ตอนที่ 12 : ข้ามคืนครั้งที่ 11 : ซื้อใจคนฟัง [100%]
TEMPORARY BLISS : CHAPTER 11
ข้ามคืนครั้งที่ 11 : ซื้อใจคนฟัง
#ฟิคคืนของชานแบค
ผมถึงเงียบไปทันทีที่ชานยอลพูดออกมาแบบนั้น นัยน์ตาสีสวยตวัดมาสบผมอย่างประเมินค่า มันทำให้ผมเลือกที่จะหลุบตาหลีกเลี่ยงการสบสายตากับเขา แม้จะรู้ว่าตราบใดที่เราอยู่ด้วยกัน ผมไม่มีทางทำแบบนั้นได้ตลอดเวลาก็ตาม แน่นอนว่าพอผมทำแบบนั้นชานยอลก็ระบายยิ้มเอ็นดูออกมา
ผิดกับผมที่ยังคงนิ่งงันไม่ต่างจากเสาปูน
“ไม่ต้องประหม่าไป คุณไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น”
“…”
“ผมไม่ได้หลอกคุณเล่นหรอกนะ แต่เชื่อเถอะว่าผมจะไม่ก้าวก่ายพื้นที่ของคุณมากเกินไป” ชานยอลว่าพร้อมกระดกไวน์ในแก้วด้วยท่าทางสบายๆ แตกต่างจากผมที่เริ่มเกร็งขึ้นมานิดหน่อย “ผมรู้ว่าการถูกตามตื้อหรือถูกกดดันมันแย่แค่ไหน ถึงผมจะบอกว่าจะค้นหาตัวตนภายใน...”
“…”
“ผมยังคงต้องให้คุณบอกใบ้อยู่นะJ” ผมไม่คิดจะตอบรับสักคำพูดของเขาราวกับว่าเผลอทำปากหล่นไปเมื่อกี้ จริงๆการไม่พูดอะไรก็ไม่ต่างจากการนั่งทบทวนความคิดหรือประมวลสิ่งที่ได้ยิน ผมรู้ว่าชานยอลอ่านคนเก่ง แต่มันก็ไม่ทั้งหมด
เขาแค่ทำเป็นเดาทางผมได้ ทว่าเชื่อเถอะว่าทุกเส้นทางย่อมมีทางออกที่แตกต่างกันไป
การที่เขาปิดทางผมไปทางนึงไม่ได้แปลว่าผมจะกลายเป็นหมาจนตรอกนิ จริงไหม ?
“ผมว่าคุณมีคนที่ควรจริงจังในเรื่องนี้มากกว่าผมนะ”
กึก !
“คุณยังมีโอกาสเจอคนดีๆอีกเยอะชานยอล อย่าเอาตัวตนผมมาเล่นเป็นของเล่นฆ่าเวลาของคุณ มันไม่สนุกหรอก” ผมพูดออกไปตามความคิดที่อยากให้เขาได้ยิน ซึ่งมันก็ทำให้ชานยอลแปลกใจนิดหน่อย ผมคิดว่าทั้งชีวิตของเขาคงมีผู้หญิงมากมายหลายล้อมและขอให้เขาดูแลเธอให้ดี ผิดกับสิ่งที่ผมพูดให้เขาฟัง
มันไม่ใช่การทำให้ตัวเองสูงค่า ผมแค่คิดว่าเขาไม่ควรมาเสียเวลากับผม
เพราะแค่เราเจอกันทุกคืนก็เหมือนสร้างรอยด่างผล็อยให้ตัวเองแล้ว ไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึกแปลกๆกับความสัมพันธ์เพียงข้ามคืน แรกเริ่มมันน่าสนใจตามประสาวัยอยากรู้อยากเห็น แต่ยิ่งนานวันมันก็ไม่ต่างจากโซ่ตรวนที่พันธนาการเราสองคนเอาไว้
มันเหมือนใยแมงมุมที่ฉีกทึ้งเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันปล่อยให้พวกเราเป็นอิสระ
“มันไม่สนุกไม่ได้แปลว่ามันไม่น่าสนใจ”
“อย่าเอาความรู้สึกใครมาเป็นเครื่องล้อเล่นชานยอล ไม่มีใครเขาจะสนุกกับคุณตลอดเวลาหรอกนะ”
“แต่ที่ผ่านมาผมก็เจอคนที่พร้อมสนุกกับผมนะ”
“นั่นก็เพราะเขาไม่จริงจังกับคุณต่างหาก”
“…”
“และคุณเองก็ไม่ได้จริงจังกับพวกเขาเลยสักคน” ชานยอลทำหน้าแปลกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผมพูดเหมือนอ่านเขาออกหมดทุกระเบียบนิ้ว ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมก็พูดตามสิ่งที่ผมคิดเท่าไหร่ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
เล่นเอาผมถึงกับขมวดคิ้วมุ่ย เอ่ยปากถามเขาไปทันที
“มีคนที่คุณเคยจริงจังด้วยเหรอ ?”
