ตอนที่ 2 : บาดแผลจากรอยจำ -1
บทที่ ๑
บาดแผลจากรอยจำ
“ปั๊ก....ปั๊ก...ปั๊ก....”
เสียงดาบไม้กระทบกันดังไม่เป็นจังหวะ ในขณะที่ผู้ลงดาบไม่มีทีท่าจะยั้งมือ
“อย่าเอาแต่ถอยหนีสิเจ้าคนขี้ขลาด” เสียงแหลมเล็กตะโกนแจ๋วๆ ดังขึ้น
แต่เด็กชายทะมัดทะแมงวัยเก้าขวบก็ยังคงถอยหลังกรูดยกดาบไม้ในมือขึ้นรับดาบที่อีกฝ่ายหนึ่งฟาดฟันลงมาอย่างไม่ยั้ง แม้ขนาดของรูปร่างจะต่างกันเกือบครึ่งต่อครึ่ง อายุห่างกันถึงห้าปี และอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น
แต่ไซยเอ็ด บิน อาเหม็ด อัลอลายาห์ บุตรชายโทนคนเดียวของ ชีคอาเหม็ด อัลอลายาห์ ราชองครักษ์ซึ่งเป็นพระสหายสนิทแห่งองค์เอเมียร์โมฮัมเหม็ด บิน ราชิค อัลอฺมานีแห่งสหพันธรัฐเชดัสย่าห์ก็ยังคงทำเพียงยกดาบไม้ขึ้นตั้งรับไว้ได้อย่างเดียวเท่านั้น
“ดูลูกสาวเราสิ ช่างไม่มีความกลัวเกรงและไว้หน้าบุรุษบ้างเลย” เอเมียร์โมฮัมเหม็ดตรัสกับพระสหายสนิทที่กำลังยืนดูการประลองยุทธของเด็กทั้งสองด้วยความรู้สึกกังวลพระทัยระคนปลาบปลื้ม
“องค์หญิงทรงกล้าหาญและแข็งแรงมาก ขนาดว่าไซยเอ็ดตัวโตกว่าก็ยังต้านทานแรงพระแสงดาบจากสองพระหัตถ์น้อยๆ นั้นไว้ไม่ได้” อาเหม็ดทูลตอบกลับไป ด้วเจ้าเหนือหัวของเขานั้นทั้งกังวลและชื่นชมเมื่อทอดพระเนตรภาพพระธิดาองค์โตกำลังใช้อาวุธต่อสู้อย่างคล่องแคล่วและไม่เกรงกลัว เขารู้ดีว่าปรารถนาลึกๆ ในใจนั้นพระองค์ทรงต้องการพระโอรสมากกว่าพระธิดา เพราะตามกฎมณเทียรบาลแห่งเชดัสย่าห์แล้ว ผู้จะมีอำนาจสูงสุดในการขึ้นครองราชย์ลำดับถัดไป คือพระราชโอรสองค์โตเพียงเท่านั้นที่จะได้รับสืบทอดตำแหน่งรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์
แต่ภายหลังอภิเษกสมรสมาถึงเจ็ดปี ก็ดูเหมือนว่าราชินีมายาจะทรงพระครรภ์ยากเย็นเหลือเกิน ในขณะที่พระธิดาองค์โตมีพระชนม์ถึงห้าชันษาแล้ว พระชายาก็เพิ่งทรงพระครรภ์อีกครั้ง ซึ่งนั่นนำความปลาบปลื้มและตื่นเต้นแก่ประชาชนชาวเชดัสย่าห์ที่ตั้งตารอคอยเจ้าชายรัชทายาทองค์น้อยเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไป หากกระนั้นองค์หญิงน้อยโมซ่าก็สร้างความเสน่หาให้ทรงหลงใหลคลายกังวลใจลงไปได้บ้าง
“เป็นเพราะลูกชายเจ้าไม่ยอมต่อสู้กับโมซ่าต่างหาก ยังไงสตรีก็ไม่มีวันแข็งแกร่งและเก่งกาจกว่าบุรุษไปได้” แววพระเนตรครุ่นคิดพร้อมถ้อยดำรัสที่แฝงไว้ถึงความรู้สึกลึกๆ ในดวงหทัย
“พระประสูติกาลของพระชายาในครั้งนี้ กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงจะได้ชื่นชมพระโอรสแน่พระเจ้าคะ”
