คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ความลับแตก(รู้กันเฉพาะสองเรา)1
เวลาของการฝึกฝนผ่านไปในอีกหนึ่งวัน
ชีวิตในค่ายทหารอันหนักหน่วงของหลิวหลีก็ผ่านไปอีกหนึ่งวันเช่นกัน
เมื่อเวลาพลบค่ำมาเยือนเหล่าบุรุษมักจะใช้เวลารวมตัวกันอย่างเป็นมิตรแม้ว่าเมื่อยามกลางวันจะต่อสู้กันอย่างบ้าระห่ำดุเดือดภายในวงล้อมที่ใช้เป็นเวทีประลองฝีมือก็ตามที
มิตรภาพระหว่างพวกพ้องที่เพิ่งจะฝากรอยแผลลากยาวให้แก่กันช่างเป็นภาพที่หลิวหลีประทับใจยิ่งนัก
แต่...หวังว่ารอยแผลเหล่านั้นจะไม่เกิดกับนางเชียว
โชคดีที่วันนี้ทั้งวันนางถูกจูหยวนจางเรียกให้ไปรับโทษทัณฑ์อยู่นอกเวทีการประลองนั่น
มิเช่นนั้นป่านนี้ไม่รู้ว่านางจะมีสภาพเป็นอย่างไร
จะต้องเอาผ้ามาพันแผลรอบศีรษะเอาไว้เหมือนเช่นพี่ชายท่านนั้นหรือไม่
หรือว่าต้องมีผ้าพันไว้ที่รอบเอว รอบอกแบบพี่ชายอีกคน
ถ้าเป็นเช่นนั้นความลับที่นางปลอมตัวเป็นบุรุษเข้ามาต้องแตกอย่างแน่นอน
หลิวหลีคิดในใจขณะนั่งเมียงมองบรรดาเหล่าทหารที่นั่งล้อมวงสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ
โดยมีหลิวหลีในสภาพของอาหลิ่วนั่งร่วมวงอยู่ด้วย
ทันใดนั้นหลิวหลีรู้สึกได้ถึงร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของนาง
ความรู้สึกเสียวสันหลังวูบหนึ่งพลันปรากฏ
หญิงสาวเพียงใช้หางตาเอียงมองอย่างระแวง
แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวคนผู้นั้นก็หย่อนกายลงมานั่งอยู่ข้างๆหลิวหลีเสียแล้ว
จูหยวนจาง!
หลิวหลีได้เห็นอย่างถนัดถนี่ทันทีที่ร่างสูงใหญ่นั่งจนเกือบจะชิดกันกับร่างของนาง ความรู้สึกซาบซ่านพลันปรากฏ
ตั้งแต่เข้ามายังค่ายทหารแห่งนี้
มีแค่ครั้งแรกที่แนะนำตัวกันเท่านั้นที่ได้ใกล้ชิด หลังจากนั้น
นางมักจะทำได้เพียงแอบมองเขาอยู่ไกลๆ ซึ่งนั่นมันก็มากเกินพอแล้ว
เขาอยู่เหนือหัวของกลุ่มทหารทั้งหมด
ส่วนนางก็อยู่ท้ายสุดของกลุ่มทหารทั้งหมด
แต่ยามนี้...
ไหล่จะชนกันอยู่แล้วนะนั่น!
หลิวหลีคิดในใจขณะทำตัวเองให้เล็กลีบแบนที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อรู้สึกได้ถึงเจ้าของไหล่ที่อยู่ห่างกันเพียงคืบกำลังแผ่กลิ่นอายที่คุ้นชิน
ความอบอุ่นที่เคยสัมผัส ความร้อนวูบวาบที่กำลังแผ่ซ่าน
อา...
