ตอนที่ 21 : บทที่ 20 (จบ)
“ก็สไตล์มันไม่ได้ไง”
“แต่ตอนนี้ก็ต้องหาคนแทนไปก่อน มีแค่กีตาร์กับเบสจะซ้อมยังไง”
“เปิดเทปมะ เอาที่เคยอัดของไอ้เตไว้มาเปิดละเล่นตามงี้”
“...”
“เฮ้ย กูว่าได้”
“ทำไมเจดดื้ออ่ะ”
“เอ๊า...” แทนที่ถูกดุแล้วจะสลด ไอ้พี่เครากลับหัวเราะ แต่พอเงยหน้าขึ้นจากโมเดลเห็นหน้าเจไดที่กอดอกขมวดคิ้วมุ่นก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน
ท่าทางน่าแกล้งแบบนี้ถึงไม่มีใครเรียกว่าพี่ ทั้งที่เจไดเรียนอยู่เภสัชปีสี่ แก่กว่าผมกับไอ้พี่เคราอีก
สองคนนี้เถียงกันมาเกือบชั่วโมงเรื่องหาคนมาตีกลองแทนเพื่อนพี่เจดที่ไม่ว่างกะทันหัน แถมเพื่อนเจไดที่เคยชวนมาเทสต์ก็เล่นไม่เข้ากัน
“งั้นไม่ซ้อมแม่ง ขี้เกียจละ” สุดท้ายไอ้พี่เคราก็ตัดบท ถอดกีตาร์ออกจากไหล่ดื้อๆ จนอีกคนหน้าบึ้งกว่าเก่าถอนหายใจหนัก
“เราไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ว่าแล้วก็ถอดเบสวางข้างกัน ควักบุหรี่เดินออกไปที่สวนอย่างไม่สบอารมณ์
ผมได้แต่ขำที่สองคนนี้เอาแต่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ลุกขึ้นเดินไปหาพี่เจดที่หยิบบุหรี่ออกมาคาบพลางมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าไม่วางตา
“ไม่ง้อ?” ถือวิสาสะหยิบบุหรี่ในซองพี่เจดมาจุดสูบบ้าง
“เดี๋ยวค่อย” ไอ้พี่เครายักไหล่ พลางยิ้มขำ “เจมันน่ารักสุดเวลางอนนี่แหละ”
ผมหัวเราะเสียงดัง “มิน่า ชอบหาเรื่องทะเลาะกัน”
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ ประมาณว่าคนหนึ่งตามจีบ ส่วนอีกคนก็กำลังเล่นตัวเพราะไม่เคยถูกใครจีบมาก่อนในชีวิต น่าตลกตรงที่คนออกตัวว่าจะเป็นฝ่ายจีบดันเป็นเจได... แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นไอ้พี่เคราต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้เขาทุกทาง
“แล้วไอ้เตอ่ะ”
“กลับบ้าน”
หลังออกจากโรงพยาบาล ทุกอาทิตย์จะมีคนมารับเขาไปบ้านใหญ่เพื่อคุยกับจิตแพทย์ประจำตระกูล แล้วอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นต่อ... เป็นวิธีสานสัมพันธ์ของสองพ่อลูกที่ที่ผ่านมาแทบไม่ได้คุยกัน
“ตกลงมันจะไม่กลับมาตีกลอง?” เลิกคิ้วพลางเคาะบุหรี่ลงที่เขี่ยข้างตัว ผมสูดควัน ยักไหล่
“คงไม่”
