ตอนที่ 23 : ตอนพิเศษ 2
ขึ้นปีสาม ภาระหน้าที่ของผมไม่ได้มีแค่เรื่องเรียนอีกต่อไป
“ตอบสิวะ! อึดอัดมากใช่ไหมที่ต้องอยู่กับเพื่อนเนี่ย!”
อยากจะยกมือขึ้นมาแคะหูให้น้ำเสียงแสนระคายที่ทำเอาน้องใหม่ที่ยืนตรงแข็งทื่อสะดุ้งกันเป็นแถว
เงียบไปหนึ่งอึดใจถึงมีผู้กล้ายกมือตอบให้
“บางที ก็ต้องการเวลาส่วนตัวบ้างครับ” เจ้าเดิมที่ถูกสต๊าฟทุกคนหมายหัวไว้ พอน้องเอ่ยปากสามคนที่โซนหลังถึงได้เดินเข้าไปล้อมวงอย่างรู้งาน
“หมายความว่าไง” ถามย้ำให้สับสน
“รังเกียจเพื่อนเหรอคุณน่ะ” เพิ่มความกดดัน
“เงียบทำไม รังเกียจก็ตอบว่ารังเกียจดิวะ!” ปิดท้ายด้วยขึ้นเสียงให้ลนลาน
ผมยืนนิ่งมองเด็กผู้ชายตัวสูงที่เริ่มขมวดคิ้วกดฟันคล้ายพยายามเก็บอารมณ์ จากตรงนี้เห็นดวงตาวาวโรจน์ฉายชัดก่อนจะเค้นคำตอบด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ
“เปล่าครับ” ยิ่งน่าขยี้ไปกันใหญ่
“ตอแหล!” เสียงตวาดแหวทำเอาสะดุ้งกันทั้งแถบ คำตำหนิที่เริ่มทวีความรุนแรงทำให้น้องผู้หญิงตัวเล็กแถวแรกเริ่มสะอื้นไห้
“เมื่อกี้พูดอยู่ชัดๆ ว่ารังเกียจอ่ะ พวกคุณดูหน้าเอาไว้นะครับ คนแบบนี้เหรอที่คุณเรียกว่าเพื่อน” ว่าพลางชี้หน้าดึงสายตาร่วมประจาน เสียงตะโกนก้องน่าเกรงขามทำให้ไม่มีใครทันสังเกตว่าเริ่มลากลามผิดประเด็น
“ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เวลาส่วนตัวอะไรวะ ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ออกไป!” พอเห็นเพื่อนโดนรุมหนักเข้า เด็กผู้ชายแถวหลังเริ่มทำสีหน้าไม่พอใจ จากที่เคยก้มหน้าไม่สบตาก็เริ่มยกมือตอบน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เพื่อนไม่ผิดครับ” เมื่อมีหนึ่งก็มีสอง
“พวกเราอยากมีเวลาส่วนตัวมากกว่านี้ครับ”
“พวกเราไหนวะ! ถามเพื่อนคุณหรือยัง!” เสียงตวาดดังขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กๆ เริ่มไม่ยอม
“วันหยุดก็อยากไปอยู่กับครอบครัวบ้างค่ะ” จากแค่ชายเริ่มมีผู้หญิงที่ใจกล้าตอบขึ้นมา
“อยากเอาเวลาไปทำงานที่อาจารย์สั่งครับ” ผมมองหน้าทุกคนที่ยกมือตอบ แล้วเริ่มนับถอยหลัง ส่งสัญญาณให้สต๊าฟกระจายตัว
“งานเยอะเกินไปจนไม่มีเวลานอนครับ” คำตอบครบโควตา ก็ได้เวลาผมออกโรง
“พอ!” เสียงตวาดลั่นทำให้ทั้งลานกิจกรรมเงียบกริบอีกครั้ง คนที่ตอบเสร็จและกำลังจะตอบยกมือค้างไว้ รอฟัง
