ตอนที่ 14 : แม่สาวจอมจุ้น 100 %
“ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ”
มือเรียวคว้ากระเป๋าหยิบมาจ่ายค่าเครื่องดื่ม ก่อนจะลุกขึ้นก้าวฉับๆ จากไป โดยไม่สนใจคำทักท้วงตามหลังของเพื่อนอีกสองคน
“แล้วจะกลับยังไง?” กัลยกรถามอย่างเป็นห่วง เพราะรถของพิจิกาจอดทิ้งไว้ที่บริษัท ทั้งหมดเดินทางมาที่นี่ด้วยรถญี่ปุ่นของเธอซึ่งคันใหญ่ เหมาะที่จะเป็นพาหนะสำหรับสามสาวมากว่า
“คงกลับแท็กซี่กระมัง?” ตรีทิพย์ออกความเห็น
“อะไรของเขากัน ทำหน้าเหมือนกับเบื่อคนทั้งโลก”
“หรือว่าพิจิจะอกหักจริงๆ คนดีๆ ที่ไหนจะไปจูบผู้ชายแปลกหน้า แล้วไม่พอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูสิ หล่อขนาดนั้นถ้าเป็นฉันหิ้วกลับบ้านไปแล้ว”
ตรีทิพย์บุ้ยใบ้ไปที่กลางฟลอ แล้วก็ต้องแปลกใจ ที่หนุ่มหล่อปริศนาในปาร์ตี้คนโสดหายตัวไปด้วยอีกคน
+++++++++
พิจิกาเดินออกมาจากผับชั้นใต้ดินของโรงแรมด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน ปรารถนาลึกๆ จะเห็นกันตทัศน์ยังเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ เผื่อบางทีเขาอาจจะมีคำอธิบายดีๆ ให้กับเธอ แต่แล้วมันก็เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่ต่างจากที่หวังให้เขาหย่าขาดจากภรรยาเพื่อเลือกเธอ
การได้รู้จักกับศกุนตลา ทำให้เธอคิดว่า เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นเช่นนั้น น้อยนิดลงไปเสียยิ่งกว่า
“โอ้ย”
ขาที่เดินไม่มั่นคง จู่ๆ ก็พลิกจนเธอล้มพับลงไปกองกับพื้น บทชีวิตคนมันจะซวย โชคร้ายต่างๆ ก็ประดังประเดเข้ามา
“โธ่เว้ย” คำสบถฟังดูไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย ก่อนจะรีบยันตัวลุกอย่างทุลักทุเล
มาการิต้าสองแก้ว กับคอสโมแก้วหนึ่งคงไม่ถึงกับทำให้เธอเมาหรอก ก็แค่มึนนิดๆ แต่ไอ้กระโปรงทรงสอบ กับรองเท้าส้นสูงสามนิ้วที่ใส่ช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย
สุดท้ายเธอก็ถอดเฟอร์รากาโม่ที่เท้าทั้งสองข้างออกเพื่อให้ง่ายต่อการทรงตัว พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีฝ่าเท้าแบนราบเพื่อที่สามารถรับน้ำหนักของร่างกายได้อย่างดี แต่มนุษย์หนอมนุษย์ก็ช่างคิดค้นความยากลำบากให้กับตัวเอง คิดแฟชั่นที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเธอติดกับ และยากที่จะสลัดมันออกไปจากชีวิตได้
“อูย”
เสียงครางเบาๆ เมื่อขยับเท้าจะลุก ดูเหมือนเธอจะข้อเท้าพลิกตอนหกล้มเมื่อครู่นี้
มือใหญ่แข็งแรงยื่นมาช่วยอย่างมีน้ำใจ สายตาที่กำลังสาละวนอยู่กับข้อเท้าของตัวเองมองตามไล่เลื่อยขึ้นไปถึงแขนเสื้อเชิร์ตสีสุภาพจนถึงใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของ
ตัวเธอชาวาบอีกครั้งด้วยความกระดากอาย เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ผู้ชายที่เธอจูบด้วยกลางผับ
