ตอนที่ 10 : บทที่ 9
นานแล้วที่ผมไม่ได้วาดรูปเขา...
นานแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสช่วงชิงจังหวะหลับใหล ลากปลายดินสอ... บรรจงวาดสรีระสมบูรณ์แบบลงไปบนสมุดสเกตเล่มเก่า
เหมือนเมื่อก่อนที่ผมมักจะอาศัยจังหวะที่อีกคนสร้างโลกส่วนตัวทั้งที่อยู่ข้างกันลักลอบวาดรูปเขาเก็บไว้...
อืม จะเรียกว่าลักลอบก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่แบบของผมรู้ตัวว่ากำลังถูกวาด ขยับตัวงัวเงียหลุดโพสต์เดิมที่ผมจนงานของผมหยุดชะงัก โชคดีที่องค์ประกอบโดยรวมเสร็จเรียบร้อย เหลือเพียงรอยตำหนิที่เห็นเพียงครั้งก็สามารถจดจำ ลากดินสอพาดผ่านเรือนร่างได้อย่างแม่นยำ
คิดอยู่ว่าจากนี้คงลักลอบเติมลวดลายให้มัน... แต่ยังไม่มีภาพในหัวว่าควรทำลายให้ปริแตก หรือผสานรอยแยกด้วยลวดลายใด
“อืม...” ผมหยุดความคิดตัวเองไว้ ละสายตาจากกระดาษที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองอ่อนเงยหน้ามองคนขี้เซาที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่า... หมดเวลาแห่งการแทะโลมโดยสายตา
“ไหนว่าช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับไง” ยอกย้อนคำที่เขาเคยเอ่ยไว้ แต่กลับขัดแย้งตัวเอง เมื่อพาร่างกำยำลงถึงโซฟาตัวใหญ่ก็ดันเข้าสู่ห้วงหลับใหลในเวลาไม่ถึงนาที
“กลิ่นมึง...” คล้ายจะมีคำตอบเล็ดลอดออกมา แต่เจ้าของเสียงงัวเงียกลับชะงัก ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วท่าทางงุ่นง่านก่อนลืมตา
“หืม?” ผมส่งเสียงประหลาดใจ แอบซุกจมูกลงคอเสื้อสำรวจกลิ่นกายตัวเอง แต่ไม่พบความผิดปกติใดนอกจากกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ประจำ... ไม่ได้เหม็นหรือหอมเป็นพิเศษ แค่กลิ่นทั่วๆ ไป
“หึ” แต่พอผมทำแบบนั้นอีกคนกลับยิ้มขำ ก่อนพลิกตัวตะแคง ซบใบหน้าครึ่งหนึ่งลงกับหมอนที่ผมสละให้เขาหนุนนอนทั้งคืน ใบหน้ายู่ยี่ชวนเอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมนุ่มอย่างเผลอตัว
เหมือนในวันวานที่เขานอนหลับบนตักผม และมีท่าทางสบายใจเมื่อผมลูบหัวเขาเบาๆ
"อืม..." ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเหมือนกันหรือเพราะอะไร เจ้าตัวถึงไม่ปัดมือผมออก แต่กลับหลับตาทำท่าเคลิบเคลิ้มพลางเอ่ยพึมพำ “กี่โมงแล้ว”
“แปด” ตอบขณะยังจ้องใบหน้างุ่นง่านไม่วางตา ในใจกำลังคิดว่าใบหน้างัวเงียยามต้องแดดเช้าของเขาตอนนี้มันน่ารักชะมัด
“หิว”
“...” เวลาทำน้ำเสียงกึ่งอ้อนแบบนี้ก็เหมือนกัน
แต่ออกจะเป็นการอ้อนที่จริงจังไปสักหน่อยเมื่อดวงตาคู่นั้นกำลังจดจ้องเข้ามาในดวงตา
ความลึกลับสีรัตติกาลยังคงทำงานแม้จะเป็นเวลากลางวัน ซ้ำแสงอาทิตย์ยังทำให้มันเปล่งประกายคล้ายจะแผดเผาต่างจากแสงจันทร์นวล
“ผมก็หิวเหมือนกัน” เผลอกระซิบตอบไป... แน่นอนว่าคนละความหมาย
คนอะไรน่ากินกระทั่งตอนตื่นนอน
แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกล ผมก็ลากสติตัวเองกลับมาได้ทัน ผละจากอาหารโอชะตรงหน้าลุกขึ้นไปหาอาหารจริงๆ ที่ครัว
“พี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้เดี๋ยวผมทำข้าวเช้าให้กิน” เอ่ยบอกคนที่บิดขี้เกียจตามมา ร่างสูงกว่าเดินไปหยิบขวดน้ำที่ไม่ได้แช่เย็นเปิดดื่มดับกระหาย
"..." เสียงกลืนเป็นจังหวะเรียกให้ผมเหลือบสายตาไปมองคนข้างกาย แล้วก็ต้องชะงักเมื่อองศาการเงยหน้าที่พอดิบพอดีกับลูกกระเดือกนูนสวยที่กำลังขยับนั่นชวนให้ลอบกลืนน้ำลายตาม
แล้วให้ตาย... ไม่รู้ว่าไม่รู้ตัวหรือจงใจ ริมฝีปากบางถึงได้ปล่อยให้น้ำหยดหนึ่งเล็ดลอดออกมา ทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงจากปลายคางไล่ตามลำคอ...กลิ้งผ่านไหปลาร้า ลงมาถึงแผงอกเปลือย...
