ตอนที่ 14 : ข้ามคืนครั้งที่ 13 : ช้ำใจไร้คนรักษา [100%]
TEMPORARY BLISS : CHAPTER 13
ข้ามคืนครั้งที่ 13 : ช้ำใจไร้คนรักษา
#ฟิคคืนของชานแบค
-BEAKHYUN PART-
เหมือนกับขยะที่ถูกทิ้ง...
ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องอาหาร จุดเดียวกับที่เจอจงแดและพ่อของผมที่มาทานข้าวด้วยกัน ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลือใครสักคน มีเพียงผมเท่านั้นที่ยืนอยู่ตรงนี้เพียงผู้เดียว มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชานยอลจะวิ่งตามหลานเขาไป เขาคงแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆก็เจอจงแดที่นี่ แถมยังมาเจอตอนที่อยู่กับพ่อของผมอีก
แต่ที่มันน่าแปลกใจคือทำไมพ่อผมถึงต้องวิ่งตามไปด้วย “
‘พ่อขอไปดูจงแดแปปนึงนะ’
คำพูดนั้นยังลอยอยู่ในหัวของผมราวกับเทปที่กรอซ้ำไปซ้ำมาหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อถึงต้องตามจงแดไป ทั้งๆที่ชานยอลก็วิ่งไปหาหลานชายเขาแล้ว ผมไม่รู้เหตุผลเรื่องนั้น รู้แค่ว่าตอนที่เห็นแผ่นหลังของพ่อที่วิ่งตามจงแดไป
ผมก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
โดดเดี่ยวขณะที่ไม่รู้อะไรเลย...
“แบคฮยอน”
“พ่อครับ...”
“รอนานไหม”
“…”
“โทษทีนะ พ่อมัวแต่คุยกับชานยอลนานไปหน่อย” ผมไล่สายตาเลื่อนลอยมามองใบหน้าหล่อเหลาของพ่อตัวเองที่ยกยิ้มสำนึกผิดให้ผม ยังคงทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับผมที่รู้สึกตงิดใจ ผมรู้ว่าการมาทานอาหารร่วมกัน มันย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ที่แปลกทำไมพ่อต้องมากับจงแด ผมไม่ได้เกลียดจงแดนะ ผมแค่สงสัย พอรวมกับความรู้สึกสำคัญที่หายไป...
มันอดเคว้งไม่ได้จริงๆ
“เขากลับไปแล้วเหรอครับ อาชานยอลน่ะ”
“อื้ม ไปส่งจงแดน่ะ”
“…”
“ตอนแรกพ่อจะไปส่งจงแดให้เพราะพ่อเป็นคนพาเขามา แต่ชานยอลมันหวงหลาน มันเลยไล่พ่อกลับมาหาแบคฮยอน”คุณพ่อพูดติดตลก ยิ้มขำนิดหน่อยให้กับสิ่งที่พูดออกมา ผิดกับผมที่ยังคงนิ่งไม่แม้แต่จะยิ้มหรือเคลื่อนไหวอะไรบนใบหน้า
ผมนึกว่าวันนี้จะได้มีอะไรดีๆกับชานยอลซะอีก เขาอุตส่าห์ทำดีให้ผมเซอร์ไพรส์
สุดท้ายก็แค่สายลมที่พัดผ่านมา
“ถือโอกาสดินเนอร์ด้วยกันเลยดีไหม ไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันมาพักใหญ่แล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนมาพร้อมกับการวางมือลงบนหัวผม ออกแรงขยี้เบาๆราวกับเรียกสติ ผมเลยพยักหน้ารับคำพูดของเขา คุณพ่อเลยกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของผม
สัมผัสแสนอ่อนโยนทำให้ผมหลับตาลงซึมซับมัน
“ไปครับคนเก่งของพ่อ วันนี้อยากกินอะไรบอกพ่อเลย พ่อเลี้ยง”
“คุณพ่อก็เลี้ยงตลอด ไม่ต้องมาทำเป็นป๋าใส่แบคเลยนะ”
“น่าๆ นานๆทีให้พ่อเป็นป๋าบ้างก็ได้” ร่างสูงว่าพร้อมโอบไหล่ผมพาผมเข้าไปในห้องอาหารที่เขากับจงแดจองร่วมกันไว้ บอกตามตรงผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ทว่าก็ยังอดทนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร เพราะผมอยากให้คุณพ่อสบายใจ
มันดีกว่าถ้าผมไม่พูดอะไรที่ไม่ดีออกไปเลย
“ว่าแต่ดูเรากับชานยอลเข้ากันได้ดีนะ”
“อะ...”
