คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Another World : Bleeding Heart | Chapter 12 [100%]
กาลเวลาผ่านไปนานเกินกว่าที่ทั้งสองนั้นจะหวนคิดถึง ความสุขอันเปี่ยมล้นที่ยากจะบรรยายได้ว่ามันหอมหวานมากแค่ไหน วินเซนต์ยอมทุกอย่างเพียงแค่ขอให้เจเดนอยู่เคียงข้างเขาเหมือนอย่างในช่วงเวลานี้ เพียงรอยยิ้มและความอ่อนโยนนั้นก็ทำให้มีความสุขมากแล้ว
ตั้งแต่ที่ได้พบกับร่างสูงนั้นทำให้ความแข็งกร้าวของร่างบางนั้นได้หายไปหมด โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยว่าเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่ตอนไหน พอมารู้ตัวอีกที ความเย็นชาและกระด้างกระเดื่องนั้นก็หายไปทันที ราวกับว่าเป็นคนละคนไปเลยล่ะ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีด้วยเช่นกัน
พระจันทร์ลอยเด่นบนท้องฟ้าสีดำ แสงของมันนั้นสว่างและรูปร่างกลมราวกับผลส้ม ทำให้เห็นรอยด่างของมันอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามมันก็ดูสวยงามในสายตาของวินเซนต์อยู่ดี แม้ว่าพื้นผิวของมันจะด่างพร้อยไปด้วยรอยและหลุมลึกก็ตาม
ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆท่ามกลางพนาพงไพร ต้นไม้สูงใหญ่คอยบังเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังเดินอยู่ วินเซนต์แอบชมนกชมไม้อยู่เป็นระยะๆ พลางคิดในใจว่าตนเองเคยเดินมาที่นี่หรือเปล่า เพราะทั้งดอกไม้ ต้นไม้ เส้นทางและลักษณะการเดินแบบนี้มันทำให้ร่างบางรู้สึกว่าเหมือนเคยทำและเคยเห็นภาพนี้มาก่อน
"รู้สึกเหมือนเราเคยทำแบบนี้" วินเซนต์คิดในใจ พลางปลอบประโลมตนเองเพื่อไม่ให้คิดมาก "แต่ช่างมันเถอะ เราอาจคิดไปเองก็ได้"
แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ยังไม่หายไปเลย ภาพความทรงจำทั้งหมดก็ลอยเข้ามาในความคิดทุกอย่าง ร่างบางพยายามปัดป่ายไล่มันออกไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนคนที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นสงสับว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหยุดเดินและหันมาถาม
"เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?"
เจเดนถาม
วินเซนต์ส่ายหน้า
"เปล่า ข้าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ"
ร่างสูงพยักหน้าเบาๆก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินไปข้างหน้าต่อไป ส่วนวินเซนต์เองก็ยกมือข้างขวามากุมศีรษะของตนเองและเดินตามไป ไม่มีใครหลุดคำพูดออกมาเลยหลังจากนั้น
ส่วนร่างบางเองก็ขมวดคิ้วลงพร้อมกับลงน้ำหนักมือขวาของตนเองที่กำลังกุมศีรษะอยู่นั้นลงไป เพื่อให้ความเจ็บปวดนั้นหายไปเสียที เพราะตัวร่างบางเองก็รู้สึกรำคาญด้วยที่รู้สึกปวดแบบนี้ ราวกับว่ามีใครมาบีบศีรษะของตนเองแน่นๆ ก่อนจะปล่อยลงอย่างช้าๆ เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา
อีกอย่างเจเดนก็แอบชำเลืองมองมาที่วินเซนต์เป็นระยะๆด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนตัวเล็กที่กำลังเดินอยู่ข้างหลัง แต่ก็เห็นแล้วว่าคงไม่เป็นอะไรมากนัก เพราะเนื่องจากว่าร่างบางนั้นก็เดินตามหลังมาด้วยและไม่ได้ล้มลงไปแต่อย่างใด
เสียงเหยียบใบไม้และกิ่งไม้แห้งที้ชื้นไปด้วยหยดน้ำของฝนดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บนพื้นก็ปรากฏรอยเท้าของทั้งสองเป็นทางยาว วินเซนต์รู้สึกรำคาญเสียงดังกรอบแกรบที่อมน้ำเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นออกมาแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากมีสิ่งที่รู้สึกรำคาญยิ่งกว่าเสียงของมันก็คืออาการปวดศีรษะของเขานั้นเอง พยายามกัดฟันแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวดก่อนจะเดินต่อไป ภาวนาขอให้ถึงที่หมายเสียที
ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็มาหยุดที่กระท่อมแห่งหนึ่งกลางป่า แปลงผักที่มีผักที่เหี่ยวเฉาจนมันกรอบไปแล้ว หากร่างบางเอื้อมมือไปจับมันแล้วล่ะก็ ใบไม้ของมันคงจะกลายเป็นผงสีน้ำตาลติดมือของเขาแน่นอน แถมยังมีวัชพืชเล็กๆน้อยๆขึ้นอยู่บนแปลงผักด้วย อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูน่าเศร้ามากกว่านี้
แต่ที่น่าแปลกมากที่สุดเมื่อก้าวเข้ามาในสวนหน้ากระท่อมก็คือ อาการปวดศีรษะของร่างบางนั้นได้หายไปอย่างแปลกประหลาด
วินเซนต์คลายมือที่กำลังกุมศีรษะของตนเองลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลดระดับลงเรื่อยๆมาแนบลำตัวของตนเอง พลางกวาดสายตามองไปรอบๆกระท่อม ในเวลานั้นเองวินเซนต์รู้สึกคุ้นเคยที่นี่เป็นอย่างมาก ไม่แน่ในว่าตนเองเคยมาเหยียบที่กระท่อมแห่งนี้หรือเปล่า
ร่างบางถาม "เจเดน ข้าเคยมาที่นี่หรือเปล่า?"
คนที่ถูกถามนั้นรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็วและเบิกตากว้าง พลางถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
"เจ้าจำได้แล้วใช่ไหมว่าเจ้าเคยมาที่นี่?"
"แสดงว่าใช่" วินเซนต์ตอบ พลางยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่เจเดนและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าจริงอย่างที่เขารู้สึกหรือเปล่า "เพราะข้าเองรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยมาที่นี่...กับเจ้า"
ความเงียบงันปกคลุมรอบๆ สายลมพัดผ่านร่างทั้งสองอย่างอ่อนโยนจนไรผมบางๆนั้นปลิวไสวลู่ลมตาม สายตาของวินเซนต์ที่มองเจเดนนั้นแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไรจนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ของร่างสูงดังขึ้นมา
มือหนาควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ก่อนจะดึงมันออกมาและกดรับสายเพื่อที่จะสนทนากับบุคคลที่โทร.เข้ามา วินเซนต์มองแผ่นหลังของเจเดนที่กำลังคุยโทรศัพท์โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
"ครับ" เจเดนตอบปลายสาย "มีเรื่องอะไรหรือ?"
วินเซนต์ละสายตาที่มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปมองรอบๆแทน เพราะเรื่องแบบนี้เขารู้ดีว่าเจเดนต้องการความเป็นส่วนตัวในการคุยธุระเป็นอย่างมาก แล้วเขาเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายมองในแง่ร้ายกับเขาด้วย จึงไม่สนใจที่จะฟังว่าอีกฝ่ายและปลายสายนั้นกำลังสนทนาในเรื่องอะไรอยู่
ใบหน้าหวานมองขึ้นไปยังบนท้องฟ้า พบว่ามียอดของต้นไม้ประมาณสิบกว่าต้นเรียงตัวกันเป็นวงกลม ทำให้แสงของพระจันทร์นั้นส่องลงมากระทบยังพื้นดินและดวงหน้าของร่างบางเต็มๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีกว่าแสงอาทิตย์ก็แล้วกันที่ไม่สามารถแม้กระทั่งจะมองแค่แสงของมันได้
หลังจากที่เจเดนสนทนากับปลายสายเสร็จก็มีสีหน้าหนักใจเป็นอย่างมาก จนทำให้วินเซนต์นั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก กลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีๆกับอีกฝ่ายก็ได้ ถึงได้ทำสีหน้าเหมือนกับคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไรอย่างนั้นแหละ
"วินเซนต์" เจเดนเรียก
"มีอะไรหรือ?"
"ข้าต้องรีบกลับไปที่แอนติเจนเพราะปู่ของข้าเรียก เจ้าอยู่ที่กระท่อมนี้เพียงลำพังได้ไหม?"
"ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรมากมาย" วินเซนต์ยิ้มบางๆตอบ "ได้สิ ข้าจะอยู่ที่นี่รอจนกว่าเจ้าจะกลับมาก็แล้วกัน"
"ถ้าอย่างนั้นข้าก็สบายใจแล้วว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน หากเป็นอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะ แล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า"
หลังจากนั้นเจเดนก็ก้มตัวลงก่อนจะกลายเป็นร่างไลแคนท์และกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วินเซนต์แทบมองตามไม่ทันเลยว่ากระโดดไปทางไหนแล้ว แต่ว่าเขาก็เห็นร่างสีดำไกลๆที่กำลังกระโดดข้ามกิ่งไม้กิ่งแล้วกิ่งเล่าจนกระทั่งไม่เห็นแล้ว ร่างบางถึงจะเดินเข้ากระท่อมไป แต่ก็โชคดีที่มันไม่ได้ล็อกแต่อย่างใด
วินเซนต์ก็นั่งๆนอนๆอยู่ภายในกระท่อมเล็กๆเพียงคนเดียว เพราะภายในนั้นไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าที่จะทำอะไรได้อย่างสบายใจเลย เขามองย้อนตนเองแล้วยังเหลือเชื่อเลยว่าอยู่ได้อย่างไรโดยไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้เล่นโทรศัพท์แบบนี้
อยู่เฉยๆก็เกิดความเบื่อหน่ายได้เช่นกัน วินเซนต์จึงลุกขึ้นเดินจากเก้าอี้เล็กๆตรงไปยังชั้นหนังสือ คิดว่าน่าจะมีอะไรให้ทำที่ดีกว่าการนั่งเฉยๆแบบนี้ มีหยากไย่มากมายเกาะอยู่ตามซอกของชั้นหนังสือ ร่างบางรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหยากไย่มากมายเกาะตามซอกตามชั้นแบบนี้
"แค่กๆๆ!!"
ละอองฝุ่นปลิวว่อนไปทั่วเมื่อดึงหนังสือออกมา มือบางอีกข้างที่ว่างนั้นก็ปัดๆฝุ่นออกไปให้พ้นๆเพื่อไม่ให้ตนเองสูดมันเข้าไป ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจเป็นภูมิแพ้ก็ได้ แถมตัวเขาเองก็แพ้ฝุ่นอีกด้วยล่ะ
มือบางค่อยๆเปิดหน้ากระดาษอ่านไปทีละหน้าอย่างช้าๆ สมุดเล่มนี้ที่เขาเอาออกมาจากชั้นนั้นคืออัลบั้มรูป ซึ่งหน้ากระดาษก็ได้กลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว เพราะเวลาผ่านมาหลายร้อยปี สิ่งต่างๆนั้นก็ไม่เที่ยงแท้ ย่อมสลายหรือแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลาที่ไม่มีวันจบสิ้น เช่นเดียวกับกระดาษนี้ที่กลายเป็นสีเหลืองแล้ว
ภาพทุกภาพที่ปรากฏแก่สายตาของร่างบางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปที่เคยถ่ายด้วยกันจนสีมันจืดจางไปแล้ว ทั้งข้อความมากมายที่เขียนประกอบนั้นจนน้ำหมึกของมันเลอะเลือน เขาไม่เคยสนใจหรือแม้จะเหลียวแลมันด้วยซ้ำ แต่วันนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจให้ย้อนหลับไปหวนคิดถึงเรื่องในวันนั้นอีกครั้ง
ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความตื้นตันใจและเสียใจไปในเวลาเดียวกัน ภาพตรงหน้านั้นทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้น นี่ตนเองลืมสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราวในวันนั้นไปได้อย่างไร วันที่เขาเคยเป็นแวมไพร์ที่มีนิสัยดี ร่าเริง มองโลกในแง่ดี และไม่พัวพันกับเรื่องฆ่าแกงไลแคนท์แบบนี้ เพราะดูจากข้อความที่เขียนแล้วไม่เคยมีข้อความไหนที่เขียนบอกว่าโกรธจนต้องหยิบปืนหยิบมีดมาไล่ฆ่าไลแคนท์ตายเป็นเบือเลย
