คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : GOODIE24 ll เป็นโจรครั้งที่24 {อัพ100%} ยืนไม่ไหว
[ไม่ค่ะ...ครั้งนี้เราจะไม่คาดกัน พี่จะไม่ทำให้พริกรอเก้ออีก พี่สัญญา...]
คืนนั้นอ้ายก็อตวางสายไปพร้อมกับคำสัญญาที่ลั่นไว้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ไม่รู้เป็นเพราะอ้ายซีเอาเรื่องที่เราคุยกันไปบอกหรือเปล่า ถึงทำให้เขาซึ่งหายหน้าหายตาไปตลอดทั้งวันยอมโทรกลับมาและพูดเรื่องแปลกๆ แบบนี้
ซึ่งไม่ว่าเหตุผลที่อ้ายก็อตโทรหาในครั้งนี้จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม
อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้ก็คือเขากำลังป่วยอยู่และคาดว่าน่าจะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน
A ใกล้หอพักฉันนั่นแหละ
‘โรงพยาบาลเอกชน A ชั้น 15’ คือสถานที่ที่อ้ายก็อตเคยบอกเอาไว้ว่าเขาอยู่นั่น ซึ่งมันก็แปลได้ว่า ตั้งแต่ตอนที่เขาบอกว่าตัวเองป่วยและกำลังไปหาหมอ ความจริงแล้วบางทีเขาอาจจะเข้าพักรักษาตัวมาก่อนหน้านี้แล้วก็ได้ ถึงได้บอกพิกัดชั้นห้องพักได้อย่างแม่นยำแบบนั้น
และการที่ฉันเจอพี่ชมพูกับอ้ายกอล์ฟที่โรงพยาบาลพร้อมกันวันนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน
บางทีพวกเขาอาจจะตั้งใจไปเยี่ยมอ้ายก็อตเหมือนอย่างที่สงสัยไว้...
อีกทั้งคำสัญญาครั้งใหม่ของอ้ายก็อตซึ่งฟังดูหนักแน่นกว่าครั้งไหน บวกกับคำสัญญาของอ้ายซี เลยทำให้ความหวังในใจเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ ยิ่งด้วยการที่อ้ายก็อตยอมพูดเรื่องของตัวเองบางส่วนให้ได้รับรู้แบบนี้แล้ว เรื่องที่เคยคิดว่าบางทีเขาอาจจะนอกใจจึงถูกตัดออกไปจากความคิดจนหมด
พอได้คำตอบในสิ่งที่เคยรู้สึกค้างคามาบางส่วน ไอ้ที่เคยเป็นกังวลและกลุ้มใจก็คล้ายกับจะหายไปด้วยเช่นกัน ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่กล้าที่จะพูดว่าตัวเองรู้สึกสบายใจได้อย่างเต็มปากอยู่ดี
เหตุผลก็เพราะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอ้ายกอล์ฟซึ่งถูกปกปิดเอาไว้ยังทำให้รู้สึกหวาดหวั่นทุกครั้งยามที่คิดว่าอ้ายก็อตจะเป็นอย่างไรหากว่าเขารู้เรื่องนี้เข้า ส่วนเรื่องที่สองที่ยังทำให้ฉันรู้สึกสบายใจไม่เต็มปากก็คงเป็นเสียงสะอื้นของคนรักที่ได้ยินผ่านสายตอนที่เรากำลังคุยกันเมื่อคืนนี้นั่นล่ะ...