รอยแย้มพระสรวล[1]ที่เต็มไปด้วยความหวังผุดพรายขึ้นบนพระพักตร์ที่เคร่งขรึมอยู่นาน
“เราก็หวังเป็นเช่นนั้น” พระเนตรคมฉายประกายเต็มไปด้วยความหวัง
“โป๊ก / โอ้ย” เสียงที่ดังขึ้นในเวลาไล่เรี่ยกันนั่นเรียกความสนใจให้พระองค์เหลียวพระศอตาม
แล้วภาพที่ทอดพระเนตรเห็นก็คือไซยเอ็ดทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดท่ายกมือกุมหน้าที่บัดนี้มีเลือดไหลเป็นทางอาบดวงหน้าน้อยๆ จนแดงฉาน
“รีบไปดูลูกชายเจ้าเร็ว” รับสั่งแล้วรีบดำเนินไปยังเด็กทั้งสอง อาเหม็ดวิ่งไปอุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน
“เป็นอย่างไรบ้างไซยเอ็ด” องค์เอเมียร์ตรัสถามอย่างห่วงกังวลเมื่อเห็นหยาดเหลวข้นของโลหิตที่ทะลักล้นอุ้งมือน้อยๆ ที่กุมเอาไว้
ดวงหน้าเด็กชายหน้าซีดเผือดแทบไม่มีสี
“กระหม่อมไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ” น้ำเสียงสั่นด้วยทั้งเจ็บและทั้งกลัวทูลตอบไป
“จนเลือดอาบไปทั้งหน้าเจ้ายังว่าไม่เป็นไรอีกหรือ?” ทรงตรัสด้วยความกริ้วที่เด็กชายตัวน้อยผู้ได้พระราชทานตำแหน่งองครักษ์ของพระธิดายังออกหน้ามารับแทนปกป้องคนทำความผิดที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกสำนึกตัวแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะหันไปดุพระธิดา
“โมซ่าทำไมลูกถึงได้ตีไซยเอ็ดแรงอย่างนั้น”
“ก็มันเป็นการต่อสู้นี่เพคะ” เสียงแจ๋วๆ จากพระโอษฐ์น้อยๆ สีสุกปลั่งช่างเจรจา ดวงตาดำขลับกลมโตใสฉายแววไร้เดียงสามิได้รู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างไร
“แต่ลูกตีเขาจนเลือดออก ขอโทษไซยเอ็ดเดี๋ยวนี้”
“เขาไร้ฝีมือเองต่างหาก” วาจาอวดดีของพระธิดาองค์น้อยตรัสตอบ ก่อนจะเชิดหน้า ทำให้พระบิดาถึงกับถอนพระปัสสาสะ[2]อย่างหนักพระทัยในความเชื่อมั่นและดื้อรั้นเกินหญิง
“ไม่มีใครกล้าตีลูกหรอกนะ ในเมื่อเจ้าเป็นธิดาของเอเมียร์แห่งเชดัสย่าห์ และสุภาพบุรุษอย่างไซยเอ็ดก็ย่อมไม่รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วย แม้เด็กผู้หญิงคนนั้นจะดื้อรั้นหัวแข็งก็ตามที”
“นี่หรือเพคะ องครักษ์ที่ทรงประทานให้ลูก ช่างด้อยฝีมือนัก เสด็จพ่อบอกว่าไซยเอ็ดจะเป็นคนที่ปกป้องดูแลคุ้มครองลูกได้ แต่ในเมื่อเขาไม่กล้าต่อสู้ก็สมควรที่จะถูกตีแล้ว” วาจาห้าวหาญเกินวัยของเด็กห้าขวบทำให้พระองค์ถึงกับตรัสไม่ออก นิ่งไปชั่วครู่
“โมซ่า” สุรเสียงอ่อนลงเต็มไปด้วยความหนักพระทัย การฝึกฝนให้พระธิดาเป็นคนกล้าแกร่งชำนาญในการใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวเองนั้น เวลานี้กลับกลายเป็นเหมือนดาบสองคม แทนที่องค์หญิงโมซ่าจะอ่อนหวานดังเช่นสาวน้อยอาหรับทั่วไปที่อยู่เบื้องหลังของบุรุษ กลับกลายเป็นคนแข็งกระด้างและอาจจะไร้ซึ่งเสน่ห์ความเป็นหญิงในวันข้างหน้า
