ตอนที่ 6 : DADDY'OOO ซ่อนรัก 4 : : ฝานฝานคนเดิม [loading....150%]
4
ฝานฝานคนเดิม
“ไอ้ฝาน เย็นนี้อาจารย์ยกเลิกคลาสนะ”
“อ่าว เหรอ งั้นก็ดีฉันจะได้รีบกลับบ้านไปหาผิงผิง” ทันทีที่ได้ยินประโยคที่เชวาบอกดวงตาของฉันก็ลุกวาวโดยอัตโนมัติ
“ไอ้ฝาน ฉันถามแกจริงๆ เหอะนะ แกจะปิดเรื่องนี้ไปได้นานแค่ไหนว่ะแกไม่อยากให้ผิงผิงมีพ่องั้นเหรอ”
“พ่อที่ไม่เคยต้องการผิงผิงเลยอ่ะนะ จริงๆ ฉันคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะกลับมาเรียนซะอีก” ฉันหันกลับไปพูดกับเชวาซึ่งมันก็กำลังมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าสับสนเหมือนกัน แค่มองหน้ามันฉันก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรอยู่ในใจ เชวาเป็นเพื่อนสนิทกับฉันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนเก่าก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าฉันกับมันจะเรียนอยู่คนละมหาลัยแต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งล่าสุดบังเอิญว่ามันกับฉันดันใจตรงกันพอดีเรื่องย้ายคณะมันก็เลยถือโอกาสย้ายมาเรียนที่เดียวกับฉันนั่นแหละ สาเหตุที่เชวามันย้ายคณะและซิ่วมาเรียนใหม่เป็นเพราะความเบื่อแล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่มันเรียนมาก่อนหน้าไม่ใช่ตัวตนของมันซึ่งต่างจากฉันเพราะสาเหตุที่ฉันย้ายคณะเป็นเพราะเรื่องอื่น และก็เป็นความบังเอิญอีกเรื่องก็คือฉันกับเชวาดันมีเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยม.ปลายเรียนอยู่สาขาออกแบบภายในซึ่งเป็นสาขาที่ฉันย้ายมา หมอนั่นชื่อว่าซานเรียนอยู่ปี3 ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือถ้าไม่มีเรื่องบ้าๆบอๆ ในตอนนั้นเกิดขึ้นกับฉันซะก่อนตอนนี้ฉันก็คงเรียนอยู่ปี3 และตอนนี้ฉันก็คงนั่งบ้าๆบอๆ หรือไม่ก็คงเมาหัวทิ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งกับไอ้เหนือแล้วก็ไอ้แดน
“ฝานฝาน ฉันพูดจริงๆ นะว่าเรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แกคิดก็ได้ อีกอย่างแกก็เคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่ครูซอะไรนั่นน่ะจริงๆ แล้วเป็นคนดีแต่แค่ปากหมามากไปหน่อย”
“เออ ฉันเคยพูด” คิดแล้วฉันก็ได้แต่นึกย้อนตามคำพูดของเชวา จริงอยู่ที่ฉันเคยเผลอพูดเรื่องของพี่ครูซให้เชวาฟังแต่นั่นมันก็นานมาแล้วก่อนที่ฉันจะมีผิงผิงซะอีกใครจะคิดว่ามันจะยังจำได้
“ฉันนี่อยากเห็นหน้าพี่ครูซอะไรนั่นจริงๆ ว่าจะหล่อขนาดไหนถึงทำให้คนอย่างแกที่ไม่เคยชายตามองผู้ชายคนไหนมาก่อนแอบชอบได้” เชวาพูดขึ้นก่อนจะหัวเราะเบาๆ แต่ฉันว่ามันจงใจแกล้งฉันมากกว่า
“อย่าเรียกว่าชอบจะดีกว่า” ฉันสวนกลับทันที
“แกไม่ให้ฉันเรียกว่าชอบแล้วจะให้เรียกว่าอะไรย่ะ ไหนเคยบอกว่าตอนนั้นน่ะเวลามองหน้าพี่ครูซแล้วใจแกชอบเต้นแรง ฉันจำได้นะว่าแกเคยโทรมาขอคำปรึกษาฉัน”
“ฉันเคยพูดแบบนั้นเหรอเชวา” ฉันอ้าปากหวอด้วยความอึ้งก่อนจะนึกไปถึงเมื่อก่อนว่าฉันเคยพูดจาเลี่ยนๆ แบบนั้นด้วยเหรอ
“แน่นอนสิ ฉันจะโกหกแกทำไมล่ะ”
“หึ ถึงฉันจะเคยพูดแบบนั้นกับแกจริงๆ แล้วไงเหรอ นั่นมันตอนนั้น” ฉันพูดขึ้นก่อนจะตัดสินใจเก็บของเข้ากระเป๋าเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงตรง
“ฝานฝาน ฉันขอพูดกับแกตรงๆ นะในฐานะที่ฉันเป็นเพื่อนสนิทแกพี่ครูซไม่เคยรู้เรื่องผิงผิง พี่ครูซไม่เคยรู้เรื่องที่แกท้องเขารู้แค่ว่าแกหายไปแต่เขาไม่เคยรู้ว่าแกต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรมาบ้าง โอเคฉันเข้าใจว่าแกรู้สึกแย่และเสียใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แกเคยบอกฉันว่าพี่ครูซมีแฟนอยู่แล้วและแกก็ไม่ต้องการเอาเรื่องผิงผิงมาอ้างหรือมาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อของเด็กจากพี่ครูซ และเท่าที่ฉันเคยฟังแกพูดเรื่องพี่ครูซให้ฟังบ่อยๆ ฉันเชื่อว่าคนอย่างพี่ครูซมีความเป็นลูกผู้ชายพอ”
“ฉันรู้” ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“แต่แกก็ยังยืนที่จะให้เรื่องมันดำเนินไปแบบนี้”
“ใช่”
“เพื่ออะไรว่ะ” เชวาขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ฉันกับพี่ครูซระหว่างเรามันจบไปตั้งแต่วันนั้นแล้วเว้ย เรื่องทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่วันที่ฉันสัญญากับพี่ครูซว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่เรามีอะไรกัน และที่สำคัญฉันกับพี่ครูซเราก็ไม่เคยรักกัน แกคิดว่าคนอย่างฉันจะหน้าด้านถึงขนาดไปแย่งพี่ครูซมาจากพี่กันตาเหรอว่ะ” ฉันตอบกลับไปอย่างมีอารมณ์ แต่อารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เชวามันพูดแต่ฉันหงุดหงิดเพราะความคิดของตัวเองต่างหาก
“ไอ้ฝาน…”
“แกเลิกพูดเรื่องนี้เหอะถ้าแกรักฉัน” พูดจบฉันก็คว้ากระเป๋าก่อนจะเดินออกมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เชวาพยายามเกลี้ยกล่อมฉันเรื่องพี่ครูซ และทุกครั้งที่มันพยายามพูดเรื่องมันก็จะจบลงแบบนี้ ฉันเคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าฉันจะลืมพี่ครูซ ฉันจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตไว้ข้างหลังแล้วเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจแต่ทุกอย่างที่ฉันทำไปก็เพื่อพี่ครูซทั้งนั้น พี่ครูซจะต้องไม่มีวันรู้เรื่องของผิงผิง ไม่มีวัน..
