ตอนที่ 13 : ใกล้ชิด...ชิดใกล้
“ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวเล ชาวบ้านประกอบอาชีพประมงเป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายก็ออกเรือหาปลา ส่วนผู้หญิงก็ถักแห ถักอวน ถ้ากุ้งหอยปูปลาที่หามาได้ ขายไม่หมดก็จะเอามาทำอาหารทะเลตากแห้งออกขาย”
อินทุอรอธิบาย เมื่อพาเขาข้ามภูเขาทุลักทุเลเส้นทางกว่าสี่กิโลเมตร เดินทางมาถึงยังหมู่บ้านชาวเลที่หญิงสาวบอกว่าจะพาเขามาช็อปปิ้ง
“แต่หลังจากที่เศรษฐกิจทางฝั่งนู้นเฟื่องฟู ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบแล้ว เด็กๆ รุ่นหลังก็พากันข้ามไปเรียนที่ฝั่งโน้น พอมีความรู้ ก็หันไปทำอาชีพด้านบริการเป็นส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะกลับมาทำประมงอยู่ที่นี่”
ดวงตาสีฟ้ากวาดมอง และก็เห็นเป็นจริงดังที่หญิงสาวว่า เพราะมีแต่คนวัยกลางคนขึ้นไป และเด็กเล็กๆ เท่านั้นวัยรุ่นหนุ่มสาวแทบไม่มีให้เห็นเลย อีกหน่อยความเป็นอยู่และวิถีชีวิตเช่นนี้คงจะเลือนหายไป เพราะไม่มีใครสืบทอดทำต่อ
“ตอนนี้ทางรัฐบาลก็มาส่งเสริมให้พวกแม่บ้านทำผ้ามัดย้อม เพิ่มรายได้ เพราะในฤดูมรสุมเรือประมงก็ต้องงดออกทะเล และนี่แหละค่ะ ที่ฉันจะพาคุณมาดู”
ชายหนุ่มมองไปยังราวผ้าหลากสีที่ตากเอาไว้ ภาพผืนผ้าที่เรียงรายมากมายคละสีคละลายคละแบบทำให้เขารู้สึกทึ่งขึ้นมานิดๆ
“ผ้าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ส่งไปขายให้นักท่องเที่ยว เนื้อผ้าดี บางเบา ถ่ายเทความร้อนได้ดี เหมาะมากที่จะใส่แถวชายทะเล”
เธอหยิบผ้าผืนหนึ่งมาให้เขาดู
โดมินิคลองสัมผัสก็ผงกหน้ายกนิ้วให้
“แล้วมันจะตกสีไหม?”
“ต้องซักไปสักสองสามครั้งสีมันก็จะอยู่ตัวแล้ว”
“แล้วเขาขายกันยังไง?”
พอทราบราคาจากหญิงสาวชายหนุ่มก็ตาโตขึ้นมา เพราะราคามันถูกมากทีเดียว แถมคุณภาพของเนื้อผ้าก็ยังดีด้วย
“มาที่นี่ทีไร ฉันอดที่จะซื้อไปฝากเพื่อนๆ ไม่ได้ทุกที”
“แล้ววิธีทำผ้าพวกนี้ยากไหม?”
