ตอนที่ 10 : ตอน ผู้ชายคนนั้นช่วยเอาไว้ 100%
ร่างโปร่งปล่อยมือที่ฉุดกระชากสาวเจ้าเรือนเล็กออกพร้อมกับล้วงมือข้างถนัดลงไปในกระเป๋ากางเกง คนตัวเล็กกว่าเซถลาอยู่สองสามก้าวก่อนจะหันมามองตาขวาง เธอทัดเส้นผมยาวสลวยที่ไม่เป็นทรงเข้าข้างหูก่อนจะใช้นิ้วเรียวดันแว่นสายตาเข้าใบหน้า
“ มีธุระอะไรกับฉันอีกล่ะ ว่ามาเร็วๆ! ” ร่างแกร่งแสยะยิ้มรับ เสียงห้วนกึ่งกับไม่อยากอยู่สนทนากับเขานั้นแม้จะฟังดูเจ็บปวดแต่นั้นก็ถือเป็นจุดหมายที่ดี
“ ทุกเย็นวันศุกร์ทำตัวให้ว่าง ถ้าพี่ไม่เบี้ยวนัดผมจะไม่ตามราวีให้วุ่นวาย ”
“ ห๊า!! ไหนบอกว่าให้ฉันเป็นแค่คู่เต้นรำวันงานไง วันอาทิตย์ก็นัดแล้ว...จะนัดวันศุกร์เพิ่มจากเดิมเพื่ออะไร!?” ร่างบางพลันชะงัก ดันหลุดปากไปสะได้! กะจะเบี้ยวเจ้าหมอนี้สะหน่อย! เธอครุ่นคิด ในขณะที่ฝ่ายที่เป็นคนถือไพ่เหนือกว่ากลับลอบยิ้มอย่างผู้ชนะ
“ หึๆ ” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในลำคอ ดูสีหน้าที่ดูหงุดหงิดนั้นสิ น่ารักชะมัด ตามระเบียบพอพี่สาวได้ยินผมขบขันก็มองตาขวางก่อนจะกัดริมฝีปากฮึดฮัดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ ศุกร์นี้ยังไม่ต้อง....แล้วเจอกันอีกทีวันอาทิตย์ครับ ” ผมพูดก่อนจะเดินผ่านไปและโบกมือลาโดยที่ไม่หันไปมองแบบในซีรีย์ที่พระเอกดังๆชอบทำกัน
“ ไม่-ไป-หรอก-ยะ” ขณะที่สาวเจ้ากัดกรามแน่นพร้อมกับพูดปฏิเสธโดยไม่ได้เปล่งเสียงออกมาสักคำ แต่จู่ๆคนตรงหน้าก็หันขวับกลับมาราวกับรู้เท่าทันความคิดของเธอ จนเจ้าตัวเผลอตกใจสะดุ้งโหยง!
“ ถ้าเบี้ยวนัดไม่มาล่ะก็.....” เสียงทุ้มลากยาวจนกระทั่งเหลือเพียงความเงียบเข้ามาแทนที่ประโยคที่ขาดหาย ก่อนที่สายตาสีน้ำตาลอ่อนจะกลับมาฉายแววทะเล้นเจ้าเล่ห์อย่างคนเอาแต่ใจ
“………….”
“ ฝ่ายปกครองจะได้รู้ความจริงของพี่สาวพร้อมกันถึง....สองเรื่อง ” ร่างแกร่งพูดพลางเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนจะส่งซิกให้พรรคพวกของตนเองกลับ
“ พูดอะไรของนาย ” คนตัวเล็กพูดเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็กะแล้วล่ะว่าจะต้องเล่นไม้นี้ ผมนึกก่อนจะโน้มหน้าลงไปใกล้ๆหูพี่เขาพร้อมกับอุทานเสียงเบาๆว่า....