CRUZ SPECIALS
“เฮ้ย ไอ้ขุน นี่มึงถึงขนาดตามสืบเลยเหรอว่ะว่าบ้านใหม่ของฝานฝานอยู่ที่ไหน” ผมยืนมองบ้านเดี่ยวสองชั้นตรงหน้าก่อนจะหันไปถามไอ้ขุนเขา วันนี้ผมไม่มีเรียนเพราะมัวแต่เตรียมการอะไรบางอย่างอยู่กับไอ้ขุนเขา ส่วนไอ้สิงหากับไอ้กุนซือก็กำลังไปจัดการเรื่องบางอย่างอยู่
“เออ ก็ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าสาวสวยคนนั้นคือฝานฝานตัวจริงมึงจะรอเหี้ยอะไรอยู่ล่ะ” ไอ้ขุนเขามันหันกลับมาถลึงตาใส่ผมก่อนจะควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ
“อ่ะแฮ่ม.. อืม อย่าพูดว่าสวยได้ไหมกูไม่ชิน” ผมกระแอมไอเล็กน้อยตอนที่ไอ้ขุนเขามันบอกว่าฝานฝานสวย บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงรู้สึกแค่ว่าไม่ชินเวลามีคนบอกว่าฝานฝานสวย
“ทำไม หรือมึงจะบอกว่าไอ้ฝานมันไม่สวยกลับมาเจอกันอีกครั้งมึงไม่คิดบ้างเหรอว่าไอ้ฝานมันเปลี่ยนไปมากขนาดไหน มันไม่ใช่ผู้หญิงที่ใส่กระโปรงไม่เป็นหรือกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบหวีผมแบบที่มึงเคยพูดแล้วนะ” ไอ้ขุนเขามันพูดยิ้มๆ ก่อนจะหันมายักคิ้วกวนๆ ใส่ผม
“ก็.. งั้นๆ แหละ ไม่เห็นจะสวยอะไรมากมายนี่ขนาดตอนที่กูเห็นฝานฝานไม่ต้องใช้เวลานานกูยังจำได้เลยว่านั่นคือฝานฝานไม่งั้นกูจะวิ่งตามไปเหรอ”
“เหรอ อืม” ไอ้ขุนเขามันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มุมปากมันกลับกระตุกขึ้นเล็กน้อย ไอ้เวร อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะ แต่ก็นั่นแหละผมได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้ด่ามันกลับไป
“แล้วยังไงว่ะถ้านี่เป็นบ้านไอ้ฝานแล้วไหนว่ะนี่กูมาดักรอตั้งนานแล้วแต่ยังไม่เห็นเลย” ผมพูดขึ้นด้วยความสงสัยเพราะผมมาดักรออยู่ที่หน้าบ้านฝานฝานได้ชั่วโมงกว่าๆ แล้ว จนคนแถวนี้ที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มมองผมกับไอ้ขุนเขาด้วยความสงสัย
“มันไปเรียน” ไอ้ขุนเขาพูดขึ้นก่อนจะโยนตารางเรียนของฝานฝานมาให้ผม
“โอ้โห นี่มึงเตรียมพร้อมกว่ากูอีก มึงไปเอาตารางเรียนของฝานฝานมากจากไหน” ผมถามอย่างอึ้งๆ สมแล้วที่ผมชอบชมมันบ่อยๆ ว่าฉลาดกว่าเพื่อนทุกคนในกลุ่ม
“เอามาจากแพนด้า”
“แถมมึงยังไปสนิทกับไอ้แพนด้าด้วยทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมง”
“คนฉลาดต้องคิดให้ไวรู้จักใช้คนใกล้ตัวให้มีประโยชน์ ไม่เหมือนมึงรู้จักกับแพนด้ามานานซะเปล่าเสือกคิดช้าไม่ได้เรื่องอะไรเลย” ไอ้ขุนเขามันตอกผมกลับมาด้วยประโยคเจ็บแสบเล่นเอาซะผมไปไม่เป็นเลยเพราะมันพูดเรื่องจริงต้องขอบคุณที่มีมันเป็นเพื่อนสนิท
“อะ เออ กูยอมรับก็ได้ว่ากูคิดไม่ทันมึง”
“หึ” แล้วมันก็พ่นควันบุหรี่ใส่หน้าผมด้วย
“กูเคยรู้มาว่าฝานฝานอยู่กับพี่ชายถ้าจำไม่ผิดนะเมื่อก่อนเห็นไอ้ฝานมันเคยพูดๆ ตอนนั่งกินเหล้าด้วยกัน”
“เออ แต่กูลืมชื่อ กูจำได้ว่ากูเคยเห็นหน้าพี่ชายไอ้ฝานนะแต่กูนึกหน้าไม่ออกอีกอย่างมันก็นานมาแล้วด้วย”
“แล้วเรื่องที่มึงบอกให้ไอ้เหนือกับไอ้แดนไปจัดการอ่ะเอาไง พวกมันจะมาตอนไหนว่ะ” ผมถามขึ้นและยังเป็นจังหวะเดียวกับเสียงโทรศัพท์ของผมที่ดังขึ้นพอดีพอผมหยิบขึ้นมาดูชื่อคนโทรเข้าก็พบว่าเป็นชื่อของกันตาผมก็เลยกดปิดก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงยีนเหมือนเดิม
“วันนี้มึงมาแปลก นี่เป็นครั้งแรกที่มึงกดตัดสายกันตา” ไอ้ขุนเขาขมวดคิ้วใส่ผมด้วยความแปลกใจ
“เดี๋ยวค่อยโทรกลับ สรุปว่าไงไอ้เหนือกับไอ้แดนจะมาตอนไหน” ผมตอบคำถามไอ้ขุนเขากลับไปก่อนจะตัดสินใจเบี่ยงเบนประเด็นที่มันสงสัยเพราะถ้าผมไม่เปลี่ยนเรื่องมันก็จะถามผมไม่หยุด ไอ้นี่มันช่างซักแถมยังขี้สงสัยมากด้วยถ้ามันอยากรู้อะไรมันก็จะต้องรู้ให้ได้ แต่ถ้ามันไม่อยากรู้มันก็จะไม่ถามอะไรทั้งสิ้น
“เดี๋ยวก็มา ส่วนฝานฝานก็ใกล้จะกลับมาแล้วได้ข่าวมาว่าวันนี้ไม่มีเรียนบ่าย” เชื่อแล้วว่ามันรู้ลึกและรู้จริงแต่เมื่อผมนึกไปถึงเรื่องที่มันกำลังจะทำผมก็ต้องหันกลับไปถามมันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ มึงคิดอะไรอยู่ถึงส่งคนไปกระทืบไอ้เหนือกับไอ้แดน” ผมหันไปมองไอ้ขุนเขาท่าทางมันจะมั่นใจมากว่าฝานฝานจะมา
“คือว่า.. ตอนนี้กูก็กำลังคิดอยู่ว่าจะส่งคนมากระทืบมึงด้วย”
“ว่าไงนะ!”
