ตอนที่ 18 : บทที่ 17
ผมชอบเวลาที่ตื่นมาแล้วเห็นหน้าเขา...
ใบหน้าคม กับรอยยิ้มบางที่ส่งมาราวกับรอจังหวะให้ผมรู้สึกตัว ดวงตาสีรัตติกาลเป็นประกายจับจ้องเข้ามาในตา ราวกับจะจดจำทุกขณะ ทุกห้วงลมหายใจ
“อรุณสวัสดิ์” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย ยิ้มกว้างพลางขยับตัวซุกอกอุ่นให้ผิวเนื้อสัมผัสกัน
“หิวยัง” เสียงทุ้มกระซิบถาม กระชับอ้อมแขนกดจูบลงที่ขมับ ผมส่ายหน้าถูจมูกกับแผ่นอกออดอ้อน
“ขออยู่แบบนี้สักพัก”
พี่เตหัวเราะเบาๆ ลูบหัวลูบหลังกล่อมให้ผมหลับในอ้อมกอดอีกครั้ง
ผมชอบอาหารฝีมือเขา...
อาหารเช้าง่ายๆ ที่เขาถามผมก่อนนอนว่าอยากกินอะไร ถ้าทำได้เขาจะทำ ถ้าไม่ได้... ผมจะเห็นเขาเสิร์ชวิธีทำ
บอกแล้วว่าพี่เตมีพรสรรค์ในทุกๆ ด้าน ดังนั้นผมเลยไม่ต้องกลัวว่าอาหารที่เขาทำจะไม่ถูกปากเลยสักครั้ง
“คืนนี้เล่นกี่โมง” ถามพลางเดินไปตักข้าวต้มกุ้งชามที่สอง
“สองทุ่ม” คนอิ่มก่อนวางช้อนนั่งมองผมตักข้าวต้มใส่ปาก เคี้ยวเอื้องก่อนกลืนเชื่องช้าพลางยิ้มขำ
“เร็วจัง” รอข้าวหมดปากผมจึงเอ่ย “คิดว่าจะเล่นก่อนเคาท์ดาวน์”
วันนี้วง ‘เตเจเจด’ ขึ้นแสดง เป็นความคิดของพี่เจดเขาล่ะที่อยากให้ครั้งแรกเปิดตัวในเทศกาลส่งท้ายปี ถือเป็นฤกษ์งามกับบรรยากาศดีๆ ที่น่าจะทำให้วงอยู่รอดในปีต่อไป
ไม่สำเหนียกเลยว่าหลังปีใหม่ก็เปิดเทอม... เวลาซ้อมคงแทบจะหาไม่ได้
“บอกเจดไว้ ว่าอยากออกมาเคาท์ดาวน์สองคน” ผมยิ้มกว้าง เพราะตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน
ตอนได้ยินว่าได้เล่นงานปีใหม่ ยังคิดอยู่เลยว่าคงได้นับถอยหลังกับคนเมานับร้อยในร้านเหล้า... น่ารำคาญ
“อยากไปไหน” ผมส่ายหน้า ซดข้าวต้มเข้าปากคำโต
“กลับห้องได้ไหม” เทศกาลใหญ่รถเยอะคนแยะ ไปไหนก็คงวุ่นวาย “เป็นห่วงปูน อยู่ตัวเดียวเดี๋ยวตกใจเสียงพลุหัวใจวาย”
ผมเคยเห็นหมาเพื่อนตกใจเสียงพลุ ทั้งร้องทั้งลนลาน น่าสงสารจะตาย
“ซื้ออะไรมากิน ดูหนัง เที่ยงคืนค่อยออกไปดูพลุที่ระเบียง”
แทบไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน... แพลนปีใหม่ของคนสันหลังยาว
เขายิ้ม ไม่คัดค้าน เอื้อมมือมาเช็ดริมฝีปากที่เลอะให้แล้วนั่งมองผมกินข้าวต่อด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
พี่เตชอบทำแบบนี้ แทนที่จะถามผมว่ากับข้าววันนี้เป็นยังไง เขาจะนั่งมอง... จับจ้องทุกปฏิกิริยาของผมด้วยสายตาเอ็นดู ไม่ได้ทำให้กดดัน แต่กลับทำให้ผมอยากนั่งกินข้าวตรงหน้าเขาในทุกๆ มื้อ ทุกๆ วัน
พอคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกอยากกอดเขา เลยลุกขึ้นเดินอ้อมไปหาคนตัวโตกว่าที่เลิกคิ้วประหลาดใจ ทิ้งตัวนั่งคร่มลงบนยกมือโอบรอบคอเขาไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อผมกดจูบที่ลำคอแกร่ง ไล่ลงมาถึงไหล่กว้าง
"ข้าวต้มอร่อยมาก"
"..."
