คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : LOLI02 ll ติดเด็กครั้งที่2 {อัพ100%} คนโรคจิต
“ไม่ต้องกลัว
พี่รักเด็ก...”
“พี่จะพาหนูไปไหน!?”
“พาไปกินไอติมห้องพี่” คำตอบกำกวมยิ่งทำฉันพยายามดิ้นสะบัดตัวอย่างแรงพลางทุบมือตีไปตามแผ่นหลังคนตัวใหญ่กว่าอย่างไม่ยั้งแรงและไม่ทับที
แต่ดูเหมือนว่าการทำเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้อีกฝ่ายหยุดการจ้ำเท้าลงได้เลย
ที่บ้าที่สุดเขายังตีบทนิ่งเหมือนตั้งแต่ต้น
กระทำทุกอย่างอย่างสบายอารมณ์เสมือนว่ามันคือเรื่องปกติที่คนทั่วๆไปทำกัน
แม้ว่าฉันจะตะโกนและดิ้นอยู่ตลอดเวลาที่เขากระทำการเช่นนั้น
“ปล่อยหนูซี่!”
‘โลกกลม’ ฉันจะขอใช้คำนี้ก็แล้วกัน
หลังจากถูกเขาลักพาตัวออกมาจากหน้าโรงเรียนได้ไม่นานนัก
แรงดิ้นขัดขืนรวมถึงเสียงร้องของฉันก็ต้องเป็นอันหยุดลงโดยฉับพลัน เปล่าหรอก
เขาไม่ได้ทำร้ายฉัน แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฉันกำลังให้ตกใจอยู่ต่างหาก ซึ่งใช่
อาคารที่เขาแบกตัวฉันเดินเข้าไปมันก็คืออพาร์ทเม้นต์เดียวกันที่ฉันพักอาศัยอยู่ยังไงล่ะ!
“ปล่อยหนูนะ หนูอยากกลับบ้านแล้ว!” ยิ่งพบว่าสถานที่ที่เขาพาตัวฉันมาดันเป็นที่พักของตัวเองด้วยแล้ว
วินาทีนั้นฉันยิ่งพยายามดิ้นขลุกขลักด้วยแรงที่มากกว่าเดิม แต่ว่าเขาฟังไหม ก็ไม่!
“กินติมเสร็จ พี่จะพากลับบ้าน” นายอสุราบอกเพียงแค่นั้นพลางเอื้อมมือกดชั้นลิฟท์
ซึ่งฉันมองไม่เห็นหรอกว่าเขากดเลขชั้นไหน
ได้แต่อาศัยฟังแค่เสียงเตือนภายในลิฟท์เท่านั้นและภาวนาว่าโลกมันคงจะไม่กลมเกินไป
ทั้งที่ภาวนาแต่พระเจ้าก็ดูจะไม่เข้าข้างหรือรับฟังอยู่ดี
เพราะวินาทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกฉันซึ่งถูกเขาแบกเดินไปตามระเบียงโถงทางเดินก็ได้แต่ช็อก
เพราะข้าวข้องตกแต่งหน้าลิฟท์จะดูยังไงก็เหมือนกับของชั้น 4 ที่ฉันพักอยู่ไม่มีผิด
ที่ตอกย้ำกันอย่างสุดก็คงไม่พ้น ตัวเลข 4 ขนาดใหญ่บนผนังข้างลิฟท์นั่นไง
ไม่ว่าจะพยายามช้อนตามอง หรือใช้มือดันหลังเพื่อมองทุกอย่างให้ชัดขึ้นยิ่งกว่าเก่า
คำตอบที่ฉันรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ใครบอกก็คงจะเป็นความจริงที่ถูกซ่อนไว้ว่า
ผู้ชายคนนี้นอกจากจะพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์เดียวกันแล้ว
เขายังพักอยู่ชั้นเดียวกับฉันด้วย!!
กึก!
ความช็อกและความตกใจแรกยังไม่ทันหาย
ความช็อกลูกใหม่ก็เริ่มถาโถมเข้าใส่
เมื่อนายอสุราหยุดเท้าลงที่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง ทว่า
ในมุมมองของคนถูกจับพาดบ่าอย่างฉันกลับมองเห็นบานประตูห้องพักสีขาวสะอาดอีกฝั่งได้อย่างถนัดเต็มตา
บานประตูห้องที่ฉันมักใช้เปิดเข้าออกอยู่เป็นประประจำอย่างห้องพักฉันเอง!
