คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Race08 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่8 {อัพ100%} คนของติ่งขี้โมโห
ฉิบหายล่ะ!!!
นาทีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นยามนี้ ทำผมรีบละความสนใจไปจากหญิงสาวที่บุกเข้าห้องผมกลางดึกไปยังใครอีกคนที่ดูจะตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะไฝว้อยู่ตลอดเวลา
จากนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าตรงเข้าหาเธอพร้อมทั้งใช้แขนทั้งสองข้างรวบตัวเธอเอาไว้แน่น
ขณะอีกฝ่ายแสดงการขัดขืนด้วยการดิ้นไปดิ้นมา จนผมต้องพูด
“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม แล้วตามมา!”
“จะทำอะไร!”
“เออน่า ตามมาก่อน”
“ปล่อยฉันนะ! อย่ากอด กรี๊ดดดดดดดด ={}=” ในเวลาเร่งรีบแบบนี้ผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรให้กาละแมฟังมากนักนอกจากใช้กำลังรวบตัวเธอเพื่อพาไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งภายในห้องนอน
ทว่า ในตอนนั้นเอง
“ไอ้วินทร์!” เสียงขานชื่อเล็กแหลมที่ดังมาจากหน้าประตูห้องนอนทำผมสะดุ้งเฮือก
รีบเหลียวขวับมองเจ้าของเสียงซึ่งไม่รู้ว่าไขกุญแจเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ซ้ำร้ายยังยืนปั้นหน้าเป็นยักษ์
เท้าเอวมองมาที่เราทั้งคู่
พอเจอสายตาเธอมองมาตรงๆ แบบนี้ สิ่งที่ผมทำได้คือฉีกยิ้มแห้งๆ เอ่ยปากทักทายไปตามมารยาท
“งะ ไงแหวน!”
“ทำอะไร?” คำถามสั้นๆ แต่โคตรกดดันของ ‘แหวน’ ทำผมพูดอะไรไม่ถูก
เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ ผมมักรับรู้ถึงรังศีอำมหิตที่แผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน
จนพานให้บรรยากาศรอบตัวกดดันลงไปด้วย
“บอกให้ปล่อยยังไงล่ะ!”
ฟึ่บ!
ไม่ใช่แค่สายตาของแหวนเท่านั้นหรอกที่ทำให้ผมไปไม่เป็น
แต่มันรวมไปถึงแรงสะบัดอย่างรุนแรงของผู้หญิงอีกคนที่ผมกอดเอาไว้ด้วยเช่นกัน
กาละแมหันมาขึงตาใส่ผมทันทีคล้ายกับจะแสดงออกให้ผมรู้ว่าเธอไม่พอใจ
แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นแหละ
เมื่อเธอดันสังเกตเห็นแหวนที่ยืนเท้าเอวมองเราทั้งอยู่ที่หน้าประตูห้องอย่างเงียบๆ
“…”
“…”
“…”
สภาพของเราทั้งสามคนในตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะกินจุดกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
ไม่มีใครพูด หรือส่งเสียงใดออกมาเลยสักคน ขนาดผมเองแค่เสียงหายใจ ผมยังอยากทำให้มันหยุดเสียตอนนี้
แต่ไม่นาน คนที่เป็นฝ่ายเอ่ยแทรกทำลายบรรยากาศความเงียบภายในห้องขึ้นมามันก็ดันเป็นแหวนนั่นแหละ
“แอบมาซุกหัวอยู่ที่นี่ บ้านช่องไม่กลับ พ่อแม่ไม่ติดต่อ
เพราะแบบนี้งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เว้ยแหวน ติดต่อพ่ออยู่ แล้วก็คืองี้...คือยัยนี่น่ะ…” ผมพยายามอธิบาย แต่…
“เกิดเป็นผู้หญิงน่ะ ควรหัดพกยางอายติดตัวบ้างนะคะ
ไม่ใช่คิดจะหนีตามมาอยู่กับผู้ชาย ก็มาง่ายๆ” น้ำเสียงเรียบนิ่งไว้ชั้นเชิงของแหวนยิ่งพานให้บรรยากาศภายในห้องกดดันยิ่งกว่าเก่า
แถมคนถูกต่อว่าก็เริ่มจะแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แน่ล่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้หนีตามใครมา
แต่ถูกผมพามาเองนี่หว่า
“มาอยู่กับวินทร์แบบนี้เนี่ย…” แต่ท่าทีที่นิ่งงันของกาละแมไม่อาจจะทำให้แหวนสนใจ
หนำซ้ำยังถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบโทนเดิม “ท้องเหรอ?”
“คะ คือฉันไม่ได้…”
“กะท้องกับเขาเรียกร้องสมบัติว่างั้นเถอะ? ฉลาดดีนี่” แหวนขัดและเป็นฝ่ายย้อนแบบไม่ฟัง
“เฮ้ยแหวน! มันไม่ใช่แบบนั้น…”
อีกครั้งที่ผมหาจังหวะเหมาะๆ พยายามอธิบายให้แหวนฟัง แต่…
“หุบปากไป ฉันไม่ได้ถามความเห็น วินทร์อย่าสเหล่อ!”
