ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    hey! boy - #พี่เตคนคูล

    ลำดับตอนที่ #4 : #พี่เตคนคูล - 02

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.64K
      30
      10 ก.พ. 64

    **คำเตือน**
    นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา คำพูด การกระทำ และฉากที่ไม่เหมาะสม
    ไม่ควรลอกเลียนแบบ ตรรกะความคิดของตัวละครผิดเพี้ยนไปตามคาแรคเตอร์
    ผู้อ่านควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
    และผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
    .
    .
    .

    - 02 -

    ตอนเย็น

    พอฉันกับขนมผิงเลิกเรียนเสร็จก็ตรงดิ่งไปที่ร้านเกมเฮียเผ่าแบบไม่สนอะไรทั้งสิ้น มันกลายเป็นกิจวัตประจำวันไปแล้วสำหรับการเล่นเกมก่อนกลับบ้าน เราสองคนอยู่ที่ร้านเกมเฮียเผ่านานจนตอนนี้ฟ้ามืดสนิทไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มเศษๆ ซึ่งก็ได้เวลาที่ฉันกับขนมผิงต้องกลับบ้าน ยานพาหนะของเราคือมอเตอร์ไซค์ Kawasaki KSR สีขาวดำ มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันแรกที่พ่อซื้อให้ฉันตอนขึ้นมัธยมปลาย แต่ห้ามให้ฉันเป็นคนขี่ ตั้งแต่ได้มอเตอร์ไซค์คันนี้มาฉันเลยทำได้แค่นั่งซ้อนท้าย

    ขนมผิงเป็นคนขี่ให้ฉันซ้อน ทุกอย่างควรเรียบง่าย เราสองคนควรจะถึงบ้านในเร็วๆ นี้ ทว่ามันดันไม่ใช่แบบนั้นเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในซอยปุ๊บสายตาฉันก็ทอดไปกระทบกับร่างสูงโปร่งที่เห็นเพียงด้านหลังก็ทำให้หัวใจฉันสั่นไหวผิดปกติแล้ว

    จอดๆ ไอ้ผิงจอด” ฉันตบไหล่ขนมผิงประกอบคำสั่ง และแน่นอนว่าทันทีที่สั่งคนอายุน้อยกว่าก็หยุดรถทันควัน

    อะไรของพี่เนี่ย จะให้จอดทำไมอีก ผิงหิวข้าวแล้วนะ” ขนมผิงหันมางอแงใส่ฉัน

    ฉันไม่ได้ตอบอะไร แค่วาดขาลงรถแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาบุคคลที่เดินลากเท้าอยู่ริมถนนข้างหน้า

    เดินคนเดียวเหงามั้ย” ฉันถามไถ่ตอนที่เดินไปขนานข้างวอดก้า

    เธอ!” บุคคลที่เดินอยู่ก่อนแล้วดูตกใจนิดหน่อยที่เห็นหน้าฉัน ร่างสูงโปร่งหยุดชะงักพร้อมกับถามฉันกลับด้วยสีหน้างุนงง “มาได้ยังไง นี่เธอแอบตามเรามาเหรอ

    ก็ใช่น่ะสิ” ฉันแกล้งพูดความเท็จออกไปให้เขากลัวเล่นๆ “พี่คลั่งน้องวอดก้าม๊ากมากเลยแอบตามมา” 

    “…” คำพูดของฉันทำวอดก้าหน้าถอดสี ร่างสูงกว่ากระชับเป้สะพายหลังก่อนจะหลุบตาต่ำ ฉันมองว่าการกระทำของเขาอยู่ทุกท่วงท่า มันน่ารักมาก น่ารักจนฉันอยากจะยิ้มเขินให้ปากฉีกไปถึงใบหู

    ล้อเล่น บ้านพี่อยู่ท้ายซอยนี้เอง” เพียงครู่เดียวฉันก็เฉลยความจริงออกไปพร้อมกับถามต่อ “บ้านน้องวอดก้าอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอ

    เมื่อวานก็เจอ วันนี้ก็เจอ มันอดมาได้ที่จะคิดว่าเขาอยู่แถวนี้จริงๆ

    เราไม่บอกเธอหรอก” วอดก้ามองหน้าฉันเหมือนไม่ไว้ใจ ไม่แปลกหรอกถ้าเขาไม่ไว้ใจ ฉันรุกเขาเร็วขนาดนี้เขาก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา

    ทำไมล่ะ พี่ไม่ได้จะพาเพื่อนไปยกเค้าบ้านน้องสักหน่อย

    เราไว้ใจเธอได้ด้วยเหรอ” คำถามของวอดก้าเป็นเหมือนหลักฐานยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความไว้เนื้อเชื่อใจฉันเลยสักนิดเดียว

    ถ้าพี่จะขโมยอะไรในบ้านน้อง พี่คงเลือกที่จะขโมยน้องนั่นแหละ” แม้จะเขินมากตอนที่พูดประโยคนั้นออกไปแต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า และที่พูดนั่นก็คือความรู้สึกฉันจริงๆ ฉันอยากขโมยเขาไปไว้บ้าน มองทุกการกระทำของเขาให้ตาเป็นต้อไปเลย

    เธอนี่เป็นผู้หญิงแบบไหนกัน มันเป็นคำถามที่ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะตอบ

    เป็นผู้หญิงที่โคตรเด็ด แถมยังลิมิเต็ดอิดิชั่น

    “…” วอดก้าไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ถอนหายใจเอือมๆ แล้วเดินต่อ แน่นอนว่าฉันไม่ปล่อยให้เขาเดินจากไปเฉยๆ หรอก

    ให้พี่ไปส่งมั้ย” ฉันถามพลางเดินขนานข้างไปพร้อมๆ วอดก้า

    ไม่เป็นไร เราเดินกลับเองได้

    แต่พี่จะไปส่ง

    แล้วเธอจะถามเราทำไม” วอดก้าหันมามองหน้าฉันแบบไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าโดนป้ายยาเสน่ห์ตอนไหนฉันถึงมองทุกการกระทำของเขาน่ารักไปหมด เขาทำอะไร พูดอะไรมันก็ดูน่ารักไปซะทุกอย่าง ไม่รู้ว่าควรชมผู้ชายว่าน่ารักไหม แต่สำหรับฉัน นิยามของคำว่าน่ารักก็คือวอดก้า

    ถามไปงั้นแหละ” แต่เชื่อเถอะว่าแม้จะเขินหรือแอบกรีดร้องในใจว่าวอดก้าน่ารักขนาดไหนแต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าให้เขาเห็นเลย “ป้ะ ไปเถอะ

    หมับ!

    ฉันคว้าข้อมือของบุคคลข้างๆ หวังจะให้เขาเดินตาม ทว่าเขากลับหยุดนิ่งอยู่กับที่

    เธอจะมาจับมือถือแขนผู้ชายแบบนี้ไม่ได้นะ” วอดก้าว่าพร้อมกับมองข้อมือตัวเองที่โดนฉันพันธนาการไว้ ถึงปากเขาจะพูดแบบนั้นแต่ร่างสูงโปร่งตรงหน้าก็ไม่ได้สะบัดมือออกเลย

    นี่มันปีไหนแล้วน้องก้า ผู้หญิงจับมือผู้ชายมันเป็นเรื่องปกติมาก” ฉันอยากจะขำให้กับคำพูดของบุคคลข้างๆ ซะจริง ไม่รู้ว่าเขาหลงยุคมาหรือเปล่าถึงได้หัวโบราณขนาดนี้

    แต่เราเพิ่งรู้จักกันไง” วอดก้าพยายามอธิบาย ฉันรู้ว่าเขาคงหวังดีกลัวฉันโดนมองไม่ดี แต่ใครจะสนล่ะ มันไม่มีใครมาสนใจหรอก

    ไม่เป็นไรหรอก” ฉันพูดพร้อมกับกระตุกมือเขาเบาๆ เพื่อจะบอกว่าให้เขาเดินตาม

    “…” วอดก้าเอาแต่เงียบและมองหน้าฉันแบบไม่เข้าใจ เขาคงเอือมกับผู้หญิงแบบฉันเต็มทน แต่ก็ใช่ว่าฉันจะสน

    ลูกพี่!” เสียงตะโกนจากข้างหลังทำให้ฉันเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้อยู่กับวอดก้าแค่สองคน

    อะไร” ฉันกลับหลังหันไปหาขนมผิงเมื่อได้ยินเสียงเรียกนั่น

    ผิงหิวข้าว” ขนมผิงทำหน้าตางอแงสุดฤทธิ์ ปากนี่ยื่นแทบจะถึงพื้นอยู่แล้ว

    แกกลับไปก่อนก็ได้ ฉันจะไปส่งแฟน

    เดี๋ยวนะ” บุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ แทรกขึ้นมาเมื่อฉันขี้ตู่ว่าเขาเป็นแฟน “เราไม่ใช่แฟนเธอซะหน่อย

    ฉันมองหน้าวอดก้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วพูดกับเขาเสียงเรียบ

    เดี๋ยวก็เป็น

    “…” วอดก้าขมวดคิ้วจนเป็นปมมองฉันด้วยสีหน้าไม่เข้าใจสุดๆ ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าแบบนี้ใส่ฉันรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ว แต่บอกตรงๆ ว่าฉันรู้สึกชอบสีหน้าแบบนี้ของเขาชะมัดเลย

    กลับไปก่อนไม่ได้ดิ มาด้วยกันอ่ะ” ขนมผิงทำหน้างอคอหักเป็นปลาทูแม่กลองก่อนจะบอกเสริม “แล้วอีกอย่าง ถ้าพี่ไหมถามหาลูกพี่ขึ้นมาเดี๋ยวผิงซวย

    ตอนแรกก็นึกว่าห่วงฉัน ที่แท้มันก็ห่วงตัวเอง

    เราว่าเธอกลับไปกับน้องเธอดีกว่านะ” วอดก้าออกความเห็น แต่เป็นความเห็นที่ฉันไม่เห็นด้วยมากๆ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ฉันจะได้รู้จักบ้านเขา

    ขนาดประเทศที่ฉันอยู่ยังไม่มีประชาธิปไตย แล้วทำไมฉันต้องฟังเสียงส่วนมาก

    แต่พี่ว่าพี่ไปส่งน้องก้าดีกว่านะ” ฉันยังตื๊อที่จะไปส่งเขาให้ได้

    แต่น้องเธอหิวข้าวนะ” วอดก้าเองก็หาร้อยแปดเหตุผลมาอ้างเพื่อที่จะไม่ให้ฉันไปส่งที่บ้าน ความจริงแล้วฉันไม่ได้แค่อยากรู้จักบ้านเขา แต่ถ้าฉันได้ไปส่งเขาแน่นอนว่าเราต้องได้คุยกันมากกว่านี้

    นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากทำ เพียงแค่อยากคุยกับเขามากกว่านี้สักนิด

    หิวมากมั้ยผิง” ฉันถามคนอายุน้อยกว่าพร้อมกับชูสามนิ้วขึ้นมาระหว่างอกเพื่อเป็นการบอกใบ้ว่าฉันจะยอมจ่ายให้มันเท่าไหร่ แน่นอนว่าขนมผิงมันรู้ดีว่าฉันหมายถึงอะไร

    คนศีลไม่เสมอกันมันคบกันไม่ได้หรอก

    ก็มากระดับนึง” ขนมผิงตอบกลับแบบไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ ฉันรู้ว่ามันไม่ได้หิวอะไรขนาดนั้นหรอกเพราะตอนอยู่ที่ร้านเกมเราก็กินขนมไปตั้งหลายห่อ ผิงมันแค่อยากเรียกเก็บเพิ่มจากที่ฉันเสนอไปเท่านั้นแหละ

    ระดับนึงนี่มากมั้ยอ่ะ” ฉันถามซ้ำพร้อมกับเปลี่ยนจากชูสามนิ้วเป็นห้านิ้ว

    ถ้ามันยังเล่นตัวอยู่ฉันชูแค่นิ้วกลางให้มันแล้วนะ

    ความจริงก็ไม่ได้มากมายจนทนไม่ได้หรอก ไปส่งพี่วอดก้าก่อนก็ได้” ขนมผิงตกลงกับราคาที่ฉันเสนอไปครั้งที่สองเลยยอมพูดออกมาแบบนั้น

    แค่นั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าขนมผิงมันไม่ได้หิว มันแค่หน้าเงิน

    เห็นมั้ยล่ะ ขนมผิงมันทนได้” และทันทีที่ตกลงราคากับขนมผิงได้ฉันก็หันไปพูดกับวอดก้า “ทีนี้พี่ก็ไปส่งน้องก้าได้แล้ว

    ไม่รอให้วอดก้าได้พูดอะไรต่อฉันก็จูงมือคนตัวสูงกว่าให้เดินตาม ครั้งนี้วอดก้าไม่ได้ขืนตัวไว้ เขาเดินตามฉันเหมือนเด็กว่าง่าย นั่นมันทำให้ฉันแอบยิ้มอย่างกับคนบ้า ไม่รู้ทำไมหัวใจมันถึงได้เต้นเร็วและรัวแบบนี้ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย มันเป็นแค่การโดนตัวธรรมดา ทว่ากลับรู้สึกดีฉิบหาย

    เราไม่รู้นะว่าเธอใช้วิธีไหนน้องเธอถึงได้ยอมง่ายๆ แบบนั้น” วอดก้าพูดกับฉันระหว่างที่เราเดินไปตามทางที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากข้างทางเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เขาที่จูงมือฉันแต่เป็นฉันที่จูงมือเขาแทน “แต่เธอไม่เห็นจะต้องทำแบบนั้นเลยนะ เรากลับคนเดียวได้

    ทำอะไร” ฉันเชือนแชกับสิ่งที่วอดก้าพูด “ขนมผิงมันแค่เห็นว่าพี่มีความพยายามอยากจะไปส่งน้องก้ามันเลยยอมให้เฉยๆ หรอก

    ไม่รู้ทำไมเราถึงไม่รู้สึกเชื่อเธอเลย” ก็ถูกแล้วที่เขาไม่เชื่อ ฉันก็ไม่ได้หวังให้เขาเชื่ออะไรมากมาย ที่พูดไปทั้งหมดเพราะไม่อยากบอกออกไปตรงๆ ว่าฉันติดสินบนขนมผิงเพื่อจะไปส่งเขา

    ไม่เชื่อพี่ก็ไม่ว่า” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

    วอดก้าไม่ได้ว่าอะไรที่ฉันเล่นจับมือเขาแบบหน้าด้านๆ เขาไม่ได้ชอบฉันรู้ ที่เขาไม่สะบัดมือออกเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอ นั่นเลยทำให้ฉันได้กำไรมหาศาล

    ต้องเต” บุคคลที่เดินอยู่ข้างกายเรียกชื่อฉันเบาๆ เสียงทุ้มของวอกก้าทำให้ความสนใจของฉันมุ่งไปที่เขา และตอนหันไปหาบุคคลที่เดินอยู่ข้างๆ ทำให้ฉันได้สบตากับเขาตรงๆ อีกครั้ง

    นี่เป็นครั้งแรกที่วอดก้าเรียกชื่อฉัน ให้ตายเถอะฉันดีใจจนอยากจะกรีดร้องออกมาให้โลกรู้ว่าเขิน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพพจน์คูลๆ ที่สร้างไว้

    “…” ฉันไม่ได้ขานรับแค่มองเขาแล้วเลิกคิ้วสูงเชิงถาม

    เราคุ้นหน้าเธอจัง

    ถามจริง!