แกร๊ก!
เสียงไขประตูดังแทรกเข้ามาในความคิด
พานให้ต้องเอี้ยวตัวมองหลังเล็กน้อยและพบว่าห้องที่ฉันถูกพาตัวมามันไม่ได้ไกลห่างจากหน้าประตูห้องฉันไปเลยแม้แต่นิด
“ถึงแล้ว...” แถมเขายังเอ่ยขึ้นราวกับจะตอกย้ำให้ฉันเซอร์ไพรส์หนักยิ่งเข้าไปอีกว่าห้องพักของเราสองคนอยู่ตรงกันข้ามกัน!
ตุบ!
“อ๊ะ!” ไม่ทันได้เตรียมตัวเหมือนอย่างตอนแรกที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่
นายอสุราก็ปล่อยฉันลงจากบ่าของตัวเองทันทีที่เขาจัดการปิดประตูใส่กลอนห้องพักอย่างแน่นหนา
ทันทีที่เป็นอิสระ
ฉันก็ไม่รอช้ารีบก้าวถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างในทันที สายตาจับจ้องทุกอิริยาบถที่ฝั่งตรงกันข้ามแสดงออกเพื่อดูท่าที
ตั้งแต่เกิดมาฉันเคยทำคดีมาตั้งเยอะแยะ แต่ว่าการถูกลักพาตัว
อุ้มมาแบบนี้เรียกว่ามันคือครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ยิ่งตอนนี้ฉันมีสถานะเป็นเพียงเด็กประถมคนหนึ่งด้วยแล้ว ทุกอย่างก็ยิ่งยากไปหมด
ไม่มีปืน ไม่มีตราแสดงตัวของตำรวจ มีแต่หนังสือวิชา ส.ป.ช.
กับ ก.พ.อ.
คิดจะใช้หนังสือเรียนพวกนั้นฟาดหน้าคนร้ายให้สลบแล้วโทรเรียกหมวดยูเข้ามาช่วยเคลียร์พื้นที่
แค่มโนภาพยังรู้สึกว่ามันยากลำบากเลย!
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกไปพร้อมกับความคิดร้อนรนเอาตัวรอดในหัวที่ถูกทำให้หยุดลง
เมื่อชายตัวสูงผู้เป็นเจ้าของห้อง
ผละตัวออกจากบานประตูหันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นัยน์ตาเรียวคมคู่นั้นไม่บอกค่าความคิดใดยามที่เผลอสบเข้าแบบตรงๆ
ระหว่างเราตอนนี้มีเพียงแค่ความเงียบ...
แต่แล้วจู่ๆ
ผู้ชายตรงหน้าก็เริ่มทำเรื่องไม่คาดฝันกระตุกใจคนมองให้ตกไปอยู่ตาตุ่ม
เมื่อเขาเริ่มใช้มือถอดหมวกแก๊ปของตัวเองออกแล้วเหวี่ยงมันไปมุมใดมุมหนึ่งของห้อง
จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำมายังชายเสื้อยืดของตัวเองแล้วเลิกขึ้นอย่าช้าๆ
และถอดมันออกเผยให้เห็นเรือนร่างกำยำเปลือยเปล่ากับรอยสักสวยๆ ใต้ร่มผ้า
“พร้อมยังคะ?” คำถามสั้นๆ
ถูกเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ซึ่งนั่นมาพร้อมกับสายตาน่ากลัวดูขัดจากรูปลักษณ์และน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ถามอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ค่ะ! หนูอยากกลับบ้าน!”
ฉันสวนความต้องการของตัวเองออกไปแอย่างไม่ต้องคิด
และหวังว่าเขาจะไม่คิดทำผิดกฎหมายบ้านเมืองทั้งที่อยู่ในสภาพนักศึกษาอย่างนี้ แต่ก็เปล่า
เมื่อคำพูดดังกล่าวทำให้คนฟังตัดสินใจก้าวเท้าเดินตรงปรี่เข้ามาหาอย่างช้าๆ
ไม่รีบร้อน จนฉันต้องเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังหลบหนีเขาเสียเอง
“มาถึงนี่แล้วนะ จะรีบกลับไปไหนคะ?” ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างห้ามไม่ได้ถูกได้ยินคำถาม
ก่อนเริ่มรู้สึกหวั่นใจเมื่อขาที่ก้าวถอยหลังอยู่นั้นชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียหลัก
หงายหลังล้มตึงลงใส่ของสิ่งนั้นอย่างเต็มแรงและถูกความนุ่มยุ่นของมันรับแรงกระแทกเอาไว้
ของสิ่งนั้นคือโซฟาตัวยาวซึ่งดูไม่เก่าและไม่ใหม่มากนัก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!