ข่มความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจก่อนจะเปิดอ่านหน้าต่อไปอีกครั้ง ตัวหนังสือที่บอกบุคลิก ความคิดความอ่านและเรื่องราวผ่านจากปลายปากกาของตนเองที่เขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเมื่อร้อยปีที่แล้ว เรื่องราวเหล่านั้นที่กลืนกินร่างของวินเซนต์เข้าไปทั้งตัวจนลืมตัวเอง ลืมสติสัมปชัญญะจนหมดสิ้น ความรู้สึกจากจิตใต้สำนึกนั้นเข้ามาแทนที่ ทำให้กระตุ้นให้ร่างบางเห็นภาพของหลายๆสิ่ง
เสียงหัวเราะของเขาและเจเดนที่ประสานเสียงกัน
รอยยิ้มของตนเองในวันนั้น
และเรื่องราวบางเรื่องที่ขาดหายไปเมื่อตื่นขึ้นมาโดยที่เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งร้อยปีแล้ว
วินเซนต์ปิดสมุดนั้นลงเมื่ออ่านจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว รู้สึกได้ถึงพวกแก้มที่แดงระเรื่อของตนเองนั้นชื้นไปด้วยน้ำตา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นร้องไห้ไปตั้งแต่ตอนไหน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในแอนติเจนครั้งล่าสุดนั้นเขาก็อ่อนแอขึ้นมา ราวกับว่าตัวเขาเมื่อหนึ่งร้อยปีได้ตื่นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่หลับใหลมาตั้งนาน
กาลครั้งหนึ่ง วินเซนต์เคยเย็นชาและเป็นนักรบที่เก่งที่สุดมาก่อน
เจเดนไม่เข้าใจเอามากๆว่าทำไมผู้เป็นปู่ของตนเองถึงเรียกมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ แต่ก็คิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่มีไลแคนท์ในแอนติเจนนั้นถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน เขาจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นักกับการที่ถูกเรียกมาแบบนี้
ซึ่งเขาเองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ใครที่ไหนที่ทำแบบนี้ วินเซนต์นั่นเอง
ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงแอนติเจน ก่อนจะเดินยืดอกเข้าไปในนั้นพร้อมกับร่างไลแคนท์ที่เล็กลงเรื่อยๆจนกลายเป็นร่างมนุษย์ดังเดิม ภายในนั้นมีไลแคนท์มากมายที่วิ่งวุ่นชุลมุนวุ่นวายไปหมด จนเขาแทบจะเอ่ยปากถามไม่ทันว่าปู่ของเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ สุดท้ายจึงเลือกที่จะเดินไปหาด้วยตนเอง โชคดีที่หาเจอในโถงทางเดินที่มีเลือดสีแดงฉานแต่งแต้มไปทั่วทางเดินและผนัง แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้
"เจ้ามาพอดี หลานข้า"
"มีสิ่งใดหรือขอรับ"
เจเดนโน้มศีรษะเคารพเล็กน้อยด้วยสีหน้าปกติของเขา ที่ใครๆมองเห็นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นใบหน้าที่เย็นชาที่สุดเลยก็ว่าได้
"ดูสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้สิ" ปู่ของเจเดนกวาดมือไปทั่ว พลางหมุนตัวไปรอบๆ "เจ้ายังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นอีกหรือ? มีใครที่ไหนก็ไม่รู้บุกเข้ามาในแอนติเจนและฆ่าพวกเราไปสี่คน แถมร่างยังเละเป็นชิ้นๆแบบนี้!"