“ …..เมี๊ยว”
“ ......!!!? ” ร่างบางนิ่งอึ้ง ไอ้หมอนี้รู้จริงๆด้วย...ว่าเธอแอบเลี้ยงลูกแมวเอาไว้!!! หน็อยยยยยย ไอ้เด็กบ้า!!! ฝ่ามือเล็กกำเข้าหากันจนกลายเป็นหมัดนูนปูด ชายแกร่งกลั๊วหัวเราะก่อนจะผละกายออกมาทิ้งระยะ พลางโบกมือโบกไม้ยียวนกวนอารมณ์คนหน้านิ่งภายใต้แว่นหนาที่เอาแต่กัดฟันไปมาจนหน้าตาดูไม่ได้
สวบบบบบ!!!
“ โห่ย เอาเรื่องว่ะเห้ยยยยยย ” รุ่นพี่ชมรมคาราเต้คนหนึ่งพูดพลางกอดคอประธานหอรุ่นน้องพร้อมกับหยีกำปั้นลงบนหัวด้วยความหมั่นไส้ มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นฟังไม่เป็นศัพท์พร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ เชี้ยกูล่ะโคตรอึ้ง // สาวๆสวยๆมาอ่อยถึงทีไม่ยักเหลียวแล กลับชอบยัยฮันน่าเด็กทุนแสนขี้เหร่นั้นน่ะนะ?// มีดีอะไรวะ ใช่มั้ยไอ้ชาล ” รุ่นพี่ร่างใหญ่เอ่ยพร้อมกับครุ่นคิดถึงใบหน้าสาวเจ้า กระโปรงยาวคลุมเข่า เนื้อตัวผอมแห้ง ใบมีแต่สิว ฝ้ากระ แถมยังใส่แว่นจนหนาเต๊อะอีก ยิ่งนึกก็ไม่ชวนให้คิดไปในทางชู้สาวได้เลย ว่าแล้วพวกเขาก็พลันส่ายหัวไม่ขอยุ่งเกี่ยว
“ เรื่องนี้ให้เจ้าตัวตอบดีกว่าครับ ”ชาลเอ่ยพร้อมกับหัวเราะรวนไปพร้อมกับเหล่ารุ่นพี่ เสียงคำถามกูกันเข้ามาแต่ผมไม่ยี่หระทำได้แค่ยักไหล่ไม่ยอมตอบคำถาม
“ เอาเถอะ...แต่กูขอพูดอะไรไว้สักหน่อยในฐานะรุ่นพี่”
สวบบบบบบบบบบ!!!
“อั่ก....!!” รุ่นพี่ร่างบึกล็อคคอผมด้วยวงแขนสุดแกร่ง จนผมหายใจไม่ออกรัวตีท่อนแขนกล้ามปูของพี่แก จนกระทั่งเขายอมคลายวงแขนออกพร้อมสีหน้านิ่ว
“ จีบอีท่าไหนให้ผู้หญิงเขาปั้นหน้ายักษ์ยังงั้นว่ะห๊ะ // มึงนี่ห่วยชะมัด....ชอบเขาจริงรึเปล่าวะมึงเนี้ย” เสียงด่าแกมแซวดังขึ้นภายในวงใน ผมแสยะยิ้มรับพร้อมกับแววตาทะเล้น
“ หึๆ....: )” ผมไม่อธิบายให้พวกรู้มากเข้าใจ แบบนั้นน่ะแหละดีแล้วครับคุณผู้ชม...เกลียดอะไรมักได้ยังงั้น ฉะนั้นก็เหม็นขี้หน้าผมเยอะๆ จะได้คิดแต่เรื่องของผมจนสมองระเบิดทั้งวันไปเลยยิ่งดี
พลบค่ำ
