ตอนที่ 11 : ข้ามคืนครั้งที่ 10 : ลูกอ้อนที่แตกต่าง [100%]
TEMPORARY BLISS : CHAPTER 10
ข้ามคืนครั้งที่ 10 : ลูกอ้อนที่แตกต่าง
#ฟิคคืนของชานแบค
(อารมณ์ไหนเนี่ย...?)
กึก !
(เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ คุณดูแปลกไปนะ)
“แปลกยังไงล่ะ ?”
(ก็เหมือนคุณกำลัง...)
“หืม ?”
(อ้อนผมเลย) คำพูดของปลายสายทำให้ผมระบายยิ้มบางออกมา คิดออกเลยว่าตอนนี้เขาคงทำหน้าไม่เชื่อหูตัวเองสุดๆ เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันผมไม่เคยพูดจาทำนองรั้งเขาไว้ให้รอเลย ส่วนใหญ่จะบังคับให้ทำตามใจผมมากกว่า (แต่ผมคงคิดไปเอง)
“แล้วถ้าผมจะอ้อนคุณบ้าง มันไม่ได้หรือไง ?”
(อะ...)
“ผมก็ไม่ได้คิดแต่เรื่องเซกส์อย่างเดียวนะ เผื่อคุณไม่รู้” ผมเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ เพื่อให้คุยกับเขาสะดวกขึ้น ไม่เกรงใจกองงานที่ยังคงไม่มีการสะสาง “แล้วตกลงคุณจะรอผมไหม ผมมีประชุมตอนบ่ายสอง ถ้าเสร็จแล้วจะรีบกลับเลย”
(ก็ถ้าคุณอยากให้ผมรอ ผมรอก็ได้)
“หึ...”
(คุณคงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆกับผมใช่ไหมล่ะ ?)
“คิดมากจัง” ผมว่าพร้อมหลับตาลงนิดหน่อยเหมือนต้องการซึมซับเสียงหวานๆของเขาให้เข้าไปในโสตประสาทของตัวเอง “ผมแค่อยากใช้เวลากับคุณบ้าง พอมาคิดดูแล้วว่าเราไม่ได้ทำอย่างอื่นร่วมกันเลย มีแค่เซกส์เท่านั้นที่คุณมอบให้”
(ก็คุณให้ผมทำแค่นั้น)
“งั้นหลังจากนี้ลองเอาแต่ใจกับผมบ้างสิ”
(...)
“ขอในสิ่งที่ต้องการ บังคับให้ผมพาคุณไปข้างนอกหรือทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเอง” ผมยิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย ตอนนี้คงทำหน้าตกใจระคนงุนงงมากมายแน่ๆที่ผมบอกเขาแบบนั้น ผมหมายตามที่ผมพูดไม่ได้หยอกเย้าให้เขาลองทำตัวเหมือนพวกผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตผมพวกนั้น
ไม่รู้สิถ้าเป็นแบคฮยอนอาจทำให้ผมรู้สึกดีก็ได้
เขาไม่ใช่คนน่ารำคาญเหมือนพวกผู้หญิงนิ
(คุณกำลังขออะไรผมเนี่ย ชานยอล ?)
“มันฟังดูแปลกเหรอ ?”
(มากกว่าที่คุณคิด)
“…”
(มากกว่าที่ผมคิดด้วย) ผมหัวเราะนิดหน่อยหลังจากได้ยินแบบนั้น รู้สึกอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา แต่จะเรียกให้เขามาหาที่บริษัทคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ อีกอย่างผมว่าผมต้องวางสายแล้ว เลขากำลังจะยกกองงานใหม่มาให้ แล้วถ้าเธอยังเห็นว่าผมไม่ทำอะไร...
งานคงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่นอน
“ผมต้องไปทำงานแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวถ้าผมเลิกงานแล้วผมโทรหาคุณนะ คุณจะได้เตรียมตัว” ผมพูดเสียงหวานคล้ายออดอ้อนเขาคล้อยตาม “ไปทานข้าวข้างนอกกัน เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม ?”
(ก็ได้ครับ แล้วแต่คุณ)
“โอเค แล้วเจอกันนะ”
(ครับ)
“แบคฮยอน”
(ครับ ?)