“ขอบคุณนะครับ” สัมผัสถึงหัวใจของอีกคนที่เต้นแรงขึ้นมา เขาโอบหลังผม กระชับอ้อมแขนแน่น ซุกจมูกกับขมับกดจูบซ้ำๆ แล้วผ่อนลมหายใจ
...ไม่มีคำพูดใด นานนับชั่วโมง
ผมชอบใบหน้าที่ดูตั้งใจของเขา...
ไม่ว่าจะทำอะไร พี่เตมักจะจดจ่อจนคนมองอย่างผมสัมผัสได้ หลายครั้งที่ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่พรสรรค์ที่ทำให้เขาล้ำหน้าใครๆ แต่เป็นเพราะเขาทำมันอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน...
เพราะแบบนั้นเขายิ่งน่าหลงใหล
ผมเดินฝ่าผู้คนไปนั่งบนโต๊ะที่พี่เจดจองไว้ให้ ตำแหน่งหน้าสุดเยื้องเวทีที่ตอนนี้สมาชิกทั้งสามกำลังเตรียมเครื่องดนตรีสำหรับเล่นเปิดงาน
สมกับที่พี่เจดไปแสวงหามา เจไดฝีมือไม่ธรรมดา ซ้อมครั้งสองครั้งก็ตามจังหวะพี่เตได้อยู่หมัด แถมยังเข้าขากับพี่เจดราวกับเล่นด้วยกันมานาน ไอ้พี่เคราปลื้มยกใหญ่ อวยเจไดจนแทบจะลอยได้ จากที่เจ้าตัวดูจะนิ่งๆ หยิ่งๆ ก็เลยกลายเป็นขำกับความเกินหน้าเกินตาของไอ้พี่เครา
“สวัสดีครับ” เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อเสียงแหบทุ้มเอ่ยทักทาย พี่ใหญ่สุดยืนอยู่หน้าไมค์ด้วยตำแหน่งมือกีตาร์ควบนักร้องนำ “พวกเราเตเจเจด”
แน่นอนว่ามีคนขำ... ผมเป็นหนึ่งในนั้น
พี่เจดหัวเราะอายๆ เคาะไมค์แก้เก้อแล้วเอ่ยสั้นๆ “เริ่มเลยเนอะ”
หลังจากนั้นคือความมัน โดยไม่ต้องมีการเกริ่นนำใดๆ เริ่มแรกก็ใช้เพลงจังหวะเร้าใจ เรียกให้สมาชิกวงเหล้าที่กำลังคุยกันอย่างออกรสหันมาสนใจ โยกหัวกระดิกเท้าตามจังหวะที่ปูให้ ก่อนเข้าสู่จังหวะกระแทกกระทั้น ร้อนแรงจนเสียงโห่เชียร์ดังลั่น คนมากมายลุกขึ้นขยับร่างเกาะกลุ่มกระโดดกันหน้าเวที
หลังจากนั้นราวกับเครื่องติดเต็มที่ ดีกรีแอลกอฮอล์ยิ่งขับให้เวทีร้อนเร่า
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ดึงดูสายตาของผมคือเจ้าของแขนกำยำที่กำลังสะบัด... จากมุมนี้เห็นเขาชัดราวจัดวางไว้ ใบหน้าคมเคร่งขรึมจดจ่อกับเครื่องดนตรีตรงหน้ายิ่งดูเซ็กซี่กว่าปกติ ดวงตาสีรัตติกาลหันมาสบตาผมเป็นระยะ รอยยิ้มร้ายที่ผุดพรายในบางจังหวะน่าหลงใหล ร่างกายกำยำชุ่มเหงื่อยิ่งดูเซ็กซี่แทบหยุดหายใจ...