“เสียดายสัด” ผมหัวเราะ พี่เจดบ่นเสียดายอยู่ทุกวันนับตั้งแต่พี่เตขอออกจากวงต่อให้แขนหายดี
เขาค้นพบมานานว่าลึกๆ แล้วไม่ได้ชอบมัน เหมือนที่เขาเลิกเล่นบาส... พี่เตกำลังตีตัวออกห่างจากอะไรก็ตามที่เคยทำเพื่อทดแทนตัวตนของพี่ชาย
อะไรก็ตามที่กัดกินอยู่ภายในใจเขามานาน
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เกลียดมัน เขาแค่กำลังพยายามหาทางกลับมาเป็นตัวเอง
“แต่มึงเคยบอกว่ามันเก่งทุกอย่าง” พี่เจดหันมาเลิกคิ้วถาม ดับบุหรี่ที่สูบถึงก้นกรอง
“อือ เขาเล่นได้หมดอ่ะ กีตาร์ เบส กลอง ตัวท็อปวิชาดนตรี” ในห้องถึงมีเครื่องดนตรีครบวง บางครั้งผมเห็นเขาหยิบกีตาร์โปร่งมาเกาเล่นเป็นเพลงไม่คุ้นหูที่น่าจะแต่งเอง
“งั้นมันคงไม่ได้เกลียดดนตรี” พี่เจดหัวเราะเบาๆ จบบทสนทนาดื้อๆ ด้วยการลุกขึ้นจากลำโพงที่ใช้ต่างเก้าอี้ เดินเนือยๆ ออกไปที่ระเบียง
ผมอมยิ้ม มองไอ้พี่เคราที่แอบย่องไปยืนซ้อนหลังคนหน้าบูดที่ระเบียง ทำเป็นล้วงกระเป๋าแล้วโน้มตัวเอาคางเกยหัวคนตัวเล็กกว่าจนเจไดหันมาโวยวายใส่ ก่อกวนจนใบหน้าบึ้งตึงกลับมาหัวเราะ ปิดท้ายด้วยการยอมให้ลูบเคราเล่น เป็นอันจบการง้อแบบเนียนๆ
งี้ไม่เรียกจีบแล้วมั้ง... คบกันแล้วนี่หว่า
ผมดับบุหรี่ เบือนหน้าหนีจากคนกำลังสวีท หันมาหยิบกีตาร์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ ดีดเล่นแก้เบื่อ ตอนมอต้นเคยเห่อเล่นอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน แต่เลิกไปนาน จำไม่ได้สักคอร์ดด้วยซ้ำ พอไอ้พี่เครากลับมาเห็นผมเล่นสั่วๆ ก็หัวเราะใส่
“ห่วยสัด” ผมยักไหล่ กำลังจะคืนกีตาร์ให้ แต่ดันนึกอะไรขึ้นได้
“ป๊า” เงยหน้าขึ้นสบตาทำหน้าจริงจัง
“สอนเล่นกีตาร์หน่อยดิ”
ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และริมฝีปากหยุ่นที่กดลงมาบนหน้าผาก เปลือกตา ผิวแก้ม... ปลายจมูก ก่อนจะทาบลงมาบนริมฝีปาก
สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นที่จำได้ดีว่าเป็นของเขา ทำให้ผมหลุดยิ้มก่อนลืมตาขึ้นมา สบตากับเจ้าของใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจ
“มานอนอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางงับปลายจมูกผมเบาๆ
ผมหัวเราะ เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอหลับบนลานซ้อมทั้งที่ยังมีกีตาร์อยู่ในอ้อมกอด หัวซุกอยู่กับพุงเปียกปูนที่หลับอุตุข้างกัน