    เขาจำฉันไม่ได้จริงๆ น่ะเหรอ เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานเองนะ มันจะความจำสั้นขนาดนั้นเลยหรอคนเราอ่ะ  

    ไม่คุ้นก็บ้าแล้ว” 

    ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันเหรอ” ยิ่งเขาถามอีกมันก็ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาลืมเรื่องเมื่อคืนที่เราพบกันไปแล้วจริงๆ

    เคยสิ” ฉันบอกความจริงแล้วพ่วงด้วยความเท็จนิดหน่อย “ชาติที่แล้วเราเป็นเนื้อคู่กันไง น้องก้าจำไม่ได้เหรอ

    แน่นอนว่าฉันรู้ตัวว่าพูดไร้สาระไปเรื่อย และวอดก้าเองก็รู้ว่าฉันตั้งใจจะกวนเขาเลยด่ากลับมาแบบสุภาพไสตล์

    เราว่าเธอเพ้อเจ้อ

    แต่ก็น่ารักใช่ป้ะล่ะ” ฉันยักคิ้วข้างเดียวใส่วอดก้ากวนๆ

    หึ” ร่างสูงมองการกระทำของฉันแล้วหลุดหัวเราะออกมา วินาทีที่รอยยิ้มหวานๆ เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างๆ ทำให้หัวใจฉันกระตุกวูบแปลกๆ “เธอนี่เป็นผู้หญิงแปลกๆ นะ

    คือดีหรือไม่ดี

    ไม่รู้สิ” วอดก้าพูดทั้งๆ ที่ยังมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าหวาน “รู้แค่ไม่ได้แย่

    ให้ตายสิ

    นี่เขาให้ท่าฉันอยู่หรือไงถึงได้พูดแบบนั้นออกมา 

    หลงรักพี่แล้วก็บอกมา” ฉันเกรียนกลบเกลื่อนความเขินที่กำลังจะปะทุออกมา แม้ฉันจะพูดเสี่ยวๆ หลายครั้งแต่ก็เป็นฉันเองนี่แหละที่เขิน ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันที่ฉันจะกรี๊ดเรี่ยราดเพื่อแสดงออกว่าเขินให้เขาเห็นเด็ดขาด

    ถ้าเธอสบายใจจะคิดแบบนั้นเราก็ไม่ได้ว่า

    ฉันเข้าใจความหมายของประโยคที่วอดก้าพูดดี ถ้าพูดแบบคนทั่วไปก็คือ เอาที่มึงสบายใจ แต่แน่นอนว่าไม่มีวันที่จะได้ยินคำพูดหยาบคายแบบนั้นจากปากเขา

    ฉันและวอดก้าเดินไปตามทางด้วยกันเงียบๆ แต่มือของสองเราก็ยังไม่ละจากกันไปไหน ฉันยังจับมือเขาไว้แน่น วอดก้าไม่ได้จับมือฉันตอบ ทว่าก็ไม่ได้พยายามทำให้มือเราละจากกัน ถ้าเขาเป็นแฟนฉันแล้วไปทำตัวสุภาพบุรุษแบบนี้ใส่คนอื่นฉันคงหงุดหงิดมากแน่ๆ

    ขอบคุณนะ” ฉันพูดประโยคที่ควรบอกเขาตั้งแต่เมื่อคืนออกไป นั่นทำให้วอดก้าแสดงสีหน้าไม่เข้าใจสุดๆ ใส่ฉัน

    เรื่องอะไร

    เรื่องที่ช่วยพี่จากพวกขยะสังคมเมื่อวานน่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะปิด แล้วอีกอย่างฉันก็ติดค้างคำขอบคุณเขาอยู่ แม้ว่าจริงๆ แล้วฉันจะไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ในเมื่อเขายื่นมือเข้ามาช่วยแล้วมันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะขอบคุณ และการที่เขาเข้ามาช่วยฉันทั้งๆ ที่ตัวเองก็กลัวแบบเมื่อคืนนี้ทำให้ฉันประทับใจจนตกหลุมรักเขา ทำให้ฉันมีความรู้สึกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันอยากขอบคุณเขา

    ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองก็ยังเหมือนคนปกติทั่วไปที่มีหัวใจ และชอบใครเป็นเหมือนกัน

    เมื่อวาน…” วอดก้าทวนคำพูดฉัน คนตัวสูงทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อ่า~ จำได้แล้ว

    สักทีนะ” ฉันสบถเบาๆ ถ้าเขาตอบว่าจำไม่ได้ฉันคงหมดหนทางจะอธิบาย

    เมื่อวานเราเหนื่อยๆ แถมยังเบลอๆ อีกน่ะเลยจำอะไรไม่ค่อยได้ โทษทีนะ” วอดก้าบอกขอโทษพร้อมกับบีบมือข้างที่ฉันพันธนาการเขาไว้ มันเป็นเพียงแค่สัมผัสเบาๆ แต่ก็ทำให้ฉันสั่นไปทั้งใจราวกับว่ากำลังมีแผ่นดินไหวเดินขึ้นข้างในนั้น

    “…” ฉันเหมือนคนเป็นใบ้เมื่อไม่ได้ตั้งรับกับการกระทำของบุคคลที่เดินอยู่ข้างๆ

    เธอคงไม่ได้โกรธใช่มั้ยที่เราจำเธอไม่ได้

    โกรธดิ” ฉันตอบตรงๆ ตามความจริง ฉันรู้สึกโกรธที่มีแค่ฉันจำเขาได้อยู่ฝ่ายเดียว แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นแค่แป๊บเดียว แต่หายแล้ว

