คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : HUNT06 l สั่งรักครั้งที่6 ตอน แฟนหลอกหลอก {อัพ100%}
เวลา 11.28
นาฬิกา
นับตั้งแต่ที่ข้อตกลงระหว่างเราเริ่มต้นขึ้นภายในสถานที่ที่ซึ่งเต็มไปด้วยความลับ ฉันซึ่งไม่อาจทนอยู่กับสถานที่และเรื่องน่าสะอิดสะเอียดภายในสวนสนุกได้ จึงขอเขากลับมาก่อน
แน่นอนว่าฉันกลับมายังหอพักแค่คนเดียว
เพราะพี่จ๋าต้องอยู่ทำงานในฐานะมาสคอต
นั่นเลยทำให้บางส่วนที่ถูกเขากำหนดไว้ในข้อตกลงไม่อาจประสบผลสำเร็จหรือเกิดขึ้นจริงได้ทุกประการ
ทันทีที่ถึงห้องพัก ฉันก็เปิดและปิดประตูขังตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในแบบที่ชอบ
หากแต่ภาพของสถานที่ที่ได้เข้าไปเยี่ยมเยือนเมื่อช่วงสายของวันมันกลับทำให้
ความเงียบสงบที่เคยโหยหา กลับคละคลุ้งไปด้วยภาพและเสียงความทรงจำในอดีต
‘ปะป๊า แฟนอยากเรียนยิมนาสติกอ่ะ ส่งเงินมาให้หน่อยสิ...’
ฉันได้ยินเสียงของตัวเองซึ่งฟังดูสอดคล้องกับภาพหลอนในสถานที่แห่งนั้น
ก่อนที่ภาพรอบกายจะเริ่มปรับเปลี่ยนไปกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ห้อมล้อมรอบกายฉันไว้ด้วยกระจกเต็มตัวร่วมหลายสิบบาน
แล้วฉันได้ยินอีกแล้ว
เสียงเพลงของพวกคณะละครสัตว์...
‘ต้องยืดตัวแล้วฉีกขาให้กว้างกว่านี้…’ ฉันได้ยินเสียงของผู้ชายแปลกหน้ากำลังออกคำสั่งท่ามกลางเสียงคลอของดนตรี
หากแต่เสียงของเขาคนนั้นกลับมีมนต์สะกดประหลาดฉุดตัวฉันที่เคยนั่งชันเข่าหลังพิงกำแพงให้ลุกขึ้น
‘อะ...เจ็บ’
‘ต้องหัดทำตัวให้อ่อนกว่านี้
เพราะงั้นอย่าบ่น...’ ฉันรู้สึกถึงสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นของใครหนึ่งที่กำลังแตะลงมาเนื้อเนื้อตัว
รับรู้ถึงการบนเบียดระหว่างลำตัวระหว่างเราทั้งที่ตรงนั้นมีเพียงฉันยืนอยู่เพียงลำพัง
ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่แขนสองข้างกลับค่อยๆ
ถูกเคลื่อนกางออกจนสุด เฉกเช่นเดียวกับขาสองข้างที่ค่อยๆ ฉีกแยกออกจากกันจนกระทั่งความสูงทั้งหมดถูกทิ้งให้อยู่ในระนาบเดียวกันพื้นห้อง
‘ก้มตัวแตะปลายเท้า
ช้าๆ...’ เสียงที่ยังดังแว่วให้ยินส่งผลให้ร่างกายทำตามคำสั่งอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ฝ่ามือยืดแตะลงกับปลายเท้าซึ่งถูกฉีกห่างจากลำตัวออกไปจนระดับหน้าอกแตะลงกับช่วงบริเวณหัวเข่า
ก่อนตามมาด้วยเสียงแว่วของคำชม
‘เก่งมากค่ะ คราวนี้ลองใช้ความตัวอ่อนควบคู่กับเสียงเพลงดูค่ะ...’
คำชมที่ตามด้วยคำแนะนำถึงขั้นส่งผลให้ฉันขยับเขยื้อนร่างกายในลักษณะอ่อนช้อยให้คล้อยไปตามทำนองเพลงของคณะละครสัตว์ที่ไม่มีอยู่จริง
กึก...
