คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : GOODIE21 ll เป็นโจรครั้งที่21 {อัพ100%} คนที่ควรห่วง
“ฉันบอกเขาว่าเธอมาที่นี่เพื่อที่จะคุยกับเขาเรื่องกอล์ฟกับน้องชาย
แล้วเขาก็ยื่นไอ้นี่มาให้…เขาบอกว่าถ้าเธอมีอะไรอยากคุยกับเขาให้โทรไปตามเบอร์นี้”
มีอะไรก็ให้โทรไปแทนงั้นเหรอ...
“กลับเข้าชั่วโมงกิจกรรมได้แล้ว
นั่งตรงนี้นานฉันชักจะเริ่มเบื่อแล้ว” ทันทีที่ส่งหมดเบอร์โทรศัพท์ให้เสร็จ
พี่แอลก็ไม่ได้รอให้ฉันเปิดปากถึงเรื่องคืนก่อนอีกแต่เลือกที่จะโวยวายออกมาเองพร้อมกันนั้นก็เก็บข้าวของลุกออกจากโต๊ะม้าหินไปซ้ำร้ายยังหันมาเร่ง
“ลุกสิ! น้องกะเหรี่ยง!”
แต่ว่า
ฉันยังไม่มีโอกาสได้คิดหรือชื่นชมเบอร์โทรศัพท์ในกำมือนานนักหรอก
พอถูกพี่แอลเร่งมาแบบนั้น ก็เลยจำต้องเก็บข้าวของของตัวเองลงกระเป่า
ลุกออกจากโต๊ะม้าหินตามหลังเธอไปอย่างเสียไม่ได้
นี่คงเป็นอีกครั้งที่ฉันเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของคณะแบบไม่ค่อยมีสมาธินัก
ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือว่าโชคร้าย
ที่ฉันดันมีสิทธิพิเศษซึ่งดันรู้จักกับพี่แอลเป็นการส่วนตัว
เลยทำให้ฉันไม่โดนลงโทษอะไรรุนแรงนัก นอกจากเต้นท่าน่าเกลียดๆ
ตามคำสั่งของพวกรุ่นพี่เท่านั้น
แต่นับว่าการถูกลงโทษก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับสภาพจิตใจของฉันตอนนี้อยู่เหมือนกันนะ การได้เต้น ได้หัวเราะไปกับเสียงการตีกลองเชียร์ มันทำให้ในหัวที่ต้องทนแบกความคิดและความรู้สึกมากมายที่มีตั้งแต่เข้ามาพักอยู่ในกรุงเทพฯ บรรเทาลงบ้าง
ไม่รู้เลยว่าหากฉันต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพังอย่างคนไร้เพื่อน ไร้คนรู้จัก
ไร้คนพูดคุยให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดที่มีลงบ้าง
ถึงตอนนั้นตัวเองจะเป็นอย่างไร...
เย็นวันนั้นหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม
ฉันพร้อมด้วยกระเปาผ้าใบเดินก็พาตัวเองเดินกลับหอพักเพียงลำพัง วันนี้ไร้ซึ่งการถูกรบกวนจากสิ่งรบเร้ารอบกายเหมือนอย่างปกติ
นอกจากอ้ายก็อตจะไม่ติดต่อมาหาเหมือนอย่างปกติแล้ว
วันนี้อ้ายกอล์ฟเองก็หายหน้าหายตาไปตลอดทั้งวันเช่นกัน
มันแปลกที่พวกเขาสองคนหายไปพร้อมกันแบบนี้
ในเมื่อพวกเขาเป็นพี่น้องกันนี่จะหายไปพร้อมกันมันแปลกตรงไหน อีกอย่างฉันก็เป็นแค่คนนอก
แม้จะรู้สึกร้อนรน กระวนกระวายใจแค่ไหน
สุดท้ายก็ได้แค่ตั้งข้อสงสัยเท่านั้นแหละว่าพวกเขาหายไปไหน...
เอ๊ะ! เดี๋ยวสิ!
ยังมีอีกคนนี่นาที่พอจะให้คำตอบที่ฉันอยากรู้ได้!
‘เขาบอกว่าถ้าเธอมีอะไรอยากคุยกับเขาให้โทรไปตามเบอร์นี้’
พอนึกถึงคำพูดพี่แอลเมื่อช่วงสายขึ้นมาได้
ฉันก็ไม่รอช้าที่จะเปิดกระเป๋าผ้าหยิบกระดาษเบอร์โทรที่ได้รับมาขึ้นมาดู
ไวเกินกว่าที่ต้องคิดหรือตัดสินใจว่าอะไรควรหรือไม่ควร
รู้อีกที
มือข้างที่เหลือก็กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดโทรออกตามเบอร์ที่เขียนอยู่บนกระดาษไปแล้ว...