“ดูมึงจะหิวมาก” เผลอใช้สายตาแทะโลมจนกระทั่งเจ้าของร่างกำยำเอ่ยกลั้วหัวเราะ นิ้วแข็งๆ ดีดลงมาบนหน้าผากผมจนดังเปาะ
“อืม ก็จริง” ผมยักไหล่ไม่ยี่หระ ยิ้มตอบสู้สายตาที่กำลังเป็นประกายขบขัน
“...”
"..." เกมจ้องตายามเช้าเร้าใจพอจะทำให้อวัยวะในอกเต้นตุบอย่างไม่อาจห้าม
“มีมาม่ากับโจ๊ก” แล้วผมก็เฉไฉอีกครั้ง... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยกอาหารสำเร็จรูปที่กำลังจะเป็นมื้อเช้าของเราขึ้นมา แต่แทนที่จะเลือกสักอย่างคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากัน เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปเปิดตู้เย็น
“มีข้าวมั้ย” หยิบไข่ออกมาสองฟองก่อนจะเอ่ยถาม
“มีแต่แบบสำเร็จรูปอ่ะ” ผมว่าพลางเดินไปค้นในตู้เย็นให้ แต่พอจะยื่นให้เขากลับเห็นเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเหมือนจะบ่นว่าวันๆ กินแต่อาหารสำเร็จรูปหรือไง
“ผมชายโสดนี่ครับ” ผมเลยยักไหล่แก้ตัว ก่อนจะอาสาเอาข้าวไปโยนใส่ไมโครเวฟ ลอบหัวเราะกับเสียงถอนหายใจเหนื่อยหน่ายของอีกคนที่หยิบไข่ออกมาตอกใส่ชามก่อนที่แขนกำยำจะตีไข่เป็นจังหวะน่าฟัง
สารภาพว่าการที่ได้เห็นเขายืนทำอาหารในสภาพที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่าแบบนี้ยิ่งทำผมใจสั่น ถือเป็นโชคดีแล้วกันที่ผมหาเสื้อให้เขาใส่แทนตัวเก่าที่เลอะดินเลอะน้ำค้างจนต้องซักไม่ได้ นึกแล้วก็ขำตอนที่ร่างสูงพยายามจะยัดตัวเองเข้าไปในเสื้อของผม แต่กล้ามเนื้อกำยำกลับถูกรัดตึงอยู่ในเสื้อยืดที่เล็กกว่าเขาหนึ่งไซส์จนดูตลก ใบหน้าคมงุ่นง่านสุดๆ ตอนที่บ่นว่าผมผอมเกินไป ควรกินให้เยอะกว่านี้แล้วออกกำลังกาย
มันทำให้ผมนึกได้ว่านานๆ ทีเขาก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน มุมน่ารักๆ ใส่ใจ
“พรุ่งนี้พี่เจดเลี้ยงสาย” ผมเกริ่นขึ้นมาพลางแบ่งข้าวสวยที่เวฟเสร็จแล้วลงจานสองใบ
“กูไม่ไป” คนที่กำลังง่วนกับการเจียวไข่ในกระทะตอบทันควัน กลิ่นหอมหวนชวนให้หิวไปกันใหญ่
“ผมไม่ได้ชวน” ผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ พิงสะโพกตรงเคาน์เตอร์ข้างเขาแลบลิ้นเลียเม็ดข้าวที่ติดช้อนพลางจ้องหน้าเขาอย่างยียวน “เพราะถึงพี่ไม่อยาก สุดท้ายผมก็ทำให้พี่ไปจนได้”
คุณพ่อครัวเลิกคิ้วก่อนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขาปิดเตาก่อนจะตักไข่เจียวที่สุกกำลังพอดีลงจานใบใหญ่
“งั้นมึงคงต้องเลือก” ตอนแรกผมคิดว่ายังไงตัวเองก็ชนะ แต่ดันลืมไปว่าประมาทเขาไม่ได้ “กูยังติดค้างมึงเรื่องมอเตอร์ไซค์”
“...” พอผมทำท่าจะเอาแต่ใจเกินไป อีกฝ่ายถึงได้ดัดหลังผมด้วยข้อต่อรองที่ทำให้ต้องชั่งใจ
“จะไปเลี้ยงสาย หรือหัดขับมอเตอร์ไซค์”
“...” อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องเล่นตามเกมเขา ยังไงก็มีคราวหน้า แต่รอยยิ้มร้ายๆ บ่งบอกว่าเขาจะไม่ให้โอกาสผมอีกถ้าหากปฏิเสธมัน
“พี่แม่ง...”
