ตอนที่ 3 : บาดแผลจากรอยจำ - 2
บทที่ ๑
บาดแผลจากรอยจำ
“บาดแผลขนาดใหญ่อยู่ตรงหางคิ้วข้างขวาพอดี ต้องเย็บถึงยี่สิบสี่เข็มพระเจ้าค่ะ และการระบมของบาดแผลอาจจะทำให้ไซยเอ็ดมีไข้สูงในคืนนี้ กระหม่อมได้ให้ยาแก้อักเสบ ยาลดไข้และได้แนะนำวิธีดูแลบาดแผลแก่ท่านอาเหม็ดไปแล้ว” ท่านราฟีหมอหลวงกราบทูลรายงานอาการบาดเจ็บของราชองครักษ์รุ่นเยาว์แก่องค์เอเมียร์
ไลลาบุตรสาวตัวน้อยของท่านหมอ แอบมองค้อนองค์หญิงน้อยโมซ่า พระธิดาจอมแก่นแก้วขององค์เอเมียร์ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ไซยเอ็ดได้รับบาดเจ็บอย่างขุ่นเคืองใจ เพราะไซยเอ็ดนั้นเป็นเหมือนเพื่อนและพี่ชายที่คอยดูแลปกป้องเธอจากเหล่าเด็กชายทโมนลูกของทหารมหาดเล็กคนอื่นๆ เขาจึงเปรียบเสมือนฮีโร่ในหัวใจที่เธอทั้งรักและบูชา
และด้วยฝีมือเพลงดาบอันเก่งกาจของไซยเอ็ด ไม่มีเสียล่ะที่ใครจะมาทำร้ายให้เขาเจ็บตัวได้ ไลลาเคยเห็นเขาสู้กับเด็กชายนับสิบคนก็ยังชนะ แต่เพราะคู่ต่อสู้ในครั้งนี้เป็นองค์หญิงโมซ่าเด็กชายจึงยอมอ่อนข้อให้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็อย่าหวังว่า คนอย่างไซยเอ็ดจะพ่ายแพ้ให้แก่ใคร
ยิ่งเห็นสีหน้าของไซยเอ็ดเจ็บปวดร้าวระบมแค่ไหน เธอก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ และเกลียดชังองค์หญิงโมซ่าเท่านั้น แม้สายพระเนตรขององค์หญิงที่ทอดมองไซยเอ็ดในเวลานี้จะเต็มไปด้วยความเสียใจก็ตามทีเถอะ
องค์หญิงมองรอยแผลที่เหนือตาขวาที่บวมเป่งจนดวงตาแทบปิดมิด รอบๆ บาดแผลเป็นสีเขียวขุ่นคล้ำอมม่วงช้ำจากการคั่งตัวของเลือด เขาจะเจ็บขนาดไหนหนอ….ดวงเนตรที่ยังพราวน้ำตามองหน้าซีดเซียวของเพื่อนเล่นตรงหน้าอย่างห่วงใย
“เจ้าเจ็บไหม?” คำถามซื่อๆ พร้อมดวงเนตรที่ทอดมองอย่างห่วงใย
“เจ็บพระเจ้าค่ะ”
“ถูกตีจนเลือดอาบ ใครเล่าจะไม่เจ็บ” วาจาแจ้วๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กที่แอบอยู่หลังบิดาอดสอดขึ้นมาไม่ได้
สายพระเนตรคมวาวมองคนเจ๋อสอดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่าไลลาบุตรสาวของท่านหมอราฟีคนนี้เทิดทูนบูชาไซยเอ็ดเพียงใด ไอ้ที่สงสารจึงแปรเปลี่ยนเป็นความหมั่นไส้ ย่นพระนาสิกเล็กๆ เข้าใส่
“ใจเสาะชะมัด” พระขนงขมวดมุ่นเข้าหากันพร้อมกับเม้มริมพระโอษฐ์น้อยๆ อย่างเคืองขุ่น
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมทำให้คนที่พร่ำบ่นรู้สึกสำนึกผิด