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่
รู้แค่ว่าร่างกายทุกส่วนที่คล้ายกับถูกฝึกมาอย่างดี
กำลังตอบสนองต่อเสียงของภาพหลอน ขยับเคลื่อนไหวร่างกายไปตามท้วงทำนองเช่นนั้นนับตั้งแต่ท่าฉีกขาโดยอาศัยการไถลลำตัวช่วงบนและบริเวณหน้าอกหมอบราบลงกับพื้น
ก่อนค่อยๆ บิดตัวเอียงกายนอนนาบลงกับระนาบของพื้นขนาบกับเรียวขาข้างหนึ่ง
โดยขาอีกข้างค่อยๆ ถูกยกขึ้นสูงจากพื้นจนกระทั่งขนานกับข้างลำตัว
ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวแบบคนตัวอ่อนที่ไร้ซึ่งการบังคับดำเนินไปตามทำนองเพลงหลอนในหัว
ขยับเลื้อยไล้เปลี่ยนที่ท่าราวกับว่าช่วงเวลานั้นฉันคือสมาชิกคนหนึ่งของการแสดงโชว์ของพวกคณะละครสัตว์
ทว่า ไม่นานนักทุกการเคลื่อนไหวที่ไร้ซึ่งการบังคับกลับต้องหยุดชะงักลง
เมื่อเสียงเรียกเข้าสมาร์ทโฟนดังขึ้น
Rrrrr
สติและความรู้สึกทั้งหมดถูกดึงกลับคืนสู่โลกของความจริงอีกครั้ง
ก่อนพบว่าสถานที่ที่เคยถูกห้อมไว้ด้วยกระจกเวลานี้ได้เลือนหายไปกลับกลายเป็นห้องพักเก่าๆ
แสนธรรมดา กับตัวฉันที่กำลังเกลือกกายอยู่บนพื้น
ซึ่งภาพความจริงที่อยู่ตรงหน้ามันก็ทำให้ฉันเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเริ่มตั้งสติและจัดการขยับตัวคลายออกจากท่ายากของพวกนักยิมนาสติกให้กลับคืนสู่ท่านั่งปกติ
Rrrrr
หากแต่เสียงเร่งเร้าของสมาร์ทโฟน
ก็ไม่อาจทำให้ฉันนั่งนิ่งแบบเก่าต่อไปได้ จำใจต้องลุกขึ้น เพื่อหยิบมันมากดรับสาย
“ว่าไงโจ?” ฉันเอ่ยขึ้นทันทีที่กดรับสาย
[เธอหายไปไหน
ทำเมื่อเมื่อวานถึงห้องแล้วไม่ติดต่อกลับมา?]
“ฉันเพลียน่ะ เลยนอน”
ฉันกำลังโกหกเขา
เพราะรู้ดีว่าหากพูดความจริงไปมีหวังหมอนี่ต้องบ่นไม่หยุดแน่ๆ
[แล้วเป็นยังไงบ้าง
ช่วงหลายวันมานี้เห็นภาพหลอนอะไรบ้างหรือเปล่า?] เห็นไหมล่ะ
เพราะขนาดไม่เลี่ยงจะพูดอีกเรื่อง
คนอย่างโจนาธานก็สามารถถามเรื่องอื่นออกมาได้อยู่เสมอนั่นแหละ
“ถามทำไม?”
[ที่ที่อยู่ตอนนี้น่ะ
มันทำให้ฉันเห็นภาพหลอน...] และนี่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้โจนาธานโทรหาฉันล่ะมั้ง
[ออกมาหาหน่อยสิ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว]
“ที่ไหน?”
[ตอนนี้...ฉันยืนอยู่หน้าหอพักเธอ]
-JHAA TALK-
เวลา 11.37 นาฬิกา
ห้องน้ำพนักงานสวนสนุก Dream Land
“แฮ่ก...”
‘จูบกับตัวตลก...ตัวตลกตัวนี้แทนได้ถูกไหม?’ เสียงหวานๆ ของเธอที่ผมอยากได้ยิน
ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท
เช่นเดียวกับรสสัมผัสของผิวปากที่เธอเป็นฝ่ายบรรจงมอบให้
ยามหลับตาแล้วนึกถึงความรู้สึกพวกนั้น
ความคิดที่เคยมีก็เหมือนถูกบดบังด้วยความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่
ร่างกายเหมือนเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงที่เคยมีจำต้องพิงแผ่นหลังลงกับผนังห้องน้ำแทนหลักยึด
“อ่า...” หน้าเงยขึ้นอย่างปฏิเสธที่จะควบคุม สูดปากแผ่วๆ
แทนการระบายความรู้สึกเหล่านั้นที่มีให้หมดไป จนกระทั่งร่างทั้งร่างกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยและระบายอาการเหล่านั้นที่มีให้หมดไป
ทั้งที่ควรหมด
แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ และยังรู้สึกต้องการมากกว่านี้...
ทว่า
ความต้องการและอาการหอบแผ่วๆ หลังความรู้สึกภายในถูกปลดปล่อย กลับไม่ได้คงอยู่ให้ผมเสพหรือดื่มด่ำกับมันได้นานเท่าที่อยากรู้สึกนัก
เมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น
Rrrrr
[โหลพี่...] เสียงเข้มคุ้นหูดังลอดผ่านสายทันทีที่ผมกดรับ
“ว่า?”
[เด็กพี่เพิ่งเดินออกจากตึก
ไปกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ท่าทางดูสนิทกัน สงสัยจะเป็นแฟนกัน…] สิ่งที่ปลายสายรายงานทำผมชะงักเล็กน้อย ขณะหูยังคงได้ยินเสียงของมันดังลอดผ่านสาย
[แต่ว่าผมติดใจอยู่นิดหน่อยว่ะพี่ชาย]
“ติดใจเรื่อง?”