“มึงอย่ามาหูหนวกผิดเวลา มึงนั่นแหละ”
“แล้วทำไมต้องเป็นกู” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองโดยอัตโนมัติ
“มึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมต้องเป็นมึง” จู่ๆ ไอ้ขุนเขามันก็จ้องหน้าผมด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิม มันดูจริงจังมากขึ้นแต่มันก็แค่แวบเดียวเพราะมันกลับกลบเกลื่อนการกระทำด้วยการผลักหัวผมเบาๆ
“เอาหน่า ไอ้เหนือกับไอ้แดนมันจะได้มีเพื่อนเจ็บตัว หรือไม่มึงก็ทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวโผล่เข้าไปช่วยตอนไอ้เหนือกับไอ้แดนกำลังเจอตีน แต่เดี๋ยวก่อนนะกูว่ามึงต้องเข้าไปกลางวงตีนตอนไอ้ฝานมันกำลังเดินมาพอดีเพราะเส้นทางตรงนั้นเป็นทางที่ไอ้ฝานต้องลงจากรถเมย์พอดี”
“แต่ถ้าไอ้ฝานมันขึ้นแท็กซี่กลับมาแท็กซี่ก็ต้องขับมาจอดหน้าบ้าน แล้วถ้ามันดันไม่เหลือบไปเห็นตอนที่ไอ้เหนือกับไอ้แดนกำลังเจอกระทืบตามที่มึงบอกนี่ฉิบหายเลยนะ” ผมอ้าปากค้างกับความคิดบ้าๆบอๆ ของไอ้ขุนเขา ดูท่าทางมันคงดูละครมากไป
“เอาหน่า มึงก็รู้ว่าชีวิตคนเรามันต้องรู้จักเสี่ยง”
“เสี่ยงโดนกระทืบฟรีอ่ะดิ” ผมสวนกลับไปแทบจะทันที
“แล้วยังไง สรุปว่ามึงจะไม่เอาด้วยว่างั้น” ไอ้ขุนเขามันเลิกคิ้วใส่ผมเป็นเชิงท้าทาย ผมมองสบตามันกลับไปด้วยความข้องใจก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อย ก็ใครใช้ให้มันจ้องหน้าผมแบบท้าทายด้วยว่ะ
“เออๆ ก็ได้”
“หึ ก็แค่นั้น กูว่าตอนนี้ไอ้เหนือกับไอ้แดนน่าจะมาแล้วตามแผนที่เราตกลงกันไว้ส่วนมึงก็ไปหาพวกมันเดี๋ยวกูจะเฝ้าหน้าบ้านฝานฝานให้เผื่อมันกลับมาก่อนเจอพวกมึงๆ จะได้ไม่โดนตีนฟรี”
“เออ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ ฉับพลันสายตาของผมก็ดันหันไปเห็นคุณป้าคนนึงกำลังอุ้มเด็กเดินมาทางที่ผมกับไอ้ขุนเขายืนอยู่ ผมคลี่ยิ้มเล็กน้อยเพราะเจ้าหนูคนนั้นโดนจับใส่ชุดหมีทั้งตัวแถมยังใส่หมวกลายหมีด้วยขนาดมองจากตรงนี้ผมยังเดาได้ไม่ยากเลยว่าเด็กคนนั้นต้องน่ารักมากแน่ๆ น่าเสียดายที่เจ้าหนูน้อยกำลังซบหน้าลงกับไหล่ของคนป้าคนนั้น
“เหม่ออะไรมึง ไปได้แล้ว” ไอ้ขุนเขาสะกิดไหล่ผมจนผมต้องถอนสายตากลับมา
“เออๆ มึงนี่วุ่นวายกับชีวิตกูจังว่ะ” ผมบ่นออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินย้อนไปทางหน้าหมู่บ้าน
END CRUZ SPECIALS
“เอ่อ ลุงค่ะจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะพอดีหนูต้องแวะซื้อของหน้าหมู่บ้านพอดี” ว่าจบฉันก็ยื่นเงินให้ลุงแท็กซี่ก่อนจะลงจากรถเดินเข้าซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนักเพราะว่าต้องเตรียมซื้อกับข้าวไปทำอาหารเย็นไหนจะต้องซื้อของใช้ของผิงผิงอีก ล่าสุดพวกเพื่อนเฮียผาพากันขนซื้อเสื้อผ้ามาให้ผิงผิงเยอะมากแถมยังซื้อมาซะพอดีตัวไม่เผื่อโตเลย ไม่รู้อะไรซะแล้วว่าเด็กสมัยนี้โตไวมากๆ
“วันนี้คุณป้าไม่ออกมาด้วยเหรอค่ะ” พี่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินถามขึ้นเพราะคุ้นเคยกับครอบครัวฉันดีเพราะต้องมาซื้อของกันบ่อยๆ
“อ๋อ ไม่ค่ะวันนี้ฝานออกมาเองทางผ่านพอดี” ฉันส่งยิ้มให้พี่พนักงานก่อนจะรับเงินทอนเก็บใส่กระเป๋า หลังจากออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตฉันก็เดินย้อนกลับไปอีกทางเพื่อเดินเข้าหมู่บ้าน จากหน้าปากซอยใช้เวลาเดินไม่นานมากกว่าจะถึงบ้านฉันเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆ กระทั่งในหัวสมองก็พลันนึกถึงไอ้เหนือกับไอ้แดน ฉันรู้ว่าพวกมันต้องโกรธฉันมากแน่ๆ ที่ฉันหายไปโดยไม่บอกกล่าวจากวันนั้นนี่ก็ผ่านมาปีกว่าๆ ได้แล้วมั้งฉันไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองไหมว่าพวกมันจะรู้ว่าฉันคือฝานฝาน คนเดียวกับเพื่อนของพวกมันนั่นแหละ..
พลั๊ก ตุ๊บ ผัวะ!!