“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเอาเวลาไปทำอะไร แต่ถ้าพวกคุณไม่อยากอยู่ด้วยกันขนาดนั้นผมก็จะตามใจ” เอ่ยประชดประชันตามสูตรเพื่อไม่ให้ดูใจดีเกินไป แต่จุดประสงค์ก็เพื่อคลี่คลายปัญหาเรื่องกิจกรรมกับการเรียนที่อัดแน่นเกินรับไหว
ตามตารางเรารับน้องจันทร์ถึงเสาร์ และมันบั่นทอนตัวเด็กเกินไป กิจกรรมที่มักจะหางานให้ทุกคนออกแบบตามโจทย์ทุกอาทิตย์ก็ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นงานกลุ่มที่ยืดหยุ่นเวลาตามเนื้องานแทน
“พรุ่งนี้วันเสาร์ ไม่ต้องมาครับ เอาเวลาของคุณไป”
เราอยากให้เด็กที่เพิ่งเข้ามาได้ทำความรู้จักกัน แต่คงใช้วิธีบังคับให้รู้จักแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้เข้ากับเด็กเจนฯ ใหม่
“ถ้าไม่เจอเพื่อนเจอพี่แล้วสบายใจกว่าก็แล้วแต่คุณ...” ผมมองเด็กคนนั้น จงใจส่งสายตาให้รู้ว่าประชดประชัน ก่อนกวาดมองแววตาใสซื่อที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรอบตัว เห็นความอ่อนล้าที่เจือไปด้วยความมุ่งมั่นบางอย่างจึงเริ่มเอ่ยเข้าประเด็นตามที่ปูไว้
“ถามตัวเองครับว่าคุณมายืนตรงนี้ทำไม พวกผมไม่ได้บังคับให้พวกคุณมา”
“ถ้าคุณคิดว่ากิจกรรมนี้มันไม่จำเป็นกับชีวิตนักศึกษาก็ไม่ต้องมาครับ” ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ฐานะเฮดว้ากออกจะต้องสุขุมมากกว่า
“แต่ถ้าใครคิดว่ามันมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็เจอกันวันจันทร์ครับ”
“...”
“กลับไป” สิ้นคำสั่งแถวเรียงหน้ากระดานก็เริ่มสลาย เสียงฝีเท้าหนักดังเคล้ากับเสียงตะโกนเร่งไล่หลัง
หมดหน้าที่คนอื่นก็เริ่มผ่อนคลาย จับกลุ่มคุย ผมถอนหายใจ สะบัดแขนขาที่เมื่อยล้าพลางคิดว่าอยากได้บุหรี่สักมวน
ราวถูกอ่านใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นบิดขี้เกียจถึงได้สบกับดวงตาสีรัตติกาลที่ยืนมองจากระเบียงชั้นสามพอดี
ผมยิ้ม ร่างสูงยกยิ้มตอบ เขาคีบบุหรี่ออกจากปาก มองหน้าผมนิ่ง แววตาเชื้อเชิญ
“เดี๋ยวกูตามไป” ผมบอกที่เหลือ ยังมีเวลาสักพักก่อนเริ่มประชุม ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาเขา อยากจะสวมกอดร่างสูงที่หันกลับมาพิงหลังกับราวระเบียง แต่ด้วยสถานที่ไม่เอื้อเลยเลือกเดินไปยืนข้างกันเฉยๆ
“ไม่เคยเห็นพี่มาดู” พี่เตเป็นเด็กซิ่ว ไม่รับน้อง กิจกรรมนี้เขาเลยไม่ใส่ใจ พอเห็นเขามายืนมองอยู่แบบนี้ก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่แรก”
“ยืนตรงนี้ตั้งสองชั่วโมง?”