คล้ายจงใจโปรยเสน่ห์ให้ผมตกหลุมรักซ้ำๆ
“มาคนเดียวเหรอครับ” เผลอขมวดคิ้วหงุดหงิดที่มีคนขัดจังหวะสายตา ผมหันกลับมามองใครอีกคนที่ถือวิสาสะนั่งข้างๆ พร้อมยื่นแก้วมาตรงหน้า “ขอชนแก้วหน่อยได้ไหม”
ผมยื่นแก้วตัวเองไปชนตามมารยาทก่อนเบนสายตากลับไปจดจ้องเวทีอีกครั้ง มองคนหลังกลอง... ที่ตอนนี้มองมาไม่วางตาเช่นกัน
ดวงตาสีรัตตากาที่จับจ้องนิ่งนาน ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังคิดอะไร
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย กระดกแอลกอฮอล์ในแก้วมองปฏิกิริยาของเขาอย่างสนใจ... ที่ผ่านมาผมไม่เคยปฏิเสธคนที่เข้าหา แต่ไม่เคยตอบรับใคร ทุกครั้งจบลงที่บทสนทนาจบในตัวเอง และคนเหล่านั้นจะเดินหนีโดยไม่ต้องออกแรงไล่...
แต่คราวนี้เหมือนจะต่างออกไป...
มันกลายเป็นคำถาม... ว่าเขาจะทำยังไง
“ขอบคุณครับ!” ความสงสัยอยู่ได้ไม่นาน เมื่อในที่สุดการแสดงเปิดงานก็จบลง
และชั่วขณะที่เสียงโห่ร้องดังลั่น... ชั่วขณะที่พี่เจดหัวเราะร่า แกล้งยีหัวเจไดที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นจากหน้าที่และเดินตรงมา...
ชั่วขณะที่ผมกำลังคิดว่าเขาจะจัดการผู้ชายแปลกหน้าที่เข้ามาเกะกะยังไง เขาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ยกยิ้มร้าย... ก่อนฉกฉวยริมฝีปากลงมาโดยไม่เอ่ยอะไร
ไม่มีคำต่อว่า แต่ราวมีไฟระอุอยู่ในริมฝีปากที่บดเบียดลงมา... จูบร้อนแรงพรากลมหายใจจนเหนื่อยหอบเมื่อเขาผละออกให้ตักตวงอากาศ
การประกาศความเป็นเจ้าของอย่างอุกอาจทำให้ผู้ชายคนนั้นไม่อาจนั่งอยู่ผิดที่ผิดทางอีกต่อไป
"คุณพิชญ์"
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมจบง่ายๆ
“ท้าหรือจริง”
เพียงแต่... มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายถูกเล่นงาน
ผมชอบเสียงของเขา...
