คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Race06 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่6 {อัพ100%} ติ่งผู้ตกอยู่ใต้ความเผด็จการ
“ค่ะ
บัตรนี้เท่ากับว่า น้องคือหนึ่งในทีมงานที่ต้องคอยช่วยดูแลงานและความวุ่นวาย
รวมถึงดูแลความสะดวกให้หนุ่มๆวง SWAG ด้านหลังเวทีค่ะ”
บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ฉันควรจะรู้สึกยังไง
ที่รู้ๆ ก็คือหลังจากที่สต๊าฟคนดังกล่าวพาฉันกับเหมียวมาส่งที่ประตูด้านหลังตึกแล้ว
เนื้อตัวมันก็เต้นด้วยความตื่นเต้น
ฉันไม่เคยเข้างานแฟนไซส์ในฐานะ
Staff มาก่อนเลย กระถินเองก็คงจะไม่ต่างจากฉันนัก
งานนี้คงต้องยกความดีความให้กับทอร์ชนั่นแหละที่ใจดีให้บัตรดังกล่าวมาอย่างฟรีๆ ด้วยสถานการณ์ที่พาไป
กระถินก็เลยไม่ได้ถามหรือพูดเรื่องเทวินทร์ออกมาอีก
ซึ่งฉันคิดว่านั่นน่ะมันก็ดีแล้ว…
เราทั้งคู่เกาะมือกันแน่น
ค่อยๆ เปิดประตูหลังสำหรับStaffด้วยใจที่เต้นแรงยิ่งกว่าเสียงรัวกลอง
ก่อนจะต้องตื่นเต้นหนักกว่าที่เป็นเมื่อภาพที่ปรากฏด้านหลังบานประตูคือภาพของกลุ่มชายหญิงในชุดเสื้อยืดสีดำสนิทสกรีนลายติดด้านหน้าว่า SWAG ส่วนด้านหลังคือคำว่าSTAFF และแน่นอนว่ากระถินกับฉันตกเป็นเป้าสายตาของพวกสต๊าฟคนอื่นๆ
ด้านในทันที
อาจเพราะว่าเราทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดไปรเวทปกติไม่ใช่เสื้อสต๊าฟอย่างพวกเขาล่ะมั้ง
“ทำไงดีอ่ะ
ไม่กล้าเข้าไปข้างในเลยอ่ะ” ฉันกระซิบบอกกระถินอย่างกล้าๆ
กลัวๆ ทันทีที่ก้าวเข้ามาด้านหลังงานสำเร็จ
เอาเข้าจริงฉันเป็นคนไม่ชอบให้ใครจับตามองหรอกนะ
เพราะการถูกกระทำอย่างนั้นใส่ มันจะทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเองยังไงล่ะ
“แล้วคนที่เขาให้บัตรแกอ่ะ
เขาไม่มาด้วยหรือไง ไม่ลองโทรหาเขาดูล่ะ” กระถินเองก็ได้แต่กระซิบถามฉัน
สายตาเธอกวาดมองภาพเหตุการณ์รอบตัวด้วอย่างนิ่งเฉยไร้อารมณ์
“หมอนั่นไม่มาหรอก
เขาไม่ใช่คนชอบอะไรแบบนี้”
“ไม่ชอบ
แต่เอาบัตรพิเศษแบบนี้มาให้เธอ...” กระถินย้อนอย่างไม่เชื่อหู
“อือ”
“สงสัยจะว่าง”
=_= เอิ่ม
ต้องบอกไหมล่ะว่าฉันแกบัตรพวกนี้มาด้วยการซักกางเกงใน!
“น้องสองคนตรงนู้น
อย่ายืนเกะกะขวางทางเดินศิลปินนะคะ”
เสียงแกมดุของผู้หญิงคนหนึ่งทำทั้งฉันและกระถินสะดุ้ง
รีบหันมองไปยังเจ้าของเสียงด้วยความตกใจ เธอแต่งกายเหมือนกับสต๊าฟคนอื่นๆ
แต่ดูท่าจะเอาเรื่องกว่าหลายคนที่อยู่ที่ห้องนี้หลายเท่านัก
“มาร่วมงานหรือเปล่าคะ?”
ฉันพยักหน้ารัวๆ
แทนคำตอบ พลางบีบมือกระถินแน่นอย่างนึกหวาดๆ
“ถ้าเข้าร่วมงานทำไมไม่ไปเข้าหน้างานล่ะคะ
ตรงนี้มันของสต๊าฟกับพวกทีมงาน”
“คือว่าการ์ดด้านหน้าเขาไล่ให้เรามาเข้าทางนี้น่ะค่ะ
คือบัตรของพวกเรามันเป็นบัตรสต๊าฟ” ฉันตอบอย่างหวาดๆ
พลางรีบเปิดกระเป๋าหยิบบัตรสีขาวที่ได้มายื่นส่งให้เธอดูทันที
หญิงสาวท่าทางเอาเรื่องคนนั้นพินิจพิจารณาบัตรในมือฉันอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างงั้นก็ช่วยยืนหลบให้เป็นที่ด้วยค่ะ
อีกไม่กี่นาทีศิลปินจะเข้ามาด้านในแล้ว” คำพูดของเธอทำฉันรีบจับแขนกระถินเขย่าด้วยตื่นเต้นจัด
ขณะรับปากหญิงสาวคนเดิมกลับไป
“ค่ะ ทราบแล้ว!”