โอเค คราวนี้ผมยอมก็ได้
พอเห็นผมทำหน้างุ่นง่าน ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มพอใจ มือหนาเอื้อมมาขยี้ผมไวๆ คล้ายหมั่นไส้ ก่อนจะทิ้งให้ผมจัดโต๊ะอาหารส่วนตัวเองไปดูเสื้อที่ตากไว้ที่ระเบียง
โชคร้ายที่มันแห้งพอดี ความคิดที่จะได้ลอบมองกล้ามเนื้อสวยระหว่างกินข้าวจึงเป็นอันต้องพับไป แต่ทดแทนได้ด้วยไข่เจียวฝีมือเขา ไข่เจียวธรรมดาๆ แต่กลับไม่ธรรมดาเมื่อมีอีกคนนั่งอยู่ตรงหน้ากำลังตักข้าวคำโตและบรรจงเป่าก่อนเอาเข้าปาก...
น่ารัก
“เหมือนเห็นภาพอนาคตลางๆ” ผมเท้าคางมองท่าทางที่ไม่เคยเห็นของอีกคนพลางเอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้
“เพ้อเจ้ออะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วใส่ น้ำเสียงเหมือนไม่เข้าใจยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างยิ่งกว่าเก่า
“สักวันพี่คงได้ตื่นมาทำอาหารให้ผมกินทุกเช้า” ...เหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามัน
อืม คำนี้เข้าท่าดี
“หึ” แต่แทนที่จะปฏิเสธคำหยอดเขากลับยกยิ้มขบขัน “รุกหนักจริงนะ” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาเล่นเกมจ้องตากับผมอีกครั้ง
“แต่แค่นี้ไม่ทำให้กูเปลี่ยนใจง่ายๆ” น้ำเสียงท้าทายถูกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจที่ผมหลงใหล
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา ส่งรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้ว่าผมก็ไม่ใช่คนที่จะยอมถอยง่ายๆ
“พี่ก็รู้... เรื่องดันทุรังผมไม่เคยแพ้ใคร”
เขาเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ว่าการปฏิเสธพี่เจดไม่ใช่เรื่องง่าย
ไอ้พี่เคราแทบจะยกโมเดลทุ่มหัวผมตอนที่บอกว่าวันนี้ไม่ว่าง จะเลื่อนนัดก็สายไปเพราะยังมีคู่สายอีกรหัสที่เคลียร์คิวเตรียมกินกันเต็มที่ตั้งแต่รู้กำหนดการ สุดท้ายผมเลยต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่แกนั่งเหงาด้วยการถูกจองตัวในวันถัดไป
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เว้นซะแต่มีเงื่อนไขว่าต้องลากตัวน้องปีหนึ่งแสนเอาแต่ใจไปด้วยให้ได้
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เจดถึงได้ยึดติดกับเขานัก เพราะปกติเด็กซิ่วหรือพวกไม่รับน้องก็จะถูกรุ่นพี่ปล่อยปละตามยถากรรม ไม่ถือเป็นการแบ่งฝักฝ่ายเสียทีเดียวหรอก... มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรม เพราะการที่พวกเขาไม่มาร่วมกิจกรรม ก็เหมือนเป็นการเลือกสังคมที่ไม่ใช่พวกเราตั้งแต่แรกแล้วนั่นแหละ
แต่กับเตวิชญ์คงเป็นข้อยกเว้น... เพราะถึงจะถูกเขาปฏิเสธ ทำเมินใส่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งพี่รหัสปีสามของเราก็ยังเยินยอเขาเข้าขั้นคลั่งไคล้
เห็นไหม... ใครๆ ก็โดนมนต์ดำของเตวิชญ์ทั้งนั้น
เพราะงั้นผมถึงต้องมานั่งลำบากใจ เมื่อโดนมอบหมายให้ลากตัวเขาไปร่วมรับผิดชอบด้วยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบจะออกมาอีหร็อบไหน
“อย่าเหม่อ” เสียงทุ้มตามด้วยเสียงเคาะลงมาบนหมวกกันน็อคเรียกสติผมกลับมาอีกครั้ง นึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่บนยานพาหนะแสนอันตราย
“เอานี่ไปใส่” แจ็กเกตตัวโคร่งถูกโยนมาให้ เพราะเห็นว่าเสื้อยืดบางๆ ตัวเดียวคงไม่อาจปกป้องผมได้ ผมรับมาใส่อย่างเต็มใจเพราะไม่อยากเสี่ยงผิวเปิดเพราะวัดถนนเช่นกัน
แต่พอจะสตาร์ทรถกลับต้องชะงัก เมื่อร่างสูงที่ควรจะยืนกอดอกรอซ้ำเติมผมเหมือนครั้งก่อนกลับวาดขาขึ้นมาซ้อนหลังกัน
“เฮ้ย พี่ไม่ต้อง...”