“ไม่มีหรอก”
“อ้าว...”
“ผมไม่เคยคบใครจริงจัง แต่...ตอนนี้ผมก็เริ่มคิดบ้างแล้วล่ะ เพราะเหมือนจะมีคนที่สะดุดตาผมเข้าให้แล้วJ”
คำพูดของชานยอลทำให้ผมชะงักไปทันทีเพราะดวงตาตอนที่เขาพูดถึงคนที่เขาถูกใจมันกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างออกมาโดยมีภาพของผมเป็นตัวหลัก ผมไม่ได้หลงตัวเองหรืออยากจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาชอบใจผมนะ
ผมแค่รู้สึกว่าเขากำลังหมายถึงคนใกล้ตัว...
“งั้นผมก็ขอให้คุณโชคดีกับคนที่สะดุดตาคุณ”
“แล้วคุณไม่อยากรู้เหรอว่าผมหมายถึงใคร ?”
“…”
“ผมอาจจะกำลังหมายถึงคุณก็ได้ ผมจะบอกถ้าคุณอยากรู้” รอยยิ้มของชานยอลทำให้ผมรู้สึกแปลกๆไปทั่วร่าง ยิ่งเขาไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดทางสายตา ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ต่างจากการถูกมองทะลุเนื้อผ้า “เพียงแค่คุณถาม คุณจะได้คำตอบอย่างที่คุณต้องการ”
“…”
“แต่ต่อให้ไม่อยากผมก็ยินดีจะเฉลยนะ” ผมเบือนหน้าหนีรอยยิ้มแสนหวานของเขาราวกับว่ามันคือของร้อนที่ไม่น่าเข้าใกล้ ชานยอลขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง รั้งมือผมไปจับเอาไว้ไม่เกรงใจว่าจะมีคนเห็นการกระทำนั้นไหม เล่นเอาผมถึงกับชะงัก ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ “เพราะคนที่สะดุดตาผม ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน”
“ชานยอล”
“มันคือคุณ แบคฮยอน” หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นส่ำทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เลือดมากมายสูบฉีดไปบนใบหน้าคงทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้ผมเขินอายมากแค่ไหน ถึงผมจะดูนิ่งเหมือนไม่คิดอะไร แต่การถูกหว่านล้อมก็ใช่ว่าจะไม่มีอิทธิพลกับผมนิ
โดยเฉพาะกับเขาคนนี้ที่ดูเหมือนจะรุกผมหนักเป็นพิเศษ...
ทว่าผมก็ยังพยายามแก้เกม แม้ว่าตัวเองจะเล่นเกมไม่เก่งเลยก็ตาม
“มีคนมากมายให้คุณสะดุดตาชานยอล แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผม” ผมว่าพร้อมดึงมือตัวเองกลับ เลือกที่จะหลบตาอีกฝ่าย ทั้งๆที่รู้ว่าถูกจ้องอย่างไม่วางตาก็ตาม “ผมกับคุณมันต่างกันเกินไป เราเป็นแค่...คนที่พอใจกัน คุณเป็นคนพูดเอง”
“บางครั้งคนเราก็เลือกที่จะกลืนน้ำลายตัวเองนะแบคฮยอน”
“อะ...!”
“เพราะมันให้ผลลัพธ์ดีกว่าการเย่อหยิ่งในสิ่งที่ไม่เข้าท่า” ผมสะอึกนิดหน่อยตอนเขาพูดแบบนั้นออกมาราวกับว่ากำลังถูกตำหนิว่ายังไงยังงั้น “ผมรู้ว่าผมพูดอะไรไป และมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น ความคิดคนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ มันอาจจะเปลี่ยนง่ายกว่าสายลมด้วยซ้ำ”
“...ถึงจะพูดแบบนั้นผมก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสม”
“แล้วอะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะ ?”
“ผม...”
“อย่าเอาความไม่มั่นใจของตัวเองมาพังเกมของผมสิ แบบนั้นมันก็หมดสนุกพอดี คุณว่าไหมJ” ชานยอลระบายยิ้มบางก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งเลื่อนมานั่งข้างผม เล่นเอาผมสัมผัสได้ถึงความร้อนจากกายหนาของเขา ผมเลยเขยิบกายห่างเบาๆ แต่อีกฝ่ายกลับสอดมือมาโอบเอวล็อคตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว
ผมได้ตกลงในกับดักของเขาแล้ว
“ผมรู้ว่าผมบอกคุณให้เราเน้นเรื่องความพอใจ”
กึก !