ดวงเนตรกลมใสช้อนขึ้นมองพระพักตร์ของพระบิดา พอพระองค์พยักหน้าให้ รอยเคืองขุ่นบนพระพักตร์เล็กๆ เปลี่ยนเป็นง้ำงอกระเง้ากระงอดขึ้นมา อ้าปากอ้ำๆ อึ้งๆ
ไซยเอ็ดซุกศีรษะเข้ากับอกของบิดาสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียอยากพักผ่อนเต็มทีเพราะบาดแผลที่เรียกว่าค่อนข้างฉกรรจ์ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวร้อนๆ รุมๆ เจ็บระบมร้าวรวดไปหมดทั้งหัว
“กระหม่อมขอตัวพาลูกกลับบ้านก่อนนะพระเจ้าค่ะ” บิดาของเด็กชายทูลลาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลห่วงใยในสายเลือดเพียงคนเดียว
“เดี๋ยวก่อน” พระสุรเสียงเรียกไว้ทำให้พระสหายและบุตรชายชะงัก
“โมซ่ามีอะไรจะบอกเจ้าแน่ะไซยเอ็ด” ถ้อยคำรับสั่งของพระองค์ทำให้เด็กชายปรือตาหนาหนักที่บวมเป่งขึ้นมามองอย่างยากลำบาก
ดวงพักตร์เล็กๆ นวลผุดผ่องที่บัดนี้ดวงเนตรกลมใสกำลังกลอกกลิ้งไปมาอย่างชั่งอกชั่งใจ รู้สึกเสียหน้าชะมัด แต่ด้วยความที่เป็นเลือดขัตติยา กล้าทำก็ต้องกล้าที่จะรับผิด
“ว่าไงล่ะโมซ่า ลูกมีอะไรจะพูดกับไซยเอ็ดมิใช่หรือ” ดวงเนตรที่ทอดมองส่งมาบังคับอยู่ในที มิมีโอกาสให้บิดพลิ้ว
“เราขอโทษเจ้าด้วยนะ” ทรงก้มพระพักตร์มองพื้นไม่กล้าสบตาด้วยความรู้สึกสำนึกผิดกึ่งหนึ่ง
“ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ กระหม่อมรู้ว่าองค์หญิงไม่ตั้งใจ” ไซยเอ็ดยิ้มออกมาอย่างให้อภัย ที่อย่างน้อยก็ทรงรู้สึกผิดเป็น
ดวงเนตรที่ช้อนมองเพื่อนสูงวัยกว่าอย่างรู้สึกสงสารจับหัวใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มพร้อมใบหน้าสะใจของไลลาก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลย่นจมูกให้และแลบลิ้นเข้าใส่
“ใครสอนลูกให้ทำอย่างนั้นนะโมซ่า” ตรัสดุขึ้นมา เมื่อเห็นกริยาไม่น่ารักสมเป็นกุลสตรี
“ก็ไซยเอ็ดอยากมายิ้มเยาะที่ลูกขอโทษเขาทำไมเล่าเพคะ”
“กระหม่อมไม่ได้ยิ้มเยาะองค์หญิงนะพระเจ้าค่ะ” หนุ่มน้อยรีบปฏิเสธ
“เอาล่ะอาเหม็ด เจ้ารีบพาไซยเอ็ดกลับบ้านเถิด ยังไงเราต้องขอโทษเจ้าอีกครั้งนะไซยเอ็ด หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธโมซ่า และยินดีที่จะเป็นเพื่อนเล่นให้ลูกสาวเราอยู่นะ”
“พระเจ้าค่ะ” พอรับคำคราวนี้ไซยเอ็ดไม่ยอมมองหน้าองค์หญิงจอมซนด้วยความรู้สึกเคืองขุ่นอยู่ ในใจที่ต้องทนเป็นลูกไล่ของเด็กผู้หญิงที่อ่อนวัยกว่าและเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
