ตอนที่ 12 : หัวขโมย - 2
๔
หัวขโมย (2)
คนถูกสั่งชักสีหน้าทันที ไม่ชอบน้ำเสียงวางอำนาจนี่สักนิด
“นี่...มันจะเกินไปแล้วยะนายฟ้าคราม ทำไม นายอยากให้ฉันร้องเพลงชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมาเหรอไง? ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ปัญญาอ่อน” พ่นผรุสวาสใส่หน้า แล้วเท้าก็กระเถิบพาตัวเองออกไปให้พ้นรัศมีของห้องนี้เรื่อยๆ แต่ฟ้าครามรู้ทัน รีบคว้าข้อแขนเล็กของคนมีพิรุธเอาไว้ แล้วกระชากดึงเข้ามา
“ว้าย”
“แล้วนี่อะไร?” เขาบิดข้อมือบางที่ถืออะไรบางอย่างอยู่ขึ้นมา ก่อนจะดึงออกไปจากมือของหล่อน ล้วงเอกสารข้างในออกมากวาดสายตาดูเพียงแว่บเดียว ใบหน้าคร้ามก็แดงก่ำ ตาลุกวาว
“โฉนดที่ดิน...นี่คุณกะจะมาขโมยที่ของลุงเล็กเอาไปขายใช่ไหม?” เขาโยนเอกสารทิ้งไป ตวัดสองมือคว้าหมับข้อแขนเล็กบีบแน่นปานคีมเหล็ก
“โอ้ย! ไอ้บ้าฟ้าคราม เจ็บนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” เฟื่องลดาร้องเสียงหลง หน้าตาบิดเบ้เมื่อถูกบีบแรงจนกระดูกแทบแหลกด้วยแรงมหาศาลของผู้ชายตรงหน้า แถมยังตาลุกตาพองเข้าใส่เธออีก
“ก็ตอบมาก่อนสิ...คุณเข้ามาขโมยใช่ไหม?”
“ขโมยบ้า ขโมยบออะไรของนาย...ในเมื่อที่ดินนี่ก็เป็นของฉันเหมือนกัน” เชิดหน้าเถียง
“แล้วมันของคุณคนเดียวหรือไง?”
“มันก็ไม่ใช่ของนายคนเดียวเหมือนกันแหละ” ใบหน้าขาวนวลผ่องสู้ตาต่อตาอย่างไม่กลัวเกรง
“ใช่...มันจะเป็นของเราคนละครึ่ง ก็ต่อเมื่อแต่งงานกันเท่านั้น”
“ไม่มีวัน”
“ใช่...ไม่มีวัน...ใครจะไปเอาผู้หญิงอย่างคุณลงวะ” ว่าพร้อมกวาดสายตามองขึ้นลงอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
แต่ทำไมมันกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ วูบๆ วาบๆ พิกล
“แหวะ...คำนั้นฉันควรจะพูดมากกว่า” เฟื่องลดาย่นจมูกทำหน้าขยะแขยงรังเกียจ แต่ข้างในกลับรู้สึกร้อนรุ่มปั่นป่วน
“ยังมีหน้ามาปากดีอีก ขโมยของคนอื่นแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ งั้นเหรอ? คุณกล้ามากเลยนะที่เข้ามาล้วงคองูเห่าอย่างผมถึงที่นี่” กัดฟันกรอดคำราม
“เชอะ...งูเห่าเหรอ? อย่างนายงูเขียวเสียมากกว่า” คำตอบโต้แสนธรรมดา แต่คนฟังกับเจ็บกระดองใจจี๊ดขึ้นมา
“จะงูเขียวงูเห่าหรืออนาคอนด้าอยากดูไหมล่ะว่างูอย่างผม...มันงูอะไร” ว่าพร้อมกับทำท่าจะกระตุกปมผ้าขาวม้าที่ใส่อยู่ ให้ดูงู
“ไอ้บ้า” เสียงแหลมแว้ดเข้าใส่ ใบหน้าแดงก่ำ ร้อนวูบร้อนวาบพิกล ใจมันก็สั่นรัวแปลกๆ เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อย เหมือนจะซึมผุดพรายออกมาจากผิวกายเรื่อยๆ
ต้องเป็นเพราะในห้องนี้มันอับทึบไม่ปลอดโปร่งโล่งระบายแน่ๆ เลยทำให้ร้อนอ้าวผ่าวผลิจนเหงื่อซึมผุดไปหมดทั้งตัว