“พิชญ์ง่วง” ปล่อยมือจากกีตาร์แล้วพลิกตัวกลับมาหนุนตัก กอดเอวหนาอย่างออดอ้อน
พี่เตหัวเราะเบาๆ ลากนิ้วเกลี่ยผมทัดหู หมุนต่างหูผมเล่นไปพลาง “กินข้าวยัง”
“ยังไม่หิว” ผมส่ายหน้า ถูจมูกกับหน้าท้องเขา กะจะอยู่แบบนี้อีกสักพัก แต่นึกได้ว่ายังไม่ได้อวดสิ่งที่ตั้งใจฝึกมาค่อนวัน
“หืม?” พี่เตเลิกคิ้วเมื่ออยู่ๆ ผมก็ลืมตา เงยหน้าสบตาเขาแล้วยิ้ม
“วันนี้ผมให้พี่เจดสอนกีตาร์” ลุกขึ้นหยิบกีตาร์มาวางบนตัก เอื้อมหยิบปิ๊กที่ทำหล่นอยู่ใกล้ๆ
“แป๊บนะ” ยกนิ้วเกาใต้ตามึนๆ เพราะเพิ่งตื่น นึกอยู่สักพักกว่าจะจำคอร์ดได้ ทาบนิ้วลงไปบนสายกีตาร์อย่างเก้กัง
เปียกปูนสะดุ้งตื่นตอนผมเริ่มดีดคอร์ดหนึ่ง เจ้าตัวเล็กสะบัดตัวนั่งจ้องผมที่ดีดกีตาร์เป็นจังหวะกระท่อนกระแท่นไม่ถึงนาทีก็วิ่งหนีไปคล้ายรำคาญ ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันจากร่างสูงที่ขยับตัวมานั่งซ้อนหลังโอบเอวผมพลางแกล้งงับหูเบาๆ
“เพลงอะไร” เอ่ยถามเมื่อผมเล่นจนจบ มันคงไม่ปะติดปะต่อเกินไปจนเขาจำไม่ได้
“ไม่รู้เหมือนกัน” หัวเราะให้กับความอ่อนหัดของตัวเอง เอี้ยวตัวกลับไปสบตาเขาก่อนเฉลย “ผมเคยได้ยินพี่เล่น”
“หือ?” พอเห็นเขาทำสีหน้าประหลาดใจผมเลยเปลี่ยนจากดีดกีตาร์เป็นส่งเสียงฮัมในลำคอ
“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนหลุดหัวเราะใส่ทำนองประหลาดที่เปล่งออกมา ผมพยายามฮัมเท่าที่จำได้ แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะ ยกมือยอมแพ้ “โอเค ช่างมัน”
พี่เตหัวเราะอีกรอบ ก่อนเอื้อมมือมาจับกีตาร์ทั้งที่ยังนั่งซ้อนหลังผมอย่างนั้น นิ้วเรียวทาบคอร์ดแล้วเริ่มเกาเป็นทำนองที่ผมเพิ่งพยายามจะเล่น
คราวนี้มันลื่นไหล เป็นเสียงเพลงที่ผมจำได้ว่าเขาเคยเล่นมัน
“ดื่อดื๊อดือดื่อดือ~” ไม่วายฮัมเสียงล้อเลียน ผมแกล้งหันไปทำหน้าคาดโทษแล้วหลุดยิ้มออกมา อ้อมแขนแกร่งกอดเอวผมแน่น จูบโหนกแก้มไล่ขึ้นไปถึงขมับก่อนเอ่ยพึมพำ
“เคยแต่งให้วงภพเล่น” ผมร้องอ๋อในใจ เอี้ยวหน้ากลับไปถามคำด้วยคำพูดพี่เจด
“พี่ไม่ได้เกลียดดนตรีใช่ไหม”
เขาเลิกคิ้ว นิ่งคิดสักพักแล้วยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมหรี่ตา พยายามคิดว่ามีอะไรอีกที่เขาชอบหรือไม่ชอบ หลายอย่างที่ผมเคยรู้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้น