[ก็ไอ้คนที่อยู่กับเด็กพี่น่ะ
ผมรู้สึกคุ้นๆ หน้ายังไงก็ไม่รู้] ผมไม่ได้ยินสิ่งที่คนในสายพูดชัดเจนเท่าไหร่นัก
เมื่อสายตาเลือกที่จะเลื่อนมองไปยังภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกที่มองกลับมา
มันคือภาพของมาสคอสตัวตลกหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวที่ผู้คนต่างขนานนามให้มันว่า
‘เทวดา’ หรือ ‘Buffoon mime’ หากแต่คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยรับรู้หรือทราบประวัติแท้จริงของตัวตลกตัวนี้เท่าไหร่นักว่าชื่อที่แท้จริงของมันไม่ใช่
Buffoon mime แบบที่หลายคนเข้าใจ แต่ว่าเป็น Laughing
Jack ถึงจะถูก
Laughing Jack คือฆาตกรที่ใช้หน้ากากและชุดตัวตลกคอยปิดบังและหลบซ่อนมือและใบหน้าเปื้อนเลือดของตัวเองออกจากสายตาของผู้คน
มันใช้เสียงหัวเราะและท่าทางร่าเริงเฉกเช่นตัวตลกในสวนสนุกทั่วๆ ไป เพื่อใช้หลอกล่อเหยื่อให้เข้ามาติดกับ
ก่อนจัดการฆ่าและฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ
และนี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมมาสคอตตัวตลกหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวตนนี้
จึงมักถูกผมหยิบมาใช้งานจนการเป็นข้อแตกต่างจากตัวตลกหรือมาสคอตตัวอื่นๆ ของ Dream Land เพราะว่า Laughing Jack มันเหมาะสมและดูคล้ายกับผมที่สถานะของฆาตกรติดตัวไม่ต่างกันนั่นยังไงล่ะ
ยิ่งจ้องตาตัวเองในกระจกมากเท่าไหร่
ผมก็เหมือนถูกนัยน์ตาของปีศาจคู่นั้นดึงดูดให้กลับไปสู่ในคืนวันเก่าๆ
‘ไอ้ศอว์
มึงเข้ามาช่วยกูจับอีนี่ทีดิ!!’ ผมได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือของผู้ชายคนหนึ่ง สลับกับเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของหญิงสาวคนหนึ่ง
ผมจำความรู้สึกของตัวเองเวลานั้นที่มีไม่ต่างจากตอนนี้ได้
เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเกิดขึ้นไวมาก
ผมเห็นเพียงเท้าของตัวเองที่กำลังเดินตรงดิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ และได้ยินเสียง กรีดร้องปานจะขาดใจของหญิงสาวดังขึ้นเป็นหนสุดท้าย
ก่อนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบหนักของตัวเองขณะกำลังเคลื่อนไหวตัวตนครอบครองร่างเล็กสั่นเทิ้มของหญิงสาวในสภาพเนื้อตัวเปื้อนเลือด
‘อ๊ะ...อะ...พี่ศอว์...’ เธอร้องครวญชื่อผมกระท่อนกระแท่นตามจังหวะการสอบสะโพกที่ได้รับสลับกับเสียงครวญในลำคอของตัวผมเอง
‘อ่า...’ หากแต่ในช่วงเวลาขณะเราทั้งคู่ร่วมรักกันแบบไม่ใช่เพราะไม่เต็มใจ
จำได้ว่ามือผมตอนนั้นกำลังกำมีดปลายแหลมซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเลือด
จำได้แม้กระทั่งกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณรวมถึงร่างโชกเลือดของผู้คนที่นอนไม่ไหวติงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากเราสองคน
‘ป๊าไม่ให้ฉันเรียกยิมนาสติก
ท่านบอกว่ามันไร้สาระ...’ แต่ก่อนที่ภาพของโศกนาฏกรรมจะดับมอดลงไป
ผมก็ยังได้ยินเสียงหวานเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น ‘พี่ช่วยสอนฉันได้ไหม?’
‘แลกกับอะไรล่ะ?’ และเสียงของผมที่ถามเธอกลับไปพร้อมคำตอบที่ได้รับมา
‘แลกกับการเป็นแฟนหลอกๆ
ของฉันก็ได้’
[พี่จะให้ผมทำยังไงกับสองคนนั้นต่อดีครับ?] นั่นจึงพลอยให้ปากที่หยุดขยับส่งเสียงไปช่วงขณะหนึ่ง กลับมามีโอกาสใช้งานอีกครั้ง
“จับตาดูสองคนนั้นไว้
เดี๋ยวกูไป อ้อ! แล้วก็...” แต่ก่อนที่สายระหว่างจะตัดจากกัน
ผมก็ไม่ลืมที่จะกล่าวแทรกเสียงตอบรับของผู้ฟัง เพื่อเน้นและย้ำเป็นหนสุดท้าย “โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนนั้น มึงจัดการสั่งสอนให้รู้ตัวที ว่าไม่ควรยุ่งกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่กูอีก...”
[ได้ครับ พี่ศอว์]
สิ้นเสียงรับคำ สายสนทนาระหว่างเราก็ถูกตัดไป โดยที่ตานั้นยังคงจับจ้องเงาสะท้อนของตัวตลกในกระจกเงาตรงหน้าแบบไม่อาจละสายตา
ผมเห็นความโกรธแค้นที่สะท้อนออกจากนัยน์ตาของเงาตัวตลกในกระจกสะท้อน
เห็นความชิงชังที่มีมากพอๆ กับความรู้สึกที่พยายามเกลียดชัง
เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็คงเพราะ
‘แล้วไม่คิดอยากจะคบกับพี่จริงๆบ้างเหรอ?’
‘ถ้าฉันบอกว่าตอนนี้ยังล่ะ...’ คำพูดติดตลกซึ่งแฝงไว้ด้วยความจริงจังของเธอเปรียบเหมือนการขีดเส้นแบ่งพื้นที่ระหว่างเราไว้ให้อยู่ที่ที่เหมาะสม
‘พี่จะรอไหม?’
‘ได้ งั้นพี่จะรอ’ ทั้งที่ให้สัญญากันไว้แบบนั้น
‘อ๊ะ...พะ พี่ศอว์...’ ทั้งที่เคยครวญเรียกหาขณะร่างกายของเราทั้งคู่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
‘ชะ ใช่...นี่พี่เอง...พะ พี่ขอโทษ
พี่ขอโทษ...’