เฟื่องลดารู้สึกราวกับเป็นไข้ สะบัดร้อนสะบัดหนาว ทางแก้ที่ดีคือควรพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้ไว และไปหาสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด
“นี่ๆ...นายฟ้าคราม เรามาตกลงกันอย่างสันติวิธีดีกว่า ในเมื่อนายก็ไม่ได้ชอบฉัน ฉันก็ไม่ได้อยากได้นาย เราไม่มีทางแต่งงานกันแน่ ก็ทำเรื่องแบ่งๆ ที่ดินกันให้มันจบไป นายได้ ฉันได้ เราต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ วิน-วิน กันทั้งคู่”
“แต่ลุงเล็กไม่ได้ต้องการแบบนั้น ท่านไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกที่ดินผืนนี้แน่ๆ” พูดย้ำหนักแน่นอย่างแสนจะมั่นใจ
“แต่ฉันทำไร่ไถนาไม่เป็น และฉันก็ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ทำไม? ขายๆ ไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
“พูดเหมือนผู้หญิงร้อนเงินเลยนะคุณ...อีกยี่สิบปี รอไม่ได้เลยหรือไง?”
“ตั้งยี่สิบปี ใครจะไปรอไหว”
“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเจตนาของลุงเล็กเขียนเอาไว้อย่างนั้น”
“ปู่เล็กตายไปแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องหรอก” หล่อนเถียงฉอดๆ ต่อปากต่อคำไม่ลดละ สีหน้าแววตาท่าทางวาจาบอกว่าให้รู้ว่าไม่แคร์คนที่เคยเป็นเจ้าของสมบัติที่เจ้าหล่อนกำลังเต้นเหย็งๆ อยากได้นี่เลย
ฟ้าครามรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาไม่เคยคิดจะไปคาดหวังอะไรกับผู้หญิงหัวสูงจองหองพองขนตรงหน้านี่สักนิด แต่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจแทน
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณอาจจะไม่แคร์ แต่ผมทำไม่ได้ และไม่มีทางจะทำอย่างนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามพินัยกรรม เป็นไปตามเจตนารมย์ของคุณลุงแสงทอง เจ้าของไร่ทรัพย์แสงทองนี่ทุกข้อ” ฟ้าครามเน้นย้ำชัดเจนทุกคำ ก่อนจะยอมปล่อยมือทั้งสองข้างที่เขาจับ รู้สึกรังเกียจขยะแขยงในความคิดของผู้หญิงที่สวยแต่หน้า หากว่าจิตใจหล่อนไม่ได้สวยงามด้วยเลย
เขาก้มลงเก็บซองสีน้ำตาลนั้นขึ้นมา หันหลังกำลังจะเดินไปจากห้องนี้ เพราะไม่อยากเผชิญหน้า หรือฟังถ้อยคำที่ทำให้ยิ่งรู้สึกแย่และติดลบกับเฟื่องลดาไปมากกว่านี้ ตอนนี้เขาสงสารลุงเขย ที่รักและห่วงใยในตัวเจ้าหล่อนอย่างเหลือเกิน หากท่านรู้ว่าหลานสาวที่ตัวเองคิดถึงเป็นห่วงอยู่ตลอดมาทำเช่นนี้ กับสมบัติที่ท่านรักและหวงแหนจะเสียใจแค่ไหน
“นายคิดจะกั๊กไว้เองมากกว่ามั้ง ไอ้กาฝาก” คำด่าทอต่อว่านั่นกระแทกหัวใจอย่างจัง
*โอ้...เล่นด่าคำที่แสลงหูฟ้าครามกันอย่างนี้...คำที่เกลียดสุดเกลียด...หนุ่มบ้านไร่ จะปล่อยสาวไฮโซ ให้ลอยนวลกลับไปง่ายหรือ....
อยากอ่านต่อไวๆ อย่าลืมเม้นต์ให้กำลังใจคนเขียนนะจ๊ะ ... เขียนด้วยใจ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