เช้าวันศุกร์อาทิตย์แรกของการอยู่เมืองกรุง
ฉันพาตัวเองออกจากห้องพักแต่เช้าอย่างทุกวัน
และพูดได้เลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกโอเคมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา
แต่เหมือนความสุขมันก็มักอยู่ด้วยกันได้ไม่นานนัก
เพราะเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกไปจนสุด
สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าดันเป็นความทุกข์เสียอย่างงั้น
“ไง” เสียงเข้มเอ่ยปากทักขึ้นทันทีที่เรามีโอกาสได้พบหน้ากัน หลังจากที่เขาหายหน้าหายตาไปตลอดทั้งวันเช่นเดียวกับอ้ายก็อต
แม้ไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาตรงๆสักเท่าไหร่
บวกรวมกับสิ่งที่เขาเคยทำใส่ไว้เมื่อวันก่อน
ถึงอย่างนั้นฉันซึ่งเด็กกว่าก็ยังมีมารยาทมากพอที่จะไม่เมินเฉยต่อคำทักทายของผู้ที่โตกว่าอยู่ดี
“สวัสดีค่ะ” ยังคงเอ่ยปากทักทายกลับตามมารยาทแม้ว่าฉันจะไม่ได้มองหน้าเขาก็ตาม
แต่การตอบกลับเช่นนั้นดันทำให้คนตัวสูงหัวเราะดังหึในลำคอคล้ายกับกำลังตลกอะไร
พานให้ต้องช้อนตามองหน้าเขาด้วยความสงสัยในที่สุด
“ฝืนมากหรือเปล่า ที่ต้องทักทายกลับแบบนั้น?” หูน่ะได้ยินคำพูดประชดประชันของอ้ายกอล์ฟชัดเจน แต่สายตากลับมองอย่างอื่นที่ดูต่างไปจากที่เคย
แม้ว่าเขาจะงัดนิสัยร้ายกาจของตัวเองเพื่อหาเรื่องเหมือนอย่างทุกที
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมและดูขัดต่อกริยาร้ายๆของเขายามนี้ก็คงเป็นนัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาที่ยามนี้โปนอย่างกับปลาทองเหมือนกับผ่านการร้องไห้หนักๆมายังไงอย่างงั้น
“อ้ายกอล์ฟเองก็ดูฝืนๆนะคะที่ต้องพูดหาเรื่องหนูแบบนี้...”
คงเพราะฉันได้รับรู้เรื่องราวของเขามาบางส่วนจากอ้ายซีล่ะมั้ง
ปากถึงได้ขยับยอกย้อนกลับไปแบบนี้
“หมายความว่าไง?”
และการถูกย้อนมันเลยทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนน้ำเสียง
“ตาอ้ายกอล์ฟน่ะค่ะ โปนเหมือนกับปลาทองเชียว” ฉันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น และอาศัยจังหวะในช่วงที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องหน้าตัวเองเดินหนีออกไป
แต่ก็ใช่ว่าการเดินหนีที่ทำอยู่จะประสบผลสำเร็จอย่างสวยงามที่ไหน
เมื่อคนตัวใหญ่ยังคงนิสัยเดิมๆของตัวเองเอาไว้ และเริ่มเป็นฝ่ายเดินตามหลังมา
“ช่างสังเกตจริงๆนะเราเนี่ย...” พร้อมกันนั้นก็ใช้คำพูดยียวนกวนใจราวกับต้องการหาเรื่องกันไม่หยุด
ซึ่งคนที่โชคร้ายมันคือตัวฉันเองที่ลิฟต์สำหรับใช้งานเลื่อนมาหยุดเปิดตรงหน้าของเราทั้งคู่พอดี
กริ้ง!
ฉันก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ และรับรู้ได้ว่าขณะเดียวกันก็มีฝีเท้าของใครอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย
อ้ายกอล์ฟพาตัวเองมาหยุดยืนขนาบข้างภายในช่องสี่เหลี่ยมเล็ก
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
หน้ามองตรงไปยังประตูลิฟต์ที่เปิดอยู่และรอจนกระทั่งประตูปิดลง
ถึงได้พูดบางอย่างออกมา
“วันก่อนที่ทำรุนแรง...ขอโทษด้วย...”
คำพูดซึ่งฟังดูไม่สมเป็นเขาเท่าไหร่
ทำฉันแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนพูดเล็กน้อยอย่างนึกแปลกใจและรับรู้ได้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องวันนั้น
“ตอนนั้น...แค่อยากกอดจริงๆ แต่มันก็อดไม่ได้...ขอโทษด้วย”
“ช่างมันเถอะค่ะ...มันผ่านไปแล้ว”
ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดบอกความรู้สึกของเขาหรอกนะ
แต่คิดว่าถ้าไม่ถึงเรื่องวันนั้นเลยมันน่าจะดีกว่า
ด้วยเพราะเวลานี้ภายในลิฟต์ซึ่งคับแคบมีแค่เราสองคน
ฉันจึงใช้โอกาสที่มีในยามนั้นพูดเรื่องของตัวเองบ้าง “หนูเองก็ต้องขอโทษอ้ายกอล์ฟด้วยเหมือนกัน...”