“พิชญ์”
เสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหล คล้ายดังจากที่ไกลๆ ...แผ่วเบาอยู่ในหู เรียกให้ขานรับคล้ายละเมอ
“สวัสดีปีใหม่” หลุดหัวเราะ ฝังหน้ากับหมอน งัวเงียสักพักก่อนลืมตา สบกับดวงตาสีรัตติกาลพร้อมรอยยิ้มจางที่มุมปาก ก่อนร่างสูงจะโน้มตัวลงมากดจูบที่ขมับที่ยังชื้นเหงื่อแผ่วเบา
“เที่ยงคืนแล้วเหรอ” เอ่ยถามเมื่อมองผ่านร่างของอีกคนออกไปเห็นประกายสีสว่างวาบกระจายทั่วฟ้าก่อนดับไป
บ่งบอกว่าผมไม่ทันอยู่นับถอยหลัง
“อืม” ครางรับทั้งทั้ริมฝีปากยังไม่ผละจาก ไล้จูบทั่วใบหน้าคล้ายปลอบประโลมเอาใจ
รสสัมผัสที่ยังคั่งค้างทั่วร่างเล่นเอาหลุดเสียงครางเมื่อขยับ ลุกขึ้นนั่งปรับสภาพด้วยความยุ่งเหยิงราวยังไม่สร่าง แปลกใจที่เห็นร่างที่เคยเปลือยเปล่าถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าใหญ่กว่าขนาดตัว ความเหนอะหนะและคราบที่เปรอะร่างถูกทำความสะอาดระหว่างหลับใหลไม่รู้ตัว
คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางขยับเข้าหาร่างสูงโอบแขนรอบลำคอแกร่ง ซุกไซ้จนคนตัวโตกว่าหลุดขำ กดจูบขมับลูบหัวลูบหลังเอาใจ
“เปียกปูนอ่ะ” นึกขึ้นได้ถึงเจ้าสัตว์สี่ขาที่ไม่น่าจะอินเทศกาลเท่าไหร่
“อยู่ใต้เตียง... ไม่เป็นไรหรอก ห้องเก็บเสียง” พยักหน้ารับก่อนผละจากอ้อมกอด เปลี่ยนเป็นสบตาสีรัตติกาลอย่างออดอ้อน
“อยากออกไปดูพลุ” อ้าแขนบอกเป็นนัยว่าลุกไม่ไหว ฝ่ามือใหญ่จึงขยี้ลงมาบนผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนตามใจด้วยการสอดแขนยกร่างผมกระเตงราวอุ้มเด็ก
ท่าทางน่าตลกทำผมหลุดหัวเราะ แกล้งเกาะไหล่ร่างสูงไว้แน่น กระทั่งเขาพาออกมาที่สวนกว้าง จึงปล่อยให้ยืนพิงระเบียง เปลี่ยนเป็นรัดอ้อมแขนโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมเป็นเกราะกำบังลมหนาว
"สวยจัง" รู้ตัวว่าดวงตาคงเป็นกระกาย ฉายแววตื่นเต้นคล้ายเด็กๆ เมื่อเห็นพลุมากมายกระจายชัดอยู่ตรงหน้า
เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนดูพลุบนตึกสูงไร้สิ่งบดบังสายตา คล้ายได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีปะปนในเสียงดอกไม้ไฟ แสงสีต่างๆ สว่างวาบก่อนมอดดับกลางท้องฟ้า เล่นล้อกับแสงของดวงจันทร์ที่เปล่งประกาย
“สวัสดีปีใหม่” เอ่ยคำตามเทศกาลพลางหันไปสบตาเจ้าของสีรัตติกาลที่จับจ้องมาก่อนหน้า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มรับก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก เพียงแผ่วเบาก่อนผละออกไป ปล่อยให้ผมเพลินกับสีสันของดอกไม้ไฟที่ปะทุไม่ขาดสาย
...กระทั่งท้องฟ้าแต่งแต้มด้วยพลุชุดสุดท้าย
“พิชญ์...” ผมได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบา...
“พี่รักพิชญ์” เสียงกระซิบที่ไม่อาจกลบด้วยการปะทุใดๆ ฝังลึกลงมาในหู แผ่ความอบอุ่นไปทั้งใจ...
…
อุ่นซ่านจนไม่อาจสัมผัสถึงน้ำเสียงสั่นไหว...
อุ่นเกินกว่าจะรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำที่หยดลงมาบนไหล่...
อบอุ่นจนไม่ทันไหวตัวว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง... มันจะอันตรธานหายไป...
จำได้ไหมที่ผมเคยบอกไว้...
ความสุขจนสำลัก คือสัญญาณของครั้งสุดท้าย
เซ็กซ์ที่อ่อนหวาน... รสจูบและสัมผัสอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ... คำบอกรักซ้ำๆ ราวกับจะฝังตรึงไว้ในใจ...
ถ้ารู้... ผมคงระแคะระคาย... ว่ามันเอ่อล้นเกินไป
ถ้ารู้ก่อนอาจสังเกตได้ถึงสัญญาณ...
คงเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว...
คงสัมผัสได้ถึงความกลัวที่กัดกินในใจ...