“ผมคิดถึงคุณนะ”
(อะ...)
“แล้วเจอกันJ” พอผมพูดจบประโยคนั้นผมก็วางสายทันทีปล่อยให้เจ้าเด็กตัวดีแสนน่ารักของผมถือมือถือค้างไว้แบบนั้น การได้คุยกับเขาแม้จะเป็นข้อความสั้นๆหรือข้อความธรรมดา มันทำให้ผมอยากจะกลับไปกอดเขาจัง
ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว...
เมื่อถึงเวลาประชุม ผมยอมรับว่าตัวเองมีสมาธิกว่าตอนแรกมาก อาจเป็นเพราะผมได้ปลดปล่อยความอึดอัดในใจของตัวเองออกไปบ้าง เลยทำให้การประชุมเป็นไปได้ดีกว่าช่วงเช้ามาก แม้ว่างานจะยังไม่ได้ลุล่วงก็ตาม มันยังคงมีบางอย่างที่ต้องแก้ไข ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงเบาสบายของผมก็ทำให้พวกลูกน้องโอเคกว่าตอนเช้ามาก
พอพรีเซนท์งานเสร็จ ผมก็ไม่รีรอที่จะออกมาจากห้องประชุม
“บอสคะ”
กึก !
“ว่าไงคุณเลขา” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมองเลขาสาวที่เดินถือแฟ้มมาหา เธอขยับแว่นตานิดหน่อย ใบหน้ามีแต่ความแปลกใจแต่งแต้มอยู่ และถ้าให้ผมเดา ผมว่าเธอคงสงสัยที่ผมออกจากบริษัทเร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่ประจำผมมักออกเกือบคนสุดท้ายเสมอ
จริงๆผมก็เป็นคนที่กลับบ้านเร็วนะ ถ้าไม่ติดว่างานเยอะน่ะ
“มีธุระข้างนอกเหรอคะ ?”
“ก็ไม่เชิง ผมแค่นัดคนไว้” ผมว่าพลางส่งยิ้มให้ ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือนิดหน่อยพบว่าตอนนี้จะสี่โมงแล้ว เร็วกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นถ้ารถติดผมก็อาจจะเลทไว้ได้ “ยังไงผมฝากคุณช่วยเคลียร์งานที่เหลือด้วยนะ อะไรที่สำคัญผมจะกลับมาเคลียร์ให้พรุ่งนี้”
“...รับทราบค่ะ”
“งั้นผมไปนะ ผมโอเคแล้วใช่ไหม ?” ผมถามคนตรงหน้าหันไปจัดคอเสื้อตัวเองผ่านกระจกบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่สะท้อนเงาผมออกมา “มีตรงไหนแย่ไหมครับ ?”
“ไม่มีค่ะ บอสดูดีมาก”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ที่ถามแบบนี้...”
กึก !
“จะไปเดทเหรอคะ ?” คำพูดของเลขาทำให้ผมหันไปมองคนที่กำลังส่งยิ้มหยอกล้อมาให้ผม เล่นเอาผมถึงกับยิ้มขำนิดหน่อย ผมไม่มายด์เรื่องที่เดาได้ถูกทางหรอกนะ เลขาผมเป็นคนฉลาด เธอเก่งมากในทุกด้านโดยเฉพาะการอ่านคน “ใครกันนะที่เป็นผู้โชคดีของบอส คงจะสำคัญมากเลยสินะคะไม่งั้นคงไม่จัดตัวเองดูดีขนาดนี้”
“ผมดูแลตัวเองเสมออยู่แล้วคุณก็รู้”
“วันนี้มันมากพิเศษนิค่ะ ไม่น่าจะแค่เดทธรรมดานะ”
“เอาไว้ถ้าเกิดอะไรมันลงตัวผมจะพาเขามาแนะนำให้คุณรู้จักดีไหม”
“…”
“แต่ตอนนี้ขอเก็บไว้ก่อนนะครับJ” ผมยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขอตัวเดินออกมา ขึ้นรถตัวเองตรงกลับมาที่คอนโด ระหว่างทางผมก็หาข้อมูลว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เผื่อว่ามันจะทำให้แบคฮยอนประทับใจได้ขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าผมไม่ลืมโทรบอกเขาว่าผมอยู่ตรงไหนแล้ว เขาจะได้เตรียมตัว มารอผมที่หน้าคอนโด
พอผมเร่งมากๆว่าผมใกล้ถึงแล้ว เขาก็สวนกลับมาว่า...
(ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ผมไม่หนีคุณไปไหนหรอก)
ผมไม่ได้กลัวเขาหนีซะหน่อย ผมอยากกอดเขาต่างหาก
-CHANYEOL PART END-
ผมวางสายจากชานยอลหลังจากที่เขาบอกว่าอีกไม่กี่นาทีเขาจะถึงหน้าคอนโดแล้ว ซึ่งผมรอเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วเจ้าตัวก็ยังมาไม่ถึง แถมยังมีน่ามาเร่งให้ผมรีบลงมาอีกต่างหาก เล่นเอาผมถึงกับพ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์ อยากมองบนให้กับความรีบร้อนของเขา
วันนี้เป็นวันประหลาด ชานยอลโทรมาหาผมในตอนกลางวัน ชวนผมออกไปข้างนอก ทั้งๆที่ตั้งแต่รู้จักกับเขามา เขาไม่เคยทำอะไรให้ผม พอเรามีเซกส์กันทุกอย่างมันก็จบ ไม่มีการสานต่อ ไม่มีการยื้อรั้งอะไรทั้งนั้นเพราะเขาเป็นคนบอกเองว่าตอนกลางวันเราไม่รู้จักกัน
เรามีค่าให้กันก็แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น ผมถึงแปลกใจที่วันนี้มันแตกต่างจากทุกวัน
เขาอ้อนให้ผมมากับเขา แม้ว่าผมจะไม่อยากยอมรับว่านั้นคือการอ้อนในแบบของเขาก็ตาม มันเหมือนกับการโน้มน้าวด้วยความสามารถที่เขามีมากกว่า
และผมก็ใจอ่อนตกหลุมพรางของเขา
กึก !
เสียงรถที่จอดเทียบฟุตบาททำให้ผมหลุดออกจากภวังค์หันไปมองรถคันหรูคุ้นตาของชานยอลที่เคลื่อนมาจอดอยู่ตรงหน้าผม ส่งผลให้ผมเอื้อมมือไปเปิดประตู มองหน้าของคนที่กำลังยิ้มให้ผมอยู่ ร่างสูงกระดิกนิ้วเรียกให้ผมขึ้นไปนั่งบนรถ ซึ่งผมก็ทำตาม
แต่แทนที่เขาจะเลื่อนรถออกไป ชานยอลกลับดึงผมไปกอดแทน
“อ๊ะ !”
“คิดถึงจังเลย” ร่างผมแข็งทื่อตอนที่ได้ยินแบบนั้น ความอบอุ่นจากร่างกายเขาแผ่ซ่านไปทั่วกายผมสลับกับใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเขากดจมูกลงบนแก้มเนียนใสของผมอย่างหนักราวกับตอกย้ำคำพูดเมื่อกี้ที่ทำเอาผมถึงกับชะงัก
หัวใจมันเต้นระรัวขึ้นมา จนอยากจะลงจากรถมันตรงนี้
แต่ผมก็ไม่ได้ทำแบบนั้น...
“อะ...เอ่อ ปล่อยก่อนครับเดี๋ยวมีคนมาเห็น” ผมพยายามตั้งสติดันเขาออกไป ส่งผลให้ร่างสูงจับปลายคางผม สอดสายตาลงมามองให้ดวงตาเราสบกัน “คุณแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ?”
“ไม่มี ผมแค่อยากกอดคุณเฉยๆ”
“…”
“อุตส่าห์อดทนมาทั้งวัน ให้ผมอีกนิดไม่ได้เหรอ ?”
“ก็...ตามใจคุณครับ” ผมตอบไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอะไรมาห้ามเขาไว้ส่งผลให้ชานยอลยิ้มออกมา เขาจูบผมเบาๆให้พอซึมซับรสจูบแสนร้อนผ่าวและอ้อมกอดแสนอบอุ่นเท่านั้น ไม่นานนักก็ผละออกไป เขาดูพอใจที่ได้ทำแบบนั้น “ถ้าพอใจแล้ว...เราไปกันเลยไหมครับ ?”