“เรื่อง?”
“เรื่องที่หนูผิดสัญญา”
สิ้นเสียงเหตุผล คนตัวใหญ่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
นั่นเลยทำให้ฉันใช้ช่องว่างในตอนนั้นพูดออกมาอีก “หนูขอโทษนะคะที่พอเรากลับมาเจอกันอีก
หนูดันจำอ้ายกอล์ฟไม่ได้เหมือนอย่างที่เคยสัญญาไว้”
“…”
“ถ้าตอนนั้นหนูถามชื่ออ้ายกอล์ฟไว้สักนิดก็คงดี…”
ตลอดเวลาพูด ฉันได้กำมือแน่นเพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาพร้อมกันก็เพื่อกักกลั้นความอ่อนแอของตัวเองที่พร้อมประทุผ่านทางน้ำตาด้วยเช่นกัน
“หรือถ้าตอนนั้นหนูรู้สักหน่อยว่าอ้ายกอล์ฟมีฝาแฝด
บางทีเรื่องมันอาจไม่เป็นแบบนี้”
“...”
“หนูไม่รู้ว่ามันยังทันที่จะพูดคำนี้หรือเปล่า
แต่หนูก็ยังอยากพูดอยู่ดี”
“…”
“หนูขอโทษนะคะ”
กริ้ง!
วินาทีที่พูดจบมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงสัญญาณเตือนบอกชั้นภายในลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตุซึ่งถูกเปิดออก
ฉันกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอึกใหญ่หลังจากแสดงความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้ชายใจร้ายคนนี้ไปจนหมดเปลือกด้วยความจริงใจ ก่อนตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกจากตัวลิฟต์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรโต้ตอบกลับมา
ตึก... ตึก...
เดินออกห่างจากลิฟต์มาได้ไม่ถึงสามก้าว ความรู้สึกค้างคาที่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบมันก็ทำให้เท้าสองข้างหยุดลง
ร่างกายแสดงการตอบรับต่อความความรู้สึกแปลกๆของอีกฝ่ายด้วยการเหลียวหลังกลับไปมองผู้ชายซึ่งน่าจะเดินตามออกมาเหมือนอย่างทุกที ทว่า วินาทีที่หันกลับไป มันดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ
โดยที่ภายในนั้นยังคงปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเขียวยืนอยู่ภายใน
อ้ายกอล์ฟไม่ได้เดินตามฉันออกมา แต่เขาเลือกที่จะยืนอยู่ในลิฟต์แบบนั้นไม่ขยับไปไหน
ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากตอบรับสิ่งที่ฉันพยายามบอกผ่านความรู้สึกให้รับรู้
ทั้งที่มันน่าจะจบแล้วหลังจากที่ได้พูดความในใจออกไปจนหมด แต่ไม่ใช่เลย ความรู้สึกฉันดันไม่ยอมหยุดทำงานง่ายๆ
และยิ่งทำงานหนักมากขึ้นเมื่อได้เห็นท่าทีที่แปลกไปของผู้ชายใจร้ายในลิฟต์คนนั้น...
-GOLF TALK-
‘ถ้าตอนนั้นหนูถามชื่ออ้ายกอล์ฟไว้สักนิดก็คงดี…หรือถ้าตอนนั้นหนูรู้สักหน่อยว่าอ้ายกอล์ฟมีฝาแฝด
บางทีเรื่องมันอาจไม่เป็นแบบนี้’
ท่ามกลางความเงียบ
ผมได้ยินคำพูดของผู้หญิงคนนั้นดังวนเวียนอยู่ในหูไม่หยุด
‘หนูไม่รู้ว่ามันยังทันที่จะพูดคำนี้หรือเปล่า
แต่หนูก็ยังอยากพูดอยู่ดี’ เสียงของเธอบอกถึงความซื่อตรงตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเหมือนอย่างนิสัยที่แสดงออกให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ผมชอบความซื่อที่พริกมี
ไม่ใช่เพราะมันทำให้เธอดูโง่และหลอกง่าย
แต่มันทำให้ผมรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ จริงใจพอที่จะทำหรือพูดทุกอย่างที่คิดและรู้สึกอยู่ออกมาอย่างเถรตรง
แต่ขณะเดียวกันผมก็เกลียดความซื่อของเธอเช่นกัน
‘หนูขอโทษนะคะ’ ความซื่อตรงที่เป็นเหมือนเกราะจนผมไม่กล้าที่จะทำร้ายความบริสุทธิ์สดใสที่เหลืออยู่ในตัวเธอให้พังไปเหมือนดั่งที่ตั้งใจไว้
ผมยืนนิ่งแบบคนโง่อยู่ภายในช่องสี่เหลี่ยมแคบๆของลิฟต์
ไม่ใช่เพราะชอบความคับแคบภายใน
แต่เป็นเพราะขาของผมมันกำลังหมดแรงที่จะก้าวไปข้างหน้ามากกว่า
อีกทั้งการยืนพิงผนังลิฟต์อยู่ท่ามกลางความเงียบแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ในหัวคิดได้ยินอะไรหลายๆอย่างได้มากขึ้น
‘เป็นไงบ้างพี่ ตอนที่ผมไม่อยู่
ยัยนั่นมีเพื่อนคุยบ้างหรือเปล่า?’