เพราะการพลาดท่าเสียทีมันก็ทำให้ช่องว่างระยะห่างของเราถูกอีกฝ่ายทำให้ลดลงอีกครั้ง
จนผู้เป็นเจ้าของห้องพุ่งเข้าประชิดตัวฉันได้เป็นหนที่สอง
เขาไม่รอช้ารีบทาบมือข้างหนึ่งลงกับพนักโซฟาอย่างรวดเร็วโดยใช้ร่างกายเปล่าเปลือยเป็นตัวเสริม
และนัยน์ตาคมกลอกมองสำรวจไปทั่วหน้าฉันอย่างถือวิสาสะยามต้องอยู่ใกล้กันในระยะประชิด
ฉันสังเกตเห็นเขาใช้มือข้างที่เหลือลดต่ำลงไปยังกระดุมกางเกงยีนของตัวเอง
หากว่าการกระทำเช่นกระตุกใจฉันได้มากพอแล้วล่ะก็
บอกเลยว่ามันเทียบไม่ได้เท่ากับคำถามสั้นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น
“เราพร้อมจะกินไอติมของพี่ยังคะ?”
สิ้นเสียงถามปลายนิ้วของผู้ชายตรงหน้าก็จัดการปลดกระดุมกางเกงยีนของตัวเองได้สำเร็จ
และดูท่าเขาไม่ได้ต้องการคำตอบจากคำถามที่เอ่ยออกมาเท่าไหร่นัก
นายอสุราทิ้งน้ำหนักลงไปยังฝ่ามือซึ่งทาบกับพนักโซฟาจากนั้นก็ค่อยๆ
โน้มกายลงมาหาอย่างช้าๆ ที่แย่ที่สุดก็คือ สายตาฉันดันเหมือนถูกมนต์สะกดให้จับจ้องหน้าผู้ร้ายตรงหน้าแบบไม่สามารถละสายตา
ที่ทำได้ท่ามกลางสถานการณ์คับขันเวลานี้ก็คงเป็นการเอี้ยวตัวหลบการเข้าหาของเขาจนกระทั่งหมดทางหลบหนีชนเข้ากับวงแขนแกร่งที่เขาใช้กักขังไว้
ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายซึ่งยังสามารถโน้มกายลงมาหาได้อย่างต่อเนื่องปลุกอัตราการเต้นของหัวใจให้รัวถี่และสั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ความรู้สึกคงเหมือนกับพวกเหยื่อตามคดีต่างๆขณะถูกคนร้ายทำร้ายนั่นล่ะ
ทุกวินาทีรับรู้ถึงน้ำหนักกายที่อีกฝ่ายถมทับเข้าใส่เพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ทว่า
นายอสุรากลับไม่ได้เอี้ยวตัวตามการหลบหนีของฉัน
เพราะที่เขาทำคือการเอนกายไปยังพนักโซฟาด้านหลังและทิ้งน้ำหนักตัวกดทับพาดลำตัวฉันไปเพียงเท่านั้น
ฟึ่บ! กึก!
“เฮือก!” ร่างกายถูกทำให้สะดุ้งเมื่อคนตัวใหญ่ขยับลำตัวเล็กน้อยบดเบียดกายฉันให้รู้สึกอึดอัด
แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว เมื่อจู่ๆ เขาผละตัวออกห่างจากไปอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับแขนที่เคยใช้กักขังเอาไว้
และเปลี่ยนความน่าใจหาย ลุ้นระทึกเมื่อครู่ให้เป็นความงุนงงเมื่อ
สิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้หลังจากนั้นมันคือไอศกรีมทำเองแท่งหนึ่งในหลอดพลาสติกลายน่ารักจากตู้แช่แข็งขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโซฟา
“...”