    คำตอบของฉันทำให้ใบหน้าหวานทว่าก็หล่อของวอดก้ามีรอบยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขามองฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่ตราตรึงใจฉันมากเลย ไม่รู้ว่าเขายิ้มอ่อยหรือฉันหวั่นไหวไปเอง

    เธอนี่เป็นคนตรงๆ สินะ

    นั่นแหละนิสัยฉัน

    แน่นอน” ฉันยืดอกรับแมนๆ ก่อนจะบอกเสริม “นอกจากเป็นคนตรงๆ แล้วยังเป็นคนน่ารักด้วย

    แล้วก็เป็นคนเพี้ยนๆ ด้วย

    “…” ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อแค่มองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบเฉย มันเถียงไม่ออกเพราะฉันดันทำตัวเพี้ยนๆ แบบที่เขาว่าจริงๆ

    เพราะเจอกันเมื่อวานเหรอเลยทำให้เธอ…” วอดก้าเว้นจังหวะไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่อ “เลยทำให้เธอมาขอจีบเราวันนี้

    ฉันประทับใจเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระทำของเขาหรือเปล่า แต่แค่ได้เห็นหน้าเขามันก็ทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว

    ถ้าบอกว่าใช่จะดูใจง่ายไปมั้ย” ฉันถามติดตลก

    อันนี้เราก็ไม่รู้สิ”  

    แต่ถึงจะบอกว่าใจง่ายพี่ก็ไม่สนนะ” ฉันไหวไล่แบบไม่ยี่หระ “เพราะพี่ชอบน้องก้าตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ

    ถ้าฉันไม่มีที่ปรึกษาดีๆ แบบพี่ไหม ตอนนั้นฉันคงคิดว่าตัวเองป่วยไปแล้ว

    เราถามอะไรอย่างสิ

    “…”

    เธอเขินบ้างมั้ยเวลาพูดอะไรแบบนี้” วอดก้าเอียงคอถามอย่างน่ารัก ไม่รู้ว่าเขาซ้อมหน้ากระจกทุกวันหรือเปล่าถึงได้ทำออกมาน่ารักขนาดนั้น เขาน่ารักจนฉันอยากปั้นเขาเป็นก้อนๆ แล้วยัดเข้าปากให้รู้แล้วรู้รอดเลยอ่ะ

    ก็ต้องเขินดิ” ฉันตอบออกไปตามความจริง ฉันเขิน แค่เก็บสีหน้าเก่งก็เท่านั้นแหละ

    แล้วทำไมเวลาเธอพูดอะไรแบบนี้ถึงได้ทำหน้านิ่งจัง

    ฉันมองเขานิ่งๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากแล้วตอบเขาออกไปด้วยท่าทางนิ่งๆ อีกรอบ

    เพราะพี่คูล

    ใครเป็นคนนิยามคำนี้ให้เธอ” เขาดูตลกกับคำตอบของฉันอยู่ระดับหนึ่งเลยล่ะ

    ไอ้ผิง

    ฮ่าๆ ๆ โอเคคนคูล” วอดก้าเรียกฉันแบบกลั้นหัวเราะ “ตอนนี้เราอยากให้เธอปล่อยมือเราก่อนได้มั้ย

    ทำไมล่ะ

    เหงื่อที่มือเราออก ชื้นไปหมดแล้ว

    ฉันไม่เคยเกลียดที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่วันนี้ฉันต้องเปลี่ยนความคิดแล้วแหละ

    ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ไม่ได้รังเกียจ” ฉันบอกออกไปอย่างเอาแต่ใจ ฉันยังอยากจับมือเขาอยู่แบบนี้ แล้วที่บอกว่าไม่ได้รังเกียจ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ

    ต้องเต~”

    โอเค~ ปล่อยก็ได้” ฉันยอมปล่อยมือของวอดก้าง่ายๆ เมื่อเห็นว่าอีกคนส่งสายตามาเอ็ด ตั้งแต่เล็กจนโตมีแค่พี่ไหมกับพ่อเท่านั้นที่เอ็ดและขัดใจฉันได้ ไม่คิดเหมือนกันว่าวอดก้าจะเป็นอีกคนที่ทำแบบนั้นได้

    มันทำให้ฉันนึกถึงประโยคที่ JOKER เคยพูดไว้ เมื่อเธอยินยอม เธอจะทำให้อีกฝ่ายมีอำนาจ ดูเหมือนตอนนี้วอดก้าจะมีอำนาจกับหัวใจของฉันมากทั้งๆ ที่มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย ฉันเพิ่งเจอเขาวันเดียว

    ขอบใจ” เขาพูดคำนั้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

    มันเป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันหวั่นไหวกว่าเดิม 

    ฉันกับวอดก้าเดินคุยกันสัพเพเหระจนในที่สุดเราก็หยุดการเคลื่อนที่ลงหน้าบ้านเลขที่ 20/2 เป็นบ้านไม้สีเบจสองชั้นที่ค่อนข้างหลังใหญ่ บ้านหลังนี้อยู่ในซอยแยกออกจากซอยหลักที่เราเดินมาในตอนแรก เพียงเดินเข้ามาในซอยแยกนี้ไม่นานก็ถึงบ้านไม้สีเบจหลังนี้แล้ว