[ก็พอมีนะ
ที่กูสังเกตมา ก็เห็นมีแค่เด็กมึงคนเดียวที่คุยกับพริก]
‘แอลน่ะเหรอ...เออ ก็ยังดี ยัยนั่นจะได้ไม่เหงา’ และดูเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินชัดมากที่สุดในหัวตอนนี้ก็คงไม่พ้นคำถามของรุ่นพี่ที่ผมเคารพ
[วันนี้พริกร้องไห้กับกู…กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงทำอะไรใส่น้องเขาบ้าง แต่กูว่าที่มึงทำอยู่มันเกินไป…]
คำพูดที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าทุกสิ่งที่พริกเป็นอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะน้ำมือของผมเอง
[กอล์ฟ
มึงรู้ใช่ไหมไอ้ที่มึงทำใส่น้องเขา มันทำให้น้องเขาไม่มีความสุข
มึงไม่สงสารน้องเขาบ้างเหรอวะ ไม่คิดจะให้น้องเขาสบายใจแทนที่ต้องเป็นทุกข์แบบนี้ไปตลอดเหรอ?]
‘แล้วอะไรที่ทำให้พริกมีความสุขล่ะ
ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่’
[มึงรู้อยู่แก่ใจดีกอล์ฟ...ว่าพริกต้องการอะไร] ใช่! ผมรู้
รู้มาตลอดว่าสิ่งเดียวที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการมันคืออะไร ซึ่งผมไม่อาจมอบให้เธอได้
[กอล์ฟ...น้องเขาอยากเจอไอ้ก็อต]
พอคิดมาถึงตรงนี้
ขาสองข้างที่พยายามฝืนยืนต่อมาได้ครู่ใหญ่ก็เริ่มอ่อนแรงลง
จำต้องทรุดตัวลงไปนั่งกองบนพื้น พร้อมกันนั้นผมก็ได้ยินเสียงของพี่ซีที่พูดความปรารถนาสูงสุดของผู้หญิงคนนั้นออกมา
[มึงฟังที่กูพูดหรือเปล่ากอล์ฟ...มึงควรปล่อยน้องเขาไปได้แล้ว]
ลมหายใจหนักๆถูกพ่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
พร้อมกันนั้นมือที่เริ่มเกิดอาการสั่นก็เลื่อนไปยังกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาแล้วโทรหาใครบางคนที่น่าจะเป็นที่พึ่งให้ได้ในเวลานี้
[ว่าไงมึง
โทรมาแต่เช้าเชียว กูกำลังจะไปทำงานเนี่ย...] เสียงที่ดังลอดผ่านสายหลังเสียงสัญญาณเชื่อมต่อยิ่งเพิ่มอาการสั่นที่มีในยามนี้ให้โหมรุนแรงมากขึ้น
แม้แต่จะขยับปากเพื่อพูดในสิ่งที่ต้องการ ยังดูยากไปหมด
“พะ พี่ซี...ผม..”
[มึงเป็นไรวะไอ้กอล์ฟ!?]
“ผม...ผมยืนต่อไม่ไหวว่ะ...มาหาผมหน่อยได้ป่ะ..”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #ผู้ชายสายโจร
ความคิดเห็น