ตอนที่ 3 : ตกสวรรค์ 50 %
“ผมยังเล่นได้ ผมเต็มที่กับการแข่งขันร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกนัด”
เสียงทุบโต๊ะปัง ก่อนใบหน้าคร้ามเข้ม รกรื้นดกครึ้มไปด้วยหนวดเคราราวกับไม่ได้โกนมาสักชาติหนึ่งได้ ชะโงกข้ามโต๊ะการเจรจาไปเพื่อจะยืนยันในสิ่งที่ตนเองพูด แต่สำหรับคู่สนทนาแล้ว มันเหมือนการข่มขู่มากกว่า
“ใจเย็นๆ สิวิล” แดนนี่ เอเย่นต์ของเขา ยื่นฝ่ามือมาตะปบลงบนหัวไหล่หนาเพื่อเตือนสติ
“นายกลับมานั่งลงก่อนดีกว่า ฉันเชื่อว่าเจสันมีคำตอบที่ดีให้นายได้แน่”
สะโพกตึงแน่นด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นเปรี๊ยะอย่างหนุ่มนักกีฬา จึงได้กระแทกทิ้งลงบนเก้าอี้นุ่มอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าและออกลึกๆ เพื่อที่จะผ่อนอารมณ์ที่คุกรุ่นข้างในให้เย็นลง
เจสัน ตัวแทนของสโมสรอเมริกันฟุตบอลชื่อดังต้นสังกัดของหนุ่มหน้าหล่อที่นั่งอีกฟากหนึ่งของโต๊ะเจรจา พยายามเก็บอาการครั่นคร้ามกริ่งเกรง รีบจัดเสื้อสูทให้เรียบร้อย พร้อมกับขยับนั่งตัวตรงอีกหน
“คุณต้องยอมรับนะวิล ว่าอายุที่มากขึ้น และอาการบาดเจ็บที่รบกวนมาตลอดหลายเดือนนี้ ทำให้ฟอร์มการเล่นของคุณตกลงไปมาก ฤดูกาลที่ผ่านมา คุณลงเล่นให้กับทีมได้เพียงหกแมตต์ แถมยังเล่นไม่จบเกมอีกด้วย”
“ก็อังเดรไม่ให้โอกาสผม” ตะคอกกลับ เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะหาเหตุผลมา ‘บีบ’ ให้เขาจนมุม และยอมรับว่าตัวเองด้อยประสิทธิภาพไม่เหมาะที่จะเป็นผู้เล่นให้ทีมอเมริกันฟุตบอลชั้นนำของNFL
“อังเดรเป็นผู้จัดการทีม เขามีสิทธิ์ที่จะให้ใครลงเล่น หรือไม่ก็ได้ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็ต้องพิจารณาความเหมาะสมและเห็นดีแล้วว่า ผู้เล่นคนอื่นทำได้ดีกว่าคุณ”
“ฮะ...ฮะ...อย่างนั้นหรือ?” แค่นยิ้มที่มุมปาก
สองสามปีมานี่ สโมสรทุ่มเงินซื้อนักกีฬาดาวรุ่งเข้าเสริมทัพอย่างบ้าคลั่ง เลยทำให้ผู้เล่นเก่าๆ ที่อายุเริ่มเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของอาชีพอย่างเขาได้รับโอกาสน้อยลงซึ่งก็เท่ากับบีบให้ออกจากทีมกลายๆ นั่นแหละ
สีหน้าคู่เจรจาดูจะหนักใจไม่น้อย กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย ไม่อาจคาดเดาได้ว่าไอ้หนุ่มกล้ามโตที่กำลังคุยด้วย จะหมดความอดทนแล้วลุกขึ้นมาตั๊นหน้าเขาในวินาทีไหน
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าวิลเลี่ยม โจนส์ มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้เล่นที่ดุดัน ถึงลูกถึงคนและไม่เคยกลัวใครตามสไตล์ควอร์เตอร์แบ็กทีมอเมริกันฟุตบอล ด้วยเหตุผลนี้แหละทางสโมสรยักษ์ใหญ่ถึงได้ส่งทนายหน้าหออย่างเขามาเจรจา หรืออีกนัยว่าอาจจะให้มารับหมัดแทนก็ได้
“ผมทุ่มเทให้กับทีมมาตลอดพวกคุณก็เห็น ทุกแมตต์การแข่งขัน ทุกฤดูกาลที่ผ่านมา กี่ความสำเร็จ กี่ถ้วยรางวัล ที่ผมทำและสร้างชื่อเสียงให้กับทีมนี้”
