็มากระดับนึง” ขนมผิงตอบกลับแบบไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ
ฉันรู้ว่ามันไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นหรอกเพราะตอนอยู่ที่ร้านเกมเราก็กินขนมไปตั้งหลายห่อ
ผิงมันแค่อยากเรียกเก็บเพิ่มจากที่ฉันเสนอไปเท่านั้นแหละ
“ระดับนึงนี่มากมั้ยอ่ะ” ฉันถามซ้ำพร้อมกับเปลี่ยนจากชูสามนิ้วเป็นห้านิ้ว
ถ้ามันยังเล่นตัวอยู่ฉันชูแค่นิ้วกลางให้มันแล้วนะ
“ความจริงก็ไม่ได้มากมายจนทนไม่ได้หรอก ไปส่งพี่วอดก้าก่อนก็ได้” ขนมผิงตกลงกับราคาที่ฉันเสนอไปครั้งที่สองเลยยอมพูดออกมาแบบนั้น
แค่นั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าขนมผิงมันไม่ได้หิว
มันแค่หน้าเงิน
“เห็นมั้ยล่ะ ขนมผิงมันทนได้” และทันทีที่ตกลงราคากับขนมผิงได้ฉันก็หันไปพูดกับวอดก้า “ทีนี้พี่ก็ไปส่งน้องก้าได้แล้ว”
ไม่รอให้วอดก้าได้พูดอะไรต่อฉันก็จูงมือคนตัวสูงกว่าให้เดินตาม
ครั้งนี้วอดก้าไม่ได้ขืนตัวไว้ เขาเดินตามฉันเหมือนเด็กว่าง่าย นั่นมันทำให้ฉันแอบยิ้มอย่างกับคนบ้า
ไม่รู้ทำไมหัวใจมันถึงได้เต้นเร็วและรัวแบบนี้ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย มันเป็นแค่การโดนตัวธรรมดา
ทว่ากลับรู้สึกดีฉิบหาย
“เราไม่รู้นะว่าเธอใช้วิธีไหนน้องเธอถึงได้ยอมง่ายๆ แบบนั้น” วอดก้าพูดกับฉันระหว่างที่เราเดินไปตามทางที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ
จากข้างทางเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน
หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เขาที่จูงมือฉันแต่เป็นฉันที่จูงมือเขาแทน “แต่เธอไม่เห็นจะต้องทำแบบนั้นเลยนะ เรากลับคนเดียวได้”
“ทำอะไร” ฉันเชือนแชกับสิ่งที่วอดก้าพูด “ขนมผิงมันแค่เห็นว่าพี่มีความพยายามอยากจะไปส่งน้องก้ามันเลยยอมให้เฉยๆ
หรอก”
“ไม่รู้ทำไมเราถึงไม่รู้สึกเชื่อเธอเลย” ก็ถูกแล้วที่เขาไม่เชื่อ
ฉันก็ไม่ได้หวังให้เขาเชื่ออะไรมากมาย ที่พูดไปทั้งหมดเพราะไม่อยากบอกออกไปตรงๆ ว่าฉันติดสินบนขนมผิงเพื่อจะไปส่งเขา
“ไม่เชื่อพี่ก็ไม่ว่า” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
วอดก้าไม่ได้ว่าอะไรที่ฉันเล่นจับมือเขาแบบหน้าด้านๆ
เขาไม่ได้ชอบ…ฉันรู้ ที่เขาไม่สะบัดมือออกเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอ
นั่นเลยทำให้ฉันได้กำไรมหาศาล
“ต้องเต” บุคคลที่เดินอยู่ข้างกายเรียกชื่อฉันเบาๆ
เสียงทุ้มของวอกก้าทำให้ความสนใจของฉันมุ่งไปที่เขา และตอนหันไปหาบุคคลที่เดินอยู่ข้างๆ
ทำให้ฉันได้สบตากับเขาตรงๆ อีกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่วอดก้าเรียกชื่อฉัน
ให้ตายเถอะฉันดีใจจนอยากจะกรีดร้องออกมาให้โลกรู้ว่าเขิน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพพจน์คูลๆ
ที่สร้างไว้
“…” ฉันไม่ได้ขานรับแค่มองเขาแล้วเลิกคิ้วสูงเชิงถาม
“เราคุ้นหน้าเธอจัง”
ถามจริง!