เจเดนเงียบ มองไปผ่านไหล่ของปู่ตนเองไปยังด้านหลัง พบว่ามีไลแคนท์มากมายที่ถอนน็อตของใบพัดออกและยกมันลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเข้าไปข้างในเพื่อเก็บชิ้นส่วนของร่างที่ถูกปั่นจนเละไม่มีชิ้นดี
"โหดร้ายทารุณยิ่งนัก" เจเดนตอบ "แล้วกล้องวงจรปิดล่ะขอรับ ท่านปู่ได้ตรวจดูแล้วหรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ทำเช่นนี้"
ปู่ของเจเดนไม่ตอบหากแต่ยื่นหน้าจอแบนราบให้กับเขา มือหนารับมันมาอย่างว่าง่ายพร้อมกับดูสิ่งที่อยู่ภายในจอนั้น ภาพปรากฏให้เห็นว่ามีไลแคนท์ทั้งสี่ที่เข้ามาล้อมคนหนึ่ง ก่อนจะเกิดการปะทะขึ้นและเกิดควันสีขาวคลุ้งไปทั่ว
เวลาผ่านไปสักพักก็มีสีแดงจางๆเกิดขึ้นมาบางส่วนของควัน ก่อนที่จะไปกระทบกับพื้นและผนัง อีกทั้งควันสีขาวได้หายไปด้วย ปรากฏให้เห็นว่ามีคนหนึ่งกำลังยืนอึ้งๆอยู่ด้านหน้าใบพัดของพัดลมที่หยุดหมุนไปแล้ว ก่อนที่จะมีไลแคนท์อีกหลายตนที่วิ่งเข้าไปหาคนนั้น ทางนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และภาพก็ได้ตัดจบไป
"พวกเราสันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็นแวมไพร์" ปู่ของเจเดนพูดขึ้นมาหลังจากที่หลานตนเองดูภาพนั้นจอจบแล้ว
"แล้วท่านดูจากตรงไหนหรือว่าคนนี้เป็นแวมไพร์?"
เจเดนถาม
"อย่าโง่ไปหน่อยเลยเจเดน ก็การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั้นจะเป็นใครที่ไหนไปได้นอกจากแวมไพร์น่ะ"
"จริงอย่างที่ท่านพูด" ร่างสูงตอบ "แต่ภาพไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ ข้าดูไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นข้าคงช่วยท่านปู่หาตัวผู้ร้ายนั้นได้"
"ข้าดีใจที่เจ้ายังสนใจเรื่องนี้ ซึ่งมันดีกว่าไปอยู่กับพี่ๆของเจ้าที่ท่อระบายน้ำนั้น ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงไปที่นั่นบ่อยเหลือเกิน มีอะไรน่าพิสมัยนักหรือ?"
"อย่ามากก็แค่พูดคุยและดื่มกันเท่านั้นแหละขอรับ" เจเดนตอบอย่างเลี่ยงๆ เพราะเขาต้องไม่ให้ใครรู้เลยว่าพวกพี่ๆของเขานั้นได้ซ่อนคนรักที่เป็นแวมไพร์อยู่ในนั้น "แต่ข้าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน ข้าก็เลยมาช่วยท่านปู่ นี่ถ้าท่านไม่เรียกข้ามาป่านนี้ข้าคงจะต่อกับพวกเขาอีกสักสองสามแก้วนี่แหละ"
เจเดนอ้างเหตุผลล้านแปดมาปกปิดความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เขานึกถึงสวัสดิภาพของทุกฝ่าย ทั้งเหล่าพี่ๆไลแคนท์ของตนเองและคนรักของพวกเขาที่เป็นแวมไพร์ หากเรื่องราวนี้ได้หลุดออกไปเมื่อไหร่ล่ะก็ เขาเองก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าจัสติน เจเรมี่และคนรักของเขาที่ชื่อวินเซนต์นั้นจะเป็นอย่างไร
ปู่ของเจเดนพยักหน้าเบาๆ "อย่างน้อยเจ้าเองก็ควรเลิกดื่มได้แล้ว เจ้าเป็นหัวหน้าของเผ่าพันธุ์ไลแคนท์แล้ว หากพวกแวมไพร์เห็นว่าไลแคนท์มีผู้นำเหลวแหลกที่เคล้าสุรานารีเช่นนี้อาจโจมตีพวกเรามาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องมีความเป็นผู้นำมากขึ้นอีกนิด เข้าใจไหม?"
"คำสั่งของท่านปู่ ข้าจะจำเอาไว้ขอรับ" เจเดนก้มศีรษะอย่างนอบน้อมซึ่งขัดกับสีหน้าเย็นชาของเขาเป็นอย่างมาก "แล้วท่านปู่คิดว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ?"
"อืม..." ผู้อาวุโสกว่าพึมพำ "ข้าคิดว่าเป็นแวมไพร์นี่แหละ เก่งแบบนี้...มีลีลาในการต่อสู้ที่พลิ้วไหวเช่นนี้ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นวินเซนต์ เอนเดอร์ ไม่ใช่สิ! ต้องเป็นวินเซนต์ เอนเดอร์แน่นอน! เพราะว่าเขาเป็นนักรบแวมไพร์ที่เก่งที่สุด!"