คนตัวเล็กดันหันมาถลึงตา
พูดเสียงเรียบเชิงสั่งใส่ผมจนต้องสงบปากสงบคำลงอย่างเสียไม่ได้
บนโลกนี้มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกที่ผมกลัว หนึ่งในนั้นคือยัยนี่ด้วยเช่นกัน
แหวนค่อยๆ เดินสาวเท้าเข้ามาในห้องนอน
สายตาของเธอจ้องจิกไปที่หน้าของยัยเต้าหู้
กวาดสายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าคล้ายกับดูแคลนจากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง
“จะบอกอะไรให้นะ ถ้าเธอคิดจะจับวินทร์แล้วล่ะก็ บอกเลยว่าเธอกำลังคิดผิด…” แหวนเว้นวรรคช่วงหายใจเมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดลงคั่นกลางระหว่างผมกับกาละแม
บนใบหน้าเรียวสวยไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่สำคัญเธอดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“คนอย่างวินทร์น่ะ ทำอะไรไม่เป็นหรอก ขนาดเรื่องของตัวเอง เขายังไม่มีความรับผิดชอบเลย…”
“คะ คือ… คุณคงเป็นแฟนกับวินทร์สินะคะ” น้ำเสียงตะกุกตะกักถามย้อนขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
พอได้ฟังแบบนั้นผมก็พยายามจะอ้าปากเพื่อแย้งในสิ่งที่กาละแมกำลังคิดแต่… เสียงเหล่านั้นก็ดันถูกทำให้เงียบ
เมื่อแหวนตวัดหางตามองผมอีกครั้งคล้ายกับจะกำหลาบ
“ฉันกับวินทร์ไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ท้องด้วย” อีกครั้งที่กาละแมรีบชิงพูดออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง
แหวนยืนจ้องหน้ากาละแมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายตาเธอจะเหลือบมาเจอเข้ากับโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กที่ผมถืออยู่
ไวกว่าความคิดเธอรีบดึงโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวไปจากมือของผมทันที
นัยน์ตากลมจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งถูกชิงไปอย่างพิจารณา และเอ่ยออกมาสั้นๆ
“นี่โทรศัพท์ของเธอหรือเปล่า?”
“คะ ค่ะ!”
“เธอชื่ออะไร?”
“กาละแมค่ะ เรียกสั้นๆ ว่าแมก็ได้นะคะ!” แม้ว่ายัยเต้าหู้จะดูเกร็งๆ
ไปบ้าง แต่สกิลความเป็นมิตรของยัยนี่ดันทำงานได้ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้นัก
นี่แหละมั้ง… ที่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมมองว่ามันทำให้เธอดูน่ารัก
“สรุปแล้วเธอกับวินทร์…”
“ไม่ใช่แฟนค่ะ!” กาละแมพูดเสียงดังฟังชัด
จนคนพยักหน้ารับหงึกๆ อย่างเข้าใจ และถามออกมาเป็นหนที่สอง
“เป็นติ่งวงSWAGเหรอ?”
“ค่ะ! ฉันเป็นติ่งวงนี้มาหลายปีแล้ว
เมนของฉันคือวอร์อปป้า ฉันคือหัวบ้านแฟนไซต์ และแฟนเบสของวงนี้ค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะคะ!”
การแนะนำตัวที่เป็นทางการของกาละแม ทำเอาผมอึ้งไปเล็กน้อย อย่าว่าแต่ผมเลย
แหวนเองก็คงคิดเช่นนั้น
ปกติแล้วแหวนน่ะเป็นคนที่เข้ากับคนได้ยากมากถึงมากที่สุด
เธอเป็นคนที่ค่อนข้างพูดตรง บางทีก็ตรงเกินไป
เป็นคนที่มีออร่าของนางพญาติดตัวอยู่เสมอๆ และเข้าถึงยาก พูดง่ายๆ
ก็คือการวางตัวของแหวนมักจะตามมาด้วยบรรยากาศขมุกขมัวกดดันทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันดันกับตาลปัตร…
“ฉันชื่อแหวน”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอแนะนำตัวกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันครั้งแรกแบบนี้
“เป็นน้องสาวของวินทร์”
“ยินดีที่รู้จักค่ะ!” เสียงใสแจ๋วตอบขึ้นแทบจะทันทีเช่นกัน
น่าแปลกที่คราวนี้บนใบหน้าเรียวสวยของน้องสาวเพียงคนเดียวที่ผมมีกำลังเหยียดยิ้ม
“ตอนแรกฉันอาจจะเข้าใจผิดเธอไปหน่อย หน้าตาบ้านๆ ซื่อๆ
แบบนี้คงไม่กล้าทำเรื่องไร้ยางอายแบบนั้นหรอกใช่ไหม?” คำถามที่ทั้งแรงและตรง
คำเอาคนถูกถามพยักหน้าหงึกหงักคล้ายกับเด็กนักเรียนซึ่งกำลังถูกครูประจำชั้นตำหนิ
แต่แล้วไม่นานไอ้บรรยากาศกับไอ้สายตาน่ากลัวคู่นั้น มันดันพุ่งตรงมาทางผมเสียเอง
พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“ไอ้พี่เวรนี่ มันจะปล้ำเธอเหรอ?”