เพราะถูกเตือนมาอย่างนั้น
ฉันจึงตัดสินใจดึงมือกระถินไปยืนหลบอยู่มุมหนึ่งของพื้นที่ด้านหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยโต๊ะและราวแขวนเสื้อผ้ามากมายสำหรับศิลปิน
ทีมงานบางคนกำลังยืนพูดคุยกันด้วยภาษาที่ต่างออกไป
อย่างเช่นภาษาเกาหลี ซึ่งฉันคิดว่าเขาคงเป็นฝั่งสต๊าฟของค่ายเพลงแน่นอน ส่วนผู้หญิงที่มาเตือนฉันกับกระถินนั้นก็คงเป็นทีมงานทางฝั่งคนไทย
ฉันกับกระถินพยายามทำตัวเนียนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกทีมงาน
แม้ว่ามันจะไม่มีตรงไหนพอจะเนียนไปกับพวกเขาได้เลยก็ตาม แต่แล้วในเวลาต่อมาไม่นาน
ประตูบานใหญ่ที่ฉันกับกระถินเดินเข้ามาก่อนหน้านี้ก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของทีมงานกลุ่มหนึ่ง
เสียงปรบมือคล้ายกับเป็นการต้อนรับดังขึ้นทันที ที่ชายหนุ่มดูดีทั้ง 5 คนเดินย่างก้าวเข้ามาที่สเตจด้านหลัง
ออร่าความโดดเด่น
เด้งโดดทะลุเข้าเบ้าตาแทบจะทันที พานให้พื้นที่ด้านหลังสว่างไสวมากกว่าที่เคยเป็น
ชายหนุ่มทั้งห้าในนามSWAG ซึ่งประกอบไปด้วย Zen, จอนอุนมยอง[1], เควิน , ปาร์คฮันยู และคนสุดท้ายวอร์อปป้า ต่างก้มหัวทักทายบรรดาทีมงานอย่างเป็นกันเอง
บ้างก็พยายามยกมือไหว้แทนภาษาที่พวกเขาพูดได้ไม่ชัดนัก
“สวัสดีครับ
วันนี้ฝากด้วยนะครับ”
“ยินดีค่ะ
เดี๋ยวไปนั่งรอตรงนั้นก่อนนะ ช่างจะได้แต่งหน้า ทำผมเลย นี่มันก็เรตมาเกือบ5นาทีแล้ว”
“ครับ
ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะครับ” วอร์อปป้าก้มหัวให้สต๊าฟแบบไม่ถือตัว
ก่อนเดินตามหลังน้องๆ ในวงไปประจำที่ของตัวเอง
ฉันพยายามเขย่งยืดตัวไปมาเพื่อทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าสนใจ และแอบหวังเล็กๆ
ว่าเขาอาจจะจำฉันได้
วูบหนึ่งที่เหมือนเป็นช่วงวิเศษในชีวิต
เมื่อในตอนนั้นวอร์อปป้าหันมามองฉันโดยบังเอิญพลางพยักหงกหัวลงเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มราวกับจะทักทาย
แต่เพียงเท่านั้นเลือดลมในตัวมันก็สูบฉีดแรง จนแทบจะยืนไม่อยู่
จำต้องคว้ามือจับไหล่ของเพื่อนสนิทเอาไว้เพื่อทรงตัว
“อ๋อเนี่ยเหรอ...ดาราเกาหลี”
“หล่อแรง ชอบแรง
ฟินแรงงงงงง!” ฉันเสริมกระถินเสียงแหลมเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้กระถินรู้สึกไปด้วย
แต่
“อือ ดูดี แต่…” อีกฝ่ายก็ยังใช้น้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับไร้อารมณ์และส่วนร่วมตอบกลับมาอยู่ดี
แถมยังมีถ้อยคำค้างคาด้วยความสงสัยเมื่อดันเงียบเสียงลงปล่อยให้ฉันรู้สึกค้างคา
“แต่อะไรอ่ะ?” เพราะว่าเธอไม่ยอมพูดสักทีฉันจึงต้องเร่งขอคำตอบ
“เคยมีเพื่อนสมัยมัธยมชอบคนชื่อวอร์
เห็นว่า...ก่อนหน้าที่เขาจะเดบิวต์ช่วงเป็นเด็กฝึกในค่าย เหมือนเขาจะเคยมีข่าวไม่ดีเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งด้วยไม่ใช่หรอ” คำพูดของกระถินที่กล่าวออกมานั้น ทำรอยยิ้มของฉันหุบลงโดยทันที
เพราะเรื่องที่เธอพูดออกมานั้น ฉันเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกวันนี้นี่แหละ “ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะเคยตามตื้อสาวคนหนึ่งจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว”
“เอาอะไรมาพูดอ่ะ
ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย” และเพราะว่าฉันไม่ยอมปักใจเชื่อสิ่งที่เธอพูดง่ายๆ
ปากก็เลยพลั้งถามออกไปอย่างงั้น
“มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
ฉันจำเขามา เธออยากรู้ก็ลองไปหาดูใน Google สิ
ถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงที่เป็นข่าวกับเขา น่าจะเป็นออลจัง(Ulzzang[2])ของค่าย SHINNY ที่เกาหลีนั่นแหละ”
สำหรับติ่งแล้ว
ไม่มีใครพอใจนักหรอก ที่จะมีใครสักคนพูดถึงเมนหรือผู้ชายที่เราชอบในด้านลบ
ฉันเองก็เป็นนะ แต่เพราะรู้ว่ากระถินเองก็คงไม่ได้อยากจะพูดเรื่องอะไรแบบนี้นักหรอก
ก็อย่างว่าเธอเป็นพวกถ้านึกอะไรขึ้นได้ก็จะพูดออกมาไม่หยุด
ฉันก็เลยทำได้แค่รับปากส่งๆ แบบไม่เต็มเสียงนัก
“อะ อ่อ…เหรอ”
“นี่เรา
มางานด้วยเหรอเนี่ย” อาการคิดมากในหัวถูกทำให้หายไปด้วยคำพูดทักทายราวของผู้ชายคนหนึ่ง
น้ำเสียงของเขาเหมือนกับว่าเราทั้งคู่สนิทกันมาก ไม่ต้องหันไปมอง
เพียงแค่ได้ยินหัวใจฉันก็เต้นไม่เป็นจังหวะแล้วล่ะ
กระถินที่ยืนอยู่ข้างฉันในตอนนั้นก็เช่นกัน เธอทำตาโตด้วยความตกใจ เมื่อบุคคลที่เราทั้งคู่เพิ่งพูดถึงดันมายืนปรากฏตัวอยู่กึ่งกลางระหว่างเรา โดยที่มือหนึ่งของเขาถือวิสาสะคล้องคอฉันอย่างคนสนิทสนม
วอร์อปป้า!!!