    จะเข้าไปดื่มน้ำข้างในก่อนมั้ย ฉันรู้ว่าเขาชวนตามมารยาท แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากที่จะเข้าไป ทว่าก็ไม่สามารถตามใจตัวเองได้เลยเพราะสมองมันฉุดรั้งหัวใจเอาไว้ทัน ฉันไม่ได้อยู่กับวอดก้าแค่สองคน ยังมีขนมผิงที่เข็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจตามหลังเรามาอยู่ต้อยๆ

    ก็อยากเข้าไปนะ แต่ไอ้ผิงหิวข้าวอ่ะฉันชี้นิ้วผ่านไหล่ตัวเองไปหาขนมผิงที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ไกลจากเรา

    ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์เดินมาส่ง” วอดก้าบอกพร้อมกับกระชับเป้สะพายหลังใบสีทึบ เธอมีรถแท้ๆ ยังต้องมาลำบากเดินกับเรา

    ไม่เป็นไรหรอก” ฉันเกาจมูกแก้เก้อก่อนจะพูดต่อ “เดินกับคนที่ชอบให้เดินเป็นร้อยกิโลก็พี่ก็เดินได้

    ต้องเต” เป็นอีกครั้งที่วอดก้าเรียกชื่อฉัน บอกตรงๆ ว่าฉันชอบชื่อตัวมากตอนถูกเขาเรียก สายตาที่เขามองฉันตอนนี้มันดูจริงจังแบบที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก

    “…” ฉันไม่ได้ขานรับแค่มองบุคคลตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม

    จากที่เราคุยกัน แม้ว่าเธอจะดูเพี้ยนๆ แต่เราว่าเธอก็เป็นคนดีคนนึงเลยนะ” ฉันเกือบจะหลุดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเขา มันสู้สึกดีแปลกๆ ที่เขามองฉันเป็นคนดีบ้างแล้ว ทว่าก็รู้สึกดีได้ไม่นานเพราะประโยคถัดมาของเขา “เราไม่อยากให้เธอมาชอบเราเลย

    มันรู้สึกเหมือนตัวฉันหดเหลือสองนิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น 

    ทำไมล่ะ” ฉันถามแบบไม่เข้าใจสุดๆ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีนี่ ทำไมฉันถึงจะชอบเขาไม่ได้

    เรามีคนที่เราชอบแล้ว

    “…” คำตอบของเขาทำให้หัวใจของฉันหล่นตุบไปอยู่ปลายเท้า ซ้ำอาการใบ้ยังกัดกินฉันทีละนิด ใบหน้าชาดิกไปหมด มันพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น

    เราบอกเธอว่าไม่มีแฟนก็จริง แต่เราก็มีคนที่เราชอบอยู่แล้ว” คำพูดของวอดก้ามันเหมือนมีดคมๆ ที่กำลังกรีดลงกลางหัวใจของฉัน “เราคิดว่าเราเขียนสเปคผู้หญิงที่ชอบให้เธออ่านแล้วเธอจะถอดใจซะอีก

    ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับหลุบตาต่ำมองเท้าตัวเอง อกข้างซ้ายมันปวดหนึบๆ แบบที่ฉันเองก็ไม่เคยเป็นมาก่อน

    นี่ฉันอกหักแล้วเหรอ

    ทำไมมันเร็วจังวะ

    “…” ฉันยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำแค่เพียงฟังเขาเงียบๆ เท่านั้น

    ถอดใจเถอะนะยังไงเราก็ไม่ชอบเธออยู่ดี

    ไม่หรอก นี่ยังไม่เรียกว่าอกหักหรอก

    จะให้พี่แพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้เลยเหรอ ใจร้ายไปหรือเปล่า” ฉันกลับมาสบตากับวอดก้าตรงๆ อีกครั้งตอนที่ถามออกไป สีหน้าเรียบนิ่งของฉันตอนนี้มันคงบอกเขาได้ดีว่าคำถามที่พ่นออกไปมันมีความจริงจังปนอยู่ ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าฉันไม่มีคุณสมบัติแบบที่เขาต้องการ แต่ให้ฉันแพ้แบบนี้มันเหมือนเขาดูถูกฉันยังไงไม่รู้สิ

    เขาตั้งใจเขียนในกระดาษแผ่นนั้นว่าไม่ชอบผู้หญิงทำผมสีฟ้า ใช่! เขาตั้งใจจะบอกว่าไม่ชอบฉันโดยเฉพาะ มันชัดเจนอยู่แล้ว ฉันรู้แล้วยังไงล่ะ เขาไม่ชอบแล้วฉันต้องถอดใจไม่จีบเขาเหรอ มันไม่ใช่นิสัยของฉันเลยที่จะไม่พยายาม

    ในเมื่อเขายังมีสิทธิ์ชอบคนอื่น แล้วทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ชอบเขาล่ะ

    เราไม่อยากให้เธอเสียเวลา

    ถ้าเธอคนนั้นบอกให้น้องก้าเลิกชอบเธอบ้าง น้องก้าจะเลิกชอบเธอมั้ย” ฉันย้อนถามเขาบ้าง ถ้าเป็นเขาเขาจะมีวิธีจัดการกับความรู้สึกแบบที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ยังไง