เจเดนรู้สึกเย็นไปหมด กลัวว่าวินเซนต์อาจถูกเล่นงานจนหนักเลยก็ได้ แต่ก็พยายามกลั้นใจและควบคุมสติของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ พร้อมกับฟังปู่ของตนเองพูดไปเรื่อยๆไม่มีหยุด
"เจเดน แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?"
"คงน่าจะเป็นเขาล่ะ ไม่มีแวมไพร์ตนใดที่มีฝีมือเก่งกาจกว่าวินเซนต์ เอนเดอร์แล้ว ข้าจะหาทางจับเขามาลงทัณฑ์ให้จงได้"
"หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไว้วางใจให้เจ้าจัดการแล้วล่ะ"
หลังจากเสร็จการพูดคุยกันแล้ว เจเดนรีบกลายร่างเป็นไลแคนท์และรีบไปที่ท่อระบายน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้สึกแปลกๆว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างต้องเกิดขึ้นในที่แห่งนั้นแน่นอน หากไม่เป็นเช่นนั้นปู่ของเขาก็คงไม่ซักถามเรื่องที่เขาอุดอู้อยู่ในท่อระบายน้ำกับพี่ชายทั้งหลายของเขาหรอก
เพราะว่าในท่อระบายน้ำนั้นมีแวมไพร์อย่างจัสตินและเจเรมี่อยู่ด้วยน่ะสิ
ด้วยความว่องไวของไลแคนท์อย่างเจเดนนั้นทำให้ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงที่ท่อระบายน้ำนอกเมือง เขารีบกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็วก่อนจะปีนเข้าไปในท่อระบายน้ำและเดินไปตามทางเดินของท่อ เปิดประตูและเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วจนเหล่าพี่ชายของเจเดนนั้นสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
"อะไรของเจ้าเนี่ยเจเดน เปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะก่อนได้อย่างไร มันเสียมารยาทนะจะบอกให้ อีกอย่างนะ พวกเรากำลังใช้สมาธิเล่นไพ่อูโน่อยู่ หากข้าแพ้ขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น?"
ออกัสตัสตำหนิเจเดนโดยที่มือของตนเองยังถือไพ่ในมือ ใช่แล้ว พวกเขากำลังนั่งเล่นไพ่อูโน่ แล้วเจเดนเองก็เห็นว่าตัวเลขของไพ่ที่ออกัสตัสถืออยู่นั้นมันไม่มีเลขที่ต้องลงอีกด้วย แต่ว่าเจเดนหาได้สนใจไม่ว่าตอนนี้พวกเขานั้นกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ จึงบอกพวกเขากับเหตุการณ์กำลังจะเกิดขึ้น
"พวกท่านต้องรีบพาเจเรมี่และจัสตินหนีไปเดี๋ยวนี้! พากลับคฤหาสน์ของแวทไพร์ไปเลยยิ่งดี"
"โว่วๆ ใจเย็นๆนะน้องชาย" ไฮลาเรียสลุกขึ้นมาโซฟาก่อนจะเดินมาตบบ่าของน้องชายตนเองเบาๆ แต่เจเดนนั้นรีบปัดมือออกอย่างรวดเร็วจนไฮลาเรียสรู้สึกกลัว "สงสัยเจ้าคงไม่เย็นแล้วล่ะนะ..."
"นี่นาธาน! ข้าเห็นเลขทุกตัวในไพ่เจ้าหมดแล้วนะ!" จัสตินตะโกนจากด้านหลังของนาธานเสียงดัง อีกทั้งยังยิ้มกรุ่มกริ่มเชื่อไม่ได้อีกด้วย
"พาพวกเขาทั้งสองไปจากที่นี่! เร็วเข้า!"