“แต่ในเมื่อนี่มันคือเกมที่เราสร้าง...” เขาเว้นวรรคยาวก้มลงมากระซิบข้างหูผม “กติกามันก็เปลี่ยนไปตามใจของผู้เล่น มันไม่มีกฎตายตัว จึงไม่แปลกถ้าผู้เล่นจะพลิกกฎเกณฑ์บ้าง”
“แบบนั้นก็เท่ากับว่าเอาเปรียบคนอื่นน่ะสิ”
“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำนิ”
“…”
“อยู่ที่ว่าจะเล่นเกมเก่งแค่ไหน อย่างคุณผมถือว่าอนุโลมให้ เพราะผมถูกใจผู้เล่น...ที่เล่นไม่เป็น”ลมหายใจร้อนๆรินรดอยู่ที่ซอกคอของผม เล่นเอาผมถึงกับต้องเบี่ยงตัวหลบนิดหน่อย ทว่าก็ไม่ได้ขยับมากนักเนื่องจากเขากอดผมไว้แน่นพอสมควร มั่นใจได้ว่าผมจะไม่หลุดออกจากมือของเขา ริมฝีปากร้อนจัดประทับลงบนกกหูผมเบาๆราวกับต้องการเน้นย้ำถ้อยคำที่พูดออกมา
ผมไม่ได้สนใจเรื่องเกมของเขา สมองมันว่างเปล่าเมื่ออีกฝ่ายเริ่มสัมผัสผมไปทั่ว ทั้งๆที่ก็รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในร้านอาหาร ต่อให้ที่นั่งของเรามันจะส่วนตัวแค่ไหนก็ตาม...
ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเราจะไม่ตกเป็นเป้าสายตา
“อยะ...อย่านะชานยอล นี่มันข้างนอกนะ”
“ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับคุณนิ”
“คุณจะ...”
“ผมแค่ตอกย้ำถึงสิ่งที่ผมพูดเท่านั้น” ด้วยความที่ผมหันไปมองเขาพอดี อีกฝ่ายเลยใช้จังหวะนี้กดจูบลงมาบนเรียวปากของผม บดเคล้าหนักหน่วงจนผมรู้สึกเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงไปจนหมด มือบางเลยยกขึ้นแตะอกแกร่งพยายามดันเขาให้ออกไป แต่อีกฝ่ายก็แรงเยอะพอที่จะกอดผมเอาไว้
ชานยอลแกล้งผมได้ไม่นานก็ปล่อยผมไป ความอายทำให้ผมเบือนสายตาหนีไปทางอื่น แล้วมันดันไปพอดีกับตอนที่ใครบางคนเดินเข้ามาในโซนนี้
เล่นเอาผมถึงกับร่างเย็นวาบเอ่ยเรียกคนที่ยืนอยู่กับใครบางคนที่เคาท์เตอร์บาร์เบาๆ
“พ่อ…”
“มีอะไรเหรอแบคฮยอน”
“ผมว่าผมเห็นพ่อตัวเองนะ”
กึก !
“เดี๋ยวผมมา” ผมว่าพลางยันตัวเองลึกขึ้นพร้อมกับชะเง้อมองหาพ่อของตัวเองที่เมื่อกี้ยืนอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์ แต่ตอนนี้กลับหายตัวไปแล้วราวกับผมตาฝาด แต่ผมมั่นใจนะว่าผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง ชานยอลขมวดคิ้วใส่ผมนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตามผมมา
ผมเดินตรงมาที่เคาท์เตอร์บาร์พยายามกวาดตามองหาร่างสูงที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่พบ
พ่อของผมหายไปแล้ว
“ขอโทษนะครับเมื่อกี้มีคนใช้ชื่อคริสจองโต๊ะที่นี่หรือเปล่าครับ” พอหาไม่เจอผมเลยหันไปถามพนักงานที่เป็นคนต้อนรับแขกแทน พร้อมทั้งทำท่าทางประกอบคำพูดไปด้วย “ที่ตัวสูงๆผมสีคาราเมล ดูภูมิฐานหน่อยน่ะครับ”
“อื้ม...สักครู่นะครับ เดี๋ยวผมเช็คให้” พนักงานคีย์ข้อมูลลงไปกับคอมก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีนะครับ วันนี้ยังไม่มีใครใช้ชื่อคริสจองโต๊ะที่นี่เลยครับ”
“งั้นเหรอครับ...”