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้กันได้ละคะ? ที่นี่มันที่ของทีมงานเขานะ” กรี๊ดดดดด ลิ้นฉันมันแข็ง ร่างกายเองก็เหมือนกับโดนสาปให้เป็นหิน ไม่รู้จะพูดอะไรตอบอปป้ากลับไปเลย T////T ฉันรู้สึกถึงดาเมจบางอย่าง ตรงนี้พลังงานแรงมากคะบอกเลย!
“แมเพื่อนฉันได้บัตรของทีมงานมาค่ะ ก็เลยได้เข้ามาอยู่ด้านหลังสเตจ” กระถินตอบแทนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้เปลี่ยนไปแม้ว่าวอร์อปป้าจะมายืนอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ก็ตาม
“อ๋อ สมกับเป็นหัวบ้านแฟนเบส แฟนไซต์จริงๆ นะเราเนี่ย” วอร์อปป้าชมฉันปนน้ำเสียงติดตลก “ก็ดีแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนก่อน พี่ก็คิดอยู่ว่าจะทำยังไงถึงจะได้เจอแมอีก งั้นหลังจบงาน แมอยู่คุยกับพี่ก่อนแล้วค่อยกลับได้ไหม”
คุณพระ!!! ติ่งอยากจะดิ้น!
“เราก็ด้วยนะ เอ่อ…”
“กระถินค่ะ…” กระถินตอบด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากเดิมนัก
“โอเค เอาเป็นว่าหลังงานจบเดี๋ยวรอพี่ที่นี่ก่อน ถือว่าจองตัวเราทั้งคู่ไว้แล้วนะ” วอร์อปป้าไม่ใช่แค่พูดแต่เขายังทำเสียงจุ๊บปากอยู่ข้างหูฉัน แม้จะมาแค่เสียงแต่อารมณ์ติ่งในตอนนี้มโนไปไกลหลายล้านกิโลแล้วว่า อปป้าจุ๊บแก้มฉันฟอดใหญ่
ฮือออ จองทั้งชีวิตเลยก็ได้ค่ะ หนูสัญญาจะไม่ขัดขืน!
“วอร์ สวัสดีจ้า!” และในตอนนั้นเองที่ฉันตัดสินใจหันมองอปป้าแบบตรงๆ ดันมีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกออกมาก่อน นั่นจึงทำให้วอร์อปป้าผละตัวออกห่างฉันไปพร้อมด้วยเสียงตอบรับอย่างเป็นกันเอง
มือของกระถินที่จับแขนฉันไว้ เริ่มเกิดแรงเขย่า พานให้ต้องเลื่อนสายตามองหน้าเธอ แล้วถามออกไป
“มะ มีอะไร?”
“ผู้ชายที่ยืนข้างผู้หญิงคนนั้น ใช่ทอร์ชที่เป็นนักแข่งรถหรือเปล่า?”
ทอร์ชเหรอ?!
ฉันรีบเหลียวหลังมองบุคคลตามที่กระถินว่าโดยทันทีด้วยความสงสัย ก่อนต้องทำตาโต เมื่อผู้ชายที่ชื่อทอร์ชอะไรนั่น มันคือคนเดียวกับผู้ชายที่พักอยู่บ้านพักเดียวกับฉัน และในวินาทีที่ตัดสินใจจะหลบหน้าหมอนั่น
“ยัยติ่ง!”
=_=!
“กะแล้วว่าเธอต้องมาจริงๆ ไงล่ะบัตรที่ฉันให้ เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่ไหม?”
“อื้อ! สุดยอดไปเลย ฮ่าๆ” ฉันแค่นเสียงขำ บอกเลยว่าฉันเกลียดการเรียกของทอร์ชมาก เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอาย หมอนี่น่ะไม่เคยเรียกฉันด้วยชื่อเล่นจริงๆ เลยสักครั้ง ถ้าไม่เรียกเตี้ยก็เรียกติ่ง ใครได้ยินเข้าคงขำพิลึก!
“นี่เพื่อนเหรอ?” อีกครั้งที่ทอร์ชกล่าวถามออกมา พร้อมทั้งหันมองกระถินที่มองเขานิ่งๆแต่เต็มไปด้วยความสนใจ
“อื้อ เพื่อนฉันชื่อกระถิน”
“ยินดีที่รู้จักครับ ทอร์ชนะ” ทอร์ชดูเป็นคนอารมณ์ เขาจึงหันไปแนะนำตัวกับกระถินทันที แต่ใครจะคิดว่าสิ้นเสียงเพื่อนสาวคนสนิทจะถามเขากลับไปด้วยเสียงเย็นเยือกว่า
“คุณเคย...ขับรถแหกโค้งเลือดท่วมบ้างหรือเปล่าคะ?”