“ผมเข้าใจ และทางสโมสรก็ซาบซึ้งและตระหนักในข้อนี้ดี แต่ความสำเร็จที่ได้มาไม่ใช่เพราะคุณคนเดียว อเมริกันฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม และในทีมของเราก็เต็มไปด้วยดาวดังทั้งนั้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้โอกาสในการเป็นตัวจริงของคุณน้อยลงไปด้วย ทางสโมสรถึงเปิดโอกาสให้คุณได้ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง”
“ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเองงั้นหรือ?” คำถามอย่างปวดหัวใจ รู้ดีกว่ามันหมายถึงอะไร
“สรุปง่ายๆ ก็คือทีมไม่ต้องการผม สโมสรก็ไม่ต้องการผม หลังจากใช้ประโยชน์มาจนเกินคุ้ม หึๆ” เขาหัวเราะเยาะหยัน คงต้องยอมรับสินะ...ใบหน้าคร้ามบิดเบ้อย่างไม่สบอารมณ์
“พวกเขาเสนอจ่ายค่าฉีกสัญญาให้เท่าไหร่? พูดเรื่องตัวเลขมาตรงๆ เลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก” เอ่ยอย่างรู้ชะตากรรมของตัวเองดี ตั้งแต่ที่มีการนัดหมายเรียกให้เขาและเอเย่นต์ส่วนตัวเข้ามาเจรจานอกรอบพร้อมกันนั่นแล้ว
เจสันล้วงเอาซองขาวจากในกระเป๋าเสื้อสูทยื่นข้ามโต๊ะให้ไป
สายตาไม่เป็นมิตร จ้องกร้าว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว นี่ไม่ใช่การเจรจาตกลง แต่คือการยื่นโนติสให้โดยไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งหรือต่อรอง
เจสันกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ เมื่อเห็นสายตาคมดุดัน ของคนที่ไม่ยอมรับเงื่อนไขที่เขายื่นให้
“ผมเป็นแค่คนกลาง ทุกอย่างล้วนเป็นการตัดสินใจของบอร์ดบริหาร ผมอยากให้คุณเข้าใจว่า มันเป็นธุรกิจ” ออกตัวชัดเจน ว่าที่ทุกอย่างต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับเขา
แดนนี่จึงเป็นฝ่ายรับข้อเสนอสุดท้ายนั่นมาแทน ชายหนุ่มเปิดซองแล้วคีบเช็คใบเล็กออกมา สายตาเขาดูวิตกเล็กน้อยเมื่อเห็นตัวเลขที่ปรากฏบนนั้น ก่อนจะยื่นมันให้คนข้างๆ ดูตัวเลขเดียวกันที่ทำให้ถึงกับเดือดดาลขึ้นมาในทันที เพราะค่าฉีกสัญญาที่ได้ มันต่ำกว่าตัวเลขที่ทั้งคู่คาดการณ์เอาไว้
“นี่พวกเขาเห็นผมเป็นอะไรกัน ผมทำประโยชน์ให้พวกเขามหาศาลขนาดไหน กี่ปีแล้วที่ผมทุ่มเทและจงรักภักดีให้กับทีมนี้ ให้กับสโมสรแห่งนี้ เขาทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง?” น้ำเสียงตะคอกถามดังปานฟ้าผ่า ทำให้คู่สนทนาหัวหดอีกหนกับท่าทางเกรี้ยวกราดนั่น
“ใจเย็นๆ ก่อนสิวิล หมอนี่ก็มีหน้าที่แค่เป็นคนมาส่งเช็คเท่านั้น เขาไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยหรอก” แดนนี่ที่เห็นท่าทางฮึดฮัดหัวเสีย แต่รู้ดีว่าพวกเขาหมดข้อต่อรองแล้วแน่ๆ ยังไงเสียการฟ้องร้องก็ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ อีก นอกจากทำให้เรื่องวุ่นวายไม่รู้จบสิ้น ดูแล้วได้ไม่คุ้มเสียเมื่อต้องแลกกับชื่อเสียงและความนิยมที่ชายหนุ่มอุตส่าห์สั่งสมมานาน และยังจะกระทบกับฐานแฟนบอลที่เชียร์อยู่ด้วย
“ใช่ๆ” เจสันรีบผงกหน้ายืนยันเพราะกลัวท่าทางมุทะลุดุดันของอีกฝ่าย
“ฉันรู้นะว่านายผิดหวังขนาดไหน แต่ต่อให้อัดหมอนี่ให้น่วมตาย นายก็จะไม่ได้อะไรมากไปกว่านี้”