“สนิทกันเหรอ “”
“ก็...ไม่เชิงครับ อาชานยอลแค่อัธยาศัยดี”ผมตอบเลี่ยงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรพูดว่าผมกับเขาสนิทกันแค่ไหน เพราะพ่อคงไม่อยากรับรู้แน่ว่าลูกชายกับรุ่นน้องเขาเกินเลยกันไปมากกว่าคำว่า ‘อาหลาน’ กัน ถ้าพ่อรู้เรื่องนั้นมันคงเป็นปัญหาใหญ่
ซึ่งต้องขอบคุณพ่อที่ไม่ได้ซักไซ้อะไร เขาแค่พยักหน้าเข้าใจ
จากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนเรื่องคุย
เกือบสามทุ่มที่ใช้เวลากลับบ้าน นี่แทบเป็นคืนแรกๆก็ว่าได้ที่ผมกลับมานอนคนเดียวในห้อง ไม่ได้ถูกชานยอลลากไปทำอะไรในคอนโดของเขา บอกตามตรงมันค่อนข้างอ้างว้างไม่เบา รู้สึกเหงาๆยังไงไม่รู้ตอนที่เห็นความว่างเปล่าในห้องนอนของตัวเอง
ไม่มีกลิ่นโคโลญจน์ ไม่มีเสียงลมหายใจที่แว่วดังอยู่ข้างหู และที่สำคัญ...
ไม่มีความอบอุ่นรินรดร่างกาย
“อย่ามาไร้สาระน่าแบคฮยอน เลิกคิดสักที”ผมตอบตัวเองแบบนั้นพลางสะบัดไปมาไล่ความคิดที่เล่นงานผมอย่างหนัก คงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกมั้งที่เกลียดการเสพติดใครสักคน และรู้สึกเหงาทุกครั้งที่คนคนนั้นหายตัวไป ผมไม่อยากยอมรับว่าผมเสพติดชานยอล มันไม่ใช่แบบนั้น
แต่เพราะก่อนหน้านี้มันมีเรื่องให้ผมคิดมาก และเขาก็เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างๆ มันเลยทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยเวลาเขาอยู่ด้วยกัน
ทว่ามันก็แค่นั้น สุดท้ายเรามันก็แค่...
Rrrr !
เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้ผมหันมาให้ความสนใจกับปลายสาย ผมสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาดูว่าใครคือคนโทรมา พอเห็นว่าเป็นคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี ผมก็ไม่รีรอที่จะรับสายของเขาราวกับว่าผมรอเวลานี้อยู่
‘LUHAN CALLING’
“ฮัลโหล ว่าไงลู่หาน” ผมกรอกเสียงใส่ปลายสายพร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง “มีอะไรหรือเปล่าโทรมาดึกเชียว”
(เปล่า ก็วันนี้ไม่มีเรียนใช่ไหมล่ะ ก็เลยอยากโทรหาเท่านั้นแหละ)
“โทรมาแบบนี้ต้องมีเรื่องแน่ๆ”
กึก !
“บอกมานะว่ามีเรื่องอะไร”
(ก็ไม่เชิงว่ามีอะไรหรอก...) ปลายสายอึกอักเหมือนคิดหาคำตอบ แสดงให้เห็นว่าที่ผมพูดดักคอไปทำให้เขารับรู้ได้ว่าผมรู้ทันเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายเงียบไปสักพักจนผมเริ่มขมวดคิ้วใส่ เรียกชื่อเพื่อนรักให้ตอบรับกลับมาเผื่อว่าเขาจะเผลอปล่อยสายทิ้งไว้
อย่าปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวอีกเลย วันนี้ผมก็เหมือนโดนทิ้งมาพอแล้ว
“ลู่หาน มีอะไร”
(เปล่าๆ)
“…”
(ก็แค่จะโทรมาบอกว่าวันนี้กูเจอจงอินที่ห้างกับซอยอล)
“แล้ว “”
(เหมือนพวกมันจะทะเลาะกันว่ะ) ความอึดอัดใจแล่นเข้าสู่หัวใจผมอย่างไร้สาเหตุ เล่นเอาผมถึงกับหลุบตาต่ำมองพื้นเหมือนครุ่นคิด (กูไม่แน่ใจว่าทะเลาะกันจริงไหม รู้แค่ว่าซอยอลเหมือนพยายามยื้อจงอินเอาไว้อ่ะ ส่วนจงอินก็ดูผลักไสยังไงไม่รู้ดิ)
“คิดมากไปเองหรือเปล่า จงอินไม่ทำแบบนั้นหรอก”
(แต่...)