เห้อออออ เรื่องในวันนี้เยอะแยะชะมัด ถึงรุ่นพี่ที่ชมรมคาราเต้จะรู้ความลับที่เก็บงำมานาน แต่ดูแล้วก็คงไม่ปากโป้งหรอก แต่ถึงเรื่องแดงขึ้นมาผมก็ไม่แคร์อยู่ดี ดีสะอีกจะได้ไม่มีใครมาแย่งจีบพี่สาวของผมยังไงล่ะ เรียนเสร็จตกเย็นก็เข้าโรงยิมเหมือนกับทุกๆวัน ทิ้งเรื่องรกสมองเอาไว้ข้างหลังและสนุกกับการออกกำลัง....การฟิตร่างกายให้พร้อมนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย รู้สึกล้าตามตัวเล็กน้อยแต่พออาบน้ำเสร็จมันก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแทนที่
อ่า...ชอบชะมัด กีฬาเนี้ย ผมนึกก่อนจะทอดน่องไปยังจุดนัดที่กรีเซลเคยบอก
กลิ่นโคโลญประจำกายโชยมาตามลมพร้อมกับร่างของชายสูงโปร่งที่กำลังขยี้เส้นผมด้วยผ้าคุณหนูสีขาวสะอาด นุ่งกางเกงวอร์มสีดำเนื้อผ้าหนาอย่างดีมาพร้อมกับทรงตัวลงนั่งบนเก้าอี้โซฟาเดี่ยวตัวใหญ่ภายในห้องประชุมส่วนกลางของหอแบล็ควูฟ ที่มีเลขาสาวกับเหล่าเมมเบอร์และเฮดคนอื่นๆนั่งกางเอกสารประชุมได้สักพักแล้ว
“ คาร์ดอสนายสายนะ ” เสียงเรียบของพี่เกรลเลขาสาวเอ่ย แต่คาร์ดอสไม่ได้กล่าวอะไรกลับ พลางหยีหัวที่เปียกชุ่มให้แห้งไปเรื่อยๆ สาวเจ้าถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนทนาเรื่องสำคัญของการประชุมต่อ
“ เอาล่ะจากการวิเคราะห์ของฉันนะ ปีนี้ฉันว่า.......” เกรล ชาโตคริฟเลขาสาวเริ่มเปิดประเด็น เจ้าชาลส่งเอกสารชุดหนึ่งมาให้ผมมอง ข้างในมีข้อมูล แผนภาพจำลองที่ใช้แบ่งโซนฝึกซ้อมและตารางฝึกของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ ผมปรายตามองรายชื่อนักกีฬาแบบผ่านๆก่อนจะไปสะดุดชื่อของอีริก อลาโน่ที่แนบมาพร้อมใบสมัครเข้าร่วมการแข่งขันด้วยตาที่เบิกกว้าง!!!?
“ เห้ย!!! ทำไมไอ้หมอนี้ถึงได้....! ” เสียงของผมดังลั่นทำให้การประชุมภายในหยุดชะงักลง ไดน่าลอบมองหน้าเอกสารที่ผมเปิดค้างก่อนจะอธิบายสั้นๆ
“ ช่วยไม่ได้นี้หน่า นายมาช้า ที่ประชุมเลยลงมติกันไปเรียบร้อยแล้ว ” คำตอบนั้นเหมือนกับสายฟ้าฟาดมาที่กลางใจผม ให้ตายเถอะ!! จะลงแข่งน่ะก็ไม่ปริปากบ่นอะไร แต่ทำไมต้องเป็นบาสด้วยพับผ่าสิ!!!! นึกสภาพเจ้าแว่นนั้นวิ่งไปเลี้ยงลูกไป แถมทักษะการเล่นอยู่ระดับพื้นฐานหรือไฮท์คลาสก็ไม่ทราบอีก มีดีแค่สูงเองนะจะเสี่ยงจริงๆงั้นเรอะ!?