=_= << หน้าฉัน
=O= << หน้าทอร์ช
“อ้าว!ทอร์ชรู้จักน้องแมด้วยเหรอ?”
ขณะที่เราทั้งคู่ยังอึ้งกับคำถามของกระถินอยู่ จู่ๆ ใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็พูดแทรกความเงียบขึ้น และใช่ เขาคืออปป้าวอร์ อปป้าไม่ใช่แค่พูดแต่เขายังเดินกลับมาหาอีกครั้งพร้อมด้วยหญิงสาวอีกคน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเธอจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของทอร์ชนั่นแหละ แถมยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาด้วย
ดะ เดี๋ยวนะ! งั้นก็แปลว่าทอร์ชกับวอร์อปป้ารู้จักกันน่ะสิ!
“รู้ดิ ยัยนี่อยู่บ้านพักเดียวกับผม” ดูคำพูดคำจาพวกเขาสิ ดูสนิทสนมกันจนน่าอิจฉา T^T
“แม…” เสียงกระซิบของกระถิน ทำฉันเหลือบมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอกระซิบถามออกมาอีกครั้ง “นี่อย่าบอกนะว่าคนที่ให้บัตรสต๊าฟเธอมาคือทอร์ชน่ะ”
“ใช่” ฉันยิ้มแห้งๆ
“นี่เธอรู้จักกับคนพวกนี้เป็นการส่วนตัวขนาดนี้เลยเหรอ”
“มะ มันก็ไม่เชิง…อ๊ะ!” เสียงของฉันขาดหายไปในช่วงท้ายประโยค เมื่อจู่ๆ ฝ่ามืออุ่นของใครบางคนดึงตัวฉันเข้าไปขนาบข้างกายจนมือของกระถินที่เกาะไว้หลุดออก
“งั้นพี่จองคนนี้ก็แล้วกัน ฮ่าๆ” เสียงของวอร์อปป้าที่ดังแทรกเข้ามาแทบจะพร้อมกันทำฉันเงยมองเจ้าของเสียงด้วยความตกใจปนความสงสัย และเมื่อได้เห็นหน้าเขาอย่างตรงๆ ทั่วหน้ามันก็ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“หูยพี่ นั่นน่ะ แม่บ้านที่พักผมเลยนะ ฮ่าๆ” เสียงของทอร์ชที่แทรกสถานการณ์ออกมา พร้อมด้วยฝ่ามือของเขาที่เอื้อมมือยีหัวผมฉันจนยุ่ง เริ่มทำให้ร่างกายฉันแข็งทื่อไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวหรือรู้สึกอะไรก่อนดี เพราะแขนก็โดนวอร์อปป้ากอดไว้ หัวก็โดนมือไวแบบทอร์ชยีเล่น
กับวอร์อปป้าน่ะฉันฟินแต่กับทอร์ชน่ะ ฉันไม่ฟิน! =_=
“เล่นอะไรเนี่ยทอร์ช!” ฉันที่ตอนนี้ไม่รู้จะทำตัวยังไงจึงได้แค่พูดต่อว่าทอร์ชออกไปแบบนั้น อีกอย่างฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาคุยอะไรกัน จนกระทั่งสายตาฉันเหลือบไปทางกระถิน ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร สายตาเธอกวาดมองไปรอบๆ ดูไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวอย่างที่ฉันรู้สึก
“กระถิน มานี่สิ!” เพราะเห็นเธอเป็นอย่างงั้นฉันจึงเรียกเธอไปพลางกวักมือเรียกให้เธอเข้ามาหา กระถินเงยหน้ามองฉัน และขณะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้เธอก็พูดขึ้น
“ฉัน...ปวดฉี่...”
“อ้าว งั้นฉันไปด้วย…”
“ติ่งมาถ่ายรูปรวมด้วยกันมา!” อีกครั้งที่คำพูดของฉันถูกขัดด้วยฝีมือของพัตเตอร์ นั่นเลยทำให้กระถินกล่าวตอบกลับมา
“ไปถ่ายรูปเถอะ ฉันไปเข้าห้องน้ำคนเดียวได้ ตักตวงความสุขไว้เยอะๆ” สิ้นเสียงบอกกล่าวอย่างเข้าใจของเพื่อนสนิท มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ทอร์ชซึ่งดึงฉันเข้าไปเบียดกับวอร์อปป้าพอดี เขาแทรกตัวประกบเพื่อให้บุคคลซึ่งเป็นพี่สาวถ่ายรูปให้ และเมื่อจะหันกลับไปหากระถินอีกครั้ง ปรากฏว่าเธอก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว…
การพูดคุยระหว่างวอร์อปป้าและทอร์ชดำเนินไปอีกครู่สั้นๆ ส่วนฉันก็อาศัยจังหวะที่พวกเขาคุยกันนั้น เพื่อรอกระถินกลับมา จนกระทั่งทีมงานเรียกตัวศิลปินให้สแตนบายรอบนสเตจด้านหลัง วอปร์อปป้าจึงขอตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองก่อน เหลือแค่ฉันกับทอร์ชเท่านั้น
และเมื่อสบโอกาสฉันก็รีบหันไปถามทอร์ชที่ไม่น่าปรากฏตัวอยู่ที่งานแฟนไซส์แบบนี้ทันที
“นายมาทำอะไรที่นี่!”