[ตู๊ดดดดดดด...] แม้ว่าเท้ายังคงก้าวไปบนฟุตบาธไม่หยุด แต่ขณะเดียวกันหูก็คอยเงี่ยฟังเสียงตอบรับจากปลายสายอย่างใจจดใจจ่อ
มันตื่นเต้นนะที่ฉันกำลังมีโอกาสได้พูดคุยกับคนรู้จักของอ้ายกอล์ฟและอ้ายก็อตแบบนี้
คิดไม่ออกเลยว่าควรจะถามคำถามอะไรใส่เขาก่อนเมื่อปลายสายยอมกดรับ
[ฮัลโหลครับ...]
ไม่นานเสียงเข้มที่ฉันอยากฟังก็ดังลอดผ่านสายกลับมาในที่สุด
การที่เป็นเช่นนั้นส่งผลให้เท้าสองข้างที่เคยก้าวเป็นจังหวะหยุดลงโดยฉับพลัน
หัวใจเองก็กำลังเต้นรัวในแบบที่ไม่เคยเป็น
จนกระทั่งปลายสายกล่าวทักผ่านสายเป็นหนที่สอง [ฮัลโหล ฮัลโหล...ได้ยินไหมครับ]
“ดะ ได้ยินค่ะ!”
อาการตื่นเต้นบวกกับความประหม่าทำฉันรีบตอบรับปลายสายกลับไปทันทีก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามด้วยคำพูดที่พอจะนึกได้ในยามนั้น
“อะ อ้ายคืออ้ายซีแม่นก่อ?”
สิ้นเสียงถาม
ปลายสายก็เงียบลงไป แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่จะเอ่ยตอบรับกลับมา
[ใช่...นั่นใคร
พริกก่อ?] ด้วยคำถามที่เหมือนรู้อยู่แล้ว
“ชะ
ใช่เจ้า...ที่ป๊ะกันวันก่อน ตั๋วยังจำเฮาได้แม่นก่อ?”
[อ้อจำได้! ที่ยะเมาบ่เนียนที่ผับคืนก่อนแม่นก่อ ทำไมจะจำไม่ได้?] อ่า...ให้ตายสิ ขายขี้หน้าชะมัด [แล้วมีอะหยังถึงได้โทรมาแบบนี้?]
“นะ น้องมีเรื่องสงสัย...ตอนนี้อ้ายว่างคุยกะน้องก่อ?”
[ตอนนี้ตั๋วอยู่ไหน?]
“มหา’ลัยเจ้า...” ฉันตอบแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าการที่โทรหาเขาแบบนี้มันเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากน้อยแค่ไหน เพราะถามไปแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ ตอนแรกก็คิดแบบนี้แหละ
แต่เมื่อปลายสายพูดขึ้นต่อจากนั้นไอ้ที่รู้สึกเกรงใจก็เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นตื่นเต้น
[รออยู่เฮาอยู่นั่นล่ะ เดี๋ยวเข้าไปรับ]
30 นาทีต่อมา...
ฉันในตอนนี้เหมือนกำลังถูกแม่มดสาปให้เป็นก้อนหินอยู่ภายในร้านกาแฟของมหาลัยใกล้กับตึกศิลป์
ไร้เสียง ไร้การขยับเขยื้อนร่างกาย
แม้แต่การกลอกตามองไปรอบตัวยังดูยากไปหมดสำหรับเวลานี้
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็คงเพราะเบื้องหน้าฉันมีใครอีกคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบหน้าตัวเป็นเพื่อพูดคุยนั่งอยู่ด้วยน่ะสิ
ตั้งแต่ที่อ้ายซีบอกว่าจะมารับในสาย
ตอนแรกฉันก็คิดอยู่ว่ามันอาจจะเป็นมุกตลกของเขาเพียงเท่านั้น แต่ใครจะคิดล่ะ
ว่าผู้ชายที่บอกว่าจะมาหาเมื่อ 25
นาทีก่อนผ่านสายโทรศัพท์ตอนนี้จะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจริงๆ
แถมเขายังเป็นฝ่ายเลี้ยงกินกาแฟแบบนี้!