นางอยากเอียงกายไปซบไหล่ของเขาเหลือเกิน แต่ยามนี้จะทำได้อย่างไร
จูหยวนจางที่ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะเดินตามหากลุ่มที่มีคนตัวเล็กผู้นี้แอบแฝงนั่งปะปนอยู่กับกลุ่มทหารทั้งหลายอย่างกลมกลืน เมื่อเจอแล้วว่านางแอบนั่งอยู่ที่นี่
เขายังต้องใช้สายตาดุดันส่งให้ทหารที่นั่งอยู่ใกล้กันกับนางอีกพักใหญ่ เป็นนานกว่าทหารคนนั้นจะเข้าใจว่าเขาต้องการจะนั่งตรงนี้
และยอมขยับออก เพื่อให้เขาได้นั่งตรงตำแหน่งนี้ได้
แต่...ดูนางทำ
นั่งตัวงอห่อไหล่ ก้มหน้างุดๆ อย่างนั้น
จะมุดดินหนีเขาหรืออย่างไร
ทีเมื่อคืนวานยังจับเขากดอยู่เลย…
จูหยวนจางใช้หางตาหรี่มองภรรยาปลอมตัวของเขาอย่างขุ่นเคืองภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งเย็นชาท่วงท่าเคร่งขรึมหาได้มีใครสังเกตออกไม่
“ท่านรองแม่ทัพ มามา
พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ถึงกระบวนท่าต่อสู้ในวันนี้”
เสียงทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นกับจูหยวนจางเมื่อเห็นว่าเขานั่งลงเรียบร้อยดีแล้ว “ท่านช่วยชี้แนะได้หรือไม่”
“ย่อมได้” จูหยวนจางรับคำนิ่งๆด้วยเส้นเสียงทุ้มต่ำเรียบเรื่อยสีหน้าเรียบเฉย
“ดื่มไปเสวนากันไปดีหรือไม่”เขากล่าวพร้อมยกเหล้าที่เตรียมมาวางเอาไว้กลางวง
“อ่า...ดียิ่ง ดียิ่ง”
เหล่าทหารรับคำอย่างพร้อมเพรียงกันถ้วนหน้าคล้ายกับว่าเป้าหมายมิใช่การชี้แนะถึงหัวข้อที่กล่าวไปเมื่อครู่อีกต่อไป
เพราะแต่ละคนยกมือของตนขึ้นล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของตัวเองก่อนจะดึงเอาจอกเหล้าที่มักจะชอบพกพาติดตัวออกมาอย่างสามัคคี
แทนที่จะพกพาอาวุธกลับพกพาจอกเหล้าเนี่ยนะ หลิวหลีลอบมองแต่ละคนอย่างระแวงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับจูหยวนจาง
เมื่อคืนนางถูกพวกสหายทั้งหลายชักชวนให้ดื่มเหล้าจนเมามายไม่รู้เรื่องรู้ราวจนถือวิสาสะแอบเข้าไปนอนยังที่พักของจูหยวนจาง
จนถูกเขาสั่งทำโทษนางทั้งวี่ทั้งวัน ถ้าขืนนางยังจะดื่มมันเข้าไปอีก
มิรู้ได้ว่าคืนนี้จะเผลอทำผิดอันใดลงไป
หลิวหลีเอียงหน้ามองไปทางจูหยวนจางอย่างระแวดระวัง
เกรงว่าเขาจะจับสังเกตอะไรนางได้
นางจึงแอบขยับตัวออกห่างเขาอีกนิด
แต่เมื่อขยับห่างออกมาได้ระยะหนึ่งยิ่งเพิ่มระดับความคมชัดทางสายตาเพราะด้วยว่ามุมที่ห่างออกมาเล็กน้อยนี้ทำให้นางสามารถมองเขาได้อย่างเต็มตามากยิ่งขึ้น
นางเห็นเขานั่งคุยกับเหล่าทหารด้วยมาดของผู้นำอย่างเป็นกันเองแฝงความน่ายำเกรงอย่างเป็นธรรมชาติ
ความดูดีมีเสน่ห์อย่างนี้ล่ะที่นางมักจะคอยแอบมองเขาอยู่ไกลๆเมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงหรืองานประจำปีต่างๆของเมืองหลวง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มองเขาได้ใกล้ถึงเพียงนี้
ดูนั่น
เขายิ้ม
รอยยิ้มนั่น
รอยยิ้มนี้ล่ะที่นางเคยแอบเห็นเขายิ้มขณะเสวนากับเหล่าสหายทหารของเขา
หลิวหลีนั่งเหม่อมองรอยยิ้มของจูหยวนจางขณะที่เขากำลังคุยอยู่กับเหล่าทหารอย่างออกรส
เขายิ้มให้ทหารคนนั้น
คนนั้นด้วย
เขาหันไปยิ้มทางนั้น
ทางนี้ด้วย
หืม!