“เดี๋ยวพี่ละมัยจะพาเราไปดูค่ะ คุณจะลองทำดูก็ได้นะคะ”
โดมินิครู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะถึงแม้แฟนสาวของเขาจะเป็นถึงนางแบบชั้นนำ อยู่ในวงการแฟชั่น แต่เขาก็ได้เห็นชุดเสื้อผ้าสวยๆ ในขั้นตอนสุดท้ายตอนที่มันสำเร็จรูปเรียบร้อยอยู่บนตัวนางแบบแล้ว การที่จะได้ผลิตผ้าออกมาสักผืน จึงเป็นสิ่งแปลกใหม่และท้าทายสำหรับเขา
“ผ้ามัดย้อมพวกนี้ขายดีมากๆ เพราะเป็นงานแฮนด์เมด ภูมิปัญญาชาวบ้าน ราคาก็ไม่แพงด้วย คุณภาพสินค้าดี และผ้าทุกชิ้นที่ทำออกมา ก็มีเอกลักษณ์ของใครของมัน เรียกว่ามีตัวเดียวในโลก ไม่ใช่ของโหล ไม่ใช่งานก็อป คนทำต้องใจเย็นสักหน่อย”
พี่ละมัยอธิบาย ก่อนจะให้เขาและหญิงสาวลองทำเสื้อมัดย้อมกันคนละตัว
โดมินิคเริ่มทำตามคำแนะนำของพี่ละมัยผ่านการแปลของอินทุอรอย่างใจเย็น ตั้งแต่การออกแบบลาย การมัดผ้า และนำไปย้อมสีตามกรรมวิธี นำไปซัก ตากแห้ง กระทั่งได้เสื้อมัดย้อมฝีมือตัวเองซึ่งมีตัวเดียวในโลก
“สวยไหม?”
คนทำอวดผลงานฝีมือตัวเองอย่างภูมิอกภูมิใจ
อินทุอรยกนิ้วให้กำลังใจ
“สวยมากค่ะ”
“ว้าว! ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะทำมันออกมาได้”
คนไม่ค่อยเห่อถอดเสื้อตัวที่ใส่อยู่ เปลี่ยนมาสวมเสื้อมัดย้อมฝีมือตัวเองแล้วยิ้มแฉ่งหน้าบานทีเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าเขาใช้เวลาตั้งสามสี่ชั่วโมงอย่างอดทนในการที่จะทำเสื้อผ้ามัดย้อมออกมาสักตัวหนึ่งได้ นานแล้วที่คนอย่างโดมินิค แคปเปอร์ ไม่ได้อดทนใจจดใจจ่อที่จะทำอะไรได้แบบนี้ เสื้อตัวนี้ จึงเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจ
“ผมชอบนะ ผ้าก็นิ่ม เย็นสบายดี สีก็สวย”
“นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมกันมากค่ะ”
“แล้วคุณไม่ใส่เหรอ?”
หันมาถามหญิงสาว
“เสื้อมันตัวใหญ่ค่ะ ใส่แล้วคงตลกดี”
ว่าพร้อมกับกางเสื้อในมือให้ดู
“นี่มันเสื้อไซต์ผมนี่นา?”
ทำหน้าแปลกใจนิดๆ
“ค่ะ คือฉันตั้งใจจะทำเผื่อว่าเสื้อของคุณทำออกมาแล้วสีไม่สวยถูกใจ จะได้เอาตัวนี้แทนให้”
ตอบอย่างเขินๆ
โดมินิคหน้ามุ่ยนิดๆ นี่เขาดูเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันในสายตาของเธอหรอกหรือ?
“ถ้าคุณตั้งใจทำให้ผม ผมก็จะรับไว้ ตัวนี้สีสวยดีเหมือนกัน”
ว่าหน้าตาเฉยพร้อมกับยื่นมือมาดึงเสื้อตัวที่อยู่ในมือหญิงสาวไป
“เอ๊ะ!”
อินทุอรร้องเสียงหลง
“ก็คุณบอกว่าตั้งใจทำให้ผม มันก็ต้องเป็นของผมสิ ไม่ใช่หรือ?”