“กระหม่อมขอพาตัวไซยเอ็ดไปหาหมอหลวงก่อนนะพระเจ้าค่ะ” อาเหม็ดกราบทูลด้วยความกังวลเมื่อพบว่ารอยแผลเปิดขนาดใหญ่พาดผ่านเหนือคิ้วของบุตรชายมีเลือดไหลออกไม่หยุด
องค์เอเมียร์รีบพยักพระพักตร์อนุญาต อาเหม็ดจึงอุ้มบุตรชายออกไปอย่างรวดเร็วด้วยจำนวนโลหิตที่ล้นฝ่ามือน้อยๆ ของไซยเอ็ดนั่น ราวกับเลือดที่รินทะลักออกมาจากหัวใจของผู้เป็นพ่อเลยทีเดียว
องค์หญิงน้อยหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียว ที่ถวายตัวเป็นราชองครักษ์เลือดไหลอาบหน้า อาการน่าเป็นห่วง ทำให้ความภาคภูมิใจที่สามารถต่อสู้ชนะเด็กชายตัวโตกว่า เปลี่ยนแปรเป็นความกังวลในดวงหทัยฉายชัดออกมาทางพระพักตร์เล็กๆ
พระบิดาเห็นแววกังวลใจในพระพักตร์ของพระธิดาวัยห้าชันษาก็เริ่มใช้จิตวิทยาในการสอน
“ถ้าไซยเอ็ดเป็นอะไรไป เจ้าจะไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีราชองครักษ์ และไม่มีใครคอยดูแลเจ้าอีก” สุรเสียงกระด้างบอกถึงความขุ่นเคืองกับความดื้อรั้นเกินสตรีของบุตรสาว
ดวงเนตรกลมโตไร้เดียงสาระเรื่อแดงขึ้นมา ก่อนจะรื้นคลอด้วยหยดน้ำตาแห่งความเสียใจ
“ไซยเอ็ดจะไม่ตายใช่ไหมเพคะเสด็จพ่อ” น้ำเสียงสั่นเครือตรัสถามพระบิดา
พอทอดพระเนตรเห็นพระอัสสุชล[3]อันบริสุทธิ์ของพระธิดาองค์น้อยก็ให้พระทัยอ่อน ถอนพระปัสสาสะเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้า พึมพำในใจว่า ‘นี่แหละหนา เด็กหนอเด็ก’
“ไปหาหมอหลวงกันเถอะเพคะ” พระหัตถ์เล็กๆ จับพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์ไว้อย่างพึ่งพา
“ลูกเป็นอะไรต้องไปหาหมอหลวง” พระขนง[4]คมเข้มขมวดเข้าหากัน
“ลูกจะไปดูไซยเอ็ด ลูกจะไปดูเขา...เจ้าองครักษ์ใจเสาะ” สุรเสียงเครือสั่นพร่ำว่าอย่างคับแค้นพระทัย ว่าแล้วก็ยกพระหัตถ์เล็กๆ เช็ดพระอัสสุชลที่เอ่อล้นจากดวงเนตรกลมโตดำขลับนั่นป้อยๆ อย่างน่าสงสาร
รอยแย้มสรวลพรายผุดขึ้นบนพระพักตร์ของพระบิดาแอบดีใจว่าอย่างน้อยภายใต้ความแข็งกระด้าง ก็ยังมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ พระหัตถ์ใหญ่กระชับจับมือน้อยๆ ของแก้วตาดวงใจเดินไปยังห้องยาหลวงที่ตอนนี้อาเหม็ดกำลังพาไซยเอ็ดไปทำแผล
[1] แย้มพระสรวล คือ ยิ้ม
[2] พระปัสสาสะ คือ ลมหายใจออก ความหมายในที่นี้ คือการถอนหายใจ
[3] พระอัสสุชล คือ น้ำตา
[4] พระขนง คือ คิ้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