เจเดนยังคงย้ำอย่างหนักแน่น
"นี่ๆเจเดน" จัสตินเอ่ยขึ้นมา "หากเจ้าต้องการให้ข้ากับเจเรมี่กลับคฤหาสน์นั้น เจ้าช่วยบอกเหตุผลที่เข้าจะให้ข้ากับเจเรมี่กลับไปจะได้ไหม? จู่ๆเจ้าเปิดประตูเข้ามาแบบนี้ก็ทำให้พวกเราตกใจมามากพอแล้วนะ"
คนตัวสูงเงียบไป มันก็จริงอย่างที่จัสตินพูดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาเองก็คงใจร้อนเกินไปเพราะกลัวว่าจะมีใครได้รับบาดเจ็บเข้า เขาสูดลมหายใจเข้าช้าๆก่อนจะพูดออกไปหลังจากระงับอารมณ์ลนลานของตนเองแล้ส
"ปู่เริ่มสงสัยพวกเราแล้วล่ะ" เจเดนตอบ "ว่าพวกเราซ่อนแวมไพร์เอาไว้"
"เป็นไปไม่ได้หรอก! แล้วเจ้าไปรู้มาจากไหน!" นาธานรู้สึกไม่พอใจขึ้นมากับการที่ปู่ของเจเดนนั้นมาสงสัยแบบนี้โดยที่ไม่เห็นว่าจะมีหลักการอะไรใดๆเลย
"ท่านปู่เรียกข้าไปคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในแอนติเจน! มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราพาวินเซนต์ออกมาจากที่นั่น แถมเขายังถามอีกว่าทำไมข้าเอาแต่อุดอู้อยู่ในท่อระบายน้ำกับพวกท่านด้วย จะไม่ให้ข้าคิดได้อย่างไรว่าท่านปู่กำลังสงสัยข้าและพวกท่านน่ะ แถมยังโยนงานเรื่องที่ตามหาวินเซนต์มาให้ข้าด้วย"
เจเดนโยนหน้าจอแบนราบที่ปู่ของเขายื่นมาให้เพื่อเป็นหลักฐานในการค้นหาตัวผู้ร้ายที่ทำแบบนี้ไปให้ไฮลาเรียส คนเป็นพี่รีบคว้ามาอย่างรวดเร็วก่อนที่คนอื่นๆยกเว้นเจเดนจะรีบมาดูด้วย หลังจากที่ดูจบนั้นทุกคนต่างก็มีสีหน้าอึ้งๆ
"รู้อยู่แล้วว่าวินเซนต์เป็นคนทำ" เจเรมี่พึมพำ "แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ แก๊สสีขาวนั้นมันคืออะไรกันแน่?"
"น่าจะเป็นตัวการที่ทำให้วินเซนต์เปลี่ยนไป" นาธานตอบ "คำถามในตอนนี้ก็คือ มันเป็นแก๊สอะไรกันแน่ที่ทำให้วินเซนต์เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่ามันน่าจะมีใครสักคนที่ตั้งใจให้วินเซนต์เป็นแบบนี้"
"ข้าจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย มันเป็นเรื่องอะไรกันเนี่ย ถ้าหากว่าท่านแจ็กสันอยู่ล่ะก็ ป่านนี้อะไรทุกอย่างมันคงจะง่ายไปหมด"
เจเรมี่บ่นอุบอิบขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ออกัสตัส นาธาน ไฮลาเรียสและเจเดนนั้นเบิกตากว้างเท่ากับไข่ห่าน และนั่นทำให้จัสตินและร่างเล็กอย่างเจเรมี่นั้นสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับแจ็กสันกันแน่
"จะ แจ็กสัน...งั้นเหรอ?"
ไฮลาเรียสทวนชื่อที่เจเรมี่พูดออกมาเมื่อกี้
"ใช่ มีอะไรเหรอ? ทำไมถึงมีสีหน้าเช่นนั้นเล่า?"
เจเรมี่ถาม
"เขาได้ติดเครื่องติดตามไว้ในตัวพวกเจ้าหรือเปล่า?" นาธานถามด้วยสีหน้าซีดๆ อึ้งๆเหมือนคนเป็นโรคเลือดธาลัสซิเมีย เจเรมี่และจัสตินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบไปอย่างโดยดีเพราะเห็นว่าไลแคนท์เหล่านี้ไว้ใจได้
"ข้าไม่แน่ใจหรอก แต่ว่าข้ามีหูฟังอยู่น่ะ เอาไว้สนทนากับเขาเมื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ อีกทั้งมันยังจับตำแหน่งของข้าเอาไว้ได้อย่างแม่นยำเชียวนะ แต่ว่าข้าไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้มันถึงช็อตบ่อยมาก ข้าอยากจะถอดทิ้งมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ข้าเองก็ลืมน่ะ"
เจเรมี่หันข้างและชี้เข้าไปที่หูฟังที่ตนเองกำลังสวมอยู่ ทันใดนั้นเองเจเดนก็พูดเสียงดังพร้อมกับเปิดประตูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
"รีบพาหนีออกไปจากที่นี่เลย! เร็วเข้า! ไปที่กระท่อมของข้ากับวินเซนต์ก่อน!!" นาธานรีบคว้ามือของจัสตินและวิ่งตามเจเดนไป ส่วนออกัสตัสก็รีบคว้าหูฟังข้างขวาของเจเรมี่อย่างรวดเร็วก่อนจะเหยียบมันจนพัง และรีบคว้ามือของเจเรมี่และรีบวิ่งตามเจเดนกับนาธานไปอย่างรวดเร็ว
"นี่! มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ!"