“ เอาจริง....?” ผมทวนคำถามก่อนที่จะได้ความเงียบเป็นคำตอบปลอบใจแทน ทุกคนกล่าวประชุมเรื่องอื่นๆต่อโดยที่ผมไม่มีกระจิตกระใจจะฟังต่อ เสียงพ่นลมร้อนๆอย่างหนักอกของตนเองดังขึ้นพร้อมกับเอนหลังพิงโซฟานุ่มด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ งานนี้ท่าจะสนุกนะครับนายน้อย ” ชาลพูดพลางขันเล็กน้อยที่เห็นสีหน้าของผมที่ดูไม่สบอารมณ์
“ หึ เจ้านั่นถนัดภาคทฤษฎี ส่วนฉันถนัดภาคปฏิบัติ…คงได้ตีกันตายไปข้าง ” ผมพึมพำก่อนจะแค่นหัวเราะ P4ที่ได้รับฉายาว่าอัจฉริยะสมองกลของโรงเรียน ไหนดูสิฝีมือในสนามจะมีดีสักแค่ไหนกันเชียว ว่าแล้วก็มาถึงจุดจบของการประชุมภายในจนได้ ทุกคนเริ่มเก็บเอกสารสำคัญของตนเองแล้วย้ายก้นกลับไปพักผ่อนพร้อมกับเสียงของเลขาสาวที่ดังไล่หลัง
“ เจอกันตอนตีห้านะทุกคน....ไปๆแยกย้าย ”
“ เทอร์เนอร์....” เสียงเรียกของรุ่นพี่เกรลทำให้ผมหยุดชะงัก พร้อมกับชาลที่ก็ต้องหยุดยืนรอ รุ่นพี่ไม่พูดเปล่าพลางเอี้ยวตัวไปยื่นเอกสารบางอย่างที่ปิดผนึกอยู่ในซองสีน้ำตาลขนาดA4 ก่อนจะยื่นให้ผมรับไป
“ นี้...อะไร?” ผมเอ่ยถามก่อนจะกรอกตาไปมองรอบๆ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยพร้อมกับพบว่าชื่อที่อยู่บนซองคือชื่อของใคร ‘อีริก อลาโน่’ เด่นหลาอยู่บนซองใหญ่
“ เอกสารยังไม่ครบ...ไปตามให้หน่อย ”ว่าเสร็จพี่แกก็บอกเหตุและผลจนเสร็จสับเพื่อไม่ให้ผมได้ทันปฏิเสธคำขอ
“ ตอนนี้...?” ผมเอ่ยถามพร้อมกับชูเอกสารนั้นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด พี่เกรลคลียิ้มบางๆก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ ผมแค่นหัวเราะในลำคออราวกับโลกจะแตก แค่ได้ร่วมงานก็อึดอัดจะแย่ แล้วนี้ยังต้องถ่อไปหาถึงถิ่นเจ้านั้นอีกงั้นเรอะ
“ ใช่ พรุ่งนี้ก่อนแปดโมงเช้าฉันต้องเอาไปส่ง ” เรื่องของเวลาดันมาเสริมเหตุและผลที่ผมต้องจำยอมเสียอีก โอ๊ยยยยยยย แล้วคนที่ต้องไปตามน่ะตัวบิ๊กนะครับคุณพี่ คนที่จะไปเคลียร์ได้ก็มีตัวเลือกอยู่น้อยคนสะด้วยสิ!!!
“ ให้ผมไปแทนดีไหมครับ...” ชาลเสนอตัวโดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากไหว้วานงานให้เจ้านั้นเลยสักนิด เลขาสาวคนสวยของหอแบล็ควูฟก็หูไวตาไวเสียเหลือเกิน เธอหันหลังกลับมาพร้อมกับกำชับเสียงเด็ดขาดอีกครั้ง!
“ อย่าทำผิดกฎคาร์ดอส....สิทธิ์เข้าออกหอพักอื่นได้ มีแค่นาย!! ” สิ้นเสียงก็ทำเอาผมถึงกับเซ็งเป็ด เอี้ยวคอส่งซิกให้ชาลกลับไปพักผ่อน ส่วนตัวก็จำต้องเดินดิ่วๆไปตามเอกสารที่ยังไม่ครบถ้วนของเจ้าของเอกสารใบสมัครแข่งขัน....อีริก อลาโน่ นายไม่น่าจะพลาดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้คนอื่นเขาลำบากเลยนะ พระเจ้า!