“พี่ไม่ชอบบาส ไม่ชอบกลอง ไม่แน่ใจว่าเกลียดดนตรีไหม...แล้วสถาปัตย์อ่ะ ชอบไหม”
เขามองผม ยิ้มขำกับท่าทางจริงจัง ก่อนยกมือเกลี่ยเส้นผมเบาๆ พลางฝังริมฝีปากลงมาที่ขมับอีกครั้ง
“อืม”
คำตอบทำให้ผมยิ้มกว้าง หมุนตัวกลับไปนั่งคร่อมตักเขายกแขนโอบรอบคอแกร่งทั้งที่ยังมีกีตาร์คั่นกลาง
“ดีจัง” เขายิ้มกว้างกว่าเดิม สายตาฉาบความเอ็นดูปนขบขัน
“มีอีกอย่างที่ผมรู้ว่าพี่ชอบ” ผมแกล้งหรี่ตา ตีหน้าจริงจังอีกครั้ง กระชับอ้อมแขนคลอเคลียปลายจมูกกับจมูกเขา
“ผมไง” เฉลยคำตอบที่ทำให้ร่างสูงชะงัก ย่นคิ้วล้อเลียน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแล้วทาบริมฝีปากลงมา แทรกเรียวลิ้นเล่นล้อกับปลายลิ้น ดูดดุด ขบเม้มริมฝีปากล่างคล้ายมันเขี้ยวก่อนผละออกไป
มือหนาดึงหน้าผมลงไปซบไหล่ เอียงซุกปลายจมูกลงกับกลุ่มผมแล้วจับโยกไปมาเหมือนเด็กก่อนกระซิบแก้คำ
“รักต่างหาก”
แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตัวเอง แต่คนที่กดรับคือเจ้าของอ้อมกอดที่เอื้อมมือข้ามฝั่งมากดรับให้ราวกับกลัวว่าเสียงมันจะรบกวน
“อือ... กู” เสียงทุ้มตอบรับปลายสายที่ได้ยินเสียงแว่วมาก็เดาได้ว่าเป็นใคร
“น้องหลับ”
หลุดยิ้มกับสรรพนามที่เขาใช้ ก่อนขยับขึ้นไปซบอกกว้าง เกยก่ายร่างกำยำใต้ผ้าห่มที่เปลือยเปล่าไม่ต่าง
ต้นขาเสียดสีกับกลางร่าง...ที่ตื่นตัวขึ้นมาเพียงสัมผัส
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความซุกซน แกล้งกดจูบหนักๆ ลงมาบนกลุ่มผม ขบเม้มใบหูเบาๆ
ฝ่ามือใหญ่ไล้ลูบตามแนวสันหลัง ก่อนเลื่อนต่ำลงสู่สะโพก แล้วนวดคลึงเอาคืนบ้าง
“อืม...” หลุดเสียงครางจนคนที่คุยโทรศัพท์อยู่ก้มลงมาจูบปิดปาก หูยังฟังปลายสายบ่นอะไรเหยียดยาวก่อนผละออกไปตอบคำถาม
“ไม่ว่าง”
พี่เจดคงโทรมาชวนไปไหนอีก แต่อย่างว่า วันนี้เรามีนัดแล้ว
“ธุระครอบครัว” ผมหัวเราะให้ข้ออ้างของเขาอีกครั้ง หรี่ตาขึ้นมามองเจ้าของเสียงทุ้มที่ยิ้มมุมปาก ก่อนตัดสาย โยนโทรศัพท์ผมไว้ข้างเตียง
“ธุระครอบครัว?” ผมแกล้งเลิกคิ้วล้อเลียนจนอีกคนหัวเราะเบาๆ มือที่เพิ่งว่างสอดเข้ามานวดท้ายทอยเรียกให้ตอบรับริมฝีปากที่แนบสนิทลงมา มืออีกข้างยังวุ่นวายอยู่กับสะโพกที่คงขึ้นรอยจากกิจกามก่อนหน้า...