“คะ คือ…”
“บอกฉันได้ ถ้าเธอต้องการ ไอ้วินทร์ทำอะไรเธอบ้าง?”
“คะ คือเขา…” กาละแมยังคงอ้ำอึ้งไม่พูดไม่จา
เธอมองหน้าผมสลับกับมองหน้าแหวนไปมา คล้ายกับลังเล ไม่ได้การแล้ว
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ มีหวังแหวนต้องกดดันยัยเต้าหู้มากไปกว่านี้แน่ๆ
“แหวน!” ผมกลั้นใจตะคอกเสียงใส่หญิงสาวตรงหน้า
ด้วยท่าทางวางมาดสมกับเป็นพี่ชาย
ส่วนคนถูกเรียกเองก็รีบละสายตาจากกาละแมมาเป็นที่ผมแทบทันที เมื่อสถานการณ์ลงล็อก ผมก็ไม่รอช้ารีบพูดสิ่งที่อยู่ในอกออกไปในทันที
และหวังว่าไอ้สายตาคาดคั้นดังกล่าวจะหมดไป
“เลิกยุ่งกับแมได้แล้ว มีอะไรถามพี่ตรงๆ ดีกว่า
เข้ามาห้องคนอื่นทำวางมาดแบบนี้ มันเสียมารยาทนะรู้ไหม? อีกอย่างพี่เป็นพี่แหวนนะ
หัดพูดจามีมารยาทกับพี่บ้าง!” ดูเหมือนว่าแผนเรียกร้องความสนใจของผมจะเป็นผลสำเร็จ
เมื่อแหวนยอมละสายตาแล้วหันมามองผมด้วยแววตาเฉียบขาดเรียบนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดแบบตรงๆ
และก่อนที่เธอจะพูดหรือทำอะไรไปมากกว่านี้ ผมจึง…
“เข้าใจที่พี่พูดไหม แหวน….ผัวะ!” หมัดเน้นๆ ของผู้หญิงพุ่งเข้าซัดเข้าใส่แก้มผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
ความแรงของมันพอๆ กับแรงผู้ชายที่จงใจเตะลูกบอลอัดหน้าใครสักคนหนึ่งด้วยความเคียดแค้น
และนั่นตามมาด้วยคำต่อว่าทำทำเอาผมฉี่แทบราด
“ไอ้คนไม่เอาอ่าวแบบพี่ มีอะไรตรงไหนให้น่าเคารพ!”
คำต่อว่าของแหวนตามมาด้วยหมัดเน้นๆ อีกข้าง โดยที่ปากของเธอยังต่อว่าไม่หยุด
ผัวะ!
“ไอ้คนที่หนีออกจากบ้านไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว
วันๆเอาแต่ขับรถเล่นแบบนี้น่ะ ขลุกอยู่กับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า
คนอย่างฉันไม่ควรเรียกแกว่าพี่ด้วยซ้ำ!!!!”
ผลัก!
T^T << หน้าเทวินทร์
-_-++ <<
หน้าแหวน
=_=;;;
<< หน้ากาละแม
เออ! กูยอม! ต่อยกูเลย เหยียบกูเท่าไหร่ก็ได้ตามใจเลย แต่ขอได้ไหม อย่ากระทืบกูต่อหน้าผู้หญิงที่กูชอบ
มันเสียเซลฟ์!!!! TTOTT
-KARRAMARE
TALK-
ผัวะ! พลั่ก!
“=_=”
ฉันคิดว่าตอนนี้ ฉันกำลังหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสงครามค่ะ
ไม่ใช่สงครามระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ แต่เป็นสงครามระหว่างครอบครัว
ช่วงเวลาน่ากดดันจากการถูกรัวด้วยคำถามจากผู้หญิงแปลกหน้าผ่านไป
และนั่นทำให้ฉันรู้สึกหายใจสะดวกขึ้น
แต่ไม่นับกับเรื่องที่เธอกำลังตีกับเทวินทร์ซึ่งเป็นพี่ชายหรอกนะ
พลั่ก!
“จะกลับบ้านได้หรือยัง!” แหวน(เรียกตาม)
ตะคอกเสียงถามพลางกระชากคอเสื้อของผู้เป็นพี่ชายอย่างแรงจนติดมือขึ้นมา ใบหน้าสวยๆ
ของเธอยังดูนิ่งแม้ว่าในเวลานี้เธอกำลังแสดงพลังอันน่าสะพรึงเกินกว่าผู้หญิงปกติทั่วไปออกมาให้เห็น
ในขณะที่ผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่คิดจะปล้ำฉันมาตลอดดูจะหง่อยไปในพริบตาเดียว
“ก็บอกว่าไม่กลับยังไงล่ะ!” แถมยังดื้อหัวชนฝา
พูดจาด้วยประโยคเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ดูไปแล้วพี่น้องคู่นี้คล้ายกับสลับเพศกันหรือไม่ก็น่าจะสลับสถานะกันถึงจะดูถูกกว่านะ =_=
“จะบ้าหรือไง ทิ้งงานของที่บ้านมาเพื่อขับรถบ้าๆ นี่น่ะนะ พี่นี่เป็นแบบที่ผู้ชายคนนั้นพูดเอาไว้ไม่มีผิด!” แหวนยังคงตวาดเสียงกร้าวกำหลาบพี่ชายตัวเองไม่หยุด
ต่างจากเทวินทร์ที่มักจะแสดงทีท่ายียวนตลอดเวลา ในตอนนั้นเขาดันเอาแต่เงียบ
ก็หน้าไม่หือ เมื่อต่อคำพูดใดๆ ที่สวยก่นต่อว่าเลยสักคำ
และในตอนนั้นเอง
“แหวนพอเหอะว่ะ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันสองคน” เทวินทร์ที่เงียบมาครู่ใหญ่
ก็เอ่ยแทรกเสียงดุดันของน้องสาวตัวเองออกมา ที่สำคัญ
เขายังเดินชนไหล่น้องสาวของตัวเองมาทางฉันด้วย
“ไอ้พี่วินทร์ ยิ่งพี่ทำแบบนั้น ทุกอย่างมันก็ยิ่งแย่ลงนะ!”