‘อะ...ระ รัก ใช่ไหม...อะ...’ ทั้งที่เคยหลุดคำพูดบอกความรู้สึกชวนให้สั่นสะท้านชวนฝันให้แก่กัน
จนกลายเป็นบ่วงผูกติดใจ
‘อะ อือ...ระ รัก
รักสิ...’ ทั้งที่ยอมจำนนและจมอยู่กับความทรมานภายกรงขังของพวกเดนมนุษย์อย่างทุกข์ทน
เพราะหวังว่าวันหนึ่ง เราจะได้กลับมาใช้คำว่า ‘รัก’ ร่วมกันอย่างเปิดสักครั้ง
เวลาในแต่ละวันที่ผ่านไปไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในจึงมีแต่คำว่าว่า ‘รอ’ แต่ว่า...
‘เมื่อเช้าไอ้ร็อคก็มาตรวจสภาพจิตที่นี่
เออ แล้วแม่งก็ฝากให้กูเอานี่ให้มึง...’ ใครจะคิดว่าในวันหนึ่งการรอคอยที่ผ่านพ้นมาเนิ่นนานร่วมหลายปีจะพังลงด้วยภาพถ่ายใบเดียว
มันคือภาพถ่ายของผู้หญิงเพียงคนเดียวซึ่งยังคงติดอยู่ในใจในชุดผู้ป่วยสีขาวสะอาดตา
หากแต่ในภาพถ่ายใบนั้นกลับเป็นภาพของเธอกำลังกอดคอชายอีกคนอย่างสนิทสนม
ในท่าทางที่กำลังจุมพิตกันตามสไตล์วัยรุ่นต่างประเทศในเชิงรักใคร่ ลำพังแค่องค์ประกอบด้วยรวมบนภาพถ่ายมันก็มากพอแล้วที่จะทำให้กลางอกเหมือนถูกบีบให้เจ็บ
แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับตัวหนังสือสั้นๆ ซึ่งถูกเขียนติดไว้บนรูปถ่ายว่า ‘My BoyFriend’
ที่เปรียบเป็นเหมือนมีดแหลมคมที่ค่อยๆ กรีดลงบนเนื้อหัวใจสดๆ
แม้จะเป็นเช่นนั้น
แต่ผมก็ไม่อาจเลื่อนสายมองสิ่งในภาพใบดังกล่าวได้ มองภาพของผู้หญิงที่เป็นเหมือนความทรงจำ
และเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ทำให้ผมกลั้นใจฝ่าเรื่องเลวร้ายให้รอบหลายปีมานี้ได้โดยไม่ปริปากบ่น
และเธอก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมรู้ว่า ความเกลียดชังและความแค้นที่ควบคู่มากับความรักมันมีหน้าตาเป็นยังไง
นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกกันว่า
ทั้งรักทั้งเกลียด...
-FAAN TALK-
เวลา 11.50
นาฬิกา
ร้านกาแฟ F
“แล้วที่ว่าเห็นภาพหลอนน่ะ
นายเห็นอะไรเหรอ?”
บทสนทนาเกิดขึ้นทันทีที่ฉันถูกโจนาธานพามานั่งภายในร้านกาแฟตรงกันข้ามกับหอพัก
เหตุผลที่เราเลือกมาร้านกาแฟมากกว่าจะพากันขึ้นไปบนห้องฉัน ก็คงเพราะ
ต่อให้สถานะระหว่างเราจะขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนกัน
ถึงอย่างนั้นฉันก็สะดวกใจที่จะพูดคุยกับเขาในที่ที่ไม่ลับหูลับตาคนมากกว่า
“ไม่รู้สิ...ฉันเห็นภาพของตัวเองถูกทำร้าย
มันเจ็บไปหมด” โจนาธานบอกแบบนั้นพลางใช้มือกุมไปยังขมับของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ก่อนเริ่มละล่ำละลักความหวาดกลัวของตัวเองให้ได้ฟัง “ฉันเห็นภาพหลอนของคนที่เคยทำร้ายฉันกับพวกของมัน
คอยตามไปทุกที่”
ก่อนเปลี่ยนมาตั้งคำถาม
“ละ แล้วเธอล่ะ
กลับมาเมืองที่เคยเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ไม่รู้สึกหรือเห็นภาพหลอนในอดีตบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่นี่
ฉันเห็นแต่ภาพความจริง” ส่วนนี่ก็คงเป็นคำตอบของฉัน
“ฉะ
ฉันไม่คิดว่าการกลับมาที่นี่เป็นความคิดที่ดี เรากลับอังกฤษกันเถอะ…นะแฟน กะ กลับไปใช้ชีวิตเริ่มต้นใหม่ที่นั่น…” รับรู้ได้ถึงอาการหวาดกลัวที่โจนาธานมีผ่านเสียงที่เขาเสนอ
ส่วนฉันก็ทำแค่นั่งอกนิ่งๆ และมองสีหน้าและอาการรนรานคล้ายกับคนหวาดกลัวของเขาอยู่แบบนั้น
โลกใบนี้น่ะมันโหดร้ายนะ
ผู้คนเริ่มทำร้ายและฆ่ากัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน
ฉันเกลียดโลกนี้แต่ก็ยังต้องทนหายใจใช้ชีวิตต่อไปอย่างคนไม่รู้จะหลบหนีไปไหน
แม้ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือการตาย แต่ฉันกลับเลือกที่จะอยู่ อยู่เพื่อมองความพุพังของสิ่งต่างๆ
รอบกายตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน...