“อื้ม ไปกันเลย” ผมพยักหน้าคาดเข็มขัดนิรภัย มองถนนข้างหน้าที่เลื่อนไปตามรถที่ออกตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งคุยกับเขาในรถ โดยที่บทสนทนาเป็นการพูดคุยธรรมดา ไม่มีเรื่องอย่างว่ามาเกี่ยวหรือว่าอะไรทำนองนั้น
ชานยอลดูแปลกไปมาก ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ใช้เวลาไม่มากเราก็มาถึงร้านที่จองไว้
ตัวร้านมีสไตล์คลาสิคให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในร้านอาหารใจกลางเมืองหลวงอังกฤษ แม้ว่าที่นี่จะเป็นโซลก็ตาม พนักงานนำเรามาที่โต๊ะโซนไพรเวท ให้เรามีมุมส่วนตัวไม่มีใครมารบกวน แถมยังติดหน้าต่างให้สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้อีกด้วย
บรรยากาศตอนตะวันตกดินก็เป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจเหมือนกัน ยิ่งช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวเป็นเหตุให้ตะวันลับขอบฟ้าไวถึงตอนนี้จะเพิ่งห้าโมงกว่าก็ตาม
แต่เราจะไปคาดเดาดินฟ้าได้ยังไง มันก็ขึ้นลงตามใจเหมือนใจคนนั้นแหละ
เพียงแค่บางครั้งใจคนแลดูจะหนักกว่าฟ้าฝนก็ตาม
“ร้านนี้ขึ้นชื่อมาก ผมเห็นพวกเพื่อนๆใสคณะชอบมากัน แต่พวกเขาไม่ได้นั่งโซนนี้” ผมพูดให้เขาฟังนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะมาร้านไหน แม้ว่าก่อนหน้านี้เหมือนชานยอลจะหาข้อมูลดีๆมาบ้างแล้วก็ตาม “แถมนานๆก็มาทีเพราะที่นี่หรูเกินงบพวกเขา”
“มันสบายมากสำหรับผมนะ”
“ทุกคนไม่ได้เกิดมาเท่ากัน”
“…”
“ขนาดผมที่ดูเหมือนจะเหนือกว่าพวกเขายังเทียบคุณไม่ได้เลย” ผมเหมารวมหลายๆเรื่อง ไม่ได้เจาะจงเรื่องใด และไม่ได้มีเจตนาจะข่มพวกเพื่อนของตัวเอง ผมแค่อยากพูดให้ชานยอลฟัง เขาจะได้รู้ไว้ว่าการที่เขามีมากกว่าคนอื่นเอามาใช้เปรียบเทียบคุณค่าชีวิตของใครไม่ได้ แน่นอนว่ามันทำให้ชานยอลมองผมด้วยแววตาเอ็นดูแทนที่จะชะงักไป
แล้วผมก็เป็นฝ่ายหลบตาเขาแทน
“แล้ววันนี้เป็นไง ทำงานเหนื่อยไหมครับ ?” ผมเบี่ยงประเด็นไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เราคุยกันอยู่
“นิดหน่อย” เขาว่าพร้อมขยับตัวเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้หรูพลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบ “แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ คงเพราะได้เห็นหน้าคุณ”
“มันเกี่ยวอะไร ?”
“ก็ผมหัวหมุนคิดถึงคุณตั้งแต่เช้า”
“อะ...”