คนปั้นหน้าไม่ถูกหลุบดวงตาลงต่ำ พยายามจะลุกด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ทำไม? รังเกียจผมหรือ? เมื่อกี้เรายังจูบกันอยู่เลย” ท้ายเสียงติดตลกเมื่อเห็นท่าทีประดักประเดิดของหญิงสาว
ใบหน้าสวยบูดบึ้งเงยขวับขึ้นมองตาขวางอย่างไม่พอใจ
“หรือจะให้ผมช่วยอุ้ม”
เขาย่อตัวลงมานั่งยองๆ เพื่อจะคุยกับเธอได้สะดวก
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร” เสียงฉิวขึ้นจมูกว่า
“ผมก็ไม่ได้สงสาร แค่จะช่วย...เพราะเห็นว่าเราเป็นเพื่อนบ้าน...ที่เคยจูบกัน”
ท่าทางแตะมือที่มุมปากทำให้เธอต้องรีบเม้มปากแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะเป็นโจรปล้นจูบ
ฟรานเชสโก้นึกขำในใจ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไรทำให้นึกอยากตอแยผู้หญิงคนนี้ อาจจะเป็นเพราะความแปลก...และการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศเชยๆ ของเธอก็ทำให้เขาสะดุดตาเสียยิ่งกว่าพวกสาวๆ ที่พร้อมเสิร์ฟ อย่างข้างในนั้นมันจะไปเร้าใจอะไร
การที่พิจิกาจูบเขาเสร็จแล้วก็ชิ่งหนีหน้าตาเฉย กำลังสร้างคำถามอยู่ในใจ
จูบของเขามันย่ำแย่ ไม่เร้าใจตราตรึงหรือไง เธอถึงได้ผละจากอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าจะอาลัยอาวรณ์หรือคิดจะสานต่อแม้แต่นิด
แล้วไอ้ค้อนขวับๆ นี่อะไร เธอโกรธเขางั้นหรือ...ไม่มีเหตุผล ถึงเขาจะเป็นฝ่ายจูบเธอ แต่เป็นเธอไม่ใช่หรือที่ทำท่าเย้ายวนเชิญชวนเสียขนาดนั้น
“ตกลงว่าจะนั่งตรงนี้ทั้งคืนหรือ?” คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมกริบเลิกสูง
“ไม่...ฉันจะไปเรียกแท็กซี่” ว่าพร้อมกับยอมเกาะแขนเขาลุกขึ้น ร่างสูงขยับตาม แต่ก็ไม่สามารถยืนได้เองเต็มเท้าเพราะอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้าขวา
“แล้วรถคุณไปไหน?”
เขาก้าวเดินช้าๆ ตามคนกระเผลกที่ยังเกาะท่อนแขนเขาเอาไว้
“จอดไว้ที่บริษัท”
รู้งี้ขับรถมาเองเสียก็ดี แต่เพราะคิดเอาไว้ว่าคืนนี้เธออาจจะเมา ให้เพื่อนไปส่งที่บ้านน่าจะปลอดภัยกว่าขับรถเอง คนเราคงไม่โชคดีบ่อยๆ คืนวันนั้นเธอจอดรถทิ้งไว้ที่มินิมาร์ทหน้าหมู่บ้านทั้งคืน โชคดีแค่ไหนที่ได้หนูจี๊ดกลับคืนมาอย่างปลอดภัย เพราะพี่ยามของหมู่บ้านมาบอกให้
“คุณจะกลับไปที่บริษัทอีกหรือ?”
“ไม่หรอก ฉันจะกลับบ้าน”
ถึงมั่นใจว่าคืนนี้จะเมาน้อยกว่าคืนนั้น แต่เธอก็ไม่อยากเสี่ยง
“ผมก็กำลังจะกลับเหมือนกัน...กลับด้วยกันสิ” เขาเอ่ยชวนง่ายๆ
พิจิกาชะงักเท้าที่ก้าวลำบากลำบน ไหนจะมีภาระถือทั้งกระเป๋าและรองเท้าสองข้างอีก แถมตอนนี้ยังขาเดี้ยงเรียกแท็กซี่ดึกๆ ดื่นๆ น่ากลัวจะตาย
แต่พอปรายตามามองคนชวน...เขาก็อันตรายไม่น้อยไปกว่าหรอกน่า
“ว่าไงล่ะ ทางเดียวกัน ไปด้วยกันประหยัดดีออก”
“ฉันเกรงใจ” ตอบไม่เต็มเสียงนัก
คนตัวสูงกว่ายักไหล่ “ก็ไม่ได้รบกวนอะไรนี่?”
“แล้วคุณ...เอ่อ...ไม่กลับกับสาวๆ หรือ?”