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมเปิดใจพูดคุยและทำความรู้จักกับโจนาธานและปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเรามาถึงจุดนี้ก็คงเป็นเพราะเราสองคนมีอะไรที่คล้ายกัน
ไม่ว่าจะสิ่งที่ทำหรือความคิดบางอย่าง รวมถึงเรื่องที่ถูกกระทำระยำภายในเมืองนี้
“ฉันอยากอยู่ที่นี่ นายไม่คิดเหรอว่าที่นี่มันมีอะไรให้ทำตั้งเยอะ…”
หลังปล่อยให้คนตัวใหญ่ละล่ำละลักความรู้สึกของตนเองอยู่ครู่ใหญ่
มันก็ถึงคราวที่ฉันจะเปิดปากพูดบ้าง “ถ้านายอยากกลับก็กลับไปก่อนได้นะ
ฉันขอหาอะไรทำที่นี่สักพัก ถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะตามกลับไป”
พอพูดออกไปแบบนั้น
คนฟังก็รีบฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันทีคล้ายกับหมดทางเลือก ข้อดีของโจนาธานก็คือเขาไม่เคยคิดจะปล่อยฉันให้เผชิญโชคเพียงลำพังแต่จะคอยอยู่ข้างๆ
และคอยหยิบยื่นน้ำใจส่งมาให้ แต่ข้อเสียของเขาก็คือเขาเป็นพวกระมัดระวังตัวและหวาดระแวงเรื่องในอดีตที่คอยตามหลอกหลอนมากเกินไป
“เธอนี่ดีจังเลยนะ...”
หลังจากโจนาธานฟุบหน้าลงกับได้ครู่สั้นๆ
เขาก็เอ่ยขึ้นโดยพลิกหน้าตะแคงมองหน้าเล็กน้อย “ทำไมผลข้างเคียงของการรักษา
ถึงไม่ทำให้ฉันลืมเรื่องในอดีตเหมือนเธอได้บ้างก็ไม่รู้”
ก่อนจะพลิกหน้าฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้งพร้อมคำพูดประโยคสุดท้าย
“ถ้าลืมได้ มันก็คงดี...”
มันก็อย่างที่โจนาธานบอก ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยไฟฟ้า
มันทำให้ผู้ที่เคยได้เข้ารับการรักษาบางรายสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป ซึ่งมันไม่อันตรายนักหรอก
บางรายสูญเสียเพียงวันสองวัน บางรายเป็นอาทิตย์ บางรายเป็นเดือนหรือเป็นปี
แต่กับฉันมันต่างออกไป…
“เฮ้ แฟน...” เสียงเรียกของโจนาธานทำฉันสะดุ้งจากวังวนความคิดนิดหน่อย ก่อนพบว่าชายหนุ่มที่ตอนแรกอยู่ในท่าฟุบหน้าลง
เวลานี้ได้กลับมาอยู่ในท่าพลิกหน้าช้อนตามองฉันอีกครั้ง “ถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่า?”
“ตั้งแต่กลับมาที่นี่
เธอนึกหรือจำเหตุการณ์วันที่ถูกเดนมนุษย์พวกนั้นทำร้ายได้บ้างไหม?”
“ไม่รู้สิ...จำได้แค่วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อน
กับภาพในบ้านผีสิงแค่นั้น แล้วก็…” จริงอยู่ที่ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยไฟฟ้าจะไม่มีผลกระทบอะไรกับฉันมากนัก
ถึงอย่างนั้นฉันจำไม่ได้หรอกว่าช่วงแรกที่เข้ารับการรักษาตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร
หมอบอกว่าที่จำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผลข้างเคียงของการรักษา
แต่เป็นเพราะในช่วงเวลาที่ถูกกระทำฉันตกอยู่ในอาการช็อก จนสมองบางส่วนทิ้งความทรงจำในช่วงนั้นไป
แต่ก็ใช่ว่าลืมแล้ว
จะลืมทั้งหมด ต่อให้ภาพบางส่วนในความทรงจำจะเลือนราง แต่ฉันยังจำเขาได้...
‘เธอยังเด็กอยู่เลย
ชื่อแฟนใช่ไหม?’
ชายแปลกหน้าที่มักปรากฏตัวเข้ามาให้การช่วยเหลือในทุกครั้งที่ฉันเกิดปัญหาและอาสาจะช่วยรักษาอาการป่วย ทั้งที่เขาเป็นผู้เริ่มต้น ให้เรื่องระยำในวันนั้นเกิดขึ้น
‘พี่ชื่อจ๋านะ’
“แล้วก็อะไร...”
ฉันสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ เสียงโจนาธานดังแทรกความในหัวให้หยุดลง
ซึ่งการที่เขาทำเช่นนั้นมันก็ทำให้ฉันนึกได้ว่ายังพูดสิ่งที่ค้างคาไว้ไม่จบดี
“ฉันลืมแล้ว” แต่เพราะเรื่องเก่าๆ ไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดถึงเท่าไหร่
การตัดบทสนทนาระหว่างเราให้จบลง จึงเป็นเรื่องที่ฉันอยากทำมากที่สุด
“อะไรกัน! เธอนี่!”