ทางนี้
เขาหันมายิ้มทางนี้
ทาง...
“เจ้า...” จูหยวนจางเอ่ยขึ้นกับหลิวหลีในคราบอาหลิ่วที่นั่งตัวลีบทำหน้าโง่งมอยู่ไม่ห่างจากตัวของเขา
“ดื่ม...” เขากล่าวพลางยกจอกเหล้าเข้าใกล้ริมฝีปากของหลิวหลี
“....”
“....”
เงียบ
สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือสีหน้าโง่งม แก้มป่องพองออก ดวงตากระพริบขึ้นลงสองสามที
“ดื่มสิอาหลิ่ว”
อาต้วนที่นั่งอยู่ในกลุ่มด้วยกันเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกสติของอาหลิ่วสหายสนิทของเขา
เพราะดูๆแล้วอาหลิ่วคงกำลังคิดถึงบ้านจนสมองมีปัญหาการตอบสนองเชื่องช้าจนน่าเป็นห่วง “ท่านรองแม่ทัพอุตส่าห์รินเหล้าให้ ดื่มเร็ว”
หลิวหลีพลันได้สติก่อนจะรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวเร็ว
ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่น
ไม่เอา
นางไม่ดื่ม
นางไม่ดื่มเด็ดขาด
จูหยวนจางเห็นหลิวหลีส่ายหน้าปฏิเสธพัลวันจึงเอ่ย
“ทำไม” เขาขมวดคิ้วคมเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนส่งเสียงต่ำ “รังเกียจกันรึ”
หลิวหลีส่ายหน้ารัวเร็วยิ่งกว่าเดิมก่อนจะขยับถอยหลังออกห่าง
แต่จอกเหล้าก็ยังคงติดตามริมฝีปากของนางมา ตามด้วยจูหยวนจางเอี้ยวตัวมาหา
ครานี้หลิวหลีถึงกับทำตาโตแต่ยังคงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเพราะจอกเหล้าตามมาติดๆ
จูหยวนจางยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้วยสายตาคมเข้มจ้องมองจับนิ่งอย่างต้องการให้ดื่มอย่างจริงจัง
จับกรอกปากดีหรือไม่! จูหยวนจางคิด
หลิวหลีเห็นสีหน้าและแววตาของเขาแล้วยิ่งเพิ่มความระแวดระวัง ถ้าใกล้กันไปมากกว่านี้
นางกลัวว่าเขาจะจำนางได้
นางจึงเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของเขาที่กำลังส่งจอกเหล้ามาให้เพื่อหยุดเขา ไม่ให้เขาได้เข้าใกล้นางมากไปกว่านี้
แต่เมื่อมือของนางสัมผัสกับมือของเขา
พลันเกิดกระแสบางอย่าง
“....”
“....”