วิลเลี่ยมควรปิดฉากในอาชีพอย่างสวยๆ ด้วยการประกาศเลิกเล่นเอง ไม่ใช่การฟ้องร้องที่จะทำให้เสียชื่อเสียงที่ลดลงไปมากจากการที่เขาแทบไม่มีโอกาสได้ลงสนามเลย ตอนนี้มีดาวเด่นดวงใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในสโมสรเดียวกันเรียกได้ว่ารวบรวมดาวดังเอาไว้จนแทบล้นทีม
“ใช่...เขาพูดถูก ผมทำงานให้สโมสร เหมือนๆ กับคุณ เพียงแต่ต่างหน้าที่กันเท่านั้น คุณน่าจะเข้าใจ มันเป็นธุรกิจ และเมื่อคุณไม่ใช่ตัวทำเงินให้เขาอีกต่อไป เขาก็ต้องหาสินค้าตัวใหม่เพื่อขายต่อ”
ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซัดเข้ากลางแสกหน้าของเขาจนหน้าหงาย
ชื่อหรูๆ รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าที่เคยได้รับมาหลายปีติดจากต้นสังกัด..ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ต่างจากสินค้าตัวหนึ่งที่กำลังทำกำไรลดน้อยถอยลง และก่อนที่จะเข้าสู่สภาวะขาดทุนเต็มรูปแบบ คนพวกนั้นจำเป็นต้องกำจัดจุดอ่อนออกไปให้พ้นทีม เขาเองก็น่าจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี
แต่พอถึงเวลาที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตจริงขึ้นมา เขากลับรับไม่ได้
กว่าสิบปี ที่เขาเพียรพยายามสร้างชื่อเสียงขึ้นมาด้วยการทุ่มเทอย่างหนักให้กับอาชีพที่รัก ทุกหยาดเหงื่อและแรงกายที่รับใช้ทีมในอาชีพที่รักยิ่ง ตอนนี้มันถึงเวลาขาลงแล้ว คลื่นลูกใหม่ที่ซัดถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า กำลังจะหอบเอาคลื่นลูกเก่าอย่างเขาม้วนตลบกลับลงสู่ท้องทะเลและเงียบหายไปในที่สุด
...เป็นความจริง ความจริงที่ยอมรับได้ยากยิ่งนักสำหรับคนที่ติดกับดักชื่อเสียง และหลงติดอยู่กับความหรูหราฟู่ฟ่ามาตั้งแต่เริ่มเป็นดาวที่ส่องแสงกะพริบเพียงน้อยนิดในวงการอเมริกันฟุตบอล จนกระทั่งประสบความสำเร็จถึงขีดสุด จะว่าไปแล้ว เขาได้รับและกอบโกยมาจนคุ้มค่า
“เสร็จธุระของผมแล้ว ขอตัวก่อนนะ ขอให้พวกคุณโชคดี” เจสันลุกขึ้น ติดกระดุมเสื้อสูทให้เรียบร้อย ยื่นมือมาหา แต่คู่สนทนาไม่ได้สนใจที่จะรักษามารยาท มีเพียงเอเย่นต์ส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่ยื่นมือมาจับแทน
“ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ยังไงเงินจำนวนนี้ก็สูงเอาการอยู่ ถึงมันจะเป็นก้อนสุดท้ายแล้วก็เถอะ” ลับหลังร่างตัวแทนจากสโมสรไป แดนนี่ก็หันมาคุยกับคนหน้าเครียดที่ดูจะผิดหวังอย่างรุนแรง ทั้งที่คาดการณ์มาแต่ต้นแล้วว่ามันอาจจะลงเอยในรูปแบบนี้
“บางทีการที่พวกเขาตัดสินใจอย่างนี้มันก็ดีกับตัวนายนะวิล” แดนนี่พูดออกมาในที่สุด
ดวงตาคมปราดปรายไปมองคนที่พยายามเกลี้ยกล่อมและปลอบใจอย่างต้องการคำอธิบายของประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมา
“มนุษย์เราฝืนสังขารไปไม่ได้หรอก นายบาดเจ็บเรื้อรังมาหลายเดือน รักษาไม่หายเสียที หากยังฝืนเล่นต่อไปก็มีแต่จะแย่ลง ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นายอาจจะถึงขั้นพิการได้” คนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานว่า จ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายอย่างจริงจัง