“ทุกอย่างแม่งจะแย่ลงกว่านี้ ถ้าแหวนไม่หยุดพูด” อีกครั้งที่บรรยากาศภายในห้องลดลงต่ำเต็มไปด้วยความกดดัน
และนั่นมาพร้อมด้วยฝ่ามืออุ่นที่เอื้อมคว้าแขนฉันเอาไว้แน่น
“คนเรา ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่ชอบ ชีวิตมันก็ไม่มีความสุขหรอก” เรียกว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินคำพูดอะไรแบบนี้หลุดออกจากปากของเทวินทร์
คำพูดที่ดูมีหลักการและความน่าเชื่อถือ หลังจากเทวินทร์พูดประโยคนั้นจบ ทั้งคู่ก็ต่างฝ่ายต่างเงียบเสียงกันไปชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนจะตามมาด้วยแรงกึ่งดึงกึ่งกระชาก พร้อมคำพูดสั้นๆ
“เต้าหู้ กลับเหอะ เดี๋ยวจะพาไปส่งบ้าน…”
“แล้วฉันล่ะ!!?” เสียงเล็กหวีดร้องออกมาอย่างนึกขัดใจ
นั่นจึงทำให้คนถูกถามเหลือบมองเล็กน้อยด้วยทีท่าที่ต่างออกไปจากเดิม
จากนั้นก็ตอบสั้นๆ
“รอที่นี่ อีกครึ่งชั่วโมงจะกลับมา”
ฉันเหลือบมองหน้าแหวนเล็กน้อย ใบหน้าสวยของเธอกำลังแสดงความไม่พอใจซึ่งถูกคนเป็นพี่ชายพูดจาขัดใจ
แต่เธอไม่ได้หวีดเสียงร้องเหมือนกับนางร้ายในละครหรอก(ถึงลุ๊คของเธอจะให้ก็เถอะ)
เทวินทร์เองก็เช่นกัน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นแต่เลือกที่จะดึงมือฉันเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น
หยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจโยนคืนมาให้แล้วดึงตัวออกไปที่ประตูห้องด้วยท่าทีนิ่งๆ
ไม่พูดอะไร
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เพียงการทะเลาะกันเล็กๆ
ระหว่างพี่ชายกับน้องสาวหรอก ถึงฉันจะดูโง่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดกันหรอกนะ
และการที่แหวนถามฉันเรื่องท้องรวมไปถึงพูดเรื่องสมบัติอะไรนั่น
อาจจะแปลความหมายได้ว่า ความจริงแล้วฐานะทางบ้านของผู้ชายคนนี้และเธอ
คงจะไม่ธรรมดา
วัดง่ายๆ อย่างแรกก็คงเป็นห้องที่กว้างแถมยังมีแต่เฟอร์นิเจอร์หรูราคาแพง
และอย่างที่สองก็คือรถแข่งคันหรูสีแดงสดที่เขามักใช้ขับเป็นประจำ
ตลอดเวลาที่เทวินทร์พาฉันออกมาจากห้องจนกระทั่งขึ้นรถและขับพาฉันไปส่งบ้าน
เขาไม่ได้พูดหรือแสดงทีท่ายียวน พูดจากวนประสาทฉันเหมือนทุกทีออกมาให้เห็น
ฉันลอบมองเขาอยู่บ่อยครั้งจากที่นั่งของคนขับ
และต้องพบกับสีหน้าเครียดตึงของเขาขณะขับรถอยู่ตลอดเวลา
พอเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบนั้นแล้ว ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเผือก…
“นายกับน้องสาวดูรักกันดีเนาะ” สาบานเลยว่านั่นไม่ใช่คำพูดประชดประชัน
“เห็นเป็นแบบนั้นเหรอ?” ถึงแม้ว่าเขาจะดูเครียดๆ
ลงไปบ้างก็ตาม แต่เทวินทร์ก็ยังยินดีที่จะพูดตอบฉันด้วยน้ำเสียงแบบเคยๆ
พร้อมด้วยรอยยิ้มยียวนตามประสา
“ใช่ จะมีพี่น้องสักกี่คนที่กล้าซัดหน้ากันกระจายคาห้องพักแบบนั้น ฮ่าๆ
ฉันนี่อึ้งไปเลย” สาบานรอบที่สองว่านี่ก็ไม่ใช่คำพูดจาประชดประชัน
“ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นหรอก” คราวนี้น้ำเสียงของเทวินทร์เริ่มเปลี่ยนไป “ยัยนั่นก็แค่หงุดหงิดหรือไม่คงรำคาญเสียงบ่นของคนที่บ้าน จนไม่ไหวต้องมาหาที่ห้อง…”
คำพูดที่เหมือนรู้นิสัยน้องสาวตัวเองเป็นอย่างดี ทำฉันเม้มปากลงเล็กน้อย
เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อีกอย่าง ฉันเองก็เป็นแค่คนนอก