“โอ๊ย เหี้ยเอ๊ยเล่นแรงไปไหมว่ะ”
ตุ๊บ ผัวะ
“โอ๊ย”
พลั๊ก
หืมมม เป็นเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตีกันมาแต่ไกล ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สายตาของฉันกลับมองเห็นมาแต่ไกลว่าด้านหน้ามีคนกำลังโดนรุมซ้อม ฉันจึงตัดสินใจเดินเลี้ยวไปอีกทางเพราะยังไงก็ถึงบ้านเหมือนกันแค่เดินไกลกว่าเพราะว่ามันเป็นทางลัด แต่เดี๋ยวนะ.. นี่ฉันกลายเป็นคนใจร้ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างน้อยฉันก็ควรจะโทรแจ้งความ ฉันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางเดิมพร้อมกับยืนแอบอยู่ด้านข้างกำแพง
พลั๊ก ตุ๊บ
ผัวะ ผัวะ พลั๊ก
“อั๊ก”
“เฮ้ย นั่นมัน” ฉันเผลอยกมือขึ้นปิดปากด้วยความช็อกก่อนจะขยี้ตาตัวเองอีกครั้งเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าฉันไม่ได้ตาฝาดไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ไอ้เหนือกับไอ้แดนกำลังโดนรุมซ้อมงั้นเหรอ แล้วทำไมพวกมันถึงมาโดนรุมซ้อมแถวนี้ได้ในเมื่อแถวนี้มันเป็นแถวบ้านของฉันพวกมันมีธุระอะไรกันแน่ถึงมาที่นี่ ฉันส่ายหัวไปมาก่อนจะรีบรวบรวมสติให้กลับคืนมาอีกครั้งเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาคิดเล็กคิดน้อยว่าทำไมพวกมันถึงมาอยู่ที่นี่ ฉันจะต้องหาทางคิดว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยพวกมันในเวลานี้ได้ไม่งั้นไอ้เหนือกับไอ้แดนตายแน่ๆ
พลั๊ก
“โอ๊ย ไม่เบามือเลยนะพวกมึง” ฉันกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บไปหมดตอนที่เห็นไอ้พวกนักเลงประมาณสองถึงสามคนกำลังรุมกระทืบไอ้แดน
“ช่วยด้วยครับๆ มีคนกำลังตีกัน” จู่ๆ ก็มีเสียงกลุ่มวัยรุ่นตะโกนเสียงดัง ฉันหันไปมองทางต้นเสียงก่อนจะพบกับแก๊งวัยรุ่นที่เพิ่งขับรถผ่านมาทางนี้พอดีตะโกนเรียกให้คนช่วย พอไอ้พวกที่กำลังกระทืบไอ้เหนือกับไอ้แดนได้ยินเข้าต่างก็แตกตื่นวิ่งหนีแยกย้ายกันไปคนละทาง ส่วนฉันเองก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปช่วยไอ้เหนือกับไอ้แดนแทบจะทันที
“เฮ้ย พวกมึงเป็นไงบ้าง” ฉันแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีที่ได้เห็นสภาพสะบักสะบอมของเพื่อนตัวเองในระยะใกล้ๆ แบบนี้ สภาพพวกมันแทบดูไม่ได้เลย
“โอ๊ย ก็เจ็บดิว่ะไอ้ฝาน” ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองไหมที่เห็นไอ้เหนือขยิบตาเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำหน้าเจ็บปวดเช็ดเลือดที่ริมฝีปากตัวเอง
“ฝาน มึงมาช้า มึงทิ้งเพื่อน โอ๊ย” ไอ้แดนร้องโอดโอยก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นจากพื้น เมื่อกี้นี้ฉันเห็นกับตาเลยว่ามันโดนถีบอย่างแรง
“ก็ใครมันจะไปตรัสรู้ว่าพวกแกจะโดนกระทืบแถวบ้านฉันว่ะ แล้วนี่พวกแกไปไงมาไงถึงได้มามีเรื่องกับไอ้พวกนั้นแถมยังมามีเรื่องแถวนี้ด้วย” ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัยก่อนจะค่อยๆ พยุงแขนไอ้แดน
“กะ ก็ พอดีแวะมาบ้านญาติไอ้แดนมันแต่ไอ้แดนมันดันไปมีเรื่องปากหมากับแก๊งเมื่อกี้นี้เข้าก็เลยมีสภาพอย่างที่แกเห็น ฉันกับไอ้แดนมีกันสองคนส่วนไอ้พวกนั้นมีกันตั้งหลายคนแกก็เห็น”
“เหรอ ถ้างั้นพวกแกอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยบ้านฉันอยู่แถวนี้พอดีพวกแกแวะไปทำแผลที่บ้านฉันก่อนล่ะกัน” พูดจบฉันก็ไม่รอช้ารีบวิ่งไปโบกแท็กซี่ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาพยุงไอ้เหนือกับไอ้แดนขึ้นรถจนลืมคิดถึงเรื่องความลับที่ปกปิดพวกมันอยู่ไปเสียสนิท และฉันก็ไม่ทันได้เห็นสายตายิ้มๆ ของไอ้เหนือกับไอ้แดนที่แอบมองกันอยู่ลับหลังฉัน
“พวกแกนั่งลงตรงนี้ก่อนนะ” โชคดีที่พวกมันยังพอจะเดินไหวฉันก็เลยให้ไอ้เพื่อนสองตัวนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อนจะรีบเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลมา
“โชคดีนะที่เมื่อกี้นี้ไม่มีแกอยู่ตรงนั้นอ่ะฝานฝาน” จู่ๆ ไอ้เหนือก็เป็นคนเปิดปากขึ้นก่อนท่ามกลางความเงียบระหว่างที่ฉันกำลังควานหาสำลีกับแอลกอฮอล์ในกล่องจำได้ว่ามันอยู่ในกล่องนี้นะถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะไม่วุ่นวายกับการหาอุปกรณ์ทำแผลขนาดนี้เพราะว่าไอ้กล่องพวกนี้จะวางไว้อยู่รอบบ้านโดยอัตโนมัติเพราะเฮียผาน่ะมีเรื่องต่อยตีแทบทุกวัน
“เอ่อ..” ราวกับเพิ่งนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ ฉันชะงักมือที่ถือสำลีไว้ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไอ้เหนือ
“เพราะถ้าเมื่อกี้แกอยู่ตรงนั้นกับพวกฉันไม่แน่ว่าไอ้พวกนั้นอาจจะกระทืบพวกฉันแล้วก็ฉุดแกไป” ไอ้แดนพูดขึ้น
“เมื่อก่อนเวลามีเรื่องเป็นเพราะแกเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สนิทกับพวกฉันมากที่สุดพวกฉันก็เลยอดเป็นห่วงแกไม่ได้” จู่ๆ ก็เหมือนกับมีก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอของฉันจนฉันรู้สึกพูดอะไรต่อไม่ออกก่อนจะค่อยๆ หลุบสายตาลงมองพื้นแทน เป็นเพราะว่าเมื่อกี้นี้ฉันทนเห็นพวกมันโดนกระทืบจนเจ็บตัวให้นอนกองบนพื้นถนนตรงนั้นไม่ได้ก็เลยลืมเรื่องความลับที่ฉันปกปิดพวกมันไว้ทั้งๆ ที่ก็พอจะรู้บ้างแล้วว่าพวกมันน่ะรู้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นฉันแล้วว่าฉันคือฝานฝาน เป็นเพื่อนสนิทกันมานานต่อให้ฉันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่มีทางเชื่อหรอกว่าพวกมันจะจำฉันไม่ได้ฉันก็ทำทำได้แค่หลอกตัวเองไปวันๆ เท่านั้น