หลิวหลีถึงกับชะงักงันดวงตากลมโตเบิกกว้าง
รับรู้ได้ว่ามันมีความรู้สึกร้อนวูบวาบเกิดขึ้นที่ฝ่ามือ
ใบหน้าของนางพลันเห่อแดงภายใต้หนวดเคราที่แต่งแต้มเอาไว้
จูหยวนจางหรี่ตามองกิริยาของหลิวหลีอยู่นิ่งๆ เขานึกขันเสียจริง แต่ต้องสะกดกลั้นมันเอาไว้
เหล่าสหายทหารถึงกับลุ้นกันตัวโก่ง
เกรงว่าอาหลิ่วจะทำอันใดให้ท่านรองแม่ทัพจูไม่พอใจ
“อ่ะ
อ้าว อาหลิ่ว เจ้าจะไปไหน” เสียงโวยวายของอาต้วนและทหารอีกหลายคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเมื่ออาหลิ่วของพวกเขากระโดดจนตัวลอยวิ่งออกไปจากวงเสียอย่างนั้น
“อา...ท่านรองแม่ทัพ
เดี๋ยวข้าขอดื่มแทนเจ้านั่นได้หรือไม่ ท่านอย่าได้เคือง”
อาต้วนกล่าวอย่างขอลุแก่โทษแทนสหายอย่างจริงใจไปทางรองแม่ทัพจูที่นั่งนิ่งงันแข็งค้างอยู่
จูหยวนจางเพียงปรับอารมณ์ไม่ให้แสดงอาการขบขันออกมา
จึงทำเป็นปรายสายตาคมดุมองกลับมายังเหล่าทหารพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเจ้าดื่มกันไปก่อน
ข้าจะขอไปตรวจตราความเรียบร้อยสักประเดี๋ยว” กล่าวเสร็จเขาจึงทำทีลุกขึ้นไป
ทิ้งเอาไว้เพียงสายตากลัวเกรงว่าอาหลิ่วผู้น่าสงสารจะได้รับโทษทัณฑ์อันใดอีกในวันต่อไป
เวลาผ่านไปเพียงอึดใจ
จูหยวนจางเดินตามหลิวหลีออกมาทันเห็นหลังของนางวิ่งหนีออกไปทางด้านหลังของกระโจมหลังหนึ่งถัดจากเรือนพักของเขาไม่ไกล
ท่าทางของนางยิ่งมองยิ่งนึกขัน เขาคงจะต้องทรมานกับการกลั้นหัวเราะอย่างนี้ไปในทุกๆวัน ภรรยาของเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
นางทำให้ชีวิตที่แสนจะสงบสุขเรียบเรื่อยของเขาเปลี่ยนไป
หลิวหลีวิ่งออกมาอย่างไม่รู้ตัวเพียงเพราะรู้สึกวาบหวามไปกับฝ่ามือของเขาที่นางเผลอเอื้อมมือไปจับกุม
ความร้อนยังติดอยู่ที่ฝ่ามือเรียวเล็กของนางอยู่เลย
หญิงสาวนั่งหลบอยู่ข้างกระโจมหลังหนึ่งพลางจับกุมมือของตนเองเอาไว้เมื่อนึกถึงรสสัมผัสจากฝ่ามือหนาของจูหยวนจาง
ฝ่ามือนั้นของเขาที่เคยลูบไล้ผิวนวลเนียนของนางจนทั่วเรือนกาย
ความร้อนจากฝ่ามือนั้นยังคงติดตรึงอยู่ไม่รู้จาง
ภาพการร่วมรักกันระหว่างนางกับเขาพลันโหมกระหน่ำเข้ามายังโสตประสาทคล้ายกับว่ากิจกรรมอย่างนั้นระหว่างนางกับเขาเกิดขึ้นแค่เพียงไม่นาน
หลิวหลีรู้สึกร้อนรุ่ม เหงื่อเริ่มไหลซึม
ทั้งๆที่อากาศโดยรอบหนาวเย็นออกปานนี้
นางกำลังนั่งนึกถึงภาพวาบหวิวของค่ำคืนอันแสนรัญจวนที่เคยกระทำกับจูหยวนจาง
ยิ่งคิดยิ่งนึกละอายแก่ใจ นางเป็นสตรีมีปัญหาแน่ๆ
ช่างโง่งมเสียจริง ยิ่งเมื่อครู่นั้นจูหยวนจางมานั่งอยู่ใกล้ๆกัน
ไหล่ห่างกันเพียงนิด ความอบอุ่นแผ่ซ่านไหลผ่านวาบเข้ามาอย่างกับน้ำป่าไหลหลาก
ไม่ใช่น้ำธรรมดาด้วย เป็นน้ำพุร้อนเลยเชียว
หลิวหลีนั่งหลับตาข่มอารมณ์ข่มจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านจนตัวเกร็งอยู่อย่างนั้น
พลันได้ยินเสียงเรียกสดใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา “ท่านรองแม่ทัพจู...”