จะให้พูดเผือกอะไรมากไปกว่านี้มันก็คงไม่ใช่เรื่อง
“เธอเคยเบื่ออะไรๆ ที่มันอยู่ในกรอบบ้างไหม?” แล้วมันก็เป็นเทวินทร์เองนั่นแหละที่พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบออกมาเอง “เบื่อจนอยากออกมาทำอะไรๆ คนเดียว อยู่คนเดียว ทำในสิ่งที่เธอชอบแค่คนเดียว…”
พอได้ฟังเทวินทร์ถามแบบนั้น
เสียงบ่นของแม่ตอนสมัยที่ฉันยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายก็ดังขึ้น
ซึ่งคำพูดและเสียงบ่นของแม่ในช่วงเวลานั้น มันก็คงไม่พ้นกับเรื่องความคลั่งไคล้ศิลปินที่ตัวเองชอบ…
“เคยสิ” ฉันตอบยิ้มๆ
เมื่อในหัวเริ่มนึกถึงเรื่องของตัวเอง พอได้พูดปากมันก็เริ่มขยับไปเองไม่หยุด “ฉันเป็นพวกคลั่งไคล้ศิลปิน โดนเรียกว่าติ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ
คนที่บ้านไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ฉันต้องเสียเงินเยอะๆ เพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ต
อลบั้มเพลง อลบั้มภาพหรือของสะสม พวกเขาบอกว่ามันไร้สาระและเสียเงินเปล่า…”
“…”
“แต่สิ่งที่พวกเขาบอกว่าไร้สาระน่ะ มันคือความสุขของฉันเลยนะ… เพราะแบบนั้นฉันก็เลยตัดสินใจย้ายออกมาอยู่บ้านพักคนเดียว(ถ้าได้อยู่คนเดียวจริงๆ
มันก็คงดีน่ะนะ)” ฉันยิ้มให้กับตัวเอง
เมื่อนึกได้ว่านับตั้งแต่ช่วงเวลานั้น
ฉันผ่านช่วงเวลาและข้อครหาของพวกผู้ใหญ่มายังไง
“ตอนแรกฉันไม่ชอบเลย การที่ถูกสังคมเรียกคำแทนตัวว่าติ่งน่ะ
ฟังแล้วมันก็ให้ความรู้สึกแปลกๆนะ แต่พอนานๆ ไป
ฉันก็รู้สึกว่าการเป็นติ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย พวกเราก็แค่เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่รักและชื่นชอบ
อยากสนับสนุนศิลปินที่ตัวเองชอบเท่านั้นเอง…”
“…”
“แล้วนายรู้ไหม มันพีคที่สุดตรงไหน?”
“ตรง?”
“ก็ตรงที่ความเป็นติ่งของเรา มันทำให้คนที่เราชื่นชอบประสบความสำเร็จก้าวไกลได้มากกว่าใครๆ ยังไงล่ะ… นั่นแหละ แค่นั้นมันก็คือความสุขที่สุดของติ่งแบบพวกเรา”
ฉันขยับยิ้มเล็กน้อยให้กับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป และเมื่อลองมองย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
กับการเห็นภาพของวง SWAG ขึ้นงานต่างๆ เพื่อรับรางวัล พอคิดแบบนั้นฉันก็ยิ้มอดยิ้มไม่ได้
“แล้วนายล่ะ ที่ถามแบบนี้ก็เพราะว่านายเองก็มีความรู้สึกอะไรแบบนี้ใช่ไหม?”
“มั้ง” เขาตอบสั้นๆ
“เรื่องนั้นคืออะไรเหรอ?” สุดท้ายความขี้เผือกของฉันก็บังเกิด
เมื่อปากพลั้งถามเขาออกไปแบบไม่เกรงใจ
ถ้าจะบอกว่าไม่หวังจะได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้เลยมันก็คงเป็นเรื่องโกหก
แต่กลับกันถ้าเขาไม่คิดตอบอะไรกลับมา ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่…
“เบื่อกรอบที่ผู้ใหญ่สร้าง” คำตอบสั้นของเทวินทร์
ทำฉันเหลือบมองใบหน้าด้านข้างเขาเล็กน้อย
สายตาที่มั่นคงและแน่วแน่กำลังมองผ่านกระจกหน้ารถ ด้วยท่าทีที่ตั้งใจ
ต่างจากปากที่เริ่มขยับพูด “บ้านฉันทำธุรกิจ
พ่อกับแม่เลยชี้เส้นทางให้ต้องเดินตามอยู่ตลอดเวลาตามคำสั่งสอนของพวกผู้ใหญ่ในสังคม
ตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่เคยได้เลือกเรียนเองหรอก มีก็แค่ช่วงมหาวิทยาลัยเท่านั้นแหละ…”
เขายังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่งั้นเหรอ?