ว่าแล้วก็สวมเสื้อตัวนั้นทับเสื้อตัวเดิมลงไป
“อื้อ!สวยจริงๆ ด้วยแฮะ ขอบคุณนะครับ”
คนยิ้มร่าหน้าเป็นเอ่ยออกมา
โดมินิคเริ่มเห็นช่องทางอะไรบางอย่างจากการเรียนรู้วิธีทำผ้ามัดย้อมในวันนี้
“ผมขอลองทำอีกตัวนะ”
เอ่ยขออนุญาตคนสอน ก่อนที่คนติดใจรีบขมีขมันทำตามขั้นตอนที่พี่ละมัยสอนอย่างมุ่งมั่น วันทั้งวันนี้ ชายหนุ่มจึงได้เสื้อสีสวยๆ สามตัว ด้วยฝีมือของเขาเสียสองตัว อีกตัวหนึ่งได้มาจากผู้ช่วยสาว
กว่าจะซักเสื้อรอแห้งเสร็จ ก็เป็นเวลาเย็นย่ำ พี่ละมัยยังเลี้ยงอาหารมื้อค่ำชาวเลให้ได้อิ่มท้องกลับบ้านด้วย แม้รสชาติอาหารจะจัดจ้านชนิดที่ว่าหนุ่มฝรั่งกินไปปาดเหงื่อไป แต่ก็อร่อยสมใจเขาล่ะ
“เอ้า! ผมให้”
เมื่อได้เสื้อตัวที่สองฝีมือตัวเองมา โดมินิคก็ยื่นให้ผู้ช่วยสาวไม่รั้งรอ
“คะ”
อินทุอรทำหน้าประหลาดใจ มองหน้าของคนใจดี “ตัวนี้ผมตั้งใจทำให้คุณ”
ใบหน้างามหลุบดวงตามองเสื้อผ้ามัดย้อมที่อยู่ในมือเขา ก่อนจะรับมาด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต เพราะเธออยู่ด้วยทุกขั้นตอน เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจของคนทำ หนำซ้ำสีและลายก็ออกมาสวยทีเดียว
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ใส่เลยสิ”
ชายหนุ่มยุ
แต่เธอไม่อยากถูกหาว่าขี้เห่อ กระทั่งทนแรงคะยั้นคะยอไม่ไหวถึงได้ไปเปลี่ยน
“ว้าว! อย่างกับเสื้อคู่รักเลยค่ะ”
หนูหนิม ลูกสาวที่เพิ่งเข้าวัยรุ่นของพี่ละมัยว่า ทำเอาอินทุอรทำหน้าไม่ถูก
“เธอพูดว่าอะไรหรือ?”
โดมินิคถามเมื่อเห็นอาการหน้าแดงขัดเขินของผู้ช่วยสาว
และก่อนที่อินทุอรจะได้ทันแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ หนูหนิมที่ได้ร่ำเรียนถึงชั้นมัธยมต้นก็เป็นฝ่ายตอบแทนเสียก่อน อินทุอรไม่แน่ใจว่าโดมินิคจะคิดยังไงกับคำพูดนั้น แต่เขาก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอแอบเดาว่าบางทีเขาอาจจะไม่พอใจ ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคู่รักกับผู้หญิงแสนธรรมดาอย่างเธอ
“เรารีบกลับกันเถอะค่ะ นี่ก็จะค่ำแล้ว เดี๋ยวทางเดินขึ้นเขาด้วย จะลำบาก”
รีบบอกชายหนุ่ม
“เดี๋ยวรอก่อนสิอิน ให้พี่ชาติกลับมาก่อน จะให้เอาเรือไปส่ง ถึงเร็วดี”
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อินเตรียมไฟฉายมาแล้ว แค่ที่รบกวนพี่ละมัยมาทั้งวันก็เกรงใจจะแย่” รีบบอกไป
“โอ้ย! เกรงอกเกรงใจอะไรกัน คนกันเองเหมือนพี่เหมือนน้องกันทั้งนั้น”
โดมินิคหันมามองหน้าเธอเหมือนต้องการรู้ด้วยว่า ละมัยพูดเรื่องอะไร หญิงสาวจึงรีบอธิบาย
เขาผงกหน้า ก่อนจะตอบกลับไปว่า เขาเองก็อยากเดินกลับเหมือนกัน ทั้งสองจึงขอตัวลาเจ้าบ้าน แล้วพากันเดินทางกลับในเส้นทางเดิม ซึ่งแน่นอนว่ามันยากลำบากกว่าตอนกลางวันที่มีแสงส่องสว่างเยอะทีเดียว
เพราะถึงแม้จะมีไฟฉาย แต่ด้วยเส้นทางที่ต้องขึ้นเขา และทางก็ไม่เรียบ ทำให้หนุ่มสาวต้องช่วยเหลือกันอย่างทุลักทุเล
“ว้าย!”