“ปล่อยมึงขับคนเดียวเดี๋ยวก็ลงพุ่มไม้อีก” เขาขัดทันควัน ก่อนจะพยักหน้าให้ผมสตาร์ทรถสักที
“งั้นพี่เอาเสื้อคืนไป” ผมว่า ทำท่าจะถอดแจ็กเกตคืนให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าหงุดหงิด เคาะนิ้วลงมาบนหมวกกันน็อกอีกครั้ง
“อย่าล้มก็พอ” เหมือนจะแสดงความห่วงใย แต่แท้จริงมันคือคำขู่ให้ผมแบกรับความกดดันไว้
ถ้าล้ม คนที่เจ็บมากกว่าก็คือเขา และผมไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้น
“พี่เคยล้มไหม” ความรับผิดชอบที่กำลังแบกรับทำให้ผมตัดสินใจเอ่ยถาม อาจเพราะต้องการความสบายใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเสี่ยงตาย
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะตัดรำคาญด้วยการถือวิสาสะสตาร์ทรถให้ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแต่ไม่เพียงพอจะกลบเสียงคำตอบที่ดังอยู่ข้างใบหู
“เคยสิ”
ได้ยินแบบนั้นแทนที่จะคลายความกดดัน ผมกลับรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งกว่า มโนภาพอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมา... สันนิษฐานถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายของเขาปริแตก... สลักร่องรอยการแยกส่วนไว้บนสรีระสมบูรณ์แบบตลอดกาล
“เพราะมอเตอร์ไซค์เหรอ” ในที่สุดผมก็ได้จังหวะเอ่ยถาม เมื่อเสร็จสิ้นแบบฝึกหัด ผมพาเราสองคนรอดชีวิตมาจนถึงจุดหมายได้
สวนสาธารณะกลางมหาวิทยาลัยดูมีชีวิตชีวากว่าคราวก่อนที่ลักลอบมา
แต่แสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทำให้คนเริ่มบางตา โดยเฉพาะส่วนท้ายบึงที่เรากำลังนั่งอยู่ มีเพียงคนวิ่งผ่านประปราย และอีกไม่นานก็คงเงียบเหงาด้วยไร้แสงที่เพียงพอให้รับประกันว่าจะไม่มีอันตราย
“อะไร” น้ำเปล่าเย็นๆ ถูกยื่นมาหลังจากที่อีกฝ่ายหยิบมันไปเปิดฝาให้
“แผลเป็น” ผมตอบสั้นๆ ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย สายตาลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เห็นเขาเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนที่มุมปากบางจะยกยิ้ม... ก้ำกึ่งระหว่างความขบขันและเย้ยหยัน
คงเพราะรู้ว่าไม่อาจปกปิดอีกต่อไป
“เก่งนี่” ดวงตาสีรัตติกาลกลับมาประสานขณะเอื้อมมือมารับน้ำที่ผมยื่นคืนให้ คำเฉลยไม่ได้ทำให้ผมโล่งใจ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัย
“แต่พี่ก็ยังขับมัน” ในใจนึกคาดโทษเจ้ายานพาหนะที่เคยได้ยินคำนิยามว่าเนื้อหุ้มเหล็กแสนอันตราย
ถึงหมวกกันน็อกจะช่วยให้เขารอดตายจากหัวกระแทก แต่เห็นชัดว่ามันไม่อาจปกป้องส่วนอื่นใด
“มึงก็เคยจมน้ำ” แต่สีหน้าเชิงตำหนิของผมไม่ได้ทำให้เขาทบทวนข้อเสียนั้นใหม่ กลับหยิบยกเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นมายอกย้อนเหมือนจะเตือนว่าเราไม่ต่างกัน “แต่มึงก็ไม่ได้กลัวน้ำถูกมั้ย”
ถ้าผมเป็นเขาก็คงเลือกทำแบบนี้เหมือนกัน... การผิดพลาดหนึ่งครั้งเพียงสอนเราว่าต้องระวังในคราวต่อไป
มันคือนัยของการเอาชนะบางสิ่งที่ผมยึดถือมาแต่ไหนแต่ไร
ผมหัวเราะ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมีชุดความคิดคล้ายกัน
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เอ่ยถามเพื่อเชื่อมโยงคำถามต่อไป...
มันเกี่ยวกับเวลาสองปีที่พี่หายไปหรือเปล่า... เพราะแบบนั้นถึงไม่มีเวลาบอกลากันใช่ไหม
แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสายตาที่บ่งบอกว่าผมถามมากเกินไป ฝ่ามือหนาเอื้อมมาวางบนหัวผมแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืน
“ไปเถอะ”
การตัดบทสนทนาดื้อๆ ทำให้ผมต้องเก็บกลืนคำถามที่เหลือไว้ในใจอีกครั้ง ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินตามฝีเท้ายาวๆ ก่อนอาศัยจังหวะที่ร่างสูงกำลังจะถึงมอเตอร์ไซค์แย่งกุญแจในมือเขามา
“ผมขับเอง” เหมือนคนกำลังร้อนวิชา พอขับมาถึงตรงนี้ได้ผมก็อยากผ่านด่านที่มันท้าทายกว่า...