“พวกท่านอยากให้เรียนบริหาร แต่ฉันเลือกที่จะเรียนนิเทศน์ฯ”
“ทำไมอ่ะ นายอยากเป็นนักแสดงเหรอ?” ฉันแย้งอย่างนึกสงสัย
“ไม่ใช่” ส่วนเทวินทร์ก็ยังตอบสั้นๆ
ด้วยคำพูดห้วนๆ ที่เขากล่าวออกมา มันก็เลยเป็นอีกครั้งที่เขาทำฉันพูดไม่ออก “ฉันอยากเป็นนักแข่งรถ… แต่พวกผู้ใหญ่มองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ”
“…”
“การได้นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ บนสนามแข่งมันคือเรื่องที่เจ๋งสุดๆ แล้ว
แต่นั่นน่ะไม่ใช่จุดที่พีคสุดๆ หรอกนะ… เพราะไอ้เรื่องที่พีคที่สุดก็คือ
การที่รถของเราขับเข้าสู่เส้นชัยเป็นคนแรก โดยมีเราเป็นคนขับนั่นแหละ…”
สีหน้าตอนพูดของเทวินทร์ในคราวที่กำลังพูดถึงเรื่องการแข่งรถตอนนี้
เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนมีความสุข ต่างจากสีหน้าเครียดตึงในตอนแรกลิบลับ ดูๆ
ไปแล้วเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากฉันนัก ที่ไม่เหมือนกันก็คงเป็นความชื่นชอบและเป้าหมายที่ต่างกัน
เพราะว่าชอบและรักมาก ฉันจึงผลันตัวมาเป็นหัวหน้าบ้านแฟนไซต์ และแฟนเบส
ติดตามและคอยบอกเล่าข่าวสารต่างๆ พยายามตั้งใจเรียนภาษาเพื่อที่จะแปลสิ่งต่างๆ
จากทางฝั่งของต่างประเทศ
เพื่อให้คนที่ชื่นชอบและมีความคิดคล้ายกันรับรู้ความเคลื่อนไหวของศิลปินที่ตัวเองรัก
“ขอบใจนะยัยเต้าหู้ ที่ชวนคุย… ช่วยให้อารมณ์ดีได้เยอะเลย” เสียงทะเล้นแบบเก่าของเทวินทร์ซึ่งฟังดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
ทำฉันเหลือบมองหน้าคนพูดอีกครั้งพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
ก่อนจะพบว่าเขาในตอนนี้กำลังหันมามองฉันอยู่เช่นกัน
ไฟสีแดงของสัญญาณจราจรตรงหน้ารวมไปถึงไฟหน้าของรถคันอื่นซึ่งสอดผ่านเข้ามาภายในรถ
ทำให้เห็นใบหน้าหล่อทะเล้นของผู้ชายบนเบาะคนขับชัดเจนมากขึ้น
แววตาของเทวินทร์ที่มองฉันในตอนนี้ดูใจดี แถมรอยยิ้มบนหน้าเขาเองก็เช่นกัน
เพียงแค่เห็นเท่านั้น บรรยากาศภายในรถก็เริ่มเปลี่ยนไป
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม
“รู้ป่ะ ตอนแรกฉันเฟลแค่ไหนที่ถูกน้องสาวอัดต่อหน้าเธอ? ไหนจะเรื่องที่ยัยนั่นว่าฉันเกี่ยวกับเรื่องที่บ้านอีก...” ฉันสะอึกเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ
คำพูดคำจาของเทวินทร์เปลี่ยนไปจากเรื่องที่คุยกันอยู่ในตอนแรกเป็นอีกเรื่องซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือคล้ายคลึงกันเลยสักนิด
ท่าทีของเขาเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะคำพูดประโยคถัดมา “แต่พอได้คุยกับเธอแบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ ไม่คิดเลยว่าเคมีเราจะเข้ากันได้ขนาดนี้”
หัวใจฉันมันเริ่มเต้นแรงอีกแล้ว พอได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ บอกอารมณ์แบบนั้นของเขาโดยเฉพาะกับประโยคยืดยาวช่วงท้าย
“ฉันอยากรู้สึกดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าขอให้เธอทำ เธอจะทำให้ไหม?”