“อืม” พี่เตยักไหล่ตอบสั้นๆ พ่นควันก่อนจะยกยิ้มมุมปากล้อเลียน “ดุจัง คุณพิชญ์”
ผมหัวเราะ ยื่นหน้าเข้าไปหาแกล้งพูดจาสองแง่สองง่าม “มีที่ดุกว่านี้อีก พี่อยากเห็นไหม”
พี่เตหัวเราะ เอื้อมมือที่ไม่ได้คีบบุหรี่มาบีบจมูกอย่างหมั่นไส้ ก่อนเกลี่ยผมทัดหูแล้วลากฝ่ามือต่ำตามแนวกระดูกสันหลัง หยุดที่เอวผมแล้วไล้วนอยู่อย่างนั้น
ไม่กลัวเลยว่าความยั่วเย้าของเขาจะทำผมแทบคลั่ง
“เจดบอกว่าคุณเฮดว้ากฮอตใหญ่” ขณะที่ผมพยายามอดกลั้นเขากลับขบขัน “เลยมาดู กลัวจะโดนเด็กปีหนึ่งคาบไป”
ผมเลิกคิ้ว “ใครกันแน่จะโดนคาบไป”
ข่าวลือเรื่องเขาน้อยซะที่ไหน ด้วยใบหน้าที่โคตรหล่อ แถมยังมีออร่าลึกลับแบบหาตัวจับได้ยากยิ่งเสริมให้คนอยากรู้จักไปกันใหญ่ เด็กปีหนึ่งคนไหนได้เห็นหน้าเหมือนได้เจอของแรร์ในคณะ ตายตาหลับได้
พี่เตทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าถึงย้อนเข้าตัว แต่ไม่ทันไรก็ยิ้มขำ
“ถ้าถูกคาบไปแล้วจะทำยังไง” คิ้วหนาเลิกขึ้นท้าทาย ผมหรี่ตาคาดโทษ หยิบบุหรี่จากมือเขามาละเลียดควัน สบดวงตาสีรัตติกาลที่ยังพราวระยับ มองผมที่เคลื่อนริมฝีปากเข้าไปกระซิบชิดริมฝีปากบาง
“อย่าหวังเลยเตวิชญ์” ต่อให้คนทั้งโลกต้องการเขา ผมก็จะไม่ปล่อยให้ใครคาบไปได้
“...”
“เพราะผมจะล่ามพี่ไว้” ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ คงคิดว่าผมแค่พูดทีเล่นที่จริงเหมือนทุกครั้ง
แต่เปล่า คราวนี้ผมจริงจัง
กาแฟแก้วที่สองหมดไปในเวลาตีสองกว่า แต่ความเหนื่อยล้าเล่นงานจนไม่อาจถ่างตาไหว ผมวางมือจากงานที่ทำได้เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจพลางมองหาอีกคนที่หายเข้าไปในห้องน้ำนานสองนาน
ผมไล่เขาไปอาบน้ำหลังจากช่วยตัดโมเดลมาตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งที่งานตัวเองก็ยังไม่เสร็จดี เห็นทีคืนนี้คงต้องอยู่กันอีกยาว
นึกอะไรขึ้นได้ผมก็หลุดยิ้มออกมา หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟ ก่อนจะค้นอีกซองมาใส่กระเป๋ากางเกง... บุหรี่ยี่ห้อเดียวกัน จะต่างก็ตรงที่ไม่มีมวนนิโคตินอยู่ในนั้น...
รู้ว่าเขาไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป ยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงนอนหลับตาพิงอ่างอาบน้ำอย่างสบายใจ
“ฝากหน่อย” ส่งบุหรี่ในมือให้เขา ไม่ตอบคำถามทางสายตาที่เจ้าตัวส่งมาว่าผมเข้ามาทำไม
ผมอาบน้ำแล้ว แต่จะแช่น้ำอีกสักรอบจะเป็นไรไป
“งานเสร็จแล้วหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ สูบบุหรี่ที่ผมฝากไว้ ดวงตาคมจับจ้องมายังผมที่ปลดกางเกงวอร์มตัวโปรด ปลดปราการจนเปลือยเปล่าตรงหน้าเขาอย่างไม่อาย
“เบื่อ” ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดึงยางที่ข้อมือมารัดผมไว้ ก่อนก้าวขาลงไปในอ่างฝั่งตรงข้าม
เราสบตากันราวกับจะหยั่งเชิงว่าใครจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายก่อนกัน
มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง... การอาบน้ำด้วยกันไม่เคยจบเพียงการอาบน้ำ...