"..." อีกฝ่ายมองผมนิ่ง สีหน้าเหมือนชั่งใจ เหตุเพราะหนทางกลับมันไม่ง่าย... ทางชันสูงที่เป็นอุปสรรคตอนขามา คงน่าระทึกยิ่งกว่าตอนขาลง เขารู้ดีว่าผมยังไม่แข็งพอจะควบคุมทั้งความเร็วและทิศทางให้มั่นคง ถ้าโชคร้ายก็คงล้ม...
แต่อย่าดูถูกคนอย่างผมเชียว
“ท้าหรือจริง” สุดท้ายก็เลือกจะทำลายความลังเลของเขาด้วยการเอ่ยคำถาม คนตรงหน้าเพียงยิ้มหน่ายๆ กับความดื้อรั้น ก่อนจะตอบรับความเสี่ยงด้วยการหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมให้กัน ยอมให้ผมกำชีวิตเขาไว้ในมือ...
ผมรู้ดีว่าจะรักษามันไว้ได้... เหมือนที่เคยรักษาสัญญาที่เขาคงหลงลืมไป
“พร้อมมั้ย...” ยิ่งใกล้ผมก็ยิ่งใจเต้นจนต้องเอ่ยถามอีกคนเพื่อความอุ่นใจ
ถ้าเขาตอบว่าไม่ผมอาจยอมสละคันบังคับให้เขาเป็นคนขับก็ได้
"หึ" แต่คนที่ควรจะหวั่นใจยิ่งกว่ากลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโอบแขนข้างหนึ่งไว้รอบเอวผมหลวมๆ ...ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เตรียมพร้อมจะป้องกันผมจากอันตราย
“มึงทำได้” ไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่าเพียงคำสั้นๆ ของเขากำลังทำให้ผมอุ่นใจ แต่คงปฏิเสธรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินไม่ได้
สุดท้ายผมก็ปลดระวางความหวาดหวั่นตัดสินใจบิดคันเร่งมุ่งตรงไป เร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเพื่อความเร้าใจ แต่ไม่เร็วเกินไปจนตัวเองควบคุมไม่ได้ สายตาเห็นความลึกที่ใจประมาณเป็นปากเหวในระยะที่ถ้าคิดจะกลับตัวตอนนี้ก็ไม่ทัน...
และในที่สุดผมก็พาเราทั้งคู่ดำดิ่งลงไป
ความวูบไหวในช่องท้องเกิดขึ้นเพียงแวบหนึ่งแล้วหายไป ผมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะปล่อยให้รถทะยานไปตามทางลาดชันที่ทอดยาว เสียงหัวเราะต่อเนื่องคลอเคล้ากับเสียงลมหวีดหวิวที่ปะทะเข้ามา...
“หึ...” แต่เสียงหัวเราะเพียงครั้งจากอีกคนกลับเพราะยิ่งกว่า
“ขอบคุณที่กลับมา” ความวูบไหวชวนใจเต้นรัวไม่ต่างจากตอนที่พาตัวเองพ้นส่วนที่ชันที่สุดเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่ยากจะเข้าใจ
“...” แต่ผมเลือกปล่อยความสงสัยไปกับสายลมฤดูหนาวชวนให้เย็นเยียบไปทั้งร่าง
ส่วนที่อบอุ่นคงมีเพียงเอวที่ถูกโอบรัด และลำคอ... ที่ถูกคนฉวยโอกาสฝากรอยจุมพิตแผ่วเบา...
ตึก ตึก ตึก
ผมได้ยินเสียงฝีเท้ารัวเร็วของตัวเองดังก้องทั้งที่อยู่ในที่โล่งกว้าง ไล่ตามกลิ่นบุหรี่ยี่ห้อเดิมโชยชัดในทุกฝีก้าว กระทั่งเห็นเจ้าของแผ่นหลังในชุดนักเรียนคุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้า...
หมับ!