โจนาธานส่งเสียงคำรามในลำคออย่างขัดใจ พลางผละตัวออกจากโต๊ะแล้วบ่น “พูดให้อยากรู้แล้วก็ตัดจบกันดื้อๆ แบบนี้เนี่ยนะ!?”
“แล้วมันไม่ดีเหรอ?”
ฉันถามยิ้มๆ เชิงยียวน
หากแต่การแสดงออกลักษณะนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเริ่มยิ้มได้
“ทำเพื่อฉันเหรอ?
ขอบคุณนะ” เขากำลังคิดไปเอง แต่ก็นะ...มันดีแล้วล่ะ
เราสองคนจะได้เปลี่ยนเรื่องคุยกันสักที
เมื่อบทสนทนาเก่าๆ
ที่ไม่น่าจำยุติลง
สายตาที่เคยมองจ้องไปยังคนตัวใหญ่บนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็มีอันหันเหไปทางอื่น
ฉันมองผ่านกระจกใสของร้าน มองตรงไปยังตึกหอพักเก่าๆ บนถนนฝั่งตรงข้ามก่อนต้องสะดุดตาเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งโดยบังเอิญ
ชายผู้นั้น
สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนขาสามส่วน โดยสวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าอีกชั้น
เขากำลังนั่งก้มหน้าก้มคุยโทรศัพท์อยู่บนม้านั่งตัวยาวหน้าทางเข้าหอพัก
และภาพที่เห็นนอกกระจกใสของร้านมันก็ทำให้ฉันเผลอหลุดยิ้มมุมปากอย่างห้ามไม่ได้
ซึ่งการเผลอแสดงสีหน้าและรอยยิ้มเช่นนั้นขณะมองออกไปนอกร้าน
มันเลยทำให้ใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันสังเกตเห็น จนเกิดเป็นคำถาม
“ยิ้มอะไรของเธอน่ะ?”
“ไม่มีอะไร”
ฉันปฏิเสธแม้ว่าตัวเองในเวลานั้นยังคงรอยยิ้มไว้บนหน้า
“ไม่มีอะไรได้ไง
ก็เห็นอยู่ว่ากำลังยิ้ม” สิ้นเสียงของโจนาธานสายตาที่เคยมองผ่านกระจกใสของร้านกาแฟจึงค่อยๆ
เลื่อนกลับไปยังใบหน้าคมคายของเขาอีกหน
สีหน้าของโจนาธานตอนนี้มันเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรขึ้นเป็นหนที่สองหลังจากที่ได้สบตากัน มันก็เป็นเสียเองที่ชิงพ่นคำถามออกไปก่อน
“บรรยากาศตึกเก่าที่นี่
เหมือนตอนอยู่ที่อังกฤษเลยว่าไหม?”
โจนาธานดูแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น
แต่เขาก็ยังตอบกลับ
“ก็นะ...ไม่รู้สิ เอาเข้าจริงฉันไม่ค่อยชอบบรรยากาศแถวนี้เท่าไหร่...” ทว่า คำตอบของโจนาธานก็ไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยได้จนสิ้นวลีสุดท้าย เมื่อฉันเป็นฝ่ายโน้มลำตัวขยับเข้าไปหาเขาแล้วกล่าวแทรกขึ้น
“บรรยากาศน่าจูบกันนะ
ว่าไหม?”
“WHAT!? อารมณ์ไหนของเธอกัน...อะ”
กึก…
นี่คงเป็นหนที่สองแล้วที่โจนาธานไม่มีโอกาสได้พูดจบ
เมื่อฉันตัดสินใจหยัดมือสองข้างลงกับโต๊ะ แล้วเคลื่อนลำตัวยื่นเข้าไปให้เขาอีกครั้ง
แล้วเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเดิม
“นี่โจ...จูบฉันหน่อยสิ...”
และอีกสิ่งซึ่งเป็นข้อดีของโจนาธานก็คือ
ความเชื่องของเขาที่มักแสดงความเต็มใจและยินดีทุกครั้งที่ถูกร้องขอให้แสดงความรักในที่ต่างๆ
กึก...
เขาหยัดมือลงข้างหนึ่งลงกับโต๊ะพลางใช้มือข้างที่เหลือเคลื่อนมาสัมผัสปลายคางฉันไว้
และเป็นฝ่ายค่อยๆ เคลื่อนลำตัวโน้มจากอีกฟากฝั่งลงมาหาเพื่อทำตามสิ่งที่ถูกร้องขอ
“อืม...” ริมฝีปากของโจนาธานไม่เหมือนกับสัมผัสจากริมฝีปากของผู้ชายคนอื่น
แม้ว่ามันจะนิ่มนวล เบาหวิว และอ่อนโยนมากแค่ไหน หากแต่มันกลับจืดชืด และเย็นชา
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะเขา
แต่เป็นเพราะตัวฉันเองที่ปิดตายความรู้สึกเหล่านั้นจนหมดสิ้นนับจากวันนรกในครั้งนั้นจบลง
เราจูบกันไม่บ่อยนัก
พอๆ กับการจับมือนั่นแหละ นั่นรวมไปถึงเรื่องเซ็กซ์
ที่เราทั้งคู่ยังไม่มีโอกาสได้ทำร่วมกัน อย่างที่บอก ฉันไม่เคยเปิดโอกาสให้เราสองคนมีช่วงเวลาใกล้ชิดกันถึงขั้นนั้นนักหรอก
อยากทำก็จะทำ
ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ฉันสะดวกใจที่จะเป็นแบบนั้น
ส่วนตอนนี้ถ้าถามว่าฉันอยากจูบกับเขาจริงอย่างที่ขอหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่...