“…” ความงงงวยและความสับสนทำเอาฉันนิ่งไปเหมือนอย่างที่เขาเงียบเอาแต่ยัดเยียดไอศกรีมแท่งในมือส่งให้นั่นล่ะ
ถึงจะเงียบแต่เราก็ยังมองหน้ากัน
ฉันทำตาปริบๆไล่ความงุนงงที่มีให้หมดไป
ส่วนเขาเองก็พยายามเบี่ยงสายตาไปทางอื่นสลับกับมองฉันเมื่อเห็นว่าไอศกรีมในมือไม่ถูกรับไปสักที
“ไม่...กินเหรอ
อร่อยนะ...” อีกทั้งยังถามเสียงอ้อมแอ้มคล้ายกับว่าเขากำลังลังเลอะไรบางอย่างขึ้นมา
“อะ...ไอติมเหรอคะ?” ฉันเองก็บ้าที่ดันทวนคำถามใส่เขาไปแบบนั้น
“ใช่ พี่ทำเอง” ว่าแล้วจบก็รีบจัดการดึงไอศกรีมผลไม้ในหลอดออกอย่างรีบร้อนก่อนยัดเยียดส่งมาให้ฉันเป็นหนที่สอง “ลองกินสิ อร่อยนะ”
จากสภาพการณ์ทั้งที่ผ่านมามันทำให้ฉันรู้ว่าการยอมรับไอศกรีมมาจากมือเขาคงเป็นเรื่องที่ควรทำ
เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะยัดเยียดมาให้อยู่อย่างนี้จนกว่าฉันจะยินยอมรับรับมาไว้กับตัวแน่ๆ
“ขะ ขอบคุณค่ะ...”
ทันทีที่ไอศกรีมแท่งดังกล่าวถูกรับมาไว้กับตัว
คำสั่งสั้นๆ ฟังคล้ายการร้องขอก็เอ่ยขึ้นแทบจะทันที
“กินสิ”
ฉันเหลือบมองเจ้าของคำขอเล็กน้อย
และพบว่านายอสุรากำลังมองอยู่ราวกับจะกดดันให้กินสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เข้าไป
เมือไม่มีทางเลือกฉันจึงตัดสินใจใช้ปากกัดไอ้ศกรีมที่ถืออยู่ในมือคำเล็กๆ
เพื่อจบทุกแรงกดดันทั้งหมดที่มีให้หมดลง แต่ว่า การทำเช่นนั้นก็ยังมีคำถามตามมา
“อร่อยป่ะ?”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย
แม้จะไม่รับรู้ถึงรสชาติไอศกรีมที่อยู่ในปากเลยแม้แต่นิดก็ตาม
“ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน...” ฉันผงะไปเล็กน้อยเมื่อผู้ชายท่าทางน่ากลัวพูดขึ้นอีกหนพร้อมด้วยรอยยิ้มคล้ายกับกำลังดีอกดีใจอะไรพร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนที่วางของโซฟาตัวยาวห่างไปเล็กน้อย “เราคือคนแรกของพี่เลยรู้ไหม?”
“คะ คนแรกเหรอคะ?” ท่าทางซึ่งดูขัดกับรูปลักษณ์ทำฉันอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างไม่เข้าใจโดยที่ลึกๆ
ยังคงหวาดระแวงกับทุกการกระทำที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของอีกฝ่ายไปด้วย
“ใช่...” เพราะเขาอาจกำลังรู้สึกดี
แต่ฉันตอนนี้ยังรู้สึกใจหายไม่หยุด!
นายอสุราพาดแนบไปตามความยาวของผนักโซฟา
บนใบหน้าดุดันแต่ดูดีก็ยังปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ
ซึ่งเขาพยายามซ่อนมันด้วยการกัดริมฝีปากล่างไว้ตลอดเวลา
ก่อนเอ่ยถ้อยคำปิดท้ายประโยคจนจบ
“เพราะเราคือเด็กคนแรกที่พี่เห็นแล้วอยากได้...”
ดะ เดี๋ยวนะ
ผู้ชายคนนี้นี่มัน...