เขาจำฉันไม่ได้จริงๆ
น่ะเหรอ เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานเองนะ มันจะความจำสั้นขนาดนั้นเลยหรอคนเราอ่ะ
“ไม่คุ้นก็บ้าแล้ว”
“ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันเหรอ” ยิ่งเขาถามอีกมันก็ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาลืมเรื่องเมื่อคืนที่เราพบกันไปแล้วจริงๆ
“เคยสิ” ฉันบอกความจริงแล้วพ่วงด้วยความเท็จนิดหน่อย “ชาติที่แล้วเราเป็นเนื้อคู่กันไง น้องก้าจำไม่ได้เหรอ”
แน่นอนว่าฉันรู้ตัวว่าพูดไร้สาระไปเรื่อย
และวอดก้าเองก็รู้ว่าฉันตั้งใจจะกวนเขาเลยด่ากลับมาแบบสุภาพไสตล์
“เราว่าเธอเพ้อเจ้อ”
“แต่ก็น่ารักใช่ป้ะล่ะ” ฉันยักคิ้วข้างเดียวใส่วอดก้ากวนๆ
“หึ” ร่างสูงมองการกระทำของฉันแล้วหลุดหัวเราะออกมา
วินาทีที่รอยยิ้มหวานๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างๆ ทำให้หัวใจฉันกระตุกวูบแปลกๆ “เธอนี่เป็นผู้หญิงแปลกๆ นะ”
“คือดีหรือไม่ดี”
“ไม่รู้สิ” วอดก้าพูดทั้งๆ ที่ยังมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าหวาน “รู้แค่ไม่ได้แย่”
ให้ตายสิ
นี่เขาให้ท่าฉันอยู่หรือไงถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
“หลงรักพี่แล้วก็บอกมา” ฉันเกรียนกลบเกลื่อนความเขินที่กำลังจะปะทุออกมา
แม้ฉันจะพูดเสี่ยวๆ หลายครั้งแต่ก็เป็นฉันเองนี่แหละที่เขิน ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันที่ฉันจะกรี๊ดเรี่ยราดเพื่อแสดงออกว่าเขินให้เขาเห็นเด็ดขาด
“ถ้าเธอสบายใจจะคิดแบบนั้นเราก็ไม่ได้ว่า”
ฉันเข้าใจความหมายของประโยคที่วอดก้าพูดดี
ถ้าพูดแบบคนทั่วไปก็คือ ‘เอาที่มึงสบายใจ’ แต่แน่นอนว่าไม่มีวันที่จะได้ยินคำพูดหยาบคายแบบนั้นจากปากเขา
ฉันและวอดก้าเดินไปตามทางด้วยกันเงียบๆ
แต่มือของสองเราก็ยังไม่ละจากกันไปไหน ฉันยังจับมือเขาไว้แน่น
วอดก้าไม่ได้จับมือฉันตอบ ทว่าก็ไม่ได้พยายามทำให้มือเราละจากกัน
ถ้าเขาเป็นแฟนฉันแล้วไปทำตัวสุภาพบุรุษแบบนี้ใส่คนอื่นฉันคงหงุดหงิดมากแน่ๆ
“ขอบคุณนะ” ฉันพูดประโยคที่ควรบอกเขาตั้งแต่เมื่อคืนออกไป
นั่นทำให้วอดก้าแสดงสีหน้าไม่เข้าใจสุดๆ ใส่ฉัน
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ช่วยพี่จากพวกขยะสังคมเมื่อวานน่ะ”
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะปิด แล้วอีกอย่างฉันก็ติดค้างคำขอบคุณเขาอยู่
แม้ว่าจริงๆ แล้วฉันจะไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ในเมื่อเขายื่นมือเข้ามาช่วยแล้วมันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะขอบคุณ
และการที่เขาเข้ามาช่วยฉันทั้งๆ ที่ตัวเองก็กลัวแบบเมื่อคืนนี้ทำให้ฉันประทับใจจนตกหลุมรักเขา