“จงอินรักซอยอลจะตาย ไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน”ผมยืนยันคำเดิมแม้ว่าภายในใจจะชาดิกอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็น้อยกว่าช่วงแรกๆ ตอนนี้ผมแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้วด้วยซ้ำ “อีกอย่างพวกเขาจะทะเลาะอะไรกัน มันก็ไม่เกี่ยวกับเราอยู่ดี ปล่อยเขาไปเถอะลู่หาน”
(...)
“วันนี้ฉันเหนื่อยมามากพอแล้ว”
(เฮ้ย มึงเป็นอะไรหรือเปล่าแบคฮยอน)
กึก !
(บอกกูมา ระบายมาเลย)
“ไม่มีอะไร ก็แค่...เหนื่อยทั่วไป”ผมโกหกเพราะผมไม่อยากพูดเรื่องที่ผมหนักใจให้ใคร แม้ว่าคนที่รับฟังจะเป็นเพื่อนสนิทของผมก็ตาม ถึงอย่างนั้นลู่หานก็พยายามเซ้าซี้ราวกับจะง้างปากผมให้คายความลับออกมา ซึ่งผมก็เลือกที่จะตอบเลี่ยงๆไป
ลู่หานไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมหรอก
“ตอนนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า...ฉันสามารถไว้ใจใครได้บ้าง”
(มึงหมายความว่าไง “)
“ไม่รู้สิ”
(...)
“ฉันแค่อยากมีของของตัวเองบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
(กูงงไปหมดแล้ว)
กึก !
(มึงต้องการจะสื่ออะไรกันแน่แบคฮยอน พูดตรงๆมาเลย อ้อมค้อมอยู่ได้ เก็บไว้มันก็ไม่สบายใจหรอกนะ) แทนที่ผมจะนิ่งงันไปกับคำพูดของลู่หาน ผมกลับยกยิ้มมุมปากราวกับนึกขำ ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิดเดียว
กลับกันมันน่าเศร้าที่แม้แต่เพื่อนสนิทผมก็ยังพูดออกไปไม่ได้
ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผมไม่อยากให้ลู่หานเข้าใจหรือว่าผมไม่กล้าพอที่จะเล่าออกไปให้เขาฟังกันแน่ บางทีอาจจะเป็นอย่างหลังเพราะผมก็ขี้ขลาดมาตลอด
แต่เอาเถอะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรพูดออกไป
ลู่หานไม่จำเป็นต้องมาสนใจเรื่องของผมหรอก
“ไม่มีอะไรหรอกลู่หาน วันนี้ฉันเหนื่อยมามากแล้ว ขอไปนอนก่อนนะ”
(เดี๋ยวสิแบค...!)
“ฝันดี” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะกดวางสายไม่รอให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจ ผมรู้ว่าถ้าผมปล่อยให้ลู่หานพูดต่อ เขาต้องไม่ยอมเลิกเซ้าซี้ผมแน่ๆ หลังวางสายผมก็ปิดเครื่องหนีกันไม่ให้ปลายสายเมื่อกี้โทรมากวนใจก่อนจะล้มตัวลงนอนไป
ให้ความอบอุ่นกับตัวเอง
ตอนเช้า
แสงแดดที่ส่องลงมาจากบานหน้าต่างคือสัญญาณบอกว่าเช้าวันใหม่มาถึงแล้วได้เป็นอย่างดี ผมเองก็ไม่ใช่คนที่จะมาอิดออดเวลาที่ต้องก้าวเดินออกไปเผชิญกับความจริง เพราะต่อให้ผมนอนนิ่งๆ ความจริงมันก็อยู่รอบกาย ผมเลยเลือกที่จะอาบน้ำเตรียมลงมาทานข้าว
แล้วผมก็ต้องแปลกใจเมื่อวันนี้ผมนั่งอยู่คนเดียว...
“พ่อล่ะครับ “”
“คุณท่านออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ท่านฝากบอกว่าติดประชุมเลยขอตัวไปก่อน”เมดสาวบอกผมพร้อมกับโค้งให้ มันเป็นมารยาทที่เธอจะไม่เงยหน้าสู้สายตากับผู้เป็นนาย ซึ่งนั่นมันก็ไม่สำคัญ ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้นนั่งทานข้าวเงียบๆไปคนเดียว
หลายวันแล้วที่ผมต้องอยู่แบบนี้ กินข้าวคนเดียว อยู่บ้านคนเดียวโดยที่พ่อเอาแต่โหมงานหนัก มันเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ชานยอลยังไม่เข้ามาในชีวิตของผมซะอีก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพ่อจะทำงานจนลืมลูกชายคนนี้ เขายังดูแลผมดีเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส
แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหงาใจ
นานแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึก...อ้างว้างขนาดนี้
“คุณหนู เป็นอะไรหรือเปล่าคะ “”
“อะ...!”