ดวงตาคมกล้าหรี่ลง...แดนนี่พูดถูก แต่เขาไม่ยอมรับเองต่างหาก พยายามฝืนสังขารเพื่อที่จะเอาชนะ ผู้จัดการส่วนตัวคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ห่วงใยและปรารถนาดีต่อเขาจากใจจริงโดยไม่ต้องสงสัย
“นายลงเล่นตั้งแต่อายุสิบห้า ปีนี้ก็ยี่สิบเก้า กว่าสิบสี่ปีที่นายใช้ร่างกายมาอย่างสมบุกสมบัน ทั้งในและนอกสนาม และตอนนี้ร่างกายมันก็ฟ้องออกมาแล้วว่า ถึงเวลาที่นายต้องใส่ใจมันได้แล้ว ถ้านายเลิกเล่นตอนนี้ ยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูมันกลับคืนมาได้”
นี่ก็เป็นความจริงอีกข้อ ที่เขาต้องตระหนัก ว่าอายุยี่สิบเก้าปี แก่เกินไปสำหรับเกมหนักๆ และการปะทะอย่างรุนแรงในการแข่งขันคนชนคน ที่ผ่านมาแม้เขาจะดูแลตัวเองอย่างดีแค่ไหนแต่ก็หลีกเลี่ยงการปะทะในสนามไม่ได้
“ฉันรู้ว่านายรักอเมริกันฟุตบอล แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนาย ตอนนี้นายควรคิดได้แล้วว่าจะเบนเข็มไปหาอะไรทำหลังจากเลิกเล่น” คนแนะนำเองก็ครุ่นคิดตามไปด้วย
“เบนเข็มไปทำอย่างอื่นงั้นหรือ? จะให้ฉันไปทำอะไร ในเมื่อฉันอยู่กับอเมริกันฟุตบอลมาตลอดชีวิต” หันไปถามคนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดอย่างวิตกกังวลถึงอนาคตข้างหน้าที่มองไม่เห็น
“เราอยู่ด้วยกันมานาน ฉันไม่มีวันทิ้งนายอยู่แล้ว แต่เราจะไปทำอะไรกันต่อจากนี้ ขอเวลาให้ฉันคิดหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้นายควรหมั่นไปกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรง และรักษาอาการบาดเจ็บให้หาย นั่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากร่างกายพร้อม ใจพร้อม นายก็จะกลับไปสู้กับอะไรที่เข้ามาในชีวิตได้ไม่ยาก”
“ฉันคงต้องปรับตัวขนานใหญ่เลยสินะ” ดวงตาคมมองเหม่อ พร้อมกับหัวเราะให้กับตัวเองเมื่อคิดว่าชีวิตในสนามคงต้องจบลงจริงๆ ก่อนเวลาที่เขาได้เตรียมใจเอาไว้
“ชีวิตฉันมีแต่อเมริกันฟุตบอลมาตลอดหลายปี ตื่นเช้าก็ไปซ้อม บ่ายเข้าห้องยิม อยู่กับการแข่งมาเป็นสิบๆ ปี แต่ตอนนี้มันจบแล้ว ตื่นเช้ามาพรุ่งนี้ ฉันยังไม่รู้เลยว่า ฉันจะไปไหน หรือทำอะไรดี”
พูดอย่างคิดไม่ตก และวิตกกังวลกับมัน
“ตอนนี้นายก็มีอิสระแล้วไง ทำอะไรไม่ต้องคอยระวังตัวเองเหมือนแต่ก่อน อยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่ ไม่มีปาปารัชชี่มาคอยตามให้รำคาญใจ ไม่ต้องคอยควบคุมอาหาร ไม่ต้องวิตกกับเรื่องน้ำหนัก ไม่ต้องปะทะ หรือทำสงครามน้ำลายกับใคร นายอยากได้ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่หรือ?”
นั่นสินะ...อิสรภาพที่เขาโหยหามานาน แต่พอจะได้มันมาจริง เขากลับปริวิตกกังวลอย่างหนัก เพราะอิสระครั้งนี้หมายถึงหลายๆ สิ่งที่เคยได้รับจะหายไปจากชีวิตด้วย ทั้งชื่อเสียง...เงินทองที่ไหลมาเทมา...จากที่เคยมีแต่คนวิ่งเข้าหา มาขอลายเซ็นต์ ขอถ่ายรูป เสียงชื่นชม และแฟนคลับ ที่สุดสิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปจากชีวิตของเขา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