และผมก็ไม่อาจยั้งใจไม่เอื้อมมือไปกอดพี่ไว้ได้
เสียงหัวใจเต้นรัว... ขอบตาร้อนผ่าวบ่งบอกว่าตลอดมาผมหวาดกลัวและทรมานมากแค่ไหน
หลังจากหายไปเกือบสามอาทิตย์ในที่สุดพี่ก็กลับมา
ด้วยสถานะที่ไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักในสายตาคนทั่วไปทำให้ผมไม่อาจเปิดปากถามข่าวคราวของพี่กับใคร ต้องอดกลั้นกับเสียงลือต่างๆ นานาที่ไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ เฝ้ารอ... เพื่อจะพบอีกครั้ง รอให้พี่เฉลยความจริงให้ผมฟัง
‘พี่หายไปไหนมา’
‘…’ แต่หลังจากเอ่ยคำถามรอบตัวกลับเงียบงัน
พี่ปล่อยให้ผมกอดแว้แน่นอย่างนั้น พร้อมค่อยๆ ละเลียดควัน กลิ่นนิโคตินที่ยังคละคลุ้งในอากาศราวหมอกพิษ ชวนอึดอัดจนไม่อยากหายใจ
‘พิชญ์…’ นานทีเดียวกว่าพี่จะทำลายความเงียบขึ้นมา
ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับย้อนถามในสิ่งที่ผมไม่รู้ความหมาย
‘มึงจะอยู่กับกูไหม’
‘…’ ไม่รู้กระทั่งว่าจุดประสงค์ของคำถามนั้นคืออะไร
‘อยู่ตลอดไป…’ แต่น้ำเสียงที่พี่ใช้มันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา
เจ็บปวด... ทั้งที่ไม่เข้าใจ
‘อืม อยู่สิ’ แน่นอนว่าคำตอบช่างแสนง่ายดาย ผมรัดอ้อมกอดแน่นขึ้นยืนยันว่าจะไม่ไปไหน
...เพราะตอนนั้นผมโง่เกินกว่าจะรู้ว่าตลอดไปไม่มีจริง
และคำถามของพี่คือหลุมพราง...
สุดท้ายคนที่ขอให้ผมเอ่ยคำมั่น กลับกลายเป็นคนทำลายสัญญานั้นเสียเอง
ระยะทางหมื่นไมล์เป็นเพียงภาพลวงตาเมื่อคุณพบว่าตัวเองยังก้าวเท้าออกมาไม่พ้นหน้าบ้าน...
มันไม่ใช่คำถาม... แต่ผมกำลังตอกย้ำให้รู้ว่าเกมนี้มันอันตราย
ดังนั้น อย่าไว้ใจความหวัง...
“มาช้านะไอ้พิชญ์” เสียงตะโกนทักของพี่เจดแหวกเสียงเพลงชวนปวดหัวขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม
“เพิ่งตรวจแบบเสร็จอ่ะ” บอกเหตุผลพร้อมแทรกตัวนั่งลงกลางโซฟาตัวใหญ่ ตำแหน่งเดียวที่เหมาะเจาะพอจะจับตามองเขาได้...
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่นั่งอยู่บนโซฟาแบบเดียวกัน แต่ห่างออกไปในระยะหลายช่วงโต๊ะซึ่งกำลังมองมาที่ผมเช่นกัน กลางวงล้อมของคนที่ผมไม่รู้จัก และใครอีกคนที่ผมไม่รู้จักกำลังแนบชิดร่างสูงในระยะที่เรียกว่าแทบจะเกยอยู่บนตัก
คำถามข้อหนึ่งคือทำไมเขาถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ง่ายๆ และข้อสอง... คนพวกนั้นเป็นใคร
“เด็กบริหาร” คำเฉลยสั้นๆ ถูกเอ่ยจากพี่รหัสที่รู้ว่าสายตาผมหยุดอยู่ตรงไหน
“กว่าจะลากคอมาได้กูแทบไหว้ เสือกถูกเด็กคณะอื่นหิ้วไปตั้งแต่นาทีแรกอีก ฮอตชิบหาย” พี่เจดพูดติดตลกพลางยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วมาให้
“อย่าอิจฉาดิ” ผมแกล้งแซวขำๆ พลางรับเครื่องดื่มมาจิบกลบเกลื่อนสายตาที่ถูกดึงดูดไว้ด้วยสีรัตติกาล
จากระยะนี้ไกลเกินกว่าจะได้ยินว่าพวกเขากำลังกระซิบกระซาบอะไรกัน แต่ก็ใกล้พอที่ผมจะเห็นดวงตาเรียวคมคู่นั้นได้ชัด... รอยยิ้มมุมปากร้ายกาจก็เช่นกัน
เขาจงใจ...
จำได้ไหม... เตวิชญ์คือผู้ทำลาย... ความหวังที่ผมเพิ่งคว้าได้ถูกเจ้าของริบคืนเพื่อเหยียบย่ำ ทดสอบว่าผมจะทนความผิดหวังซ้ำๆ ได้นานแค่ไหน
นั่นสิ... ผมจะทนได้แค่ไหนกัน
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่าไอ้เตเป็นไบ คราวก่อนมันคบกับผู้หญิงในรุ่นมึงไม่ใช่?” เสียงที่ไม่คุ้นหูเรียกให้ผมหันมามองข้างตัว ก่อนจะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางคนที่เกือบจะแปลกหน้าเหมือนกัน
ทั้งโต๊ะมีเพียงพี่เจดที่ผมสนิท นอกนั้นเป็นเพื่อนต่างคณะของพี่แกที่ผมเคยเจอไม่กี่ครั้ง
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เขารู้จักเตวิชญ์ แถมยังรู้ถึงขั้นว่าเจ้าตัวเคยคบใคร และมันชวนประหลาดใจแค่ไหนที่ตอนนี้เขากำลังคั่วอยู่กับเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งไม่ได้มีส่วนคล้ายกับคนที่แล้วแม้แต่นิดเดียว
“ก็ไม่แปลกนี่หว่า” พี่เจดเป็นคนตอบขณะหยิบแก้วของผมไปรินเหล้าให้แทนของเดิมที่ไม่รู้หมดไปตอนไหน ผมหันไปเลิกคิ้วมองพี่รหัส รอฟังคำอธิบายที่ทำให้เขาคิดแบบนั้น
“มันก็มีนี่ พวกที่ไม่ได้สนใจว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่รักอะไรทำนองนั้น” หลุดหัวเราะกับเหตุผลที่ฟังดูคล้ายนิยายน้ำเน่า แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้
ขอแค่รัก... ก็คงใช่
ผมชนแก้วกับพี่เจดก่อนจะเลิกสนใจบทสทนา หันกลับมาจิบเหล้าและเล่นเกมจ้องตากับคนที่นั่งอยู่คนละโต๊ะอีกครั้ง
"..."