“ไม่สบายเหรอคะ คุณหนูแบคฮยอน”เสียงของหญิงสาววัยสี่สิบปลายๆเอ่ยถามผมจากด้านหลัง ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์หันไปมองแม่นมที่เลี้ยงผมมา เธอมองผมด้วยแววตาห่วงใยพลางทาบมือลงบนหลังมือของผม
มีแค่แม่นมที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แม่แท้ๆของผมก็ตาม
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้าพลางฝืนยิ้มให้ “ผมแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะครับ”
“ไม่ดีเลยนะคะคุณหนู รีบทานข้าวดีกว่าเดี๋ยวจะไปเรียนสายนะคะ”
“ไม่ต้องไปเร่งเขาหรอกครับแม่นม”
“อ๊ะ !”
“เดี๋ยวผมไปส่งแบคฮยอนเอง ไม่ต้องห่วง”ร่างกายผมเย็นวาบแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นเคย จู่ๆเลือดในกายก็แล่นวูบวาบพาลเอาหัวใจผมเต้นแรงไปหมด เพราะเสียงที่ผมได้ยินมันดังมาจากทางเข้าห้องอาหาร แน่นอนว่ามันเรียกให้ผมหันไปมองหน้าเขา
เขา...ที่เพิ่งถูกพาดพิงเมื่อคืนนี้
“จงอิน “”
“ไงแบคฮยอน”
“มะ...มาทำอะไรเนี่ย “”
“ถามได้ ก็มารับนายน่ะสิ”
“รับฉัน “” ผมขมวดคิ้วหลังจากทวนคำนั้น ความไม่เข้าใจฉายชัดบนนัยน์ตา “รับทำไม นายจะพาฉันไปไหน “”
“ก็ไปมหาลัยไง นายนี่นอนมากจนเบลอหรือไง หืม “”จงอินหัวเราะให้กับความโก๊ะของผมที่จริงๆแล้วผมไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ผมแค่แปลกใจที่จู่ๆเขาก็มาที่บ้าน แถมยังทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพูดคุยกับคนใช้ในบ้านอย่างสนิมสนม ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อก่อนจงอินเข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่นไม่ต่างจากผมที่ไปบ้านเขา
แต่หลังจากที่เขามีแฟน บ้านของพวกเราก็ไม่ต่างจากสถานที่ต้องห้ามที่ไม่คิดจะเหยียบเข้าไป
ผมไม่อยากเข้าไป...ผมไม่อยากเห็นรูปถ่ายของเขากับซอยอล
“นี่จะมองหน้าฉันอีกนานไหม มีอะไรก็ถามมาเลยสิ เงียบเป็นเต่าแล้วจะรู้ไหม” ร่างสูงถามพร้อมกับยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างหยอกล้อ
และด้วยความที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมเลยเผลอถามสิ่งที่สงสัยออกไป
“นายไม่ไปรับซอยอลหรือไง”
“…”
“ไม่ใช่ว่าวันนี้พวกนายมีเรียนด้วยกันเหรอ “”
“ใช่ วันนี้พวกฉันมีเรียนด้วยกัน”
“แล้วทำไม...”
“แต่ฉันไม่ต้องไปรับซอยอลแล้วล่ะ ฉันกับซอยอล...เลิกกันแล้ว”
LOADING 100 PER
เจิมช้ำใจไร้คนรักษา งานนี้หาคนดูแลด่วน !
รอเยอะอัพไวนาจา ใครอยากอ่านรีบเจิมไวๆ ไม่นานเกินรอ !
ฝากติดตามด้วยน้า อย่าลืมเม้นน้า
1 เม้น 1 กำลังใจให้กำลังใจแบคฮยอน
เมื่อพูดถึงค่ำคืนของพวกเขา อย่าลืมติดแท็กในทวิต !
#ฟิคคืนของชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิช้อยอยากจะรำถวายละเกินค่ะ
ไปค่ะ ไปเล้ยยยยย อย่างน้อยจงอินก็เป็นเพื่อน
ช่างหัวผัวข้ามคืนมันค่ะ เทมันโลดดดดดดด
สงสารแบคคค TT
สนุกมากกก??