“หึ” ถือว่าชนะไหมนะ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหว แต่เพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก กระดิกนิ้วเพียงครั้งก็เรียกให้ผมให้ขยับไปอยู่ตรงหน้าได้
ควันขาวขุ่นถูกถ่ายจากริมฝีปากสู่ริมฝีปากเมื่อเขารั้งใบหน้าผมลงไป หลุดหัวเราะเมื่อเรียวลิ้นร้ายแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้ออย่างเอาแต่ใจ
แต่ก่อนทุกอย่างจะเตลิด ผมหยุดไว้ ถอนริมฝีปากอ้อยอิ่งพร้อมส่งสายตาให้รู้ว่ายังกินตอนนี้ไม่ได้...
เพราะผมวางแผนบางอย่างไว้
“หืม?” พี่เตทำหน้าประหลาดใจเมื่อผมผละออกแล้วเอื้อมมือไปหยิบซองบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางกางให้ แย่งบุหรี่ในมือเขามาพลางกลับมานั่งพิงขอบอ่างอีกฝั่ง
“ของขวัญ” น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เทศกาล หรือฤกษ์งามอะไรให้ใช้เป็นข้ออ้าง
ผมก็แค่ใจร้อนเท่านั้น
ยิ่งได้ยินว่าเขาเป็นที่ต้องการ ก็ยิ่งอยากป่าวประกาศว่าเขาไม่อาจเป็นของใคร
“เปิดดูสิ” พี่เตรับกล่องบุหรี่ไป ยิ่งดูประหลาดใจเมื่อน้ำหนักของกล่องบ่งบอกว่าไม่มีมวนนิโคตินอัดแน่นอยู่ภายใน
แน่ล่ะ ก็มันเป็นเพียงซองเก่าที่ผมยืมมาใช้ต่างกล่องของขวัญก็เท่านั้น...
แหวนทองคำขาวสองวงที่เมื่อเขาเทลงมาบนฝ่ามือเจ้าของใบหน้าคมก็ถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมนิ่งนานแววตาอ่านยาก
มันคือการผูกมัด... และผมจงใจ
ตั้งแต่เกือบจะเสียเขาไป ผมยิ่งอยากจะผูกเขาไว้ ไม่ว่าด้วยความสัมพันธ์ หรือการกระทำใดๆ ที่จะบอกให้เขารู้ว่ามีผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างลึกซึ้งแค่ไหน
อย่างน้อยให้เขานึกถึงผม หากเกิดชั่ววูบที่คิดจะจากไปอีกครั้ง
“ผมไม่ได้บังคับหรอก พี่จะไม่ใส่ก็ได้” ผมยักไหล่ ละเลียดควัน ทั้งที่ความจริงแล้วในใจก็แอบหวั่น
พี่เตไม่ชอบความผูกพัน เขาเคยเชื่อว่ามันจะทำร้ายอีกคน และผมไม่คิดจะว่าเขาล้มเลิกความคิดนั้นง่ายๆ
แต่ผมจะพิสูจน์ว่ามันไม่จริง ความรักของเขาไม่เคยทำร้ายใคร... มันเติมเต็ม สำหรับผมมันคือความสุขยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ
ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ดวงตาสีรัตติกาลยังคงจับจ้องนิ่งนาน ก่อนจะถอนหายใจ
“คุณพิชญ์” แวบหนึ่งผมคิดว่าเขาโกรธและจะทิ้งมันไป แต่กลับคิดผิดเมื่อมุมปากบางยกยิ้มร้าย “มานี่มา”
ผมดับบุหรี่ ไม่รอรีสักนิดเมื่อเขากวักมือเข้าไปหา ฝ่ามือหนาโอบเอวผมจับนั่งลงบนตัก ก้มหน้าลงมาจนหน้าผากแตะกัน
“คบไม่ทันไร จะสู่ขอกันแล้วหรือไง” ความกังวลเลือนหายเมื่อได้ยินน้ำเสียงหยอกเย้า ดวงตาคมมองด้วยแววตาขบขันปนเอ็นดูเมื่อผมเริ่มหน้าม้าน ไม่กล้าสบตา