“เป็นอะไรไป
ทำไมนั่งตัวแข็งแบบนั้นล่ะ?” เสียงเข้มของคนตัวสูงตรงหน้าทำฉันสะดุ้งนิดๆ
เพราะทำตัวไม่ถูกจำต้องรีบก้มหน้าก้มตาดูดกาแฟจากแก้วตรงหน้าเพื่อลดอาการประหม่าที่มีให้หมดไป
แต่การทำเช่นนั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดูออกถึงได้กล่าวออกมาอีกครั้ง “ไม่ต้องอายก็ได้นะ ยังไงเราก็คนบ้านเดียวกัน”
คำพูดเสมือนอยากให้ผ่อนคลายของอ้ายซี
ทำฉันแอบช้อนตามองเขาเล็กน้อย
ก่อนพบว่าทุกการกระทำที่ฉันแสดงออกอยู่ในตอนนี้ล้วนแล้วแต่ถูกนัยน์ตาคมคู่นั้นจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
ที่พอจะสร้างความกล้าให้แก่คนขี้อายอย่างฉันบ้างก็ดูจะเป็นรอยยิ้มบ่งบอกถึงความใจดีของเขานั่นล่ะ
“หนูไม่คิดว่า...อ้ายซีจะมาหาจริงๆนี่คะ”
เพราะเริ่มตั้งตัวได้ ฉันเลยบอกความรู้สึกของตัวเองไป
หากแต่นั่นกลับทำให้คนฟังหลุดหัวเราะออกมาเบาๆคล้ายชอบใจ ซ้ำร้ายยังพูดอะไรแปลกๆออกมา
“พริกเนี่ยเป็นคนเก็บสีหน้ากับความรู้สึกไม่อยู่เหมือนอย่างที่ไอ้กอล์ฟบอกจริงๆด้วย”
“ว่ายังไงนะคะ?”
จนอดย้อนด้วยความแปลกใจไม่ได้
“เปล่า ไม่มีอะไร”
อ้ายซีส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเป็นฝ่ายขยับท่าทางมาอยู่ในท่าเท้าคาง
โดยยังคงสายตามายังด้วยความสนอกสนใจอีกทั้งยังเป็นฝ่ายชวนคุยคล้ายกับจะเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วคืนนั้นที่แกล้งเมาน่ะ ไอ้กอล์ฟมันเชื่อหรือเปล่า”
ไม่รู้เป็นเพราะเคยถูกเขาจับได้มาก่อน
หรือเพราะรู้สึกอับอายเมื่อนึกถึงเรื่องคืนก่อนกันแน่
เมื่ออีกฝ่ายยิงถามมาแบบนี้ทั่วหน้าก็ร้อนขึ้นจนเผลอเบือนสายตาหลบไปจากการถูกจ้องมอง
ส่วนปากก็ตอบคำถามกลับไปแบบไม่เต็มเสียงนัก
“มะ ไม่รู้สิคะ...”
“งั้นเหรอ?” และดูเหมือนว่าคนตัวใหญ่จะไม่ได้สนใจคำตอบที่ได้เท่าไหร่นัก
สิ่งที่เขาตอบรับกลับมาคล้ายกับเป็นการพูดแบบขอไปทีแค่นั้น
ไม่รู้หรอกว่าอ้ายซีรู้อะไรมา แต่หากว่าฉันไม่ได้ตื่นเต้นจนเพี้ยนล่ะก็
‘พริกเนี่ยเป็นคนเก็บสีหน้ากับความรู้สึกไม่อยู่เหมือนอย่างที่ไอ้กอล์ฟบอกจริงๆด้วย’ สิ่งที่อ้ายซีหลุดพูดออกมานั้น มันคือเรื่องของฉันที่เขารู้จากปากอ้ายกอล์ฟ
“แล้วที่พริกโทรหาพี่วันนี้
มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“มะ มีค่ะ!” ความตื่นเต้นและอาการประหม่าซึ่งยังคงมีอยู่ส่งผลให้ทันทีเมื่อสิ้นเสียงอ้ายซี ปากก็เริ่มขยับไปเองอย่างลืมตัว ทำเอาคนตัวใหญ่ตรงหน้าหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกำสงสัย
ครั้นจะถอยหลังกลับและเปลี่ยนเรื่องคุยก็ดูท่าจะไม่ทัน เพราะคนตรงหน้าดันต่อยอดคำตอบของฉันออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มีเรื่องอะไรไหนบอกสิ?”