“ไอ้ฝาน แกทำแบบนี้ทำไมว่ะ” และก็เป็นไอ้เหนืออีกเช่นเคยที่เป็นคนเปิดปากพูดเรื่องนี้ขึ้น
“เรื่องอะไรว่ะ” ฉันแกล้งถามกลับไปทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันหมายถึงเรื่องอะไร
“ยังมีหน้ามาถามอีก ก็เรื่องที่แกดรอปเรียนไปไง แกหายไปโดยไม่ร่ำราพวกฉันสักคำนี่ถ้าแกบอกว่าแกไม่ได้มีปัญหาอะไรจู่ๆ ก็ดรอปเรียนไปเองฉันคงไม่เชื่อแน่ๆ แกเรียนเก่งกว่าพวกฉันอีก” ไอ้แดนพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ก่อนจะผลักหัวฉันแรงๆ เหมือนที่เคยทำ
“โอเค ฉันรู้ว่าพวกแกโกรธฉันแต่เชื่อดิว่าพวกแกต้องไม่อยากรู้แน่ๆ ว่าทำไมฉันถึงหายไปจากชีวิตพวกแก” ฉันสูดหายใจเข้าแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา มันยากมากนะกับการต้องมานั่งตอบคำถามเพื่อนในเรื่องบางเรื่องที่มันเป็นอดีตไปแล้วและฉันก็กำลังพยายามลืม
“อยากมาก!!” ไอ้เหนือกับไอ้แดนพูดเสียงดังแทบจะพร้อมกัน
“เอ่อ..” ฉันอึกอักเล็กน้อยก่อนจะหันซ้ายหันขวาจ้องหน้าไอ้เหนือกับไอ้แดนกลับไปด้วยความลังเลใจ แต่กลับมีเสียงกดกริ่งหน้าบ้านช่วยชีวิตฉันไว้ก่อน
“พวกแกรอเดี๋ยวสงสัยเฮียผาจะกลับมาแล้ว” ทันทีที่พูดจบฉันก็เดินออกมาหน้าบ้านก่อนจะชะงักฝีเท้าไว้แทบจะทันทีก่อนจะถึงประตูบ้าน ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้าพี่ขุนเขามองหน้าฉันกลับมาคล้ายกับว่าไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นฉัน แต่ฉันนี่สิที่ต้องแปลกใจมากกว่าว่าพี่ขุนเขารู้จักบ้านฉันได้ยังไงบ้านที่พี่ขุนเขาเคยไปน่ะมันบ้านหลังเก่าของฉัน
“ไง ฝานฝาน” พี่ขุนเขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยตอนที่ทักฉันก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลังของฉันแทน “พวกมึงอยู่ที่นี่กันสองคนงั้นเหรอ” แวบเดียวที่ฉันเห็นพี่ขุนเขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พอดีพวกผมมีเรื่องมาไอ้ฝานมาเจอพอดีก็เลยลากมาทำแผลที่นี่ โชคดีที่มีวัยรุ่นแถวนี้ช่วยไว้ได้ทัน” ไอ้เหนือเป็นคนพูดขึ้นแทน ฉันแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าไอ้เหนือกับไอ้แดนมันโผล่มาอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ เออแหะ ทำไมวันนี้ฉันมีเรื่องให้แปลกใจเยอะแยะไปหมด
“แล้ว.. ไอ้ครูซล่ะ” พี่ขุนเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์แต่ฉันแอบเห็นว่าพี่ขุนเขาหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายกับกำลังแปลกใจอะไรบางอย่าง
“พี่ครูซเกี่ยวอะไรกับพวกผมอ่ะเฮีย” ฉันหันไปมองไอ้แดนที่พูดขึ้นพร้อมกับสีหน้างุนงง พอหันกลับมาอีกทีกลับเห็นพี่ขุนเขาถอนหายใจออกมาราวกับว่ากำลังตกใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันหลังเดินจ้ำอ้าวไปอีกทาง
“หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นว่ะมึง” ฉันไม่ได้หูฝาดไปนะ แต่ขนาดไอ้เหนือกับไอ้แดนมันแอบซุบซิบกันข้างหลังฉันๆ ก็ยังได้ยินว่าพวกมันกำลังแอบซุบซิบกันเรื่องอะไร
ฉันเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขกด้วยความรู้สึกที่สับสนเพราะหลังจากที่พี่ขุนเขาพูดถึงพี่ครูซราวกับว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรืออาจกำลังจะมีเรื่อง รู้จักกับพี่ขุนเขามานานแค่ดูจากสีหน้าฉันก็พอจะเดาออกว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับพี่ครูซ แต่แล้วมันยังไงล่ะแล้วทำไมพี่ครูซต้องมาแถวบ้านฉันด้วย ไหนจะไอ้เหนือไอ้แดน ไหนจะพี่ขุนเขา คนพวกนั้นรู้ที่อยู่บ้านของฉันได้ยังไงฉันไม่ได้โง่ และฉันก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วยแถมเมื่อกี้นี้จู่ๆ ก็มีคนโทรตามไอ้เหนือกับไอ้แดนพอวางสายเสร็จพวกมันสองคนก็วิ่งออกไปจากบ้านฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ทำไม.. ความรู้สึกของฉันมันกำลังบอกว่าชีวิตของฉันนับจากนี้กำลังจะไม่เหมือนเดิม
“ฝานฝาน มาช่วยพี่หน่อย” เสียงพี่ขุนเขาตะโกนมาจากหน้าบ้าน ฉันผละออกจากความคิดแทบจะทันทีก่อนจะเดินไปทางประตูบ้านแล้วก็ได้เห็นว่าพี่ขุนเขากำลังแบกร่างพี่ครูซคนละข้างกับไอ้เหนือ ด้านหลังมีไอ้แดน พี่สิงหา แล้วก็พี่กุนซือเดินตามมาด้วย สภาพแต่ละคนดูไม่จืดสักนิดทั้งรอยช้ำ รอยฝ่าเท้าที่เสื้อ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉันพูดขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะจ้องใบหน้าพี่ครูซที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ โชคดีที่เจ้าตัวยังพอมีสติเงยหน้าขึ้นมองฉันทันทีที่ฉันพูดจบประโชค
“ไอ้ครูซมันไปมีเรื่องกับนักเลงแถวนี้” พี่ขุนเขาเป็นคนตอบแทน
“แล้วทำไมพี่ครูซถึงมามีเรื่องกับนักเลงแถวนี้ พี่ครูซมาทำอะไรแถวนี้” ฉันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะเปิดประตูบ้านให้พี่ขุนเขากับไอ้เหนือแบกร่างพี่ครูซเข้ามาในบ้านได้สะดวกขึ้น ถึงยังไงพี่ครูซก็เจ็บหนักพอสมควรฉันคงไม่ใจร้ายไล่พี่ครูซออกไปจากบ้านตอนนี้ถึงแม้ว่าจะอยากไล่มากแค่ไหนก็ตาม
“เอ่อ...” ฉันเงยหน้าสบตาพี่สิงหาที่กำลังทำสายตายุกยิกไปทางพี่กุนซือ ฉันว่าไอ้พวกพี่บ้าพวกนี้มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