“เฮือก...” อีกครั้งและอีกครั้งที่ผู้ชายตรงหน้าทำฉันสะดุ้งเฮือกได้ในทุกครั้งยามถูกนัยน์ตาคู่นั้นจ้องมอง
ท่าทางเขาดูไม่ใช่คนดี แถมคำพูดก็ส่อสื่อดูคุกคาม ล่อลวงเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
แต่ขณะเดียวกัน คำพูดคำจาห้วนๆ แต่ตรงไปตรงมาของเขาก็ยังแฝงไว้ด้วยความดี
ตอนแรกก็คิดแบบนั้นนั่นแหละ
จนกระทั่งนายอสุราเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ให้พี่เป็นคนแรกของเราได้ไหม?”
“ตะ
แต่หนูยังเด็กนะคะ” ฉันแย้ง
แต่เขาดันขัดออกมาได้หน้าตาเฉยเสมือนว่ามันคือเรื่องที่ถูกที่ควร
“แล้วไง
ยังไงสักวันเราก็ต้องมีครั้งแรกอยู่ดี” ไม่ได้การแล้ว
คนแบบนี้ถ้าปล่อยไว้ต้องเป็นภัยคุกคามเด็กในอนาคตแน่ๆ ฉันต้องจัดการอะไรสักอย่าง
ก่อนอื่นต้องหาทางออกไปจากที่นี่แล้วให้หมวดยูกับคนที่กรมตำรวจจัดการกับเขาซะ
เราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม...
แต่แล้วระหว่างกำลังคิดหาทางเอาตัวหลบหนีไปจากห้องห้องนี้
ความคิดก็ต้องเป็นอันสะดุดลง เมื่อจู่ๆ คนตัวใหญ่ข้างกายเริ่มมีการขยับ
วินาทีที่หันมองฉันก็ต้องกระตุกวูบไปทั้งตัว
เมื่อทิศทางที่เขาหันเหมามันคือด้านที่ฉันกำลังนั่งอยู่
กึก!
“พะ พี่จะทำอะไรคะ!?”
“จะละลายแล้ว...” นั่นคือสิ่งที่เขาพูดขึ้นเมื่อขยับตัวเข้ามาใกล้
คำพูดที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายนักกำลังทำให้ความคิดเริ่มเตลิด
สติซึ่งยังเหลืออยู่สั่งการให้ฉันรีบพุ่งตัวออกจากโซฟาทันทีเพื่อหลบเลี่ยงการถูกประชิดอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟึ่บ! หมับ! ตุบ!
ก็ไม่วายถูกมารสังคมรั้งตัวให้กลับมานั่งที่เดิมได้อยู่ดี
แถมคราวนี้ไอ้ที่ฉันนั่งทับลงไปมันดันเป็นตักเขาเสียด้วย!
“อึก...” ถึงแม้จะเคยผ่านคดีมาเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์บ้าๆนี่เพิ่งเคยเกิดขึ้นกับตัวเองเป็นครั้งแรก
และฉันไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนจู่โจมใส่ด้วยการกระทำและคำพูดส่อสื่อขนาดนี้มาก่อน
โดยเฉพาะกับการเข้าประชิดอย่างถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี
ทำราวกับว่ามันคือเรื่องปกติที่คนสติดีๆ ทำกัน
“ไอติมจะละลายหมดแล้ว...” นายอสุราเอ่ยขึ้นชิดติดข้างหู
รับรู้ถึงลมหายใจและสัมผัสจากปลายนิ้วที่เขาบรรจงทัดผมที่ปรกหน้าฉันไปไว้ข้างหู “ทำไมไม่กินล่ะ ไม่อร่อยเหรอ?”
