คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : Race21 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่21 {อัพ100%} สถานที่เดทของติ่ง
ไอ้เสี่ยว! ไอ้กะล่อน!
เพราะแบบนี้ไงฉันถึงยกใจทั้งใจให้ศิลปินที่รักมากกว่าผู้ชายในโลกของความจริง!
แต่ไม่นานนัก เทวินทร์ซึ่งดูจะสนอกสนใจทีมงานหญิงตรงหน้า ก็ค่อยๆหันหน้าเพ่งความสนใจมาทางฉันราวกับรู้ตัวว่าถูกมองอยู่และยิ้มให้
แต่ฉันกลับเลี่ยงที่จะรับรอยยิ้มดังกล่าวเสียเอง
โชคดีที่จังหวะนั้นมีทีมงานถือกระดาษบอกบทมาให้ฉันอ่านคร่าวๆ
ทำให้ความสนใจทั้งหมดหันเหไปที่งานแทนเรื่องอื่นได้ไม่ยากนัก และทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งผู้กำกับเริ่มออกปากสั่งงานอีกครั้ง
“นักแสดงสแตนบายในฉากเลยครับ จะเริ่มถ่ายแล้ว!”
เสียงดังกล่าวทำเอาทั่วพื้นที่เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
ฉันถูกช่างแต่งหน้าและช่างทำผมกรูเข้ารุมล้อมเพื่อเช็กความเรียบร้อย
ขณะเดียวกันนั้น อปป้าเควินก็ถูกพาตัวมายังฉากด้วยเช่นกันเพียงไม่นานความวุ่นวายก็จบลงเมื่อผู้กำกับออกปากสั่ง
“รอบนี้ก็เป็นอารมณ์โกรธนะครับน้องแมร์ ไม่ใช่อารมณ์ฟิน!”
“คะ ค่า!” ฉันรับคำเสียงสั่งแบบไม่เต็มเสียงนักซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เควินอปป้าส่งสายตาวิ้งมาให้แทนกำลัง
พร้อมกันนั้นเสียงเริ่มต้นของการถ่ายทำก็เริ่มขึ้น
“Only U ในร้านกาแฟ เท็กที่ 86 แอคชั่น!!”
เมื่อทุกเสียงโดยรอบเงียบลงบรรยากาศภายในร้านกาแฟก็ถูกปกคลุมไปด้วยซีนอารมณ์
สำหรับเควินอปป้าการสร้างบรรยากาศและอารมณ์ตามอย่างที่ผู้กำกับต้องการดูจะเป็นเรื่องง่ายต่างจากฉันซึ่งต้องจ้องสู้ตากับศิลปินที่ตัวเองรักด้วยความรู้สึกตรงกันข้ามกับที่ผู้กำกับต้องการ
ไม่ได้นะกาละแมร์
ขืนยังเป็นแบบนี้มีหวังถูกผู้กำกับว่าให้อายอีกแน่ๆ
นี่มันงานของศิลปินที่รักเชียว
อย่าทำให้อปป้าผิดหวังสิ!!!
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็พยายามตั้งสติ
ปรับลมหายใจของตัวเองทั้งที่ยังจ้องสู้ตากับอปป้า
บุคคลซึ่งมีหน้าตาน่าหลงใหลที่สุดในโลก
แม้ว่าใจจะเริ่มสั่นเพราะอปป้าเควินค่อยเอื้อมมือมากุมือฉันไว้ตามบทบาทสีหน้าเศร้าสร้อยตามบท
แต่แล้จังหวะที่อปป้ากำลังขยับปากพูดตามบทบาทด้วยภาษาบ้านเกิดของตัวเองออกมานั้น
จู่ๆใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายน่าหลงใหลตรงหน้ากลับค่อยๆ เลือนรางจางไปกลายเป็นใบหน้าของใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมา
และมันก็เริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น
ชัดถึงขนาดที่ว่าฉันได้ยินเสียงภาษาบ้านเกิดของอปป้าเควินเป็นภาษาและเสียงของคนอื่น...