เสียงเรียกนั้นทำหลิวหลีหลุดออกจากภวังค์ในทันที
“ท่านรองแม่ทัพจู ท่านอยู่ที่นี่นั่นเอง
อวี้เจินตามหาตั้งนาน”
ประโยคถัดมานั้นทำหลิวหลีถึงกับตัวแข็ง
สตรีนางนี้อีกแล้ว ใยถึงชอบมายุ่งกับจูหยวนจางนัก
หลิวหลีนึกเข่นเขี้ยวเสียจริงกับสตรีจอมฉอเลาะนางนี้
หญิงสาวเมียงมองตามทิศทางของเสียงจึงสังเกตเห็นว่าจูหยวนจางยืนอยู่ไม่ไกลจากที่นางนั่งหลบซ่อนตัวอยู่
ตามด้วยสตรีนามว่าอวี้เจินที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาจนถึงตัวของจูหยวนจาง สตรีนางนั้นทำท่าทางเอียงอายเมื่อมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของจูหยวนจาง
นางช่างกล้า หลิวหลีค่อนขอดอยู่ในใจ
เห็นได้ชัดว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นเอียงอาย มารยาของนางช่างน่าชัง
วิ่งมาหาเขาอย่างนั้นยังกล้าทำท่าทางเหนียมอาย
ได้อย่างไร!?
จูหยวนจางสังเกตได้จากหางตาของตนว่ามีสตรีนางหนึ่งแอบส่งสายตาแวววาวมาทางเขาในขณะที่สตรีนามว่าอวี้เจินส่งเสียงทักทายพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหาเขา
ชายหนุ่มถึงกับหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำส้มเปรี้ยวของภรรยาปลอมตัวของเขาลอยออกมาจากหลังกระโจมนั่น
และนั่น
รอยยิ้มนั้น
ทำให้สตรีสองนางถึงกับเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันทันที
อวี้เจินนั้นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มมุมปากอย่างนั้นของจูหยวนจาง
นางจึงคิดเข้าข้างตัวเองเป็นการใหญ่
จูหยวนจางคงหลงเสน่ห์ของนางเข้าแล้ว
ตำแหน่งฮูหยินรองแห่งจวนรองแม่ทัพจูคงอยู่ไม่ไกล
เช่นนั้นแล้ว...คืนนี้ นางต้องเผด็จศึกเขาให้จงได้
อวี้เจินคิดในใจอย่างหมายมาด
หลิวหลีนั้นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มตรงมุมปากอย่างนั้นของจูหยวนจาง
นางจึงเข้าใจได้ไม่แตกต่างจากอวี้เจิน
เขา...เขา...ตกหลุมพรางของสตรีอย่างนั้นได้อย่างไร? แค่นางทำเสียงใสไร้เดียงสา
แค่นางแต่งกายด้วยชุดน่าเอ็นดู
แค่นางยิ้มแย้มประจบเพียงนิด
แค่นางทำมารยาเพียงแค่นั้น
ทำไม...
ทำไม...
หลิวหลีขมวดคิ้วเข้าหากันมุ่นเมื่อคิดได้อย่างนั้น
พลันน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา ก่อนจะสลัดศีรษะไล่ความเสียใจให้ออกไป
ก็ดี...
ได้เห็นกับตาอย่างนี้ก็ดี...
ถือเสียว่าการปลอมตัวมาในครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว
อย่างน้อย
นางจะได้กลับไปเตรียมหนังสือหย่าได้อย่างไม่ต้องลังเล
หลิวหลีเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นอย่างเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อคิดได้อย่างนั้นในใจ ก่อนจะลุกเดินออกไปจากหลังกระโจม
เพื่อไปให้พ้นๆภาพบาดตาบาดใจระหว่างจูหยวนจางกับสตรีนามว่าอวี้เจิน
หญิงสาวเดินโซซัดโซเซกลับเข้ามายังกลุ่มสหายของเพื่อนๆทหารก่อนจะมานั่งลงอย่างหมดสภาพภายในกลุ่มของพวกพ้อง
“สภาพอย่างนี้จะรอดไหมนี่”
เสียงทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาทางอาหลิ่วของพวกเขา
“อดทนไว้ อาหลิ่ว อยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชิน พวกเราก็คิดถึงบ้านไม่ต่างกันกับเจ้า”
เสียงทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยปลอบขวัญอย่างเข้าอกเข้าใจอารมณ์บุรุษยามต้องทิ้งบ้านเข้ามาอยู่ในค่ายทหารอย่างนี้
อึดใจต่อมาอาต้วนก็เอื้อมมือมาตบไหล่อาหลิ่วอย่างเข้าใจไปเอง
“เจ้าทำท่าทางคล้ายกับว่าเมียแอบไปคบชู้สู่ชายซะอย่างนั้น อย่าคิดมากเลย
ข้าเคยผ่านมันมาแล้ว ยามนี้ข้ามีเมียใหม่แล้วสองคนเลยเชียว”
ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจพาให้เหล่าสหายสรวลเสเฮฮาไปด้วย
เสียงหัวเราะครึกครื้นของเหล่าบรรดาสหายที่คล้ายกับว่าช่วยกันปลอบใจอาหลิ่วยิ่งเพิ่มระดับความเสียใจให้อาหลิ่วเสียอย่างนั้น
“อ่ะ! อ้าว! ใจเย็น อาหลิ่ว”
อาต้วนเอ่ยขึ้นทันควันเมื่อเห็นอาหลิ่วยกเหล้าขึ้นกระดกลงคอทั้งไห
แค่ก
แค่ก
หลิวหลีหยุดพักเมื่อสำลักเหล้า
ก่อนจะยกขึ้นกระดกเข้าปากต่อโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะชอบใจของเหล่าทหารที่เข้าใจไปว่าอาต้วนพูดถูกต้อง
เมียของอาหลิ่วมีชู้แน่ๆ
ทุกคนพากันยกเหล้าในส่วนของตนเองส่งให้ทางอาหลิ่วกันเป็นการใหญ่
เพื่อหมายจะช่วยกันปลอบประโลมให้กำลังใจอย่างมิตรสหายที่มีหัวอกเดียวกันอยู่หลายส่วน
มาอยู่ค่ายทหารอย่างนี้
ปัญหาหลักเลยคือคิดถึงบ้าน ส่วนปัญหาหลักยิ่งกว่าคือสิ่งที่อาต้วนพูดออกมานั่นเอง
ตรงทางเดินระหว่างกระโจมที่จูหยวนจางยังคงยืนอยู่นิ่งๆไม่ไหวติงใดๆ
“ข้าชอบท่าน...” อวี้เจินตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุดเมื่อได้เห็นจูหยวนจางยกยิ้มมุมปากจนใบหน้าที่มักจะนิ่งขรึมอยู่ตลอดเวลานั้นพลันน่ามองขึ้นมาอยู่หลายส่วน
นางจึงมั่นใจในเสน่ห์ของตนเองเต็มที่จึงกล่าวออกไปอย่างไม่มีปิดบัง
“ข้าไม่สนใจว่าท่านจะมีเมียอยู่แล้ว
ข้าชอบท่านจริงๆ ข้าขอเป็นอนุภรรยาของท่าน
ได้หรือไม่” กล่าวเสร็จก็ยกยิ้มอย่างมีจริตมารยาใส่หน้าของจูหยวนจาง
ชายหนุ่มเพียงมองสตรีตรงหน้านิ่งๆไม่ได้กล่าวคำใดๆ
หลังจากที่เขาเพียงหรี่ตามองตามภรรยาพระราชทานของเขาเดินออกไปจากหลังกระโจมจนเห็นนางเดินกลับเข้าไปในกลุ่มพร้อมทั้งยกเหล้าดื่มทั้งไหอย่างนั้น
เขาจึงยกยิ้มที่มุมปากขึ้นอีกคราก่อนจะหุบยิ้มลงแล้วเริ่มสนใจสตรีตรงหน้าว่านางจะหยุดพูดไร้สาระเมื่อไหร่
“นะเจ้าคะ นะ”
อวี้เจินส่งเสียงออดอ้อนเต็มที่อยู่ตรงหน้าของจูหยวนจาง คืนนี้นางจะอยู่กับเขาทั้งคืนโดยไม่สนใจใคร
แล้วลำดับต่อไปนางก็จะแต่งเข้าบ้านของเขาในฐานะอนุภรรยา
และต่อไปนางจะทำทุกวิถีทางเพื่อเขี่ยภรรยาเอกของเขาออกไป
หญิงสาวคิดในใจอย่างไม่นึกละอายแก่ใจแต่อย่างใด
“เจ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่”
จูหยวนจางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำใบหน้าเฉยชาดวงตาดุดัน
เขาอยากจะรีบเดินเข้าไปหาภรรยาของเขาก่อนที่นางจะเมาไปมากกว่านี้
“....”