“ก็ถ้าไม่อยากได้...!” พอทำท่าจะเฉไฉก็ถูกริมฝีปากร้อนขโมยจูบเข้าให้
ฝ่ามือใหญ่ดันแผ่นหลังเข้าไปใกล้จนชิดหน้าท้องกำยำ ยิ่งทำให้คิดได้ว่าเราต่างอยู่ในสภาพที่ร่างกายเปลือยเปล่าและอะไรๆ ก็กำลังสัมผัสกันอยู่ใต้ผืนน้ำ
“บอกแล้วเหรอว่าไม่อยากได้” เขาเลิกคิ้ว ยกยิ้มร้าย ผมกัดริมฝีปากพยายามเก็บอาการขัดเขินไว้
“แต่พี่หรือเปล่าที่ต้องเป็นคนซื้อแหวนให้” ยิ่งได้ยินน้ำเสียงขบขันก็ยิ่งหน้าร้อนไปกันใหญ่
“สำคัญด้วยหรือไง” แต่ก็ยังอวดเก่งสบตาเขา ท้าทาย “พิชญ์แค่อยากให้รู้ ว่าพี่เป็นของใคร”
พี่เตหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ว่าที่ผมเอาแต่ใจ กลับกัน เขายอมตามใจด้วยการหยิบแหวนวงใหญ่กว่าขึ้นมาสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายอย่างง่ายดาย ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมไปสวมแหวนให้
ทั้งที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร แต่อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นรัวเมื่อเห็นเครื่องประดับบนนิ้วนางข้างซ้ายที่ประกาศชัดว่าเราเป็นของกันและกัน
พี่เตยิ้มล้อเลียนเมื่อเห็นผมนิ่งไป เหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาทั้งที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาให้ ตั้งใจจะผูกมัดเขา แต่กลับเป็นฝ่ายอ่อนไหว
“ทีนี้รู้หรือยัง ว่าพี่เป็นของใคร?” ดวงตาสีรัตติกาลยังคงเจือความเอ็นดูปนขบขัน แต่กลับลึกล้ำกว่าครั้งไหนๆ ฝ่ามือหนารั้งเอวผมเข้าไปแนบชิด กดจูบหน้าผากอย่างรักใคร่ ก่อนไล่ลงมาที่ปลายจมูก และริมฝีปาก จุมพิตเพียงแผ่วเบาแล้วผละออกไป ช้อนสายตามองพลางกระซิบยืนยัน... ถ้อยคำที่ทำให้ผมดึงเขามาจูบอีกครั้งอย่างไม่คิดห้ามใจ
“พี่เป็นของพิชญ์”
บอกแล้ว... ผมจะล่ามเขาไว้
คิดถึงเลยมาหาค่ะ เป็นตอนพิเศษสั้นๆ หวังว่าจะชอบกัน
จริงๆ ยัยพิชญ์เป็นนายเอกจริงป่าวอ่ะ ไหงรุกแรงจัง
ออกแนวพี่ไม่ต้องน้องทำเองทุกอย่าง น่าตีมาก 55555
เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้ผลต้นฉบับมา พี่เตกับน้องพิชญ์ผ่านการพิจารณาแล้วนะคะ
แต่คงอีกนานเลยล่ะกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างให้ไปนอนกอดกัน เพราะยังต้องรีไรต์อีกนิดหน่อย และตอนพิเศษยังเขียนไม่เสร็จ (ฮืออ) รอกันหน่อยเนอะ
ฝาก #เกมท้ารัก เหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่ยังอยู่ด้วยกัน ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.ติดตามผลงานตลอดค่ะ ประทับทุกผลงานเลยค่ะ ❤️❤️❤️❤️
อยากได้รูปเล่มแล้วววววววว