การกระทำของเขามันเริ่มทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาแบบแปลกๆ
แต่อย่างไรก็ดีร่างกายก็ยังตอบรับคำสั่งของเขาด้วยการยัดไอศกรีมในมือเข้าปากเพื่อเลี่ยงการกระทำรุนแรงหากผู้ร้ายเกิดอาการไม่พอใจ
“ดีค่ะ กินให้หมดนะ”
ดูเหมือนว่าการยัดไอศกรีมเข้าปากจะทำให้เขาพอใจถึงได้เอ่ยชมกันแบบนั้น
“พี่ชอบเด็กว่าง่าย...” รู้สึกได้ว่าระดับริมฝีปากของเขาตอนพูด
มันไม่ได้ห่างไปจากหูฉันเลยแม้แต่นิดอีกทั้งวงแขนที่เขาใช้โอบรัดกายฉันไว้ก็เริ่มรัดแน่นมากขึ้นจนรู้สึกได้
พอๆกับคำพูดประโยคต่อมา “แล้วตอนนี้ พี่ก็ชอบเรา”
คำพูดชวนขนลุกของเขาทำฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอไปพร้อมไอศกรีมที่ละลายอยู่ในปากอย่างไม่ต้องสงสัย
บอกเลยว่าวินาทีนี้สมองมันตันไปหมด ไม่รู้จะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือเขาด้วยวีธีไหนหากยังถูกอีกฝ่ายจับกุมด้วยวงแขนเอาไว้แบบนี้
“ไม่ต้องกลัวนะ
พี่สัญญาจะไม่ทำอะไร…” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแสดงเจตจำนงคล้ายกับเป็นการให้สัญญาและเริ่มบอกเหตุผลของการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ “ที่พามานี่ก็แค่อยากให้รู้ว่าชอบ”
เพราะสถานการณ์ที่กำลังเป็นไปดูไม่น่าหวาดหวั่นเทียบเท่ากับตอนแรก คงเพราะฉันกำลังตามใจเขาด้วยล่ะมั้ง ทุกอย่างถึงได้ดูซอร์ฟลง ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือการกระทำ เมื่อเป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ฉันควรทำต่อไปคือการไหลตามน้ำต่อไปเรื่อยๆ
“หนะ หนูไม่เชื่อ...” โดยขณะเดียวกันก็มองหาช่องทางเอาตัวรอดไปด้วย “พี่ต้องปล่อยหนูก่อน
หนูถึงจะยอมเชื่อ...”
อาจเป็นคำพูดที่ฟังดูโง่ไปนิดที่ฉันใช้งัดมาใช้สำหรับต่อรองกับเขา
แต่ทำไงได้ ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ทั้งที่คิดว่ามันคือเรื่องโง่ที่พูดไปแบบนั้น
ทว่า
ผลตอบรับที่ได้กลับมามันดันตรงกันข้าม
เพราะวินาทีที่ข้อต่อรองถูกพ่นออกไปจนจบ
วงแขนกว้างของคนตัวใหญ่ซึ่งเคยรัดรอบกายก็ถูกคลายออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกันราวกับแสดงความจริงใจในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา
เมื่อมีโอกาส ฉันเองก็ไม่รอช้ารีบดีดตัวลุกออกจากตักของเขาทันทีแบบไม่ต้องคิด
พร้อมทั้งรีบพาตัวเองถอยห่างไปอยู่ในระยะที่ปลอดภัยที่สุดอย่างบริเวณประตูห้อง โดยไม่ลืมหันกลับไปมองเป้าหมายอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ลงมือทำเรื่องน่าตกใจใส่อีกตามอย่างปากว่า
ทว่า
พอหันไปมองสิ่งที่รอคอยอยู่กลับไปใช่สีหน้าน่ากลัวอย่างที่เคยเห็นในตอนแรก
แต่ดันเป็นรอยยิ้มใจดี
มันคือรอยยิ้มของคนที่ดูจะมีความสุขอย่างสุดๆทั้งที่กำลังทำเรื่องเข้าข่ายผิดกฏหมายต่อเด็ก...
เพราะการกระทำของมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและที่มา
ผลของการกระทำและบทลงโทษที่ได้รับจึงต่างออกไปแล้วแต่ความผิดว่าถูกจักอยู่ในสถานหนักหรือสถานเบา
เว้นคนบางจำพวกที่กระทำการด้วยความไม่รู้และไร้สมรรถภาพทางความคิด
หรือเข้าข่าย 'จิตเพศ' เพราะเห็นคนร้ายจำพวกนี้มาเยอะ อีกทั้งทั้งที่เขายังเด็กอยู่แท้ๆ
แต่การกระทำและคำพูดดูไม่ต่างจากพวกวิตถารหลายคนที่ถูกจับจากคดีต่างๆ เลยสักนิด
“พี่ทำแบบนี้กับหนูทำไม...”
รู้ตัว ปากก็พลั้งถามกึ่งต่อว่าออกไป เพื่อเช็กสถานภาพทางความคิด
ความรู้สึก และปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายตรงข้ามอย่างลืมตัว “พี่เป็นพวกโรคจิตเหรอคะ?”
แล้วรู้ไหมว่าเขาตอบคำถามฉันกลับมาว่าอย่างไร...
“ใช่ค่ะ คงจะอย่างงั้น”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ความคิดเห็น