ห้องแล็บพิเศษของนักเรียนหัวกะทิ
“ ฮันน่า...!!” เสียงทุ้มเอ็ดขึ้นพร้อมกับปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
(สะดุ้ง)
“ ....ว่าไง ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วๆก่อนจะรวบเอกสารเข้าหาตัวพร้อมกับมองสีหน้าร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะแล็บสีขาวสะอาด
“ เหม่ออะไร เก็บของ....” เสียงทุ้มของอีริกกล่าวขณะที่ก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะส่งซิกให้สาวเจ้าไปทำหน้าที่เก็บกวาด มือข้างถนัดก็จับปากกาด้ามแพงขึ้นมาพลางจดผลลัพธ์การทดลองไปด้วย ร่างบางหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรโต้แย้ง ถ้ารู้ว่าสนิทกันแล้วจะพูดมากแถมเจ้ากี้เจ้าการสั่งนู้นสั่งนี้ แม่จะไม่มาสนิทด้วยเลยสักนิดเดียว เธอได้แต่บ่นอยู่ในใจก่อนที่มือน้อยทั้งสองข้างจะเริ่มเก็บอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทีละส่วนไปไว้ยังที่เดิมเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กเกรดสิบสองที่มาใช้ห้องแล็บจนมืดค่ำต่างเริ่มทยอยจนเกือบจะหมดแล้ว เสียงปิดประตูแบบเลื่อนซ้ายขวาถูกปิดผนึกลงช้าๆ พร้อมกับร่างสูงที่ถือเพียงสมุดแลคเชอร์ขนาดA4
สีหน้าอีริกดูไม่ดีเอาสะเลย แม้จะไม่ได้บึ้งถึงขนาดกับถลึงจนตาขวาง แต่ทว่าคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อยและสีหน้าเรียบนิ่ง แถมยังไม่เดินฉับๆไม่รีรอแบบนี้ รึว่าผลวิจัยจะออกมาไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้?
“ ผล....เป็นไง” ฉันคุร่นคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจถามออกไป เสียงลิตฟ์ที่กดเรียกดังติ๊งขึ้น อีริกยังไม่พูด เขาก้าวเข้าไปยังตัวลิฟต์ที่เปิดประตูออกก่อนจะรัวนิ้วกดปุ่มไปยังชั้น 1
“ ยังไม่เวิร์ค....” เสียงทุ้มผสมน้ำเสียงหงุดหงิดจนฟังออกดังขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ลงเบาๆ
แหงล่ะ...อารมณ์บูดขนาดนี้ ไม่น่าถามเลยแหะ
นี้ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วด้วย แม้ตัวเล่มวิจัยสำหรับจบการศึกษาที่ทำคู่กันจะไม่ใช่ส่วนที่ยากเย็นอะไรนัก แต่ทว่าผลลัพธ์ที่กำลังวิจัยกันอยู่ยังให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีแบบนี้...ก็สร้างความกดดันให้ฉันและเขาที่ทำวิจัยร่วมกันอยู่ไม่น้อยเลย อีริกน่าจะเครียดหนักเหมือนกัน เพราะหากไม่เสร็จตามกำหนด พวกเราทั้งคู่....จะไม่จบการศึกษา
ติ๊ง.....!
ลิฟต์เคลื่อนที่มายังชั้นเป้าหมายจนได้ ตอนนี้เราทั้งคู่เดินออกมาจากตึกวิทยาศาสตร์และกำลังมุ่งหน้ากลับหอพักเพื่อไม่ให้เลยเวลาตามที่สถานศึกษากำหนดเส้นตาย ไม่มีบทสนทนาอะไรนอกจากความเงียบและสายลมเย็นๆยามค่ำคืนที่พัดผ่านไปช้าๆ ภาพตรงหน้าตอนนี้มืดสนิทจนเห็นดวงจันทร์เสี้ยวที่ลอยเด่น