    ถ้าเป็นเราก็คงทำตามแบบที่เธอคนนั้นต้องการ เรา...คงไม่ฝืน

    คำตอบที่ได้จากบุคคลตรงหน้าทำให้ฉันไม่พอใจอยู่ในระดับหนึ่งเลยล่ะ

    อ่อนแอว่ะ” ฉันมองหน้าคนตัวสูงแบบจริงจัง “คนที่พยายามที่สุดแม้จะถูกตัดสินว่าแพ้ยังไงมันก็ไม่มีวันแพ้หรอก คนที่ไม่พยายามต่างหากคือคนที่แพ้จริงๆ

    “…” วอดก้ากัดริมฝีปากล่างตัวเอง สายตาคนตัวสูงดูลอกแลกไม่กล้าสบตากับฉันตรงๆ

    เราเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียววอดก้า” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจากตอนแรก “พี่ไม่ได้อ้อนวอนให้น้องก้ามาชอบพี่ในวันนี้ แค่ให้โอกาสพี่ได้พยายามหน่อย

    อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากโดนตัดสินให้แพ้ในวันนี้ ในวันที่ฉันยังไม่ได้พยายามอะไรเลย

    “…” วอดก้าเงียบไปเลย เป็นเขาบ้างที่หลุบตาต่ำมองเท้าตัวเอง

    ถ้าท้ายที่สุดแล้วน้องก้ายังตัดสินให้พี่แพ้ อย่างน้อยก็ให้พี่ได้ภูมิใจหน่อยว่าพี่ได้พยายามเต็มที่แล้ว

    “…”

    เชื่อเถอะว่าพี่จะไม่คิดว่ามันเสียเวลา

    วอดก้าตวัดสายตามามองที่ฉัน เราได้สบตากันหลังจากเขาหลบเลี่ยงอยู่ระหว่างการสนทนา

    เธอเจ๋งกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย

    คำพูดของเขาทำให้ฉันกระตุกยิ้มมุมปากก่อนพูดประโยคที่เหมือนจะเป็นประโยคประจำตัวออกไปจนทำให้คนตัวสูงมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าไม่ต่างกัน

    ก็บอกแล้วว่าพี่คูล

    หึวอดก้าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ โอเค เราเชื่อแล้ว

    “…” ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อแค่มองเขาด้วยสีหน้ายิ้มๆ แม้จะมีความรู้สึกหลากหลายตีกันมั่วไปหมดจนฉันเริ่มสับสน ทว่าฉันก็ต้องยิ้มให้เขาไว้ก่อน

    เราเข้าบ้านก่อนนะ เธอเองก็กลับบ้านดีๆ ล่ะ

    “…” ฉันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เขา

    ฉันยืนมองวอดก้าเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทุกย่างก้าวของเขาอยู่ในสายตาฉัน จนในที่สุดแผ่นหลังกว้างที่จับจ้องอยู่ตลอดก็หายไปจากสายตา ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ละสายตาจากบ้านหลังใหญ่ของเขาเลย ในหัวฉันมันคิดคำพูดของวอดก้าวนไปซ้ำๆ แม้จะสั่งตัวเองให้หยุดคิดแล้วแต่มันก็ยังหยุดไม่ได้

    ความรู้สึกของฉันตอนนี้มันช่างขัดกับคำพูดแสนหนักแน่นที่บอกเขาไปก่อนหน้านี้ซะจริง

    สับสนฉิบหายเลย!

    ไหวมั้ยวัยรุ่นเสียงของรุ่นน้องทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปสบตากับเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองที่ยืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฉันเดินเข้าไปหาขนมผิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยมั่นใจ

    ก็ยังโอเค

    ถ้าเป็นผิงนะ ผิงจะถอยดูเหมือนรุ่นน้องตัวแสบจะได้ยินบทสนทนาระหว่างฉันกับวอดก้าเมื่อครู่หมดแล้วถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เพราะผิงมันคนขี้แพ้ 

    “…”

    ลูกพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นผิงรู้แต่อะไรที่รู้ว่าจะแพ้ก็ไม่ควรแข่งมั้ยวะพี่

    “…” ขนมผิงเป็นบุคคลที่คอยสนับสนุนและเข้าข้างฉันมาตลอดโดยไม่สนว่าฉันจะถูกหรือผิด พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากมันเลยทำให้ฉันจุกจนพูดไม่ออก แถมยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองยิ่งกว่าเดิม

    ถอนตัวตอนนี้ยังไม่สายนะลูกพี่

    ฉัน…” รู้สึกสับสน

    ถ้าถลำไปมากกว่านี้เจ็บหนักเลยนะผิงขอเตือน

    ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากฟังคำเตือน ฉันแค่อยากลองเสี่ยงดู แม้จะรู้อยู่แล้วว่าผลมันจะออกมายังไง

    ฉันรู้ว่าแกหวังดีผิงฉันพูดบ้างหลังจากฟังรุ่นน้องพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่วอดก้าเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันรู้สึกชอบ ถ้ามันจะเจ็บหนักจริงๆ ก็ให้ฉันได้เจ็บด้วยตัวเองเถอะ แค่อกหักมันคงไม่เจ็บจนทำให้ฉันตายได้หรอก แกไม่ต้องเป็นห่วง