เพราะในช่วงเวลาที่ผิวปากกำลังรับรู้ถึงแรงบดเบียดของริมฝีปากเย็นชืดที่โจนาธานมอบให้นั้น
ฉันกลับไม่ได้รู้สึกถึงความรู้สึกอื่นใดได้อีกนอกจากภาพของชายในเสื้อยืดสีน้ำเข้มที่ยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าหอพักไม่ขยับไปไหน
ฉันมองเขาจากพื้นที่ภายในร้านกาแฟด้วยหางตา
และทำเช่นนั้นแม้ว่าแขนทั้งสองข้างกำลังเคลื่อนเข้าคล้องรอบคอเจ้าของจูบเอาไว้...
เพียงไม่กี่วินาทีเทียบเท่าความรู้สึก
ริมฝีปากจืดชืดของโจนาธานก็ค่อยๆ ผละออกไป
พร้อมกับสายตาของผู้คนที่กำลังเข้ามานั่งใช้บริการอยู่ภายในร้านกาแฟ
คงเพราะพวกเขาคงไม่ชินกับวัฒนธรรมต่างชาติแบบเปิดเผยในรูปแบบนั้นนักล่ะมั้ง
เราทั้งคู่จึงตกเป็นเป้าสายตาของคนในร้านไปแบบไม่ต้องสงสัย
ด้วยสถานการณ์ที่ลงเอยเช่นนั้น
ฉันจึงตัดสินใจลุกออกจาที่นั่งริมหน้าต่างโดยไม่ลืมฉุดมือโจนาธานให้ลุกตามออกมาด้วย
อีกทั้งการทำเช่นนั้นมันก็ทำให้ฉันสังเกตเห็นได้ว่า ชายแปลกหน้าในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้ตั้งท่าลุกขึ้นจากม้านั่งเช่นกัน...
จริงอยู่ที่ฉันเป็นพวกไม่ค่อยสนใจหรือแคร์สิ่งต่างๆ
รอบตัวเท่าไหร่นัก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป และคงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง
คนบนฟ้าจึงลงโทษฉัน ที่ตัดสินใจพาตัวเองและโจนาธานหลบหนีจากสายตาพวกนั้น เพราะจังหวะที่กำลังข้ามทางม้าลายสวนกับชายแปลกหน้าคนนั้น
จู่ๆ กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับสวนผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว
บรื้นนนนน
ความเร็วของเครื่องยนต์ขนาดเล็กส่งผลให้ฉันที่ไม่ทันระวังตัวและไม่คาดคิดถึงเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน ถูกความเร็วของมอเตอร์ไซค์คู่กรณีเฉี่ยวเข้าอย่างจังจน
ฟึ่บ! ปึก!
“แฟน!” โจนาธานเองก็ดูตกใจไม่ต่างกันนัก
เขาตะโกนด้วยความตกใจอย่างสุดเสียงพร้อมทั้งรีบฉุดมือฉันที่เขาคว้าไว้จนแน่นเข้ามากอดไว้
ต่างจากรถคู่กรณีที่เฉี่ยวแล้วก็ขับหนีออกไป “เวรเอ้ย! แม่งขับรถเชี่ยอะไรของมันวะ!!”
ท่ามกลางเหตุการณ์ชวนระทึกและน่าตกใจบนทางม้าลาย ฉันรู้สึกเจ็บแสบบริเวณต้นแขนและหลังมือจากการถูกรถมอเตอร์ไซค์คันดันกล่าวเฉี่ยวชน
หนนี้ฉันไม่เห็นวี่แววของเทวดาที่มักปรากฏตัวเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาเวลานั้นคือภาพของผู้คนภายในร้านกาแฟที่กำลังพากันเกาะกระจกมองด้วยอาการตกใจไม่ต่างกัน
รวมถึงชายแปลกหน้าในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินที่ค่อยๆ
เดินสวนผ่านไปอีกฟากของถนนเมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลง...
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
อีกหนที่โจนาธานถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ขณะผละตัวฉันให้ออกจากอ้อมอกไปนิดหน่อย เพื่อดูอาการและบาดแผลตามเนื้อตัว
“นิดหน่อย ไม่เป็นไร”
ฉันบอกเขาแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้โจนาธานหยุดมองหาบาดแผลและร่องรอยตามตัวลงที่ไหน
จำต้องพูดออกไปอีก “รีบข้ามถนนเถอะ เดี๋ยวมีรถแปลกๆ
ขับมาเฉี่ยวอีกจะแย่”
ฉันไม่ได้อยากทำลายความเป็นห่วงเป็นใยของโจนาธานนักหรอก
แต่ก็อย่างที่บอก กลางที่เราเอาแต่ยืนอยู่กลางถนนบนทางม้าลายแบบนี้ มันอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันแบบนี้เป็นหนที่สองได้ก็เท่านั้นเอง...