ความลับที่เขาปกปิดไว้... อาจเป็นอดีต... อนาคต ผมไม่แน่ใจ
ถ้ารู้สึกนิด ผมจะเอ่ยทุกอย่างที่อยู่ในใจ...
ผมชอบที่ได้ตื่นมาเจอหน้าเขา... ชอบอาหารฝีมือเขา... ชอบใบหน้าที่ดูตั้งใจของเขา... ชอบเวลาที่เขาหึง... ชอบสัมผัสของเขา... เสียงของเขา...
ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขา...
จะบอกให้เขารู้ว่าตัวเองมีค่ากับผมแค่ไหน... บอกให้รู้... เผื่อว่าจะรั้งเขาไว้ได้
บอกให้รู้... เผื่อว่าสุดท้ายประวัติศาสตร์อาจจะไม่ซ้ำรอย...
เช้านั้นผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเห่าของเจ้าตัวเล็กที่วิ่งวุ่นกระวนกระวาย...
"พี่เต..." ที่นอนอีกฝั่งว่างเปล่าเหลือเพียงความยับย่นเย็นชืดของผ้าปูที่นอน คงคิดว่าเขาออกไปเตรียมอาหารเช้าให้เหมือนเคยถ้าหากโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้ไม่โชว์มิสคอลจากพี่เจดเป็นสิบๆ สาย
คงไม่คิดอะไรถ้าหากไม่เห็นว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีรูปถ่ายโพราลอยด์ที่โชว์ใบหน้าผมที่กำลังยิ้มร่าขณะวาดลวดลายบนร่างเขาถูกบรรจงวางไว้
คงไม่คิดอะไรถ้าข้างกันนั้น ไม่มีโพสต์อิทเขียนตัวหนังสือหวัดๆ ที่ผมไม่เข้าใจความหมาย
ครืดด...
และก่อนที่สมองจะประมวลผลอะไรได้โทรศัพท์ของผมก็สั่นอีกครั้ง... คราวนี้หยิบมากดรับทั้งที่สายตายังจับจ้องโพสต์อิทในมืออยู่อย่างนั้น
...มันเป็นครั้งแรกที่เขาทิ้งข้อความเอาไว้
[ พิชญ์! อยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ]
“ป๊า...” ผมเรียก ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไร
...ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรง และเหมือนว่าเรี่ยวแรงมันจะหายไป
[ พิชญ์ ตอนนี้มึงยังอยู่บ้านไอ้เตใช่ไหม เดี๋ยวกูไปหา... ]
“ป๊า... เขาอยู่ไหน” ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเสียงถึงสั่นพร่า คล้ายจะหายใจไม่ออก
[ พิชญ์... ]
“ป๊า... พี่เตอยู่ไหน” ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ น้ำตาถึงได้ไหลทั้งที่สมองยังเรียบเรียงอะไรไม่ได้
[ พิชญ์ มึงทำใจดีๆ ก่อนนะ ]
"..."
[ ไอ้เตรถคว่ำ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ]
“...” แต่วินาทีนั้น ผมกลับเข้าใจ... เข้าใจแจ่มชัดว่าข้อความที่เขาทิ้งไว้ให้ หมายความว่ายังไง
‘ขอโทษ... ขอบคุณที่กลับมา’
ข้อความสั้นๆ ที่ทำให้หวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาหายไป...
ตอนนั้นผมกล่าวโทษตัวเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันพลาดตรงไหน... ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดไป
แต่คราวนี้ผมรู้แล้ว... จุดเล็กๆ ที่เป็นสาเหตุเดียวกัน...
เป็นเหตุของทุกอย่าง... จุดเริ่มต้นของทุกเรื่องราว
จุดเล็กๆ ที่ใกล้ตัวจนเผลอมองข้าม...
มอเตอร์ไซค์...
เตรียมรับแรงกระแทก...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่เตตตตตตตตต
ไม่ได้นะ แบบนี้ไม่เอาหรอก ฮืออออออ
เต..แบ้วพิชญ์อ่ะ จะอยู่ยังไง ไม่นะ ม่ายยยยยยยย