“พี่สาวลากมาอ่ะ ก็เลยต้องมา แล้วเธออ่ะ ฟินป่ะได้เข้ามาหลังสเตจแบบนี้”
“ฟินมาก” เอ๊ะ! เดี๋ยวสิ! “ไม่ต้องมาพูดเลยนะ นายรู้จักกับวอร์อปป้าด้วยเหรอ?”
“ก็รู้จักอ่าดิ ฉันเคยตั้งใจว่าจะทาบทามพี่เขาไปเป็นพาทเนอร์ลงแข่ง Endurance ปีหน้า”
Endurance เหรอ… เหมือนจะเคยได้ยินคำนี้จากปากวอร์อปป้าเหมือนกันแฮะ
“รู้จักกันมานานยัง สนิทมากน้อยแค่ไหน เคยไปกินข้าวกับวอร์อปป้าป่ะ เล่าให้หมดนะ!” ฉันรีบรัวคำถามออกไปแบบไม่ต้องคิด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พร้อมด้วยฝ่ามืออุ่นของเขาที่วางลงบนหัวก่อนจะตามมาด้วยแรงขยี้เบาๆ
“ถ้าถามเยอะขนาดนี้ กลับไปเธอต้องซักกางเกงในให้ฉันอีกสักโหลหนึ่งด้วยนะ”
“=_= อี๋!” (ถึงจะอี๋ แต่ก็เคยทำ)
“ฉันรู้จักกับพี่เขามาสักพักแล้วล่ะ สนิทไหมอันนี้ไม่แน่ใจ แต่ยังไม่เคยไปกินข้าวร่วมกับไอดอลชื่อดังหรอกนะ ฮ่าๆ” เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วทอร์ชน่ะใจดี ถึงจะชอบตั้งข้อตกลงมากไปหน่อย แต่เขาก็ใจดีที่จะยอมพูดหรือบอกในเรื่องที่ฉันอยากรู้อยู่เสมอๆ
“เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว มีธุระต่อ ไว้เจอกันที่บ้านพัก”
“อื้อ”
“กลับไปแล้วซักกางเกงในให้ด้วยนะ ค่าบอก”
“=_=” อะ ไอ้หมอนี่!
ทอร์ชหัวเราะอย่างชอบใจ จากนั้นก็เดินกลับไปหาพี่สาวของตัวเอง ปล่อยฉันให้ยืนอโลนโดดเดี่ยวเพียงลำพังอยู่ด้านหลังสเตจเพียงคนเดียว ฉันรีบหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพาย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าควรโทรหาเพื่อนรักที่หายตัวไปเข้าห้องน้ำสักพักใหญ่ ทว่า…
[ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้…]
เอ๊ะ! กระถินปิดเครื่องเหรอ
อีกครั้งที่ฉันลองกดโทรหาเธอซ้ำเป็นรอบที่สอง ผลที่ได้ก็คือไม่มีการตอบรับจากปลายสาย การที่เพื่อนรักหายตัวไปนานแบบนี้ มันก็เลยทำให้ฉันอดเป็นห่วงไม่ได้ จำต้องเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วพาตัวเองออกไปจากด้านหลังสเตจเพื่อตามหาเธอ
โชคดีที่ด้านนอกประตูมีป้ายบอกทางไปห้องน้ำติดไว้ ฉันจึงไม่รอช้ารีบเดินจ้ำเท้าเดินไปทางด้านหลังตึกตามอย่างที่ป้ายบอก และคาดว่าตอนกระถินออกมาเธอเองก็คงจะเดินไปห้องน้ำที่อยู่ข้างหลังเหมือนกัน และในตอนนั้นเอง
Rrrrrr Rrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น เท้าทั้งสองข้างจึงหยุดลง รีบเปิดกระเป่าเพื่อกดรับสายทันที ตอนแรกฉันคิดว่าคนที่โทรเข้ามาน่าจะเป็นกระถิน แต่ดันคิดผิดเพราะเบอร์ที่โชว์มันดันขึ้นเบอร์แปลก อ่อ! จริงสิ กระถินปิดเครื่องนี่นา หรือว่าบางทีแบตเธออาจจะหมดเลยใช้เบอร์คนอื่นโทรมาก็ได้
“ฮัลโหล?” ฉันรีบกดรับและกรอดเสียงผ่านสายเหมือนปกติทันที
[ไง ฟินแย่เลยดิ ห่างสายตานิดเดียว เอาใหญ่เลยนะ] เสียงเข้มส่อแววประชดประชันจากปลายสาย ทำคิ้วฉันขมวดย่นติดกันเป็นปมอย่างนึกสงสัย รีบเลื่อนโทรศัพท์ลงเล็กน้อยเพื่อดูเบอร์อีกครั้งแล้วคิดในใจ
ใครวะ!?
[เงียบแบบนี้คือไร?] พอแนบโทรศัพท์ลงกับหู ปลายสายก็ถามออกมาอีกครั้ง เหมือนกับรู้จังหวะ
แถมน้ำเสียงเขายังกดต่ำอย่างเยือกเย็น ยิ่งทำคนฟังอย่างฉันงุนงงมากเข้าไปใหญ่
“โทรผิดแล้วมั้งคะ?”