เธอสะดุดรากไม้หน้าแทบคะมำ หากคนที่เดินนำหน้าที่คอยระแวดระวังจับจูงมือไว้จะไม่หันกลับมารับตัวเอาไว้ได้พอดิบพอดี
ไฟฉายหลุดมือลงไปที่พื้น เช่นเดียวกับที่เขาและเธอล้มไปด้วยกัน
“คุณเจ็บหรือเปล่า?”
น้ำเสียงห่วงใยถาม
จะเจ็บได้ยังไง ในเมื่อเขาเอาตัวรับเธอไว้ต่างเบาะ ถึงแม้ว่าเบาะนี้จะไม่ได้นุ่มนวลสักเท่าใดนัก เพราะไม่ใช่เบาะฟองน้ำ แต่เป็นเบาะกล้ามเนื้อที่ล้วนแน่นตึงทุกส่วนสัด และโอบรัดเธอไว้อย่างทะนุถนอมป้องกัน
“ไม่ค่ะ...ฉันไม่เป็นอะไร”
เงยหน้าขึ้นบอกเขา ก็ปะทะกับสายตาวาววามที่สุกสกาวอยู่ในความสลัว
นานเป็นครู่ที่ต่างฝ่ายต่างก็มองหน้าจ้องตากันนิ่งทีเดียว สายตาที่ล้ำลึกบอกความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจ แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่อาจคาดเดาหรือเข้าข้างตัวเอง
ท่ามกลางความมืดที่โรยรารอบตัว แต่ก็ไม่ได้มืดมิดเสียทีเดียว เมื่อมีแสงดาววิบวับระยิบระยับเต็มท้องฟ้าสมกับที่นี่ได้ชื่อว่าเกาะแสนดาว ช่วยให้ค่ำคืนสวยงามและโรแมนติกขึ้นมากมาย แถมท่วงท่าและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน
อินทุอรสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นตึ่กตั่กแรงของตัวเอง ความเงียบงันระหว่างกัน กำลังก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา เมื่อใบหน้าคร้ามลดลงมาหา ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดที่แก้ม หญิงสาวหลับตาลง ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้ม
แว๊ก.........
เสียงนกกลางคืนบินผ่านศีรษะไป ทำให้ทั้งคู่ตกใจลืมตาพรึ่บขึ้นมาพร้อมกัน
อินทุอรกะพริบตาถี่ๆ ความขัดเขินทำให้เธอไม่อาจสู้สายตาของชายหนุ่มที่ยังทอประกายวิบวับได้อีก
“ไฟฉายหล่นไปไหนแล้วคะ?”
แสร้งถามพร้อมผละออกจากเขา มองหาลำแสงขาวที่ส่องสว่างอยู่กับพื้น ก่อนที่จะหยิบกระบอกไฟฉายขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่ม
สายตาของโดมินิคเต็มไปด้วยความเสียดายเมื่อพลาดโอกาสแสนงาม เพราะความรู้สึกเสน่หาในดวงตาคู่สวยของหญิงสาววับหายไปเสียแล้ว
“เรารีบกลับกันเถอะค่ะ มืดเต็มทีแล้ว ป่านนี้ป้ากัลยากับลุงทองถมคงจะกลับมาถึงแล้ว”
เอ่ยเตือนเขา
โดมินิคยื่นมือใหญ่มาให้เธอจับ อินทุอรวางมือลงไป ก่อนที่ทั้งสองจะจับจูงกันเดินฝ่าเส้นทางกลางป่าเพื่อกลับไปยังบุหลันอันดา
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เสียโอกาสเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ไม่รู้นะคะ สงสาร