“พวกพี่มาทำอะไรแถวบ้านฝาน แล้วพวกพี่รู้จักบ้านของฝานได้ยังไง” ฉันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังสักนิดว่ากำลังโมโห รู้อะไรไหมว่าฉันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการหนีให้ห่างจากคนพวกนี้ถึงแม้ว่าจะทำด้วยความฝืนใจก็ตาม ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีแต่วันนี้คนพวกนี้กำลังทำมันพังนั่นแสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้ทำลงไปกำลังจะเปล่าประโยชน์
“พวกพี่มาตามหาฝานฝานนั่นแหละ” พี่ขุนเขาเป็นคนพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทันทีที่พี่ขุนเขาพูดจบฉันก็กวาดสายตามองทั้งรุ่นพี่จอมแสบ และเพื่อนตัวแสบของตัวเองทีละคนก่อนจะมาหยุดที่พี่ครูซที่กำลังจ้องหน้าฉันอยู่อย่างไม่ปิดบัง แววตาของพี่ครูซวูบไหวเล็กน้อยตอนที่จ้องมาที่ฉัน เห็นแบบนั้นฉันก็ได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บพยายามข่มความรู้สึกบางอย่างที่มันเอ่อล้นขึ้นมาก่อนจะถอนสายตากลับมาทำเป็นไม่สนใจ
“ฝานลูก ใครมาบ้านเหรอเสียงดังเชียว” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเสียงของป้าเดินลงมาจากข้างบนบ้าน และเพราะเสียงของป้าเนี่ยแหละที่ทำให้ฉันได้สติถึงเรื่องบางเรื่อง.. ผิงผิง ฉันลุกพรวดแทบจะทันทีก่อนจะรีบวิ่งไปหาป้าโชคดีที่ป้าไม่ได้อุ้มผิงผิงลงมาด้วย
“ป้าค่ะ คนพวกนี้เป็นรุ่นพี่กับเพื่อนของฝานเอง ผิงผิงหลับอยู่ใช่ไหมค่ะ” ฉันจับข้อมือของป้าจนแน่นก่อนจะกระซิบเสียงเบา หัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง คิดไปคิดมาฉันก็ไม่น่าพาคนพวกนี้เข้ามาในบ้านเลยเพราะถ้าเกิดผิงผิงกำลังนอนเล่นอยู่ข้างล่างล่ะก็แย่แน่ๆ
“ใช่ลูก ว่าแต่เพื่อนฝานเป็นอะไรทำไมแต่ละคนดูเหมือนไปมีเรื่องมาเลย” ป้าถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วงก่อนจะกวาดสายตามองพวกพี่ครูซด้วยความแปลกใจพร้อมทั้งส่งยิ้มใจดีให้ด้วย
“สวัสดีครับป้า ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” พี่ขุนเขาเป็นคนพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นพวกพี่ครูซและคนอื่นๆ ก็ยกมือสวัสดีป้าของฉัน
“พอดีพวกพี่เขาดันดวงซวยไปมีเรื่องกับนักเลงแถวนี้มาน่ะค่ะก็เลยแวะมาทำแผลที่นี่”
“เอ้า ตายล่ะ แถวนี้ยิ่งมีนักเลงเยอะอยู่ด้วยคงเห็นว่าพวกรุ่นพี่ของฝานหน้าแปลกล่ะสิก็เลยโดนดีเข้า จำได้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนตอนที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ใหม่ๆ เจ้าผาก็โดนหาเรื่องแบบนี้เลยสภาพกลับมาดูไม่จืดสักนิดโชคดีที่ฝ่ายเราก็ร้ายใช่ย่อย” ป้าพูดขึ้นก่อนจะส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอาเพราะหลังจากวันนั้นเฮียผาก็ยกพวกไปตีกับฝ่ายตรงข้ามเล่นเอาฝ่ายนั้นไม่กล้ามาหาเรื่องเฮียผาอีกเลย
“ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะเดี๋ยวฝานจัดการทางนี้เอง” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉันแสดงสีหน้าไม่ค่อยสบายใจมากไปหรือเปล่าป้าก็เลยตบบ่าฉันเบาๆ ก่อนจะเดินไปทางห้องครัว
“งั้นฝานดูแลเพื่อนนะลูกเดี๋ยวป้าเข้าไปทำกับข้าวในครัวก่อนอีกสักพักผิงผิงคงตื่น” แน่นอนว่าอีกสักพักผิงผิงต้องตื่น และฉันก็ต้องหาวิธีทำให้คนพวกนี้ออกไปจากบ้านของฉันก่อนผิงผิงตื่นและที่สำคัญ.. ก่อนเฮียผาจะกลับมา
ฉันเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาก่อนจะสบเข้ากับสายตาของพี่ขุนเขาโดยบังเอิญ เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นฉันไม่รู้ว่าสายตาของพี่ขุนเขาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่เพราะพี่ขุนเขาจ้องหน้าฉันแปลกๆ ก่อนจะถอนสายตากลับไปพร้อมทั้งหยิบกล่องยามาวางที่ตักฉันด้วย
“อะไรเหรอพี่ขุนเขา” ฉันถามกลับไปด้วยความแปลกใจก่อนจะจ้องกล่องเก็บอุปกรณ์ทำแผลในมืออย่างงงๆ
“ก็ทำแผลไง” พี่ขุนเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ทำแผลใคร” ฉันเลิกคิ้วกลับไป
“ก็ไอ้ครูซไงไม่เห็นเหรอว่ามันเจ็บหนักขนาดนี้เมื่อกี้นี้ที่หลังมันเพิ่งโดนตีนมายังไงมันก็ทำแผลที่หลังไม่ถึงหรอกฝานช่วยทำให้มันหน่อยล่ะกันพี่จะออกไปคุยโทรศัพท์แป๊ปนึง” ว่าจบพี่ขุนเขาก็เดินออกไปเฉยเลยแถมยังไม่รอให้ฉันได้แย้งอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แล้วพี่กุน..” ฉันหันไปหาพี่สิงหากับพี่กุนซือก่อนจะต้องชะงักริมฝีปากตัวเองไว้เพียงแค่นั้นเพราะพี่กุนซือกำลังใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบแผลตรงช่วงเอวของพี่สิงหา ส่วนไอ้เหนือกับไอ้แดนก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำแผลให้ตัวเอง เท่าที่สังเกตมาพี่ขุนเขากับพี่กุนซือดูสภาพปกติมากที่สุดแล้วแต่ไอ้พี่ขุนเขามันก็ดันชิ่งออกไปข้างนอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ามือตัวเองกำลังกำกล่องเก็บอุปกรณ์ทำแผลจนแน่นและฉันก็ไม่ได้หันไปมองหน้าพี่ครูซด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากมองหน้าพี่ครูซ ไม่อยากนั่งใกล้ๆ ไม่อยากได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