ทำให้ฉันมีความรู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันอยากขอบคุณเขา
ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองก็ยังเหมือนคนปกติทั่วไปที่มีหัวใจ
และชอบใครเป็นเหมือนกัน
“เมื่อวาน…” วอดก้าทวนคำพูดฉัน
คนตัวสูงทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อ่า~ จำได้แล้ว”
“สักทีนะ” ฉันสบถเบาๆ
ถ้าเขาตอบว่าจำไม่ได้ฉันคงหมดหนทางจะอธิบาย
“เมื่อวานเราเหนื่อยๆ แถมยังเบลอๆ อีกน่ะเลยจำอะไรไม่ค่อยได้ โทษทีนะ” วอดก้าบอกขอโทษพร้อมกับบีบมือข้างที่ฉันพันธนาการเขาไว้ มันเป็นเพียงแค่สัมผัสเบาๆ
แต่ก็ทำให้ฉันสั่นไปทั้งใจราวกับว่ากำลังมีแผ่นดินไหวเดินขึ้นข้างในนั้น
“…” ฉันเหมือนคนเป็นใบ้เมื่อไม่ได้ตั้งรับกับการกระทำของบุคคลที่เดินอยู่ข้างๆ
“เธอคงไม่ได้โกรธใช่มั้ยที่เราจำเธอไม่ได้”
“โกรธดิ” ฉันตอบตรงๆ ตามความจริง ฉันรู้สึกโกรธที่มีแค่ฉันจำเขาได้อยู่ฝ่ายเดียว
แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแค่แป๊บเดียว “แต่หายแล้ว”
คำตอบของฉันทำให้ใบหน้าหวานทว่าก็หล่อของวอดก้ามีรอบยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขามองฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่ตราตรึงใจฉันมากเลย ไม่รู้ว่าเขายิ้มอ่อยหรือฉันหวั่นไหวไปเอง
“เธอนี่เป็นคนตรงๆ สินะ”
นั่นแหละนิสัยฉัน
“แน่นอน” ฉันยืดอกรับแมนๆ ก่อนจะบอกเสริม “นอกจากเป็นคนตรงๆ แล้วยังเป็นคนน่ารักด้วย”
“แล้วก็เป็นคนเพี้ยนๆ ด้วย”
“…” ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อแค่มองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบเฉย
มันเถียงไม่ออกเพราะฉันดันทำตัวเพี้ยนๆ แบบที่เขาว่าจริงๆ
“เพราะเจอกันเมื่อวานเหรอเลยทำให้เธอ…” วอดก้าเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่อ “เลยทำให้เธอมาขอจีบเราวันนี้”
ฉันประทับใจเขา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระทำของเขาหรือเปล่า แต่แค่ได้เห็นหน้าเขามันก็ทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว…
“ถ้าบอกว่าใช่จะดูใจง่ายไปมั้ย” ฉันถามติดตลก
“อันนี้เราก็ไม่รู้สิ”
“แต่ถึงจะบอกว่าใจง่ายพี่ก็ไม่สนนะ” ฉันไหวไล่แบบไม่ยี่หระ “เพราะพี่ชอบน้องก้าตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ”
ถ้าฉันไม่มีที่ปรึกษาดีๆ
แบบพี่ไหม ตอนนั้นฉันคงคิดว่าตัวเองป่วยไปแล้ว
“เราถามอะไรอย่างสิ”
“…”
“เธอเขินบ้างมั้ยเวลาพูดอะไรแบบนี้” วอดก้าเอียงคอถามอย่างน่ารัก
ไม่รู้ว่าเขาซ้อมหน้ากระจกทุกวันหรือเปล่าถึงได้ทำออกมาน่ารักขนาดนั้น เขาน่ารักจนฉันอยากปั้นเขาเป็นก้อนๆ
แล้วยัดเข้าปากให้รู้แล้วรู้รอดเลยอ่ะ
“ก็ต้องเขินดิ” ฉันตอบออกไปตามความจริง ฉันเขิน