“นายมีสิทธิ์ไรมาสั่งชาวบ้านเขา?” ฉันย้อนคำพูดเพ้อฝันอย่างเผด็จการกลับไปอย่างไม่ต้องคิดหลังสิ้นเสียง
“ไม่มี” เขาตอบ “ที่จะพูดจริงๆก็คือ
ถ้าเธอยังไม่มีแฟน ฉันก็อยากจีบ” สิ้นเสียงของเทวินทร์
มันก็ดันเป็นฉันเองที่ต้องตัวแข็งทื่อ เมื่อคนตัวใหญ่ทำท่าโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จนเผลอผละตัวถอยชิดไปกับประตูเพื่อหลบเลี่ยงการถูกจู่โจม
ตึก ตัก… ตึก ตัก…
“จีบได้ไหม…” ซึ่งการหลบหนีภายในพื้นที่แคบก็ดูไม่ได้ช่วยให้คนตัวใหญ่หยุดเอนกายเข้ามาหาได้เลย อีกทั้งเขายังใช้สายมองมาจ้องราวกับรอคำตอบ และเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ เทวินทร์ก็เริ่มใช้คำพูดกดดัน แสนเอาแต่ใจเออ ออเองอยู่ฝ่ายเดียว
“ไม่ตอบ...ถือว่าตกลงนะ”
มือฉันมันเย็นไปหมด เพราะตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งมีเขานี่แหละที่เป็นผู้ชายคนแรกที่เอ่ยปากขอจีบอะไรแบบนี้ ไหนจะนัยน์ตาคมคู่นั้นที่จ้องมองมาแบบไม่วางตา
บ่งบอกความรู้สึกที่เขามี ขณะเอี้ยวตัวเข้ามาใกล้จนฉันหมดทางหนีจำต้องเบียดตัวแนบเข้าติดกับประตูรถ
เพราะหลบก็แล้ว ปฏิเสธการเข้าหาก็แล้ว
แต่เทวินทร์ก็ดูจะไม่หยุดเคลื่อนกายเข้ามาหา
มิหนำซ้ำเขายังปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกเพื่อกระทำตามใจตัวให้ได้มากกว่าที่เคย
เพราะงั้นปากจึงรีบพลั้งถามกึ่งปรามออกไปแบบไม่ต้องคิด
“จะ จะขยับเข้ามาทำไมเล่า ถอยไปนะ!”
“ถ้าบอกว่า ตอนนี้โคตรอยากจูบเธอเลย…”
ตึก ตัก… ตึก ตัก…
“จะยอมให้จูบป่ะ?”
คำถามจากปากของเทวินทร์ซึ่งอยู่ในระยะประชิด ทำฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก ทั่วหน้ามันร้อนวูบวาบไปหมด
กว่าจะตั้งสติเพื่อให้คำตอบเขาได้
ฝ่ามือหนาของคนตัวใหญ่ก็กระแทกเข้าใส่กับบานกระจกโดยทิ้งระยะห่างระหว่างเราไว้เพียงนิดหน่อย
ตึง!!
“เฮือก!” เขาเป็นคนเอาแต่ใจสมกับเป็นลูกชายของครอบครัวที่มีฐานะเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกจนถึงวินาทีนี้ไม่เปลี่ยน
การที่เขาเทวินทร์ยังคงโน้มใบหน้าเข้ามายิ่งเป็นตัวบอกชัดว่า
ต่อให้ฉันเบือนหน้าหลบหรือปฏิเสธความต้องการอีกฝ่ายเท่าไหร่
เขาก็คงไม่คิดจะหยุดอยู่ดี
ทั้งที่รู้แต่จิตใต้สำนึกและความเขินอายที่เขาเอาแต่รุกหนักไม่หยุดมาตั้งแต่ต้นมันก็ยังส่งผลให้ฉันต้องเบือนหน้าหลบการจู่โจมดังกล่าวอยู่ดี
และใช่
เขาก็ยังเป็นฝ่ายยืนกรานความต้องการของตัวเองให้เห็นโดยการใช้มือข้างที่เหลือบีบปลายคางบังคับให้หันไปสบสายตากับเขาตรงๆ
ยิ่งเขาบังคับและทำเช่นนั้น อัตราการเต้นในอกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มือทั้งสองข้างเองก็เย็นเฉียบทั้งที่แอร์ในรถก็ไม่ได้เย็นอะไรนักหนาเมื่อถูกกักขังอยู่บนที่นั่งข้างคนขับแบบนี้
ความรู้สึกมันต่างจากการเห็นอปป้าที่หน้าเวทีคอนเสิร์ตลิบลับ ทว่า วินาทีที่ริมฝีปากอุ่นเลื่อนเข้ามาจนเสียดสีกับผิวปากนั้นเอง
ปี๊นนน! ปี๊นนนนน!
“เฮือก!” เสียงบีบแตรที่ดังลั่นจากรถคันหลังทำทั้งฉันและเทวินทร์รีบผละใบหน้าออกจากกันอย่างร้อนรน
ก่อนจะพบว่าสัญญาณไฟจารจรตรงหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวไปแล้ว
“เวรเอ้ย!” เสียงสบถฉุนเฉียวอย่างคนขัดใจ ทำฉันแอบลอบมองผู้ชายอีกคนบนเบาะคนขับด้วยหน้าที่ร้อนจัดก่อนพบว่าเทวินทร์ไม่ได้มองฉันแต่เลือกที่จะหยุดจอดรถของตัวเองขวางการจารจรอยู่แบบนั้น
ปล่อยให้รถคันอื่นขับผ่านรถของเราไปแบบไม่สนใจ ท่ามกลางเสียงบีบแตรไล่จากรถคันหลัง
ความปากไวและความขี้สงสัยในตัวจึงทำให้พลั้งปากถามออไปอย่างลืมตัวด้วยเสียงติดๆขัดๆ
“ทะ ทำไมไม่ขับรถออกไปล่ะ?”