และคงไม่วายช้ำยิ่งกว่าจากกิจกรรมเดียวกัน
โชคดีที่เป็นเพียงสีจาง และผมยั้งใจไม่ให้ทำรอยใหม่นอกร่มผ้าได้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงไม่เอะใจ
“หล่อแล้ว” พอเห็นผมยืนส่องกระจกอยู่นาน ร่างสูงก็มายืนซ้อนหลัง แหวกผมที่เพิ่งจัดกดจูบลงมาที่ซอกคอหน้าตาเฉย
ผมเอียงคอหนีส่งสายตาตำหนิแล้วดึงผมลงมาปิดคอไว้อีกรอบ
“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องถอดนี่” ชี้จิลที่จมูกพร้อมแลบลิ้น แต่เขากลับหัวเราะ แกล้งยื่นหน้ามางับลิ้นผม ดูดดุนสักพักก่อนผละออกไปกดจูบปีกจมูกเบาๆ
“พ่อไม่ว่าหรอก”
นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้ผมลุกมาเตรียมตัวตั้งแต่บ่ายทั้งที่เหนื่อยร่างแทบพัง... ‘ธุระครอบครัว’ ของเขา
คำพูดเฉยชาของพี่เตไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นขึ้นสักนิด ได้แต่ยักไหล่ยอมแพ้ หมุนตัวกลับมากอดร่างสูงออดอ้อนให้คลายกังวล
“ตื่นเต้น”
เขาหัวเราะ โอบกลับพลางจูบขมับ ลูบหลังเบาๆ “ก็เคยเจอกันแล้ว”
“มันเหมือนกันที่ไหน”
ตอนนั้นสถานการณ์กำลังวุ่นวาย ผมไม่มีสติสักนิดตอนโทรหาพ่อพี่เต กระทั่งเจอกันก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเขาจะปลอดภัย พยายามปลอบทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายร้องไห้จนตาบวม
“ไปเถอะ” จูบหน้าผากผมครั้งหนึ่งก่อนผละอ้อมแขน เอื้อมมือมาจับมือผมเดินออกจากห้อง
คนขับรถที่พ่อพี่เตส่งมารับพาเรามายังบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ใหญ่ด้วยขนาด แต่พื้นที่หลายไร่ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวครึ้มร่มรื่น ขับผ่านรั้วบ้านมาสักระยะจึงเห็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคล้ายกล่องที่ทำจากหินสีเข้มสองก้อนเชื่อมด้วยระเบียงสีอ่อน ไม่ได้ดูโออ่าแต่เรียบหรู ออกจะกะทัดรัด เหมาะกับการอยู่คนเดียว
พี่เตบอกว่าหลังหย่าจากครอบครัวใหญ่พ่อเขาก็ยกบ้านที่เคยอยู่ให้ครอบครัวฝ่ายหญิง แล้วแยกมาอยู่บ้านหลังนี้ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน บ้านสีครึ้มให้บรรยากาศต่างจากบ้านทั่วไป คล้ายเจ้าของจงใจให้มันดูเย็นชืดเปล่าดายแค่มองด้วยสายตา
แต่บรรยากาศข้างในตรงกันข้าม ด้วยรายละเอียดที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่โล่งเกินไป สีสันของแผ่นหินผสมไม้ที่ถูกจัดวางองค์ประกอบให้เข้ากับแสงจากทั้งภายในและภายนอกให้ความรู้สึกอบอุ่น กระจกบานกว้างที่ทำให้เห็นทัศนียภาพของต้นไม้รอบบ้านก็ชวนสบายตา
พี่เตพาผมเดินผ่านห้องรับแขกเข้ามาที่ครัว พอเห็นร่างสูงสมส่วนในเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนสบายๆ ไม่ต่างจากคนข้างๆ ก็ประหลาดใจ
ดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่กังวลกับการแต่งตัว
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ
เป็นคำที่เราใช้ปิดท้ายแทบทุกตอน
เริ่มเขียนจากปมสุดท้ายของเรื่อง ซึ่งหนักหนาเอาการ
เป็นเรื่องที่เราลองปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง
เรื่องนี้เราจะลองรีไรต์ส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณานะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน
รักพิชญ์ รักพี่เต รักป๊าเจด เจได รักตัวละครทุกตัว ขอบคุณที่เป็นคนดี
สุดท้ายรักคนอ่านมากๆ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกมากๆเลยค่ะ ภาษาดี เล่าเรื่องดี อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยค่ะ รักทุกตัวละครเลย ขอบคุณไรท์มากๆค่ะ
แปลกใจอีกเรื่อง พี่เจเนี่ยนะจีบพี่เจด โดนเสน่ห์เครานั้นล่อลวงเหรอคะ
ชอบคุณพ่อมากกกกกก เป็นตัวละครที่เป็นจุดกำเนิดของทุกอย่าง