“พอตอนนี้ได้เห็นหน้าก็เลยรู้สึกสงบเหมือนน้ำดับไฟ” นัยน์ตาสีสวยเลื่อนมาสบกับผมขณะที่เรียวปากแสนหวานจิบไวน์แดงในแก้ว ให้ความรู้สึกอิโรติกแปลกๆจนทำให้ผมเผลอหลุบตาต่ำไปชั่วครู่ และกลับมามองดูดวงตาเขาอีกครั้งเมื่อเขาวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ “เพียงแค่น้ำที่ใช้ดันเป็นน้ำมันชนิดใหม่”
“…”
“น้ำมันที่สยบเปลวเพลิงได้ คุณคือแบบนั้น” ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยไม่เข้าใจที่เขาสื่อเท่าไหร่ แต่ชานยอลก็ไม่ได้อธิบายอะไร เราสองคนทานอาหารที่มาเสิร์ฟอาจจะคุยกันบ้างแล้วแต่ที่เขาถาม ส่วนใหญ่ผมมักเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดเลยทำให้ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้เขาฟังหรือว่าสร้างสีสันให้บทสนทนา
ผมไม่ใช่ลู่หานที่เรียกเสียงเฮฮาจากผู้คนได้ ผมคือแบคฮยอนที่มีเพียงรอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้า เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักอย่าง
นอกจากความซึมเศร้าที่เหมือนจะแผ่ขยายให้โลกนี้นองไปด้วยน้ำตา
แทนที่จะให้นิยามน้ำมันสยบเปลวเพลิงกับผม ควรให้นิยามน้ำตาล้นโลกกับผมมากกว่า เพราะถึงใบหน้าผมจะเรียบนิ่งไม่แสดงอาการอะไร แต่ในใจของผมมันบอบช้ำยิ่งกว่าอะไร และที่สำคัญ...
มันโดดเดี่ยวจนคนที่เข้ามาอาจจะหาตัวตนที่แท้จริงของผมไม่เจอ
“วันนี้มีโซมาหาผมที่บริษัท”
กึก !
“เธอคือคนที่ไปวีนคุณวันนั้น” ผมดึงสติคืนร่างฉับพันตอนที่ชานยอลเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมา ส่งผลให้ผมหวนนึกถึงใบหน้าของผู้หญิงที่มาวีนเหวี่ยงอ้างตนเป็นเจ้าของชานยอล ทั้งๆที่ตัวเองก็แค่คู่นอนคนนึงเท่านั้น “เธอมาหว่านล้อมออดอ้อนให้ผมกลับไปคบเธอแบบเมื่อก่อนที่เคยทำ”
“…”
“แต่ผมก็ปฏิเสธบอกไปว่าผมมีเด็กที่สนใจอยู่แล้ว” คำพูดนั้นมาพร้อมกับแววตาร้อนแรงระคนเจ้าเล่ห์ที่กวาดต้อนมองไปทั่วใบหน้าผม ราวกับต้องการให้ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ปะทุอยู่ในใจของเขา “ไม่แม้แต่จะขอให้เธอกลับมาหรือว่าตามง้อให้เสียเวลา ผมทำตามที่คุณต้องการแล้วนะแบคฮยอนสมกับมัดจำที่ผมเอาไป”
“...จริงๆไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นก็ได้ ผมก็แค่พูดเอาแต่ใจไปก็เท่านั้น”
“เป็นการพูดเอาแต่ใจที่ดีคุณว่าไหม”
“…”
“เพราะมันทำให้ผมสนใจคุณมากขึ้นไปอีก” ชานยอลยกยิ้มเขาดูพอใจทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย “หลังจากนี้ก็ทำอีกสิ แสดงด้านที่คนอื่นไม่เห็นให้ผมได้เห็น”
“ผมไม่มีอะไรให้คุณดูหรอกชานยอล ผมแค่คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย”
“เพราะคุณคิดแบบนั้นคุณถึงมีค่ามากสำหรับผม”
“อะ...”
“มันทำให้ผมอยากค้นเข้าไปอีก ค้นจนกว่าจะเจอตัวตนจริงๆที่คุณซ่อนไว้ แล้วถ้าผมหามันเจอได้...”
“…”
“ผมจะทำให้มันกลายเป็นของผมเพียงผู้เดียวJ”
LOADING 100 PER
เจิมรอลูกอ้อนที่แตกต่าง งานนี้พี่ชานมาเต็ม!
รอเยอะอัพไวนาจา ใครอยากอ่านรีบเจิมไวๆ ไม่นานเกินรอ !
ฝากติดตามด้วยน้า อย่าลืมเม้นน้า
1 เม้น 1 กำลังใจให้กำลังใจแบคฮยอน
เมื่อพูดถึงค่ำคืนของพวกเขา อย่าลืมติดแท็กในทวิต !
#ฟิคคืนของชานแบค
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิพ่อจะรุ้มั้ยว่าลูกมีผัวแล้ว 55555555555