ฟึ่บ!
เทวินทร์ไม่ได้สนใจคำถามของฉันเลยสักนิด แต่เขาเลือกที่จะเปิดประตูออกไปแบบดื้อๆ
จากนั้นก็ตะโกนดังลั่นถนน ซึ่งเต็มไปด้วยรถรามากมายว่า
“จะบีบแตรทำไมวะ! ไม่เห็นเหรอว่าคนเขาจะจูบกัน!!”
ว๊อดดดดดดดดดด ={}=
ปี้นนน ปี้นนนนน!
“จะบีบแตรทำซากอะไร พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง!!!” เขายังไม่ยอมหยุดโวยวายด้านนอกรถ
ที่สำคัญเขาดูจะหงุดหงิดและใส่อารมณ์เป็นอย่างมากเมื่อรถคันหลังยังคงบีบแตรไม่ยอมหยุด
“เฮ้ย!”
“เทวินทร์!” เมื่อเห็นท่าไม่ดี ฉันจึงพยายามตะโกนเรียกเขาจากด้านในรถพร้อมทั้งกวักไม้กวักมือเรียกไปด้วยอย่างร้อนใจ
ขืนปล่อยให้หมอนี่โวยวาย จอดรถขวางการจารจรแบบนี้
มีหวังตำรวจได้เข้ามาลากเราทั้งคู่ไปโรงพักแน่ๆ
แถมตอนนี้ที่ด้านนอกรถยังดังงสนั่นไปด้วยเสียงบีบแตรไม่หยุด
“จะบีบแตรหาพระแสงอะไร!? ลงมาต่อยกันเลยมา!” นอกเขาไม่สนใจเสียงเรียกของฉันแล้ว แถมยังทำท่าจะจะเดินไปท้าตีท้าต่อยกับรถคันหลังที่บีบแตรอีก
อะไรของเขาวะเนี่ย!
เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งฉันยังเป็นคนเดียวที่โดยสารมากับคนขับรถนิสัยอันธพาลอย่างเขาด้วย
ทางเลือกสุดท้ายคือตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ
แม้จะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่ผู้ชายคนนี้กำลังทำบนท้องถนนก็ตามที
อย่างน้อยถ้าฉันสามารถทำให้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นวุ่นวายไปมากกว่านี้
แม้อายแค่ไหนฉันก็คงต้องทำนั่นแหละ!
“นี่ ขึ้นรถเถอะ!” ฉันรีบตรงเข้าไปดึงแขนเทวินทร์ซึ่งกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำท่าทางนักเลงอยู่บนถนนแบบไม่ลังเล
โดยที่ปากก็พยายามพูดเร่งไปด้วย “วินทร์ ขึ้นรถ! อายเขา!”
“ถอยไปเต้าหู้ คนกำลังหงุดหงิด!” ดูจากท่าทางและน้ำเสียงที่เทวินทร์หันมาตะคอกเสียงใส่ฉันแล้ว
มันแปลได้ตามอย่างที่เขาพูดออกมาจริงๆ นั่นแหละ
“เลิกหงุดหงิดได้แล้ว ขึ้นรถเหอะ!” แต่ฉันก็ยังดึงดันที่จะดึงเขากลับขึ้นรถต่อไป
เพราะสถานการณ์ตอนนี้ชักจะเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว ไหนจะเสียงแตร ไหนจะจารจรที่เริ่มติดขัดเพราะรถเพียงแค่คันเดียวหน้าสี่แยก
ไหนจะคนขับรถคันหลังที่ทำท่าเหมือนจะเปิดประตูลงมา
โอ๊ยยยยย นี่มันวันบ้าอะไรเนี่ย!
“ขึ้นรถ เร็วๆ!” ฉันเริ่มทำเสียงดุพลางฉุดกระชากแขนคนตัวใหญ่ให้กลับไปขึ้นรถไม่หยุด
ทว่า เทวินทร์กลับเลือกที่จะสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดออกจากมือฉัน
พร้อมทั้งตะคอกเสียงดัง จนชักไม่แน่ใจว่าตอนนี้ไอ้ที่เขากำลังเหวี่ยงอยู่
มันเป็นเพราะฉันหรือเพราะคนขับรถคันหลังกันแน่
“บอกว่าหงุดหงิดไง เธอกลับขึ้นไปนั่งในรถเลยไป!” พูดดีก็แล้ว
ใจเย็นด้วยก็แล้ว แต่หมอนี่ก็ยังแสดงความเอาแต่ใจออกมาให้เห็น
จนฉันชักเริ่มจะทนไม่ไหว จำต้องต่อว่าเขากลับไปด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน
“เป็นบ้าอะไรของนาย ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง ทำตัวเหมือนเด็กไปได้!”
“เธอนั่นแหละเป็นบ้าอะไร เสียงดังทำไม!”
“นายนั่นแหละ พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง บอกให้ขึ้นรถ!”
“จะขึ้นได้ไงละวะ ก็ไอ้เวรคันหลังมันบีบแตร ฉันเลยชวดจูบเธอเนี่ย!”
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น