แต่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะเมื่อเบือนสายตากลับมาอีกครั้งภาพที่คิดไว้กลับบิดเบือน... กลายเป็นภาพที่เขาหันไปประกบปากกับคนข้างกาย
ให้ตาย... เล่นแรงจริงนะ
“แล้วอย่างไอ้เต เซ็กซ์แอพพีลสูงจะตายห่า มีทั้งผู้หญิงผู้ชายจ้องจะกินขนาดนั้น เป็นกูก็ไม่ปิดกั้นเหมือนกันอ่ะ” คำพูดติดตลกของพี่เจดที่เข้าหูมาไม่ได้ทำให้ผมขำอีกต่อไป
“ไอ้สัด แหยงอ่ะ ต่อให้เลือกได้แค่ไหนแต่กับผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่ไหวป่ะวะ” ยิ่งคำพูดของคู่สนทนายิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดปะทุขึ้นมาจนยากจะควบคุม
“หึ” ผมหลุดยิ้มหยัน วางแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะพลางหันมองคนปากพล่อยข้างตัว...
“เฮ้ย!” ขัดจังหวะการดื่มของอีกฝ่ายด้วยการดึงแก้วเหล้าในมือเขามากระดกรวดเดียวอย่างถือวิสาสะ แสยะยิ้มให้ใบหน้าเหรอหราก่อนจะยกสะโพกขึ้นจากตำแหน่งตัวเอง...
พรึ่บ!
พลิกตัวกลับไปคร่อมตักของคนตัวโตกว่าแต่ไม่ได้นั่งลงไป เท้ามือข้างหนึ่งไว้กับโซฟาเพื่อพยุงไม่ให้ร่างกายสัมผัสกัน
โน้มหน้าเข้าหาช้าๆ... หยุดเพียงให้จิลที่จมูกแตะลงกับปลายจมูกของอีกคนที่หยุดหายใจไปชั่วขณะ
“นะ... น้องพิชญ์...” เรียกเสียงอึกอักหลังจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมยิ้มตอบก่อนไล่สายตาสำรวจใบหน้าที่เอาเข้าจริงก็จัดว่าหล่อเหลาใช้ได้
การไม่ถูกผลักออกหรือโดนชกหน้าในทันทีทำให้ผมยิ่งได้ใจ คลี่ยิ้มบางพลางมองริมฝีปากที่เผยอออกอย่างอ้ำอึ้งไล่ขึ้นมาถึงดวงตาอีกครั้ง
“สีดำ...” จ้องนิ่งนาน จงใจให้การขยับริมฝีปากที่เกือบจะเฉียดกันทำอีกคนนิ่งงัน สายตาหวาดหวั่นระคนสับสนว่าผมต้องการอะไร
ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน... ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
“ตาพี่...”
อ่านออกง่ายดายเมื่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิททว่าขลาดเขลา ไร้เสน่ห์ลึกลับต่างจากดวงตาสีดำอีกคู่ที่ผมรู้จัก...