แค่เก็บสีหน้าเก่งก็เท่านั้นแหละ
“แล้วทำไมเวลาเธอพูดอะไรแบบนี้ถึงได้ทำหน้านิ่งจัง”
ฉันมองเขานิ่งๆ
ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วตอบเขาออกไปด้วยท่าทางนิ่งๆ อีกรอบ
“เพราะพี่คูล”
“ใครเป็นคนนิยามคำนี้ให้เธอ” เขาดูตลกกับคำตอบของฉันอยู่ระดับหนึ่งเลยล่ะ
“ไอ้ผิง”
“ฮ่าๆ ๆ โอเคคนคูล” วอดก้าเรียกฉันแบบกลั้นหัวเราะ “ตอนนี้เราอยากให้เธอปล่อยมือเราก่อนได้มั้ย”
“ทำไมล่ะ”
“เหงื่อที่มือเราออก ชื้นไปหมดแล้ว”
ฉันไม่เคยเกลียดที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน
แต่วันนี้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดแล้วแหละ
“ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ไม่ได้รังเกียจ” ฉันบอกออกไปอย่างเอาแต่ใจ
ฉันยังอยากจับมือเขาอยู่แบบนี้ แล้วที่บอกว่าไม่ได้รังเกียจ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“ต้องเต~”
“โอเค~ ปล่อยก็ได้” ฉันยอมปล่อยมือของวอดก้าง่ายๆ
เมื่อเห็นว่าอีกคนส่งสายตามาเอ็ด ตั้งแต่เล็กจนโตมีแค่พี่ไหมกับพ่อเท่านั้นที่เอ็ดและขัดใจฉันได้
ไม่คิดเหมือนกันว่าวอดก้าจะเป็นอีกคนที่ทำแบบนั้นได้
มันทำให้ฉันนึกถึงประโยคที่ JOKER เคยพูดไว้ ‘เมื่อเธอยินยอม
เธอจะทำให้อีกฝ่ายมีอำนาจ’ ดูเหมือนตอนนี้วอดก้าจะมีอำนาจกับหัวใจของฉันมากทั้งๆ
ที่มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย ฉันเพิ่งเจอเขาวันเดียว
“ขอบใจ” เขาพูดคำนั้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
มันเป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันหวั่นไหวกว่าเดิม
ฉันกับวอดก้าเดินคุยกันสัพเพเหระจนในที่สุดเราก็หยุดการเคลื่อนที่ลงหน้าบ้านเลขที่ 20/2 เป็นบ้านไม้สีเบจสองชั้นที่ค่อนข้างหลังใหญ่
บ้านหลังนี้อยู่ในซอยแยกออกจากซอยหลักที่เราเดินมาในตอนแรก
เพียงเดินเข้ามาในซอยแยกนี้ไม่นานก็ถึงบ้านไม้สีเบจหลังนี้แล้ว
“จะเข้าไปดื่มน้ำข้างในก่อนมั้ย”
ฉันรู้ว่าเขาชวนตามมารยาท แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากที่จะเข้าไป
ทว่าก็ไม่สามารถตามใจตัวเองได้เลยเพราะสมองมันฉุดรั้งหัวใจเอาไว้ทัน
ฉันไม่ได้อยู่กับวอดก้าแค่สองคน ยังมีขนมผิงที่เข็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจตามหลังเรามาอยู่ต้อยๆ
“ก็อยากเข้าไปนะ แต่ไอ้ผิงหิวข้าวอ่ะ” ฉันชี้นิ้วผ่านไหล่ตัวเองไปหาขนมผิงที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ไกลจากเรา
“ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์เดินมาส่ง” วอดก้าบอกพร้อมกับกระชับเป้สะพายหลังใบสีทึบ
“เธอมีรถแท้ๆ ยังต้องมาลำบากเดินกับเรา”