ถามอย่างข้องใจ ใครมาปาร์ตี้แบบนี้ก็หวังที่จะไม่ต้องกลับบ้านคนเดียวกันทั้งนั้นแหละ แล้วแม่สาวชุดดำที่นัวเนียเขาจนแทบเข้าสิงเมื่อกี้หายไปไหน
“ก็คุณนี่ไง”
“นี่” เธอเท้าสะเอวมองหน้าเขาหาเรื่อง
“เรื่องคืนนั้นฉันเมา และคนเมาก็ทำเรื่องพลาดๆ ได้เยอะแยะไป ฉันไม่สนใจมันหรอกนะ อ้อ! และอย่าคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆ หรืออยากจะสานต่อ ขอบอกเลยว่า ไสเจีย เสียใจ เพราะมิตรภาพเดียวที่ฉันให้คุณได้น่ะก็แค่เพื่อนบ้าน” คนว่าหน้าดำหน้าแดง
และภาษาไทยของเขาก็ใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ฟรานเชสโก้เข้าใจได้ไม่หมดหรอกว่าหญิงสาวกำลังพูดเรื่องอะไร เขาเพียงผงกหน้า ยอมที่จะเป็นฝ่ายสงบศึก แม้จะไม่ได้คิดจะเปิดศึกกับเธอเลยก็ตามที
“ถ้างั้นคงไม่มีปัญหาที่คุณจะกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนบ้าน” เขาเอาคำพูดของเธอมาอ้าง
คนยังหอบเพราะพูดยาวๆ ชะงักไป ไม่มีคำตอบให้ รู้ตัวอีกทีเขาก็พาเธอมาถึงรถเสียแล้ว
“เชิญครับ”
บริการเปิดประตูให้อีก ผู้ชายพอจะจีบผู้หญิงเป็นอย่างนี้ทุกราย
พิจิกาชั่งใจเพียงนิดเดียว ก่อนจะก้าวโขยกเขยกขึ้นไปนั่ง กลอกตามองตามคนที่วิ่งอ้อมมานั่งยังที่เบาะคนขับ เมื่อเสียบกุญแจก็เห็นว่าเพิ่งเป็นเวลาแค่สามทุ่มเอง ยังไม่ดึกอย่างที่เธอคิด
“คุณอยากแวะที่ไหนหรือเปล่า?”
“ไม่” ตอบไปสั้นๆ
คนขับปรายตามามองเธอแว่บหนึ่ง รู้สึกว่าหญิงสาวยังไว้ตัวกับเขาจึงไม่ว่ากระไรต่อ หมุนพวงมาลัยบังคับเลี้ยวออกจากโรงแรม การจราจรบนท้องถนนไม่ถึงกับโล่ง และก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เลกซัสคันงามวิ่งด้วยความเร็วปกติผ่านถนนเส้นที่ยังถือว่าอยู่เขตเมือง น่าจะใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะไปถึงบ้าน
ในรถเงียบกริบ ท่ามกลางแอร์คอนดิชั่นเนอร์ที่เย็นเฉียบ จนพิจิกาเริ่มรู้สึกว่ามันเงียบจนเกินไป ความเงียบในพื้นที่แคบๆ กับคนที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดนิดๆ
“คุณจะไม่เปิดเพลงฟังหน่อยหรือคะ?” เอ่ยถามเชิงชี้แนะ
“อ้อ...ครับ”
ท่อนแขนยาวภายใต้เสื้อเชิร์ตยื่นมากดปุ่มเปิดวิทยุให้ตามคำขอ
‘ไม่รักไม่ต้องมาแคร์ ไม่ต้องมาดีกับฉัน...ไม่รักไม่ต้องมาหวง ไม่ต้องมาห่วงใยฉัน...ไม่รักไม่ต้องมาทำอะไรๆ ทั้งนั้น...เพราะใจฉันยังอ่อนแอ’
เสียงเพลงฮอตฮิตติดชาร์ตดังผ่านลำโพงของเครื่องเสียงชั้นเยี่ยม ก้องกังวานไปทั้งห้องโดยสาร เนื้อหาของเพลงที่กระแทกใจอย่างแรงทำให้คนฟังถึงกับสะอึก
พิจิกาปล่อยให้ตัวเองถูกดูดดึงเข้ากับอารมณ์ของเพลง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเธอกับกันตทัศน์ฉายชัดเป็นฉากๆ ราวกับตัวเองเป็นพระนางในมิวสิควิดิโอเพลงนี้เสียเอง
หัวใจเธอสั่นพร่า...และน้ำตาก็ไหลไม่รู้ตัว...เมื่อจบท้ายเพลงด้วยประโยค
‘... หยุดได้ไหมซักที ถ้าไม่รักก็ปล่อยกันไป’
ใบหน้าคร้ามเหลียวมามองอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ หญิงสาวข้างๆ ก็สะอื้นฮั่กๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เฮ้ๆ คุณเป็นอะไร มีอะไรหรือเปล่า ใจเย็นนะๆ” เขารีบชะลอความเร็วของรถลง เปิดไฟเลี้ยวก่อนจะหมุนพวงมาลัยเข้าข้างทางอย่างตกอกตกใจ
หญิงสาวยังคงสะอื้นไห้วิปโยคโศกศัลย์ ไม่สนใจฟังคำปลอบประโลมใดๆ ของเขา สุดท้ายรู้ตัวว่าพูดไปก็เหนื่อยเปล่า เขาจึงเลือกที่จะเงียบนิ่ง แล้วปล่อยให้เธอค่อยๆ หยุดไปเอง
อยากอ่านเต็มเรื่อง พร้อมให้โหลดนะคะ ^^
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