“ถ้ามันลำบากใจขนาดนั้นพี่ทำเองก็ได้” ว่าจบคนข้างตัวก็เอื้อมหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่มือของฉันไปเฉยเลย เพียงวูบเดียวที่ปลายนิ้วก้อยเราชนกันจนฉันต้องรีบหดนิ้วกลับด้วยความตกใจขนาดแค่นิ้วชนกันไม่ถึงห้าวินาทีฉันยังสัมผัสได้เลยว่าฝ่ามือของพี่ครูซมันร้อนขนาดไหนมันอุ่นๆ ร้อนๆ เป็นสัมผัสที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“เชิญ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่คิดว่านิ่งสุดๆ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรแสดงการกระทำแบบนี้ออกไปเลยเพราะถ้าฉันยิ่งทำตัวเย็นชากับพี่ครูซมากเท่าไหร่พวกเพื่อนของฉันแล้วก็เพื่อนของพี่ครูซก็จะยิ่งสงสัยในตัวฉันมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าใครไม่เป็นฉันก็คงไม่รู้หรอกว่าในสถานการณ์แบบนี้มันน่าอึดอัดใจขนาดไหน ทั้งๆ ที่ฉันพยายามตัดพี่ครูซออกไปจากความรู้สึก ฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าฉันจะทำได้ แต่วันนี้พี่ครูซกลับเข้ามาอยู่ในบ้านของฉันหน้าตาเฉย คนหน้ามึน กวนประสาท และไม่เคยรับรู้อะไรเลยแบบพี่ครูซจะไปเข้าใจอะไร ไม่เลยสักนิด
หางตาของฉันเห็นว่าพี่ครูซกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกก่อนจะใช้ฝ่ามือข้างขวาขยี้หัวยุ่งๆ เหมือนกับว่ากำลังปัดเศษฝุ่นอะไรบางอย่างออกจากหัวพร้อมทั้งวางเสื้อเชิ้ตสีขาวลงที่ข้างตัวฉันๆ รีบชักมือออกมาด้วยความรวดเร็วเพราะพี่ครูซดันวางเสื้อเชิ้ตทับฝ่ามือที่ฉันกำลังวางอยู่ข้างตัว และฉันก็เห็นจากหางตาอีกนั่นแหละว่าพี่ครูซชะงักเล็กน้อยก่อนจะใช้สายตาคมๆ นั่นเหลือบมามองฝ่ามือของฉันก่อนจะถอนสายตากลับไปทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อึดอัดชะมัด
“เฮ้ย ไอ้ฝาน นั่นของหลานแกเหรอ” ไอ้แดนพูดขึ้นก่อนจะมองไปทางรถเข็นเด็กที่วางหลบอยู่ข้างๆ ประตู
“อืม” ฉันตอบกลับไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่ได้การแล้วฉันจะต้องหาวิธีให้คนพวกนี้ออกไปจากบ้านฉันให้เร็วที่สุดเพื่อนฉันไม่ใช่คนโง่ และยิ่งพวกรุ่นพี่จอมเจ้าเล่ห์พวกนี้ก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย
“แกมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ ลูกพี่ชายแกเหรอ” ไอ้เหนือถามขึ้นด้วยสีหน้ามึนๆ ไอ้นี่ก็ถามมากจริง
“เออ”
“แล้วไหนว่ะหลานแกไม่เห็นเลยพามาเล่นบ้างสินอนอยู่เหรอ” ไอ้แดนชะเง้อคอไปมาก่อนจะหันมาถามฉันอีกครั้งด้วยแววตาใสซื่อ เวรแล้วไงล่ะ ใครใช้ให้มันตาดีดันเหลือบไปเห็นรถเข็นของผิงผิงล่ะ
“ยังไม่ตื่นน่ะน่าจะเย็นๆ เลย” ฉันตอบกลับไปก่อนจะสบตาไอ้แดนด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้เป็นปกติมากที่สุดแต่ก็ยังมีสายตาใคร่รู้ของใครบางคนที่กำลังมองมา
“หลาน” และถ้าฉันไม่ได้หูฝาดไปล่ะก็ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงพึมพาคำว่า ‘หลาน’ จากคนข้างตัว
“อ้าว เฮ้ยไอ้ครูซมึงทำแผลที่หลังเองได้เหรอกูให้ไอ้ฝานช่วยมึงไม่ใช่ไง” พี่ขุนเขาที่เพิ่งเดินเข้ามาถามขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ไม่เป็นไร ฝานมันไม่ค่อยอยากทำแผลให้กูหรอกเผลอๆ หน้าพวกเรามันก็คงไม่อยากมองหรอกลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าก่อนหน้าฝานมันยังทำเป็นไม่รู้จักพวกเราอยู่เลย” ไอ้พี่ครูซมันพูดไปด้วยพร้อมทั้งเช็ดทำความสะอาดแผลที่แขนไปด้วยแถมยังทำตัวราวกับว่ากำลังพูดคุยกับดินฟ้าอากาศเพราะไอ้พี่ครูซมันไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองฉันสักนิด
“เงียบปากไปก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ” ฉันพูดขึ้นลอยๆ โดยไม่ได้หันหน้าไปมองไอ้คนปากมากสักนิด
“นั่นดิไอ้ฝาน นี่พวกฉันยังไม่ได้เคลียกับแกเลยนะว่าทำไมจู่ๆ แกถึงดรอปเรียนแถมยังย้ายคณะโดยไม่บอกพวกฉันสักคำ แกหายไปเป็นปีพอมาเจอกันอีกครั้งแกก็ทำเป็นไม่รู้จักพวกเรา ทำไมว่ะ” ไอ้เหนือพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์แถมยังมองหน้าฉันด้วยสายตาจริงจังมากขึ้น ฉันค่อยๆ เงยหน้าก่อนจะจ้องหน้ามันกลับไปด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเต็มทีฉันรู้ว่าฉันทำผิดมากแต่ฉันไม่มีทางเลือก
“นั่นดิ จริงๆ พี่ก็ไม่อยากจะละลาบละล้วงเรื่องของฝานหรอกนะแต่พี่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมจู่ๆ ฝานถึงดรอปเรียนขนาดไอ้เหนือกับไอ้แดนที่เป็นเพื่อนสนิทฝานยังไม่รู้เลยว่าฝานไปไหน” พี่กุนซือที่ปกติเป็นคนพูดน้อยมากจู่ๆ ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแต่พี่แกกลับพยายามทำสีหน้าให้ดูผ่อนคลายสงสัยคงกลัวว่าฉันจะเครียดตาม
“ขอโทษนะพวกพี่ทุกคนแล้วก็พวกแกด้วย แต่ฉันมีเหตุผลของฉันจริงๆ”
“เหตุผลอะไรว่ะ นี่แกบอกพวกฉันไม่ได้จริงๆ เหรอ แกมีปัญหาอะไรกันแน่ไอ้ฝาน” ไอ้แดนมันยังคงไม่หยุดเร่งคำตอบจากฉัน
“เอ่อ..” ฉันอึกอักเล็กน้อยแถมยังรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีกเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาคาดหวังและอยากรู้ของทุกๆ คนที่อยู่ตรงนี้ ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะขอร้องให้คนพวกนี้ออกไปจากที่นี่ด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันกำลังดีขึ้นที่ผ่านมาเราก็อยู่ของเราอย่างเรียบง่ายและมีความสุขดีอยู่แล้ว มีลุง ป้า เฮียผา ผิงผิง ฉันไม่ต้องการและไม่คิดจะคาดหวังอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว
“ฝานฝาน ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้อง..”