เจเรมี่รีบพูดขึ้นมาเสียงดัง โดยที่ขาของตนเองยังคงวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคนอื่นๆไปอย่างรวดเร็ว พอออกมาจากท่อระบายน้ำแล้ว นาธานรีบก้มตัวแปลงเป็นไลแคนท์แล้วให้จัสตินขี่หลังตนเอง ก่อนจะกระโดดตามเจเดนที่แปลงเป็นไลแคนท์และนำไปก่อนแล้ว เหลือเพียงแค่ออกัสตัสเท่านั้น
"ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ!"
"แล้วเจ้าจะรับได้ไหมล่ะ?" ออกัสตัสถาม "ว่าคนที่เจ้ากับวินเซนต์ไว้ใจอย่างแจ็กสันเป็นหนอนบ่อนไส้ของแวมไพร์ ที่วินเซนต์สูดกลิ่นแก๊สนั้นเข้าไป ทั้งเรื่องที่เจ้ากับวินเซนต์กลับไปร้อยปีแล้วความทรงจำบางส่วนสลับกันนั้นก็เพราะไอ้หมอนั่นแหละ!"
"เป็นไปไม่ได้หรอกน่า..." เจเรมี่ไม่เชื่อ "แล้วท่านไปรู้มาจากไหน?"
"เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังก่อน ตอนนี้เจ้าอย่าช้า! รีบขี่หลังข้าเร็วเข้า!"
เจเรมี่เบิกตากว้างแต่ก็รีบกระโดดขึ้นขี่หลังออกัสตัส ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะก้มตัวลงและกลายเป็นร่างไลแคนท์ พร้อมกับดีดขาและวิ่งไปยังข้างหน้าตามคนที่เหลือไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ทุกคนไม่ได้สนใจว่าที่ท่อระบายน้ำและที่แอนติเจนจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
#ฟิคต่างภพกุกวี
TBC. [01:12:2018]
ก่อนอื่นเราต้องขอโทษทุกๆคนที่เราหายไปนานเกือบเดือนด้วยนะคะ เนื่องจากว่าเรามีเรื่องมากมายที่ต้องไปสะสางน่ะค่ะ อาจทำให้อัพบ้างไม่อัพบ้าง บางสัปดาห์ก็ไม่ได้อัพบ้าง แถมช่วงนี้เราเองก็ไม่ค่อยได้เข้าทวิตด้วย พลาดข่าวไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย 55555 ยังไงก็ขอโทษที่หายไปนานด้วยนะคะ ทีนี้ก็มาต่อให้แล้วน้าาา
เอาแล้วๆ เกลือเป็นหนอนเข้าให้แล้วไงล่ะ สงสัยจังว่าวินเซนต์ที่ไม่ใช่นักรบแวมไพร์ที่เก่งที่สุดแล้วนั้นจะทำยังไงต่อไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ อย่าลืมติดตามด้วยนะคะ
มาลุ้นกันต่อในตอนหน้านะคะว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรบ้าง อย่าลืมเฟบ โหวต แชร์ กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์หรือว่าคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ด้วยนะคะ ถ้าฟีดแบคดีเท่ากับไรเตอร์ได้กำลังใจและอัพตอนต่อๆไปนะคะ
ปล. เนื้อเรื่องที่ผ่านมานั้นค่อนข้างเครียดแล้วทำให้ไม่มีฉากตัด แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ อีกไม่กี่ตอนก็น่าจะพบเจอกับทองคำแล้ว 5555555
ความคิดเห็น