“เต้าหู้ โกรธเหรอ...” ฉันกำลังมองเห็นผู้ชายตรงหน้าเป็นเทวินทร์
แถมเขากำลังพยายามพูดเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองกับเหตุการณ์ที่ฉันเห็นตอนช่วงพักกองเสียด้วย
“เมื่อกี้ฉันเดินชนผู้หญิงคนนั้นน่ะ
ก็เลยต้องเท็คแคร์เขาแทนคำขอโทษ”
มันบ้ามากที่ดันเห็นคนตรงหน้าเป็นเทวินทร์แบบนี้ แถมยังพูดแก้ต่าง
ทั้งที่คิดว่าบ้า แต่ยิ่งฟังเสียงของเทวินทร์ที่ภาพความคิดทำให้เห็นและได้ยิน
มันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดปนความหมั่นไส้
“ไม่ได้ถาม!” จนเผลอพลั้งปากตะคอกเสียงตอบกลับไป
ทั้งที่ทำแบบนั้นแต่แทนที่ภาพบ้าๆนั่นจะหายไป
ทุกอย่างกลับยิ่งดูเหมือนจริงเข้าไปใหญ่ เพราะวินาทีที่ฉันลุกพรวดออกจากที่นั่ง
ฝ่ามืออุ่นของเขาก็พุ่งเข้าคว้าข้อมือรั้งกายฉันไว้
“ฟังก่อนดิ ทำไมถึงไม่ยอมฟังอะไรบ้างเลยวะ ก็แค่อยากอธิบาย!”
“ใครขอ!?” พอได้เริ่มโวยวาย
สมองส่วนแยกแยะก็ถูกอารมณ์หงุดหงิดครอบงำ โวยวายใส่ผู้ชายตรงหน้าอย่างฉุนเฉียว “จะทำอะไรกับผู้หญิงคนไหนก็เรื่องของนายสิ ไม่เกี่ยวกับฉัน!”
ว่าจบฉันก็รีบสะบัดมือไปพร้อมกับหน้าตั้งท่าทีจะหนีภาพใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไป
ทว่า อีกฝ่ายกลับกระตุกรั้งข้อมือฉันไว้อย่างแรงจนเสียการทรงตัว
หันกลับไปเผชิญหน้ากับใบหน้าคมคายคุ้นเคยอีกครั้ง
“อะไรวะเต้าหู้!? อย่าบอกนะ ว่าที่หัวร้อนใส่แบบนี้เพราะเธอหึง”
“ไม่ได้หึง!” หึงเหรอ หมอนี่กล้าว่าฉันว่าหึงเขาเหรอ!!??
“หึงก็บอกว่าหึงดิ ยอมรับความจริงหน่อย!”
“หยุดพูดไปเลยนะ!” ทั้งที่รู้ว่าภาพตรงหน้าอาจเป็นเพียงแค่ภาพหลอน แต่ความใจร้อนและความหงุดหงิดซึ่งก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่ฟังคำพูดแก้ตัว บันดาลโทสะลดความอับอายของตัวเองเอื้อมมือคว้าแก้วกาแฟเย็นชืดสำหรับประกอบฉากสาดเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายทันทีพร้อมทั้งเสียงตะโกนสั่ง
ซ่าา!
“คัตตตต!!!”
วลีสั้นๆหากแต่ฟังดูมีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลา ณ ขณะนั้นดึงสติสัมปชัญญะทั้งหมดของฉันกลับมา
เพียงกะพริบตาครั้งเดียวภาพของชายหนุ่มน่าหงุดหงิดตรงหน้าก็เปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าหล่อตี๋ซึ่งยามนี้ผมเผ้าและเนื้อตัวชุ่มไปด้วยกาแฟ
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อไม่ว่าจะมองผู้ชายคนดังกล่าวอย่างไร
เขาก็คือเควินอปป้า ไม่ใช่เทวินทร์อย่างที่รู้สึกก่อนหน้านี้
“ดีมาก! แบบนี้แหละที่ผมต้องการ! พักกองได้!” คำพูดยินดีและน้ำเสียงดีอกดีใจของผู้กำกับไม่อาจช่วยลดอาการตกใจที่มีได้ลง
สายตากวาดสำรวจไปทั่วใบหน้าหล่อตี๋เปื้อนกาแฟอย่างรู้สึกผิด
และยิ่งรู้สึกผิดมากไปใหญ่เมื่อหางตาดันเหลือบไปเห็นผู้ชายที่ฉันคิดว่าเควินอปป้าเป็นยืนอยู่บริเวณหลังทีมงานจัดแสง
“เลนได้เยียมมั