“เฮ้ย ฝานฝานใครมาบ้านว่ะรองเท้าเต็มไปหมด แล้วผิงผิงของลุงผาล่ะสงสัยหลับอยู่แน่เลย” ยังไม่ทันที่พี่ขุนเขาจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำเสียงคุ้นหูของเฮียผาก็ตะโกนมาตั้งแต่ยังไม่เดินเข้ามาในบ้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงของเฮียผาฉันก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความตกใจก่อนจะมองไปทางหน้าประตูบ้านที่มีเฮียผาเดินเข้ามาก่อนจะตามมาด้วยเฮียโอม
“เฮียผา” ฉันเรียกชื่อพี่ชายตัวเองเบาๆ ตอนนี้ในหัวสมองของฉันมึนเบลอไปหมดถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ซะเดี๋ยวนี้ใครก็ได้บอกทีว่านี่มันวันซวยอะไรของฉัน
“คนพวกนี้เป็นใครเหรอฝานฝาน” เฮียผาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยตอนที่เห็นบรรดารุ่นพี่และเพื่อนของฉันก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมทั้งตีสีหน้าเย็นชาตามสไตล์
“พะ เพื่อนฝานเองเฮีย” ฉันพูดตะกุกตะกักก่อนจะค่อยๆ เดินไปหาเฮียผา
“งั้นเหรอ” เฮียผาเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ว่าไงฝานแล้วลูกผิงล่ะหลับอยู่เหรอ” เฮียโอมที่เดินตามหลังเฮียผาเข้ามาในบ้านลูบหัวฉันเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เฮียโอมเป็นเพื่อนสนิทเฮียผาและที่สำคัญเฮียโอมยังรักและก็เอ็นดูฉันมากด้วย ปกติเฮียโอมจะชอบมาเล่นกับผิงผิงเป็นประจำบางทีก็มาช่วยเลี้ยงด้วยแถมเฮียโอมยังชอบเรียกผิงผิงว่า ‘ลูกผิง’
“อื้อ หลับอยู่”
“เฮ้ย ไอ้โอมมึงขึ้นไปดูลูกผิงของมึงสิว่าตื่นหรือยังถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครเดี๋ยวลูกผิงจะร้อง” จู่ๆ เฮียผาก็หันไปพูดกับเฮียโอมแถมยังพูดเสียงดังมากด้วยไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเฮียผาจงใจพูดเสียงดัง
“ลูกผิงงั้นเหรอ” ไอ้แดนที่เมื่อกี้กำลังนั่งทำแผลอยู่จู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“คือยังไงว่ะฝาน” เสียงไอ้เหนือพูดขึ้นด้วยความช็อกไม่ต่างจากไอ้แดนสักนิด
“อ้าว นี่พวกเพื่อนของฝานยังไม่รู้อีกเหรอว่าผิงผิงเป็นลูกของฝานกับไอ้โอม” เฮียผาพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงงแต่ฉันนี่สิกลับช็อกยิ่งกว่าและถ้าฉันมองไม่ผิดไปฉันรู้ว่าเฮียผาจงใจแสดงละครทั้งหมดเพื่อช่วยฉันๆ รู้ว่าเฮียผารู้ดีที่สุดว่าฉันต้องการอะไร
“ลูกของฝานกับผู้ชายคนนั้นงั้นเหรอ” และเพราะเสียงของพี่ครูซที่พูดขึ้นนั่นแหละฉันถึงค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคนที่จ้องหน้าฉันด้วยสีหน้าแตกต่างกันไปทั้งช็อก ตกใจ และงุนงง รวมทั้งสายตาสับสนปนผิดหวังของพี่ครูซที่มองมาที่ฉันอย่างไม่ปิดบัง ฉันสบตากับพี่ครูซตรงๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะตอบกลับไป
“ใช่”
[loading....150%]
**จุดนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าฝานฝานทำไมถึงทำแบบนี้ ถ้ามองในอีกมุมนึงฝานฝานก็คงโกรธ
พี่ครูซ แหมมมต่อให้บอกว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้ จริงๆ ฝานฝานอาจจะรู้สึกมานาน
แล้วแต่ก็เพราะรู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไรก็เลยไม่เคยเรียกร้อง ที่ฝานฝานทำไปก็เป็นการบอกทาง
อ้อมว่าพี่ครูซไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวผิงผิงเลย แอบสงสารทั้งคู่แหะ อุปสรรคชิ้นโตกำลังรอพี่ครูซอยู่
ถ้าชอบครูซกับฝานฝานก็ฝากเม้นโหวตด้วยน้าาาา ขอบคุณค่าา :)
กลับหน้าเพจ คลิก
Devil's Set
Devil's Flower สยบหัวใจซาตาน [พูม่า&ชิลิน] เปิดรีปริ้นถึง 20 เม.ย. นี้ อ่านรายละเอียด คลิก
Devil's Rival เดิมพันอันตราย [ฮันเตอร์&บีน่า] มีแต่อีบุ๊คจ้าาา
The Wars of Love สงครามหัวใจ อ่านคลิกรูป
Devils Heart หลุมพรางใจ เป็นภาคต่อฮันเตอร์ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สมน้ำหน้าพี่ครูซ5555555
CR.หน้ากากจิงโจ้