“สวยดีนะครับ” เสียงกลืนน้ำลายอีกครั้งทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะผละออกห่างทิ้งตัวกลับมานั่งที่เดิมพลางเอื้อมมือไปดึงแก้วเหล้าจากพี่เจดที่นิ่งค้างมองการกระทำแสนอุกอาจของผมอย่างตกใจ
“เป็นไงล่ะมึง เจอฤทธิ์น้องรหัสกูเข้าไป ยังแหยงผู้ชายอยู่ไหม” กว่าบทสนทนาจะเริ่มใหม่ก็ตอนที่ผมดื่มหมดแก้วอีกครั้ง ปล่อยให้สายตาตัวเองกลับไปจับจ้องยังตำแหน่งเดิมแต่ก็ต้องชะงักไป
เขาไม่อยู่ตรงนั้น... และการที่อีกคนหายไปพร้อมกันก็เป็นคำตอบง่ายดายว่าเขาหายไปไหน
“เฮ้ย ไปไหน” พี่เจดร้องทักทันทีที่ผมลุกขึ้นทั้งที่เพิ่งมาได้ไม่นาน
“เดี๋ยวผมจ่ายเอง” รับผิดชอบการเสียมารยาทด้วยการหยิบใบเสร็จไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์โดยไม่คิดอธิบาย พี่เจดเองก็คงเห็นว่าผมอารมณ์ไม่ค่อยดีถึงได้ปล่อยกลับโดยไม่คัดค้านอะไร เพียงหันไปตำหนิเพื่อนคนเดิมที่ทำงานกร่อยโดยไม่รู้ว่าความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นไม่เกี่ยวอะไร
...ผมแค่เล่นเกมค้างไว้ก็เท่านั้น
แกรก~
เสียงปลดล็อกดังขึ้นทันทีที่คีย์การ์ดสำรองแตะเข้าเครื่องแสกน ผมผลักประตูเข้าไป แสงไฟห้องรับแขกที่สว่างจ้าบ่งบอกว่ามาถูกที่อย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอน... มันคือห้องของเขา ห้องชุดหรูหราที่ผมเคยมาเหยียบเพียงครั้ง... และตอนนี้ก็กำลังถือวิสาสะมาเยือนโดยไม่อนุญาต
ผมไม่ใช่ขโมย และคีย์การ์ดนี่ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ... มันคือบทลงโทษจากความพ่ายแพ้ของเขาที่เลือกจะกระโดดน้ำลงไปช่วยผมไว้... ง่ายดาย แค่อนุญาตให้ผมรุกล้ำเข้ามาได้ตามใจ
...ไม่คิดว่าจะได้ใช้สิทธิ์เร็วขนาดนี้เหมือนกัน
“อ๊ะ...” เสียงร้องแปร่งประหลาดที่เล็ดลอดมาทำให้ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อจับทิศทางได้... อันที่จริงก็เดาได้ตั้งแต่เห็นว่าประตูห้องนอนแขกบนชั้นลอยเปิดแง้มไว้...
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไป แสงที่สาดจากห้องรับแขกสว่างพอจะทำให้เห็นกิจกรรมซึ่งไม่ผิดจากที่คาดเท่าไหร่...
ร่างเกือบเปลือยสองร่างที่กำลังเกี่ยวกระหวัดบนเตียงขนาดคิงไซส์ เสียงครางไม่เป็นภาษาจากฝ่ายที่นั่งคร่อมอยู่บนตัก ถูกเล้าโลมจากอีกฝ่ายที่กำลังวุ่นวายอยู่แถวหน้าอกเปลือยเปล่าที่กำลังแอ่นรับ เล็บทั้งห้าจิกลงแผ่นหลังกว้างระบายอารมณ์สวาท
ทำนองรักแสนเร่าร้อนกำลังจะถูกขับขาน... หากไม่ถูกขัดจังหวะ
“พะ...พี่เต” เสียงครางเปลี่ยนเป็นอุทานเมื่อผมผลักประตูเข้าไป
เสียงฝีเท้าและเงาร่างที่ทอดลงบนเตียงคงเพียงพอจะทำให้คนที่กำลังหันหลังให้ล่วงรู้การมาถึงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“...” เจ้าของชื่อไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ไม่แม้แต่จะหันกลับมาดูว่าผู้มาเยือนเป็นใคร...
คงเพราะมันไม่ยากเกินจะเดาได้
“...” ความเงียบชวนกระอักกระอ่วนดังคับห้องเมื่อกามกิจถูกระงับทั้งที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เจ้าของร่างเล็กกว่าได้แต่มองหน้าผมสลับกับอีกคนเลิ่กลั่กอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ยิ่งเมื่อผมก้าวเท้าเข้าไปจนถึงตัว สายตาของเด็กคนนั้นก็ยิ่งกลายเป็นความสับสนเจือหวาดหวั่น
ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมไม่ได้จะทำอะไร
เป้าหมายของผมไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาที่ริอ่านจะแตะของร้อนอันตราย
คนที่ผมมีธุระด้วยคือเขา... เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังส่งคำถามว่าผมคิดจะทำอะไร ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนยกมือข้างที่ไม่ได้ล้วงกระเป๋าขึ้นแตะบ่าหนาที่เปลือยเปล่าพลางโน้มตัวลงไป
...แกล้งลงโทษคนใจร้ายด้วยการกัดใบหูหนึ่งครั้ง... แล้วเอ่ยกระซิบคำถามแผ่วเบา
“ท้าหรือจริง...”
...
ขยับปีกอีกครั้ง... ผมจำเป็นต้องบอกให้เขารู้ไว้... ว่าผมจะไม่เล่นบทของตายอีกต่อไป
Hunt you down eat you alive
Just like animals...
- Animals -
(Maroon 5)
แด่ความแซ่บของน้องพิชญ์ค่ะ 5555
ฝาก #เกมท้ารัก เช่นเคยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอไม่ไหวเเล้วก็พอหยูดเถอะ
แซ่บมากก ฮอตเว่ออ