ทั้งที่อยากรู้อะไรหลายๆอย่าง
แต่พอเอาเข้าจริง ลิ้นมันก็ดันแข็งไปเสียดื้อ แถมในหัวก็ยังว่าง
เหมือนกับคำถามทั้งหมดที่มีมันได้หายไปนับตั้งแต่ที่ผู้ชายคนนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ชิด
อาจเพราะอ้ายซีเองน่าจะมองท่าทีฉัน
นั่นเลยเป็นอีกหนที่เขาเอ่ยขึ้น
“เรื่องที่อยากคุยน่ะเกี่ยวกับอะไรล่ะ
ระหว่างไอ้กอล์ฟกับไอ้ก็อต?” แถมยังเป็นคำถามที่ตรงอย่างสุดๆ
เพราะรู้ว่าโอกาสดีๆอย่างนี้มันมีเข้ามาไม่ได้บ่อยๆ
ฉันจึงควรคว้าโอกาสที่มีเอาไว้ให้มากที่สุด
ต่อให้จะรู้สึกประหม่าหรือตื่นเต้นแค่ไหน
ฉันก็คงต้องกลั้นใจฝ่าความรู้สึกเหล่านั้นไปให้ได้
“ทั้งสองเลยค่ะ”
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหาคำตอบและความรู้สึกแปลกๆที่ยังติดค้างอยู่ในใจ
“ว่ามาสิ...” อ้ายซีเองก็ดูจะใจดีเกินกว่าที่ฉันคาดไว้
เขาดูเตรียมพร้อมรับมือกับทุกๆคำถามที่คาดว่าจะหลุดจากปากฉันอย่างตั้งใจ
ไม่ได้แสดงท่าทีบ่ายเบี่ยงหรือเลี่ยงที่จะคุยเหมือนอย่างคนอื่น
“วะ
วันนี้อ้ายกอล์ฟกับอ้ายก็อตหายไปค่ะ หนูสงสัยว่าพวกเขาหายไปไหน?”
“เป็นห่วงเหรอ?”
ฉันพยักหน้าทันทีที่ถูกย้อน
“เป็นห่วงอ้ายก็อตน่ะค่ะ
เขาไม่เคยหายไปแบบนี้...”
“ห่วงก็อตแล้วถามถึงไอ้กอล์ฟด้วยทำไมล่ะ?” แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายย้อนกลับมาแบบนี้
“ก็พวกเขาหายไปนี่คะ
หายไปพร้อมกันแบบนี้หนูก็...” เสียงของฉันเงียบลงในช่วงท้ายประโยค
และเป้นฝ่ายหลุบสายตาไปจากนัยน์ตาคมตรงหน้าก่อน
เมื่อรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เอ่ยออกไปนั้นอาจทำให้อ้ายซีตั้งคำถามยอกย้อนกลับมาอีกหน
จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ
ฉันกำลังกลัวที่ต้องบอกเหตุผลล่ะมั้ง
ว่าเหตุผลที่อยากรู้ว่าพวกเขาหายไปไหนพร้อมกันก็เพราะฉันกลัวว่า
การที่ฝาแฝดคู่นั้นอยู่ด้วยกัน
แล้วอ้ายกอล์ฟอาจจะหลุดปากพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดในคืนนั้นให้อ้ายก็อตฟัง
“เฮ้ออ...” แต่แล้วความคิดในหัวกลับมีอันต้องสะดุดลง
เมื่อจู่ๆผู้ชายตรงหน้าพ่นลมหายใจหนักๆออกมาเสียงดัง จำต้องช้อนตามองอ้ายซีอีกครั้งด้วยความสงสัย
และพบว่าตอนนี้เขาไม่ได้มองฉันเหมือนอย่างตอนแรกอีกแล้ว
แต่เลือกจะมองผ่านกระจกใสออกไปนอกร้านแทน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มองแต่เขาก็ยังพูดกับฉันอยู่
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก
สองคนนั้นเขาไม่ได้ไปด้วยกัน...” พูดเหมือนกับรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไร
“ไอ้ก็อตน่ะ มันก็มีธุระของมันไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก”
และหากว่าสิ่งที่อ้ายซีกำลังพูดออกมานั้น เป็นการทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นล่ะก็ บอกเลยว่าเขาทำได้ดีทีเดียว ทว่า ท่ามกลางความสบายใจที่ฉันได้รับมากลับต้องหยุดลงอีกครั้งด้วยคำพูดของอ้ายซีนั่นแหละ
“คนที่พริกควรห่วงน่ะ น่าจะเป็นไอ้กอล์ฟมากกว่านะ”
To Be Continued...
เราหายไปแพ็กหนังสือสำหรับจัดส่งมางับ แฮ่ๆ
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #ผู้ชายสายโจร
ความคิดเห็น