อวี้เจินถึงกับชะงักกึกกับคำถามนั้น
อะไรกัน เมื่อครู่เขายังยิ้มให้นางอยู่เลย
“แต่ว่า...เอ่อ...”
อวี้เจินกำลังจะทักท้วงถามออกไปอย่างไม่ยอมจำนน แต่ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
จูหยวนจางก็พาร่างสูงใหญ่เดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งหญิงสาวเอาไว้กับความงุนงงโดยไม่ใส่ใจแต่อย่างใด
อวี้เจินทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของจูหยวนจางที่กำลังเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาเหล่าทหาร
นางยังคงมองตามแผ่นหลังของเขาอย่างไม่เข้าใจในชีวิต
หรือว่านางยังยั่วยวนไม่พอกัน
ไม่เป็นไร!
คืนพรุ่งนี้ก่อนเถอะ นางจะใส่ชุดที่ดูร้อนแรงกว่านี้ ยั่วยวนมากกว่านี้
ชุดนี้มันออกจะหวานเลี่ยนจนเกินไป หึ!
หญิงสาวคิดหมายมาดอยู่ในใจอย่างมุ่งมั่นไม่มีที่สิ้นสุด
ตรงกลุ่มคนพลทหารที่กำลังสรวลเสเฮฮากับอาการจิตตกของอาหลิ่วอยู่นั้น
พลันมีใครบางคนมายืนสูงใหญ่ทมึงทึงอยู่ตรงนั้น
“อาหลิ่ว...”
ประโยคเนิบนาบเส้นเสียงทุ้มต่ำดังอยู่เหนือศีรษะของหลิวหลีที่อยู่ในคราบของอาหลิ่ว
ทำพวกพ้องพี่น้องเหล่าทหารในวงเหล้าพากันเมียงมองตามเสียงเรียกนั้นกันอย่างพร้อมเพรียงพลางคิดในใจพร้อมกัน เอาอีกแล้วอาหลิ่วเอ๋ย...
จูหยวนจางที่เดินมาจนถึงเบื้องหลังของหลิวหลีเพียงยืนเอามือไขว้หลังด้วยท่วงท่าวางอำนาจพร้อมส่งมอบบทลงโทษให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างน่ากลัว
เขาเอ่ยเรียกชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง
“อาหลิ่ว...”
เสียงเรียกครั้งที่สองนี้ทำหลิวหลีจำใจต้องหันหลังกลับไปแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องหน้าของจูหยวนจางอย่างเอาเรื่อง
“ใจเย็นอาหลิ่ว
เมาแล้วเพี้ยน”
อาต้วนกระซิบกระซาบพลางยกมือของตนขึ้นกระตุกขากางเกงของสหาย “นั่งลง นั่งลง”
หลิวหลีไม่สนใจ
นางเพียงกระตุกขาออกห่างจากฝ่ามือของอาต้วนก่อนจะเอื้อมมือของตนขึ้นแล้วจับกระชากแขนของจูหยวนจางให้เดินออกมาจากกลุ่ม
โดยไม่สนใจสายตาตกอกตกใจของเหล่าบรรดาทหาร
เมื่อพวกพ้องกำลังลุกฮือขึ้นเพื่อห้ามปรามอาหลิ่วมิให้กระทำการล่วงเกินท่านรองแม่ทัพกลับได้รับเพียงสายตาดุดันของจูหยวนจางตอบกลับมา
ทำเอาทั้งหมดถึงกับเข้าใจความหมายทางสายตานั้นทันที
พรุ่งนี้รอเก็บศพเจ้านั่นได้เลย นั่นคือความคิดของบรรดาเหล่าทหารในยามนี้
โชคดีอาหลิ่ว....