“ไม่เป็นไรหรอก” ฉันเกาจมูกแก้เก้อก่อนจะพูดต่อ “เดินกับคนที่ชอบให้เดินเป็นร้อยกิโล’ก็พี่ก็เดินได้”
“ต้องเต” เป็นอีกครั้งที่วอดก้าเรียกชื่อฉัน
บอกตรงๆ ว่าฉันชอบชื่อตัวมากตอนถูกเขาเรียก
สายตาที่เขามองฉันตอนนี้มันดูจริงจังแบบที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก
“…” ฉันไม่ได้ขานรับแค่มองบุคคลตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม
“จากที่เราคุยกัน แม้ว่าเธอจะดูเพี้ยนๆ แต่เราว่าเธอก็เป็นคนดีคนนึงเลยนะ” ฉันเกือบจะหลุดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเขา
มันสู้สึกดีแปลกๆ ที่เขามองฉันเป็นคนดีบ้างแล้ว
ทว่าก็รู้สึกดีได้ไม่นานเพราะประโยคถัดมาของเขา “เราไม่อยากให้เธอมาชอบเราเลย”
มันรู้สึกเหมือนตัวฉันหดเหลือสองนิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ทำไมล่ะ” ฉันถามแบบไม่เข้าใจสุดๆ
เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีนี่ ทำไมฉันถึงจะชอบเขาไม่ได้
“เรามีคนที่เราชอบแล้ว”
“…” คำตอบของเขาทำให้หัวใจของฉันหล่นตุบไปอยู่ปลายเท้า ซ้ำอาการใบ้ยังกัดกินฉันทีละนิด
ใบหน้าชาดิกไปหมด มันพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น
“เราบอกเธอว่าไม่มีแฟนก็จริง แต่เราก็มีคนที่เราชอบอยู่แล้ว” คำพูดของวอดก้ามันเหมือนมีดคมๆ ที่กำลังกรีดลงกลางหัวใจของฉัน “เราคิดว่าเราเขียนสเปคผู้หญิงที่ชอบให้เธออ่านแล้วเธอจะถอดใจซะอีก”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับหลุบตาต่ำมองเท้าตัวเอง
อกข้างซ้ายมันปวดหนึบๆ แบบที่ฉันเองก็ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่ฉันอกหักแล้วเหรอ…
ทำไมมันเร็วจังวะ
“…” ฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำแค่เพียงฟังเขาเงียบๆ เท่านั้น
“ถอดใจเถอะนะ…ยังไงเราก็ไม่ชอบเธออยู่ดี”
ไม่หรอก
นี่ยังไม่เรียกว่าอกหักหรอก
“จะให้พี่แพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้เลยเหรอ ใจร้ายไปหรือเปล่า” ฉันกลับมาสบตากับวอดก้าตรงๆ อีกครั้งตอนที่ถามออกไป
สีหน้าเรียบนิ่งของฉันตอนนี้มันคงบอกเขาได้ดีว่าคำถามที่พ่นออกไปมันมีความจริงจังปนอยู่
ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าฉันไม่มีคุณสมบัติแบบที่เขาต้องการ แต่ให้ฉันแพ้แบบนี้มันเหมือนเขาดูถูกฉันยังไงไม่รู้สิ
เขาตั้งใจเขียนในกระดาษแผ่นนั้นว่าไม่ชอบผู้หญิงทำผมสีฟ้า
ใช่! เขาตั้งใจจะบอกว่าไม่ชอบฉันโดยเฉพาะ
มันชัดเจนอยู่แล้ว ฉันรู้…แล้วยังไงล่ะ
เขาไม่ชอบแล้วฉันต้องถอดใจไม่จีบเขาเหรอ มันไม่ใช่นิสัยของฉันเลยที่จะไม่พยายาม
ในเมื่อเขายังมีสิทธิ์ชอบคนอื่น
แล้วทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ชอบเขาล่ะ
“เราไม่อยากให้เธอเสียเวลา”