[ถูกแล้ว
นี่เธอจำเสียงฉันไม่ได้เหรอ?] ยิ่งปลายสายพูดออกมาแบบนี้
ฉันก็ยิ่งคิดหนักเข้าไปใหญ่ สมองเริ่มประมวลผลสรุปรวมทั้งหมดที่ได้ยินจนกระทั้ง
ภาพในหัวมาหยุดอยู่ที่หน้าของใครคนหนึ่ง
แค่เพียงนึกถึงเท่านั้นขนก็ลุกซู่ไปหมดทั้งตัว
“เทวินทร์?” ฉันย้อนถามเสียงอ่อนแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก
[ใช่ ฉันเอง] เขาตอบเพียงสั้นๆ สร้างความแปลกใจอย่างหนักหน่วงจนต้องอ้าปากค้าง
คำถามก็คือ
ไอ้หมอนี่เอาเบอร์ฉันมาจากไหน!?
เพื่อให้คลายความสงสัยฉันจึงตั้งใจถามเขา
แต่ว่า ยังไม่ทันได้พูดอะไร มันก็เป็นเทวินทร์เองนั้นแหละที่พูดแทรกเสียงเดิมขึ้นมาก่อน
[หน้าตาดูมีความสุขเหลือเกินนะ
เวลามีผู้ชายล้อมรอบอ่ะ] คำพูดกึ่งประชด
ทำฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีอารมณ์ก่อนจะต่อว่าเขากลับไป
ขณะเริ่มก้าวเท้าเดินตรงไปที่ห้องน้ำซึ่งคาดว่ากระถินจะเข้าไปใช้บริการ
“อย่าเยอะ
นายเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ! อื้อ!”
ฟึ่บ!
ฉันเบิกตากว้างอย่างขีดสุด
เมื่อในตอนนั้น ดันมีมือของใครคนหนึ่งพุ่งเข้ารวบตัวฉันที่ไม่ทันระวังจากทางด้าน
คนแปลกหน้าใช้แรงมหาศาลดึงตัวฉันให้หลบเข้าไปในซอกเล็กๆ
ระหว่างตึกพลอยให้โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือร่วงลงกับพื้นทันที
กึก!
“ปะ ปล่อยนะ! ต้องการอะไร!!?” ฉันโวยวายอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะบางทีบุคคลที่การกระทำเรื่องน่าตกใจอย่างอุกอาจแบบนี้อาจจะเป็นมิจฉาชีพก็ได้
แต่…
“นาย!” สิ่งที่ฉันเจอเมื่อร่างกายถูกวงแขนกว้างปล่อยคืนสู่อิสระกลับน่าตกใจยิ่งกว่าเก่า
เมื่อพบว่า คนที่เป็นผู้ลงมือกระทำเรื่องน่าตกใจครั้งนี้ไม่ใช่มิจฉาชีพแต่เป็นเทวินทร์!!!
“ยังไง ที่ถามไป?” ประโยคแรกที่เขาพ่นใส่หน้าฉันดูเหมือนเป็นคำขู่สำหรับการขอคำตอบเรื่องอะไรสักอย่าง “จะตอบได้ยัง?”
น้ำเสียงของเทวินทร์ในตอนนี้ค่อนข้างหาเรื่อง
ไม่ได้ติดกวนหรือติดทะเล้นเหมือนทุกที
“ตอบอะไร ปล่อยนะ
ฉันจะไปหาเพื่อน!” ด้วยท่าทางที่ไม่น่าไว้วางใจ
ทำฉันรีบตั้งท่าจะเดินหนีเขาออกจากซอกแคบของตัวตึก ทว่า
กึก!
เทวินทร์ที่ไวกว่าดันใช้ท่อนแขนของตัวเองกดทาบกับผนังเอาไว้
ปิดบังทางหนีทางเดียวที่มีจนมิด แล้วพูดออกมา
“เพื่อนเธอกลับไปแล้ว
ฉันบังเอิญเจอเข้าตอนเดินหาเธอนี่เธอแหละ”
-_- ใครใช้ให้เดินหากันเล่า
อยากรู้จริง!
ไม่ใช่แค่เรื่องของกระถินเท่านั้นที่หมอนี่พูดออกมาจนฉันตกใจ
เพราะอีกเรื่องที่ฉันตกใจไม่แพ้กันก็คงเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแพงที่หน้าจอปรากฏรูปของฉันตอนถูกวอร์อปป้ากอดโดยมีทอร์ชกำลังยีหัวนั่นแหละ
ถ้าถามว่ามันน่าแปลกใจตรงไหน ก็เพราะว่ามันดันอยู่บนหน้าจอของเทวินทร์ยังไงล่ะ!
“มีคนส่งให้ฉันดูตอนระหว่างเดินหาเธอทั่วงาน
เพราะแบบนี้ใช่ไหม เพื่อนเธอก็เลยขอตัวกลับก่อน” เทวินทร์อธิบายเสียงราบเรียบ
ต่างจากปกติทั่วไป ก่อนจะเบือนหน้าพลางเก็บสมาร์ทโฟนของตัวเองใส่กระเป๋ากางเกง
แล้วจิ๊ปากเสียงดังคล้ายกับไม่สบอารมณ์ แล้วต่อว่าฉันอีกครั้งแบบติดๆ กัน
“เธอเป็นโรคบ้าอะไรวะ
ทำไมชอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับผู้ชายคนอื่นนัก!”
“เลิกพูดบ้าๆ ได้ไหม
ฉันก็แค่คุยกับ…”
ตึงงง!!
ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ
คนตัวใหญ่ตรงหน้ากระแทกฝ่ามือข้างที่เหลืออัดเข้ากำแพงอย่างแรง
พานให้คำพูดที่มีถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ
“อย่าเถียง…” คำพูดสั้นๆ แกมสั่ง
ถูกเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความเงียบระหว่างเราทั้งคู่
แววตาที่เทวินทร์ใช้จ้องฉันในตอนนี้ดูดุดันไม่มีแววความทะเล้นแฝงอยู่เหมือนที่ผ่านมา
แถมนัยน์ตาคมคู่นั้นของก็ยังจ้องลึกผ่านนัยน์ตาฉันคล้ายกับจะบอกว่าสิ่งที่เขากำลังพูดและมันคือเรื่องจริงจัง
“อย่าทำให้ฉันหงุดหงิด
เธอคงไม่อยากรู้หรอกใช่ไหม ว่าจะโดนอะไรบ้าง…”
“พะ พูดบ้าอะไรเนี่ย
พอได้แล้วฉันจะกลับเข้างาน” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง
พลางใช้มือเพื่อดันแขนที่เขาใช้บังทางออก แต่เทวินทร์กลับไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
เมื่อเข้าใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือฉันแน่นแล้วกดลงกับผนังกำแพงอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องมีคำพูดจา
ฉันในตอนนี้มันสับสนไปหมด
เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์วิกฤตแบบนี้มาก่อน สิ่งที่ฉันรับรู้ได้ตอนนี้ก็คือ
เทวินทร์ไม่ได้มีอารมณ์ล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
ให้ตายสิ! หมอนี่เป็นคนแบบไหนนะ
ทำไมถึงเดาอารมณ์ไม่ถูกเลยสักครั้ง!
“เจ็บนะ
จะทำบ้าอะไรไม่ทราบ!” ถึงอย่างงั้น
ฉันก็ยังพยายามใจดีสู้เสื้อ ต่อว่าเขาออกไป
แต่แล้วมันก็เป็นฉันเองนั่นแหละที่ต้องเงียบเสียงลง
เมื่อบังเอิญสบสายตาเข้ากับแววตาจริงจังคู่เดิมตรงหน้า
“เธอรู้อะไรไหม
ยัยเต้าหู้?”
“…” อะไรของหมอนี่นะ! แถมยังเรียกฉันว่าเต้าหู้อีก!!!
“การที่ฉันเจอเธอที่ห้างเมื่อคืน มันทำให้ฉันรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนแค่ไหน” คำพูดของเทวินทร์ทำฉันนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก
โดยเฉพาะเมื่อเขาเอ่ยประโยคต่อมา
“และคาดว่าในอนาคต ฉันคงจะขี้หึงมากด้วย”
“หึงอะไร
มีสิทธ์เหรอ?!” เดี๋ยวๆ หมอนี่กำลังจพะเริ่มพูดอะไรบ้าๆ
แบบนั้นออกมาอีกแล้วถูกไหม?
“ก็เรื่องเมื่อคืนไง
เธอยังไม่ได้รับผิดชอบ” เขาว่า
“ว๊อดดดด!?” ฉันหวีดเสียงสูงเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังจะพูดถึงเรื่องบ้าๆ
เมื่อคืนขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่า ครั้งนี้อีกฝ่ายจะไม่ตอบโต้อะไรกลับมาด้วยคำพูด
หากว่านั่นคือเรื่องที่ดีบอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เทวินทร์ทำคือการ
โน้มหน้าลงมาใกล้ราวกับต้องการใช้ร่างกายตอบแทนคำพูด
การที่เป็นเช่นนั้น
ฉันจึงต้องรีบเบือนหน้าหลบพลางยกมือข้างที่ยังเหลือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้ ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะทำอะไร
แต่ถ้าหมอนี่คิดจะฉวยโอกาสแล้วล่ะก็ ฉันไม่มีทางยอมแน่!
แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของฉันมันจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม
เมื่อเทวินทร์จงใจหยุดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ห่างจากฝ่ามือของฉันไม่ถึงสองเซนติเมตร
แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าในตอนแรก
“ฉันถูกใจเธอ…” ใบหูที่เป็นตัวรับฟังคำพูดประโยคนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ร่างกายทุกส่วนคล้ายกับถูกแช่แข็งด้วยถ้อยคำสั้นๆจากปากของเทวินทร์โดยไม่มีคำพูดจาใดโต้กลับไป
หัวใจเองก็แย่ ที่ดันสั่นกับคำพูดประโยคดังกล่าวแทนที่จะต้องรู้สึกใจแค่เพียงอย่างเดียวเหมือนปกติ
หลังประโยคต่อมาดังขึ้น “อยากได้เป็นเจ้าของ”
ตึกตัก… ตึกตัก… ตึกตัก…
หนะ นี่เขาสารภาพรักเหรอ!?
ทั้งที่เราเพิ่งเคยเจอคืนนั้นเนี่ยนะ!
“ขะ ขอโทษนะ… พอดีว่าฉันรีบ…” เพราะทำตัวไม่ถูกฉันจึงอาศัยจังหวะในช่วงที่เขาเริ่มสงบ
ลดมือลงแล้วพูดออกไปเพื่อเลี่ยงสถานการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา
แล้วในตอนนั้นเอง
ที่เทวินทร์ใช้มือข้างที่กั้นทางออกพุ่งเข้าแตะที่แก้มของฉันอย่างรวดเร็ว
เรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือเขา
สามารถบีบบังคับให้ฉันหันหน้าไปตามแรงได้ไม่ยาก
“ถือว่าพูดไปแล้ว ต่อจากนี้เธอต้องมีหน้าที่เป็นผู้รับ”
“เลิกพูดอะไรบ้านั่นๆสักที ก็บอกแล้วไงว่าฉันน่ะ...อะ”
“มีหน้าที่รับ ก็รับไปซะ...” และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องทำตาโตหลังสิ้นเสียงถ้อยคำเผด็จการที่ไม่แม้แต่จะคิดฟังใคร
ฟึ่บ!