ตามทางเดินระหว่างกระโจมกับที่พักมากมายของค่ายทหาร
หลิวหลีดึงแขนของจูหยวนจางให้เดินตามมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
นางเดินโซเซเล็กน้อยขณะใช้กำลังอันน้อยนิดฉุดดึงจูหยวนจางให้เดินตามมาอย่างทุลักทุเล
ชายหนุ่มเพียงเดินตามมาด้วยท่วงท่าสบายๆมิได้ขัดขืนให้นางต้องเหน็ดเหนื่อยมากไปกว่าที่เป็นอยู่แต่อย่างใด
เพราะเท่าที่เห็น นางใช้เรี่ยวแรงในการเดินให้ตรงทางก็ยากพอตัวอยู่แล้ว
เมื่อหลิวหลีพามาถึงที่หมาย
จูหยวนจางจึงรีบหันหลังไปปิดประตูห้องพักในทันที
นางช่างรู้ใจ
ฉุดดึงเขาให้เข้ามายังห้องพักของเขา
จูหยวนจางคิดในใจอย่างกรุ้มกริ่มภายใต้สีหน้าเรียบเฉยแนบเนียน
“ข้าจะหย่าให้ท่าน...”
หลิวหลีพูดออกมาทันทีที่ได้อยู่ภายในห้องพักกับจูหยวนจางเพียงสองต่อสอง
“....”
จูหยวนจางถึงกับชะงักงัน ก่อนหันหน้าเข้าหาหลิวหลีเมื่อปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย
“ข้าจะกลับบ้าน...แล้วเขียนหนังสือหย่า....ให้ท่าน...ทันที”
หญิงสาวเอ่ยออกมาขณะกำลังพยายามทรงตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคง
ชายหนุ่มยังคงยืนจ้องหน้าภรรยาของเขานิ่งงัน
เมื่อครู่ นาง...
ว่าอะไรนะ!?
จูหยวนจางกำลังตะลึงงันด้วยเพราะคาดไม่ถึงว่าหลิวหลีจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา
นางจะหย่า!
เรื่องอันใด?
ทำไมถึงคิดจะหย่า!?
“เจ้า...”
จูหยวนจางเอ่ยออกมาแค่นั้น
เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด
เขากำลังสับสนงุนงงว่าทำไมจู่ๆภรรยาของเขาถึงพูดจาอะไรออกมา
ช่างไม่น่าฟังเอาเสียเลย
เมื่อวานนางบอกรักเขา
แล้ววันนี้มาบอกหย่าเขา
อะไรกัน!
หลิวหลีค่อยๆเดินเอียงซ้ายเอียงขวาเข้าหาจูหยวนจางอย่างทุลักทุเล
ก่อนจะโผเข้าหาแผงอกของเขาพลางเอื้อมมือเอื้อมวงแขนขึ้นโอบรอบเอวของเขาแล้วซบหน้าลงตรงกลางอกของเขาเสียอย่างนั้น
กิริยาอย่างนั้นของหลิวหลียิ่งสร้างความสับสนงุนงงให้จูหยวนจางเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ในขณะที่จูหยวนจางกำลังยืนตัวเกร็งแข็งทื่ออย่างโง่งม
หลิวหลีก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดกระชับเพิ่มมากขึ้น
นางยังคงกระชับวงแขนน้อยๆของนางกอดรัดเรือนร่างสูงใหญ่ของเขาอยู่อย่างนั้น
อา...
ภรรยาของเขาคนนี้...
ให้ตายเถอะ!
ความคิดเห็น