“ถ้าเธอคนนั้นบอกให้น้องก้าเลิกชอบเธอบ้าง น้องก้าจะเลิกชอบเธอมั้ย” ฉันย้อนถามเขาบ้าง ถ้าเป็นเขา…เขาจะมีวิธีจัดการกับความรู้สึกแบบที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ยังไง
“ถ้าเป็นเราก็คงทำตามแบบที่เธอคนนั้นต้องการ เรา...คงไม่ฝืน”
คำตอบที่ได้จากบุคคลตรงหน้าทำให้ฉันไม่พอใจอยู่ในระดับหนึ่งเลยล่ะ
“อ่อนแอว่ะ” ฉันมองหน้าคนตัวสูงแบบจริงจัง “คนที่พยายามที่สุดแม้จะถูกตัดสินว่าแพ้ยังไงมันก็ไม่มีวันแพ้หรอก
คนที่ไม่พยายามต่างหากคือคนที่แพ้จริงๆ”
“…” วอดก้ากัดริมฝีปากล่างตัวเอง สายตาคนตัวสูงดูลอกแลกไม่กล้าสบตากับฉันตรงๆ
“เราเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียววอดก้า” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากตอนแรก “พี่ไม่ได้อ้อนวอนให้น้องก้ามาชอบพี่ในวันนี้ แค่ให้โอกาสพี่ได้พยายามหน่อย”
อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากโดนตัดสินให้แพ้ในวันนี้
ในวันที่ฉันยังไม่ได้พยายามอะไรเลย
“…” วอดก้าเงียบไปเลย เป็นเขาบ้างที่หลุบตาต่ำมองเท้าตัวเอง
“ถ้าท้ายที่สุดแล้วน้องก้ายังตัดสินให้พี่แพ้ อย่างน้อยก็ให้พี่ได้ภูมิใจหน่อยว่าพี่ได้พยายามเต็มที่แล้ว”
“…”
“เชื่อเถอะว่าพี่จะไม่คิดว่ามันเสียเวลา”
วอดก้าตวัดสายตามามองที่ฉัน
เราได้สบตากันหลังจากเขาหลบเลี่ยงอยู่ระหว่างการสนทนา
“เธอเจ๋งกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย”
คำพูดของเขาทำให้ฉันกระตุกยิ้มมุมปากก่อนพูดประโยคที่เหมือนจะเป็นประโยคประจำตัวออกไปจนทำให้คนตัวสูงมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าไม่ต่างกัน
“ก็บอกแล้วว่าพี่คูล”
“หึ” วอดก้าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ “โอเค เราเชื่อแล้ว”
“…” ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อแค่มองเขาด้วยสีหน้ายิ้มๆ แม้จะมีความรู้สึกหลากหลายตีกันมั่วไปหมดจนฉันเริ่มสับสน
ทว่าฉันก็ต้องยิ้มให้เขาไว้ก่อน
“เราเข้าบ้านก่อนนะ เธอเองก็กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
“…” ฉันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เขา
ฉันยืนมองวอดก้าเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทุกย่างก้าวของเขาอยู่ในสายตาฉัน จนในที่สุดแผ่นหลังกว้างที่จับจ้องอยู่ตลอดก็หายไปจากสายตา
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ละสายตาจากบ้านหลังใหญ่ของเขาเลย
ในหัวฉันมันคิดคำพูดของวอดก้าวนไปซ้ำๆ แม้จะสั่งตัวเองให้หยุดคิดแล้วแต่มันก็ยังหยุดไม่ได้
ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันช่างขัดกับคำพูดแสนหนักแน่นที่บอกเขาไปก่อนหน้านี้ซะจริง
สับสนฉิบหายเลย!