“แต่จากที่ฟังคุณพูดมา ผมพอจะบอกได้” พนักงานยิ้มพลางผายมือไปที่โซนไพรเวทระดับสูง เป็นห้องอาหารที่มีสามารถรับประทานอาหารกันแบบสองต่อสองเท่านั้น “เขาเดินไปทางนั้นครับ แต่ไม่ได้ใช้ชื่อคริสในการจองโต๊ะ”
“แล้วเขาใช้ชื่ออะไรครับ ?”
“ใช้ว่า ‘จงแด’ ครับ”
ผมรีบตรงมาที่ห้องอาหารตามคำบอกของพนักงานคนนั้นทันที ในใจนี่เต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมพ่อถึงใช้ชื่อของจงแดในการจองโต๊ะ รวมถึงยังพาเจ้าของชื่อมาด้วยอีกต่างหาก
นั่นคือคนที่มากับพ่อผม เพียงแค่ตอนแรกผมยังไม่มั่นใจว่าเป็นเขาหรือเปล่า เพราะเจ้าตัวยืนกอดอกหันหลังให้กับผมตอนที่ยืนรอผมที่เคาท์เตอร์บาร์ ลักษณะดูจะหงุดหงิดหน่อยๆราวกับถูกลากให้มาด้วยกัน ระหว่างทางผมก็พยายามทำใจให้สงบ
คิดในแง่ดีว่าผมอาจจะมองคนผิด บางทีนั่นอาจจะไม่ใช่พ่อของผมก็ได้
“คุณมันบ้า ใครจะไปสนใจกัน”
กึก !
“อีกอย่างผมไม่ตลกเลยที่คุณเลือกที่นี่ ก็เห็นอยู่นิว่าเมื่อกี้เราเจอรถใคร” เสียงของจงแดที่ผมจำได้เป็นอย่างดีลอดออกมาจากประตูห้องที่ปิดไม่สนิทเท่าไหร่ รวมถึงพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ไกลจากประตูมากนัก ผมเลยแอบมองจากช่องบานประตูนั้นได้
ภาพที่ผมเห็นคือจงแดกำลังแสดงความไม่พอใจใส่คนตัวสูงที่หันหลังให้ผม เขาพยายามจะเข้าไปปลอบให้อีกคนใจเย็นลง แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยเท่าไหร่
ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมาด้วยกัน
ไหนจะสรรพนามนั้นอีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?
“และอย่ามาหลอกผมนะว่าคุณไม่เห็นลูกตัวเอง ทั้งๆที่เขานั่งมองพวกเราอยู่”
“!!!”
“ผมไม่ได้โง่นะคริสที่จะไม่เห็นอะไรเลย” ผมเบิกตากว้างที่จงแดพูดแบบนั้น ถ้าเขารู้อยู่แล้วว่าผมมาที่นี่แล้วทำไมเขาถึงไม่แสดงท่าทีอะไรเลย หนำซ้ำยังทำเป็นนิ่งไม่ต่างจากคนที่ไม่รู้เรื่อง “ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ผมรำคาญ คุณก็รู้”
“มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก คุณไม่ต้องเครียดไป”
“ผมไม่ได้เครียดอะไร”
“…”
“ผมแค่ไม่อยากได้ผู้เล่นเพิ่มเท่านั้น” ผมสะดุ้งสุดตัวตอนที่จงแดตวัดสายตามามองทางผม แวบนึงผมเห็นแววตาแปลกใจจากดวงตาคู่นั้นก่อนที่มันจะกลับไปเป็นนิ่งเรียบแบบเดิม มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมค่อยๆถอยหลังเพื่อออกไปจากตรงนี้ กันเขาจับได้ว่าผมแอบฟัง
ทว่าโชคก็ไม่เข้าข้างเมื่อชานยอลโผล่มากอดผมจากด้านหลัง
แล้วจงแดก็เปิดประตูออกมาพอดี…
“อาชานยอล ?”
LOADING 100 PER
เจิมรอการซื้อใจ งานนี้ไม้ตายอะไรงัดมาให้หมด !
รอเยอะอัพไวนาจา ใครอยากอ่านรีบเจิมไวๆ ไม่นานเกินรอ !
ฝากติดตามด้วยน้า อย่าลืมเม้นน้า
1 เม้น 1 กำลังใจให้กำลังใจแบคฮยอน
เมื่อพูดถึงค่ำคืนของพวกเขา อย่าลืมติดแท็กในทวิต !
#ฟิคคืนของชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ละอิอาหลานนี่มันอะไรกัน
เกมบ้าบอไรของม้านนนนนนนนนนนน