ทุกอย่างมันรวดเร็วหากแต่ว่าภาพที่ปรากฏต่อสายตามันดันเคลื่อนไหวช้าลงราวกับจะจับทุกจังหวะ
ทุกสิ่งที่คนตรงหน้าทำ ริมฝีปากร้อนที่เคยหยุดชะงักไปครั้งหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว บดเบียดผิวปากทับลงมาค่อนข้างรุนแรง
เหมือนฉากใดฉากหนึ่งจากซีรีส์เกาหลีที่เคยดูผ่านตาอยูบ่อยๆ
การที่เขาทำเช่นนั้นมันทำให้คนถูกกระทำรู้สึกหายใจไม่ออก
จนต้องเป็นฝ่ายขยับริมฝีปากหนีเพื่อสูดรับอากาศเข้าปอดอีกครั้ง
ยังไม่ทันหายใจทั่วท้องดี
ฉันก็ถูกฝ่ามือของเทวินทร์กดใบหน้าให้หันกลับเข้าไปอีกครั้งและทำบางสิ่งที่ฉันตกใจชนิดตั้งตัวรับไม่ทัน!
“อื้อ…” เรียวลิ้นร้อนระอุฉวยโอกาสสอดผ่านเข้ามาในปากอย่างช้าๆและฉวยโอกาส
ทั้งที่นี่มันเป็นครั้งแรกระหว่างเราที่ควรจะเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน
แต่เขากับไม่เบามือหรือหยุดความหนักหน่วงของริมฝีปากที่บดขยี้ลงมาเลยสักนิด
ฉันไม่รู้ว่าไอ้ที่เขากำลังทำอยู่มันคืออะไร ทำเพื่ออะไร รู้แค่ว่ามันเรียกจูบ แต่จูบมันต้องใช้ลิ้นแบบนี้ด้วยหรือไงล่ะ!?!
วินาทีนี้ฉันไม่สามารถประติดประต่อเรื่องอะไรได้อีก
ไม่ว่าจะความคิดเขาหรือแม้แต่เรื่องที่จู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายบอกว่าถูกใจ แม้แต่ลมหายใจของตัวเองยังไม่สามารถควบคุมได้
ในหัวมันว่างจนแทบไม่เหลือความคิดใดให้ปวดหัว ยิ่งลิ้นของเขากวาดวนไปรอบๆ ภายในอย่างจาบจ้วง
ล่วงเกินแบบไม่ให้เกียรติด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกแปลกในอกมากยิ่งขึ้นไปใหญ่
สายตาที่เคยมองชัดตอนนี้กับพร่าเบลอ
เหมือนกับมือที่เคยคิดจะปัดสิ่งขวางทางน่ารำคาญกลับบีบกำกระชับเสื้อที่คนตรงหน้าสวมอยู่เอาไว้แน่น
ราวกับจะระบายความรู้สึกที่ได้รับมาให้หมดไป
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังกดขยี้ริมฝีปากเข้ามาแนบแน่น ราวกับตั้งใจจะฆ่าฉันด้วยริมฝีปากเดียว
และในช่วงที่ฉันเหมือนกับว่าร่างกายกำลังจะขาดอากาศหายใจ
เทวินทร์ก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากพร้อมเรียวลิ้นร้อนรุกรานออกไปอย่างช้าๆ
“ถือว่านี่เป็นการลงโทษแรก
ที่เธอไม่รอฉันแถมยังไปแจาะแจ๊ะกับผู้ชายคนอื่น...”
สมองสั่งการเหมือนถูกตัดไปในช่วงวินาทีนั้น
หูได้ยินแต่ไม่สามารถจะตอบโต้อะไรคนตรงหน้ากลับไปได้ ร่างทั้งร่างทรุดทั้งยืนราวกับคนหมดแรง
แต่โชคดีที่ถูกวงแขนแกร่งพุ่งเข้ารับไว้ได้ทัน
ฉันพยายามหรี่ตามองหน้าผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง แต่มันยากเหลือเกินเหมือนกับว่าฉันกำลังจะเป็นลม และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ฉันจะด่ำดิ่งสู้ความมืดก็คือ
เสียงของเทวินทร์ซึ่งกล่าวออกมาแบบจริงจังราวกับว่าฉันกำลังทำอะไรสักอย่างที่ผิดร้ายแรงต่อเขามาก
“ถ้ามีครั้งต่อไป
เธอโดนยิ่งกว่านี้แน่”
หมายเหตุ
[1] จอนอุนมยอง เรื่องของผู้ชายคนนี้สามารถติดตามแบบเต็มๆได้จากเรื่อง S.O.S วิกฤตรักร้าย มาเฟียที่รัก นะครับ
[2] Ulzzang (ออลจัง) มีความหมายตามตัวว่า 'หน้าตาดี' หรือ 'ดูดี' บุคคลที่มีสถานะเป็นออลจังส่วนใหญ่จะได้รับความนิยมจากทางอินเทอร์เน็ต เป็นที่สนใจ มีออลจังบางคนเป็นที่รู้จักจากการถ่ายแบบแฟชั่นเกาหลี บางรายแจ้งเกิดไปเป็นดาราหรือนักร้องก็มี
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น