“ไหวมั้ยวัยรุ่น” เสียงของรุ่นน้องทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปสบตากับเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองที่ยืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่ใจ
ฉันเดินเข้าไปหาขนมผิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยมั่นใจ
“ก็ยังโอเค”
“ถ้าเป็นผิงนะ ผิงจะถอย” ดูเหมือนรุ่นน้องตัวแสบจะได้ยินบทสนทนาระหว่างฉันกับวอดก้าเมื่อครู่หมดแล้วถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
“เพราะผิงมันคนขี้แพ้”
“…”
“ลูกพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นผิงรู้…แต่อะไรที่รู้ว่าจะแพ้ก็ไม่ควรแข่งมั้ยวะพี่”
“…” ขนมผิงเป็นบุคคลที่คอยสนับสนุนและเข้าข้างฉันมาตลอดโดยไม่สนว่าฉันจะถูกหรือผิด
พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากมันเลยทำให้ฉันจุกจนพูดไม่ออก แถมยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองยิ่งกว่าเดิม
“ถอนตัวตอนนี้ยังไม่สายนะลูกพี่”
“ฉัน…” รู้สึกสับสน
“ถ้าถลำไปมากกว่านี้เจ็บหนักเลยนะผิงขอเตือน”
ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากฟังคำเตือน
ฉันแค่อยากลองเสี่ยงดู แม้จะรู้อยู่แล้วว่าผลมันจะออกมายังไง
“ฉันรู้ว่าแกหวังดีผิง” ฉันพูดบ้างหลังจากฟังรุ่นน้องพูดอยู่ฝ่ายเดียว
“แต่วอดก้าเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันรู้สึกชอบ ถ้ามันจะเจ็บหนักจริงๆ
ก็ให้ฉันได้เจ็บด้วยตัวเองเถอะ แค่อกหักมันคงไม่เจ็บจนทำให้ฉันตายได้หรอก แกไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่อกหักมันเจ็บกว่าก้านมะยมคุณลุงนะ ลูกพี่จงรับรู้ไว้” คำพูดติดตลกของขนมผิงทำให้ฉันเอื้อมมือไปผลักศีรษะมันเบาๆ
ไอ้ผิงมันเป็นห่วงฉัน
แม้จะเกรียนตามประสาเด็กผู้ชายไปบ้าง แต่ตอนนี้ฉันมองสายตาของมันออกว่ามันเป็นห่วงความรู้สึกของฉันมากขนาดไหน
“อันไหนเจ็บกว่าเดี๋ยวก็ได้รู้”
“กลับบ้านกัน ผิงหิวข้าว” ขนมผิงว่าพร้อมกับวาดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ
“เออลูกพี่”
“…” และก่อนที่ฉันจะได้ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายก็เหมือนขนมผิงจะนึกอะไรออกทำให้ฉันหยุดการกระทำแล้วฟังมันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อย่าลืมห้าร้อยผิงล่ะ”
ให้ตายสิ
ฉันนึกว่ามันจะลืมไปแล้วนะ
วันต่อมา
เวลา
15:43 นาฬิกา
@ตึกบริหารมหาวิทยาลัยS
“แกกลับไปก่อนเลย” ฉันกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือพร้อมกับก้าวขาเข้าไปในเขตของตึกบริหาร
ถิ่นที่ฉันไม่คุ้นชิน “ไอ้เบียร์ชวนฉันไปดูหนัง”