โจนาธานเองก็ไม่ได้แสดงขัดขืนต่อคำบอกกล่าว
เขาทำเพียงแค่มองฉันนิ่งๆ
ขณะรับฟังด้วยแววตาและสีหน้าที่คล้ายกับคิดอะไรอยู่ก็เท่านั้น ก่อนจะกระชับมือฉันให้แน่นขึ้นแล้วพาข้ามข้ามถนนไปยังทางวิถีฝั่งตรงข้าม
ทันทีที่ที่ข้ามฝั่งมาได้เป็นผลสำเร็จ
ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังมองไปยังชายแปลกหน้าในชุดสีน้ำเงินอีกครั้ง ทว่า ทั้งที่เพิ่งเดินสวนกันไปได้ไม่นาน
บนพื้นทางวิถีของถนนฝั่งตรงข้ามกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งวี่แววของใครให้ได้เห็น
ฟึ่บ!
“นั่งก่อนสิ
ขอดูแผลหน่อย” ซึ่งฉันก็ไม่ได้มีโอกาสมองหาชายคนดังกล่าวนานนักหรอก
เมื่อใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันส่งเสียงขึ้น
พาดึงฉันไปนั่งพักยังม้านั่งตัวยาวด้านหน้าหอพัก เขาไม่ใช่แค่ดึงให้นั่งหรือขอดูบาดแผลเท่านั้น
แต่ยังเริ่มจับแขนฉันขึ้นและมองสำรวจไปทั่วรอยถลอกที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเมื่อครู่อีกด้วย
“ถลอกหมดเลย...”
ฉันได้ยินเสียงของโจนาธานบ่น “ไอ้เวรนั่นขับรถไม่ดูคนเลยให้ตายสิ!”
ทั้งที่อยู่ใกล้และควรจะได้ยินเสียงของเขาชัดกว่าเสียงอื่นใด
ทว่า ช่วงเวลาเดียวกัน
ฉันกลับได้ยินเสียงบิดเร่งเครื่องยนต์ขนาดเล็กดังแทรกขึ้นจากที่ไกลๆ
บรื้นน...
ก่อนที่เสียงดังกล่าวจะดังใกล้เข้ามามากขึ้น
มากขึ้น อย่างรวดเร็ว
บรื้นนนน
บรื้นนนนน
จนกระทั่งปรากฏภาพของชายตัวสูงในชุดเครื่องแต่งกายสีดำสนิททั้งชุดพร้อมด้วยต้นตอของเสียงเครื่องยนต์คำรามเข้ามาในสายตา
บรื้นนน...
ภาพของชายคนดังกล่าวทำฉันไม่อาจละลดสายตาไปจากการปรากฏตัวของเขากลับไปยังโจนาธานได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากวาดขาลงจากรถคู่ใจและถอดหมวกกันน็อกใบใหญ่ออกจนเผยให้เห็นใบหน้าดุดันดูไม่เป็นมิตรแสนคุ้นเคย
ก่อนทิ้งรถที่น่าจะเป็นของหวงแหนลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ตรงปรี่เข้ามาหาฉันด้วยท่าทางรีบร้อน
ฟึ่บ! ผลัก!
“เฮ้ย! อะไรวะ!?” เขาผลักโจนาธานที่กำลังดูบาดแผลให้ออกห่างอย่างไม่สนใจว่าระหว่างฉันกับโจนาธานนั้นมีสถานะเป็นอะไรกัน
แต่การกระทำเช่นนั้นของเขากลับไม่ได้ตกอยู่ในความสนใจเท่าไหร่ เมื่อเทียบเท่ากับใบหน้าคมคายซึ่งกำลังฉายแววของความตกใจให้รู้สึกผ่านแววตา
และถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ราวกับว่า
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
ราวกับว่าบาดแผลบนตัวฉันเท่านั้นคือเรื่องเขาให้ความสนใจ
แม้ว่าช่วงเวลาเดียวกันจะมีเสียงของโจนาธานโวยวายขึ้นก็ตาม
“มะ มึงเป็นใครเนี่ย!?”
เพราะสิ่งที่พี่จ๋าทำหลังเสียงของโจนาธานดังขึ้นคือการตวัดหางตามองกลับไปเพียงเท่านั้น
ด้วยนัยน์ตาคมกริบที่ดูไม่เป็นมิตรกับผู้ใดนัก มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ชายซึ่งเคยผ่านการถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักอย่างโจนาธานถึงกับผงะตัวถอยห่างออกไป
อย่างที่บอกพี่จ๋าดูไม่ได้สนใจโจนาธานมากเท่าไหร่นัก
เพราะเมื่อเสียงโวยวายของเขาเงียบลง พี่จ๋าก็เลื่อนสายตากลับมายังฉันอีกครั้ง ก่อนทำเรื่องน่าตกใจเช่นการโน้มตัวลงใช้แขนทั้งสองข้างช้อนอุ้มตัวฉันยกลอยออกจากม้านั่งทั้งๆ
อย่างนั้น
“เข้าไปทำแผลข้างในเถอะ”
พี่จ๋าพูดเพียงเท่านั้นก่อนตัดสินใจพาฉันที่เขาอุ้มช้อนไว้แนบอกเดินผ่านหน้าโจนาธานตรงเข้าสู่ภายในหอพัก
ราวกับว่าช่วงเวลานั้นมีเพียงฉันเท่านั้นที่เขามองเห็นในสายตา แม้ว่าจะมีเสียงของโจนาธานตะโกนดังไล่หลังมาก็ตาม
“เฮ้ย!
จะพาแฟนกูไปไหนวะ เฮ้ย!!”
แต่นั่น ก็ไม่ได้ช่วยให้พี่จ๋าหยุดทำหน้าที่แฟนหลอกๆ ของตัวเองลงเลยแม้แต่นิด...
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น