    แต่อกหักมันเจ็บกว่าก้านมะยมคุณลุงนะ ลูกพี่จงรับรู้ไว้คำพูดติดตลกของขนมผิงทำให้ฉันเอื้อมมือไปผลักศีรษะมันเบาๆ

    ไอ้ผิงมันเป็นห่วงฉัน แม้จะเกรียนตามประสาเด็กผู้ชายไปบ้าง แต่ตอนนี้ฉันมองสายตาของมันออกว่ามันเป็นห่วงความรู้สึกของฉันมากขนาดไหน

    อันไหนเจ็บกว่าเดี๋ยวก็ได้รู้

    กลับบ้านกัน ผิงหิวข้าวขนมผิงว่าพร้อมกับวาดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ เออลูกพี่

    “…” และก่อนที่ฉันจะได้ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายก็เหมือนขนมผิงจะนึกอะไรออกทำให้ฉันหยุดการกระทำแล้วฟังมันอย่างตั้งอกตั้งใจ

    อย่าลืมห้าร้อยผิงล่ะ

    ให้ตายสิ ฉันนึกว่ามันจะลืมไปแล้วนะ 

     

    วันต่อมา

    เวลา 15:43 นาฬิกา

    @ตึกบริหารมหาวิทยาลัยS

    แกกลับไปก่อนเลยฉันกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือพร้อมกับก้าวขาเข้าไปในเขตของตึกบริหาร ถิ่นที่ฉันไม่คุ้นชิน ไอ้เบียร์ชวนฉันไปดูหนัง

    [ทำไมพี่เบียร์ไม่ชวนผิง] เสียงงอแงจากปลายสายทำให้ฉันพอจะนึกภาพออกว่าตอนนี้เจ้าของเสียงทำสีหน้ายังไงอยู่

    มันบอกว่าแกไม่สำคัญขนาดที่ต้องชวน

    [พี่เบียร์ไม่พูดแบบนั้นกับผิงหรอก มีแต่ลูกพี่นั่นแหละที่พูด]

    เห็นฉันเป็นคนยังไง

    [เป็นคนที่เอาเงินฟาดหัวน้องเพื่อจะไปส่งผู้ชาย] ขนมผิงแซะฉันเรื่องเมื่อวาน ฉันเรียกการกระทำตอนนั้นว่าติดสินบนทว่าคนรับเงินกลับเรียกการกระทำนั้นว่าเอาเงินฟาดหัวเพื่อไปส่งผู้ชาย

    ขนมผิงมันช่างเป็นน้องที่ไม่อ่อนโยนเอาซะเลย

    แล้วจะทำไม แกปวดคอเหรอ

    [ก็เปล่า]

    ก็แสดงว่าไม่ได้หนักหัวแกพูดก็พูดเถอะนะ ฉันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดเชิงแซะของไอ้ผิงเลยสักนิด บอกไว้ก่อนว่าหน้าฉันหนากว่าถนนคอนกรีตอีก

    [รุนแรงจังเลยนะกับน้องเนี่ย]

    บอกพี่ไหมกับพ่อให้ด้วยว่าไม่ได้กลับไปกินข้าวเย็นด้วย

    [โอเคครับผม]

    แค่นี้แหละ เปลืองค่าโทรว่าจบฉันก็กดตัดสายทิ้งไปดื้อๆ โดยไม่รอให้ขนมผิงตอบอะไรกลับมา

    ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าประเป๋าเสื้อช็อปสีกรมท่าประจำคณะแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อหาที่นั่งรอเพื่อน ฉันกับเบียร์สดไม่ได้เรียนบริหาร เราสองคนเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ฉันเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนไอ้เบียร์มันเรียนวิศวกรรมโยธา ที่เราต้องมาตึกบริหารเพราะเบียร์สดมันถูกอาจารย์เรียกมาเพื่อคุยงานอะไรสักอย่างที่ฉันเองก็ไม่อาจทราบได้ นั่นทำให้เพื่อนสนิทส่งข้อความหาฉัน ว่าให้มาหาที่นั่งรอมันบริเวณนี้ ซึ่งฉันก็กำลังทำอยู่

    ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณใต้ตึกคณะเพื่อหาที่นั่งแต่ดูเหมือนโต๊ะต่างๆ จะถูกจับจองด้วยนักศึกษาของคณะนี้หมดแล้ว ซ้ำนักศึกษาพวกนั้นยังทำให้ฉันประหม่า หน้าอกหน้าใจของนักศึกษาสาวคณะนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนอีกาในฝูงหงส์หรือเสือในดงนางแมวอะไรเทือกนั้น ฉันไม่ได้อยากมองหน้าอกใคร ทว่าสายตามันดันโฟกัสไปเองของมัน

    ยัยหัวฟ้า!” การเรียกชื่อที่แสนยูนีคนั่นทำให้ฉันหันซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียง ทางนี้

    เควายโบกมือให้ฉันอยู่ไม่ไกล แน่นอนว่าเจอเควายก็ต้องเจอเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเขาอย่างวอดก้ากับเค้ก และทันทีที่เห็นว่ามีวอดก้า ผู้ชายที่ฉันสามารถเรียกได้เต็มปากว่าคนที่ชอบนั่งอยู่ด้วยฉันจึงไม่รีรอที่จะสาวเท้าเดินเข้าไปหาทั้งสามคน

     



    tbc.
    #พี่เตคนคูล
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×