[ทำไมพี่เบียร์ไม่ชวนผิง]
เสียงงอแงจากปลายสายทำให้ฉันพอจะนึกภาพออกว่าตอนนี้เจ้าของเสียงทำสีหน้ายังไงอยู่
“มันบอกว่าแกไม่สำคัญขนาดที่ต้องชวน”
[พี่เบียร์ไม่พูดแบบนั้นกับผิงหรอก มีแต่ลูกพี่นั่นแหละที่พูด]
“เห็นฉันเป็นคนยังไง”
[เป็นคนที่เอาเงินฟาดหัวน้องเพื่อจะไปส่งผู้ชาย]
ขนมผิงแซะฉันเรื่องเมื่อวาน ฉันเรียกการกระทำตอนนั้นว่าติดสินบนทว่าคนรับเงินกลับเรียกการกระทำนั้นว่าเอาเงินฟาดหัวเพื่อไปส่งผู้ชาย
ขนมผิงมันช่างเป็นน้องที่ไม่อ่อนโยนเอาซะเลย
“แล้วจะทำไม แกปวดคอเหรอ”
[ก็เปล่า]
“ก็แสดงว่าไม่ได้หนักหัวแก” พูดก็พูดเถอะนะ ฉันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดเชิงแซะของไอ้ผิงเลยสักนิด
บอกไว้ก่อนว่าหน้าฉันหนากว่าถนนคอนกรีตอีก
[รุนแรงจังเลยนะกับน้องเนี่ย]
“บอกพี่ไหมกับพ่อให้ด้วยว่าไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็นด้วย”
[โอเคครับผม]
“แค่นี้แหละ เปลืองค่าโทร” ว่าจบฉันก็กดตัดสายทิ้งไปดื้อๆ
โดยไม่รอให้ขนมผิงตอบอะไรกลับมา
ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าประเป๋าเสื้อช็อปสีกรมท่าประจำคณะแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ
เพื่อหาที่นั่งรอเพื่อน ฉันกับเบียร์สดไม่ได้เรียนบริหาร
เราสองคนเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ฉันเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนไอ้เบียร์มันเรียนวิศวกรรมโยธา
ที่เราต้องมาตึกบริหารเพราะเบียร์สดมันถูกอาจารย์เรียกมาเพื่อคุยงานอะไรสักอย่างที่ฉันเองก็ไม่อาจทราบได้
นั่นทำให้เพื่อนสนิทส่งข้อความหาฉัน ว่าให้มาหาที่นั่งรอมันบริเวณนี้
ซึ่งฉันก็กำลังทำอยู่
ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ
บริเวณใต้ตึกคณะเพื่อหาที่นั่งแต่ดูเหมือนโต๊ะต่างๆ จะถูกจับจองด้วยนักศึกษาของคณะนี้หมดแล้ว
ซ้ำนักศึกษาพวกนั้นยังทำให้ฉันประหม่า หน้าอกหน้าใจของนักศึกษาสาวคณะนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง
เหมือนอีกาในฝูงหงส์หรือเสือในดงนางแมวอะไรเทือกนั้น ฉันไม่ได้อยากมองหน้าอกใคร ทว่าสายตามันดันโฟกัสไปเองของมัน
“ยัยหัวฟ้า!” การเรียกชื่อที่แสนยูนีคนั่นทำให้ฉันหันซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง
“ทางนี้”
เควายโบกมือให้ฉันอยู่ไม่ไกล
แน่นอนว่าเจอเควายก็ต้องเจอเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเขาอย่างวอดก้ากับเค้ก และทันทีที่เห็นว่ามีวอดก้า
ผู้ชายที่ฉันสามารถเรียกได้เต็มปากว่า ‘คนที่ชอบ’ นั่งอยู่ด้วยฉันจึงไม่รีรอที่จะสาวเท้าเดินเข้าไปหาทั้งสามคน
ความคิดเห็น