อ่าชอบจัง.... ฉันได้แต่คิดแล้วปล่อยเรื่องหนักอกออกไปจากหัว ก่อนจะสูดลมหายใจหอบเอาออกซิเจนเข้าปอด โหยยยยย...สดชื่น ป่านนี้โอเลี้ยงจะเป็นยังไงนะ? พอคิดถึงเจ้าขนปุยสีดำที่หลบอยู่ใต้ตึกตัวคนเดียวก็พลันเป็นห่วงขึ้นมา ก่อนที่ความคิดสองจิตสองใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง แผ่นหลังกว้างของอีริกยังคงไหวไปมาตามแรงก้าวเท้าที่แสนยาวเยียด จะบอกเรื่องลูกแมวน้อยกับอีริกดีไหมนะ? P4น่าจะทำอะไรสักอย่างกับมันได้โดยที่ไม่ผิดกฎด้วย
แต่พอฉันกำลังจะเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งๆของเจ้าตัวก็เลยคิดว่า.....ไม่บอกดีกว่า เราลัดเลาะข้างสนามหญ้าขนาดใหญ่ของโรงเรียนมาเรื่อย ๆจวบจนถึงประตูบานใหญ่ ซึ่งประตูของหอพักจะปิดลงตอนสี่ทุ่ม รปภ.ที่เฝ้าอยู่เลื่อนประตูอัตโนมัติให้ผ่านเข้าไปเมื่อเห็นหน้าที่แสนคุ้นเคยของนักเรียนบลูอีเกล อาคารที่ฉาบสีฟ้าอร่ามอาคารกลางตั้งเด่นอยู่เป็นของP4 เลขาและเหล่าเมมเบอร์ ส่วนอีกสองตึกที่แยกขนาบทั้งสองฟากเป็นของนักเรียนมอปลายธรรมดาชายและหญิงอย่างชัดเจน ฉันตัดสินใจชะงักฝีเท้าพลางลอบถอนหายใจกรุ่นออกมา อีริกหยุดเดินเมื่อได้ยินจังหวะก้าวของคนที่อยู่ข้างหลังเงียบไป ใบหน้าคมได้รูปหันมามองอย่างสงสัย ก่อนที่ฉันจะตัดบทเป็นฝ่ายพูด
“ ฉันจะเอางานไปให้นาเดียก่อน ขึ้นไปก่อนเลย” อีริกพยักหน้ารับสองสามทีก่อนจะเดินขึ้นไป
โหยยยยโล่งอก ดีแค่ไหนที่อีริกไม่ได้สงสัยอะไร ฉันรีบปลดสายเป้ที่แบกอยู่มาข้างลำตัวก่อนจะควานหาของกินง่ายๆเตรียมไว้ สองขาทำหน้าที่เดินไปยังศาลาตัวเก่า มีนักเรียนหญิงสองสามคนเดินประปรายคล้ายกับลงมาทำธุระส่วนตัว ฉันแสร้งทำเป็นหยิบชีสงานขึ้นมากางอ่านเพื่อฆ่าเวลารอจนกว่าจะไม่มีคนผ่านมาแถวนี้ และคำอธิษฐานของฉันก็สำเร็จ ฉันควานหาของที่เจ้าประธานจอมจุ้นนั้นถือวิสาสะเอามาใส่ในล็อกเกอร์ มีอาหารเปียกกับอาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับแมวขนาดเล็กสองสามถุง และนมแพะสองแพ็ค ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้านั้นรู้เรื่องนี้ได้ยังไงก็เถอะ แต่เอาว่ะอย่างน้อยไอ้หมอนี้ก็ไม่ได้ปากเปราะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องที่ฝ่ายปกครอง แถมยังให้เสบียงอีกต่างหากเป็นการลดค่าใช้จ่ายของฉันไปได้โขอยู่เหมือนกัน
‘ โอเลี้ยง.....โอเลี้ยง ’ ฉันพยายามมุดหัวลงไปใต้อาคารเพื่อส่งเสียงเรียกมันเบาๆ เป็นไปตามคาด แมวน้อยตัวกลมพุงป่องรีบวิ่งแจ้นมาหาฉันพร้อมกับร้องหง่าวเสียงเบาๆ รอยยิ้มฉีกกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าสาวเจ้า ก่อนที่ฝ่ามอเล็กจะลูบไล้ตามไรขนของเจ้าตัวน้อยเพื่อมอบความรักความอบอุ่นให้มัน จัดวางลังที่อยู่ลึกด้านในให้เข้าทรงพร้อมกับพับเสื้อตัวเก่าที่ไม่ได้ใช้ให้เข้าที่ แกะกล่องนมแพะรินใส่ชามเก่า ก่อนจะฉีกอาหารให้มันซองหนึ่งเผื่อเจ้าจอมยุ่งมันหิว
ลูกแมวน้อยก้มหน้าก้มตาเลียนมแพะเข้าปากจนขนข้างแก้มเลอะเทอะไปหมด ฉันพยายามสอดส่องหวังว่าจะไม่มีใครเห็น ก่อนจะจำอำลาเจ้าจอมยุ่งเพื่อกลับไปห้องพักตนเอง แต่ทว่าเรื่องมันกลับไม่ง่ายอย่างที่เคยคิด เมื่อเจ้าขนปุยดันวิ่งแจ้นออกมาจากใต้ตึกต้อยๆสะนี้!
‘เหมียว....’ เสียงใสที่ร้องอยู่ทำให้ฉันเฉลียวใจหันหลับไปมอง! ตายๆๆๆๆๆ โอเลี้ยงหนูตามมาทำไมล่ะลูก!!!! ดีนะที่แสงไฟแถวศาลามีไม่มากเท่าจุดอื่นๆ ฉันรีบวิ่งลุดไปอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาพลางกูรีกูจอไปยังจุดที่มันจากมา แต่ทว่าเสียงของอาจารย์หญิงประจำหอพักสุดเนี๊ยบก็ดังขึ้นสะก่อน
“ คุณเกรย์....” ฉันชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงโหดที่ดังไล่อยู่ข้างหลัง ใจเต้นราวกับกลองทัด ภาวนาให้โอเลี้ยงอย่าเพิ่งส่งเสียงร้องในจังหวะหน้าสิวหน้าขวานแบบนี้
“ ดึกดื่นแล้วทำไมยังไม่ขึ้นห้อง...”เสียงเดินของท่านอาจารย์ค่อยๆดังเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับการเต้นของหัวใจที่กำลังสูบฉีดมือข้างหนึ่งหอบแฟ้มงาน อีกข้างอุ้มลูกแมว แถมอาหารเลี้ยงก็อยู่ในเป้ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาล่ะก็...
“ เอ่อ...พอดีหนูเพิ่งกลับมาจากแล็ปพร้อมประธานฯค่ะอาจารย์”
“ หื้ม...ทำวิจัยจบการศึกษายังงั้นเหรอ ไหนขอดูรายงานหน่อยซิ” งานงอก....แบบนี้ก็ต้องหันหลังไปหาอาจารย์ทั้งๆยังงี้น่ะซิ?!! หลักฐานคามือ แถมของกลางก็เต็มอื้อคากระเป๋า! ปัญหาที่จะตามมานั้นฉายวาบขึ้นมาในหัวราวกับละครเวที
ถูกเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครอง ถูกไล่ออก เรียนไม่จบ ชดใช้ทุนห้าเท่า ชีวิตฉันจะมีอะไรอนาจมากไปกว่านี้ไหมเนี้ย!!! ตอนนี้หัวฉันหมุนราวกับมีระเบิดนับร้อยลูกถูกจุดฉนวน เอาว่ะเอาก็เอา!!!
“ อาจารย์ครับ...ประธานหอแบล็ควูฟมาขอพบประธานหอบลูอีเกลเป็นการส่วนตัวครับ” ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของรปภ.ดังขึ้นพร้อมกับวิ่งจ็อกกิ้งเข้ามา ทำให้อาจารย์ประจำหอพักต้องจ้ำอ้าวไปดำเนินเรื่องตามกฏของหอพักเป็นการด่วน
“ ได้ค่ะ ส่วนคุณเกรย์ขึ้นห้องพักสะ....”อาจารย์เอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละตามรปภ.ไป
“ ทราบแล้วค่ะท่านอาจารย์ ” ฉันขานรับพลางแสร้งทำเป็นปลดเป้จากด้านข้างมาใส่เอกสารที่ถืออยู่ โดยที่ฉันยังไม่ทันได้หันหลังกลับไปพร้อมหลักฐานชิ้นโบว์แดง
“คาร์ดอส เทอร์เนอร์....นายอีกแล้วเหรอเนี้ย ”เสียงพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นพร้อมภูเขาลูกโตที่ถูกยกออกจากอก ฉันจำต้องเอาโอเลี้ยงเข้าไปในเป้ใหญ่โดนไม่มีทางเลือก นี้เป็นอีกครั้งที่เจ้าหมอนี้เข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับฉันอีกครั้ง
‘เหมียว....’ โอเลี้ยงส่งเสียงครางพร้อมกับฝนเล็บอยู่ภายในเป้ เมื่อพบว่าตนเองถูกเข้ามาอยู่ในที่ที่แคบและแปลกตา
“ ชู่วววว์....โอเลี้ยงเงียบๆก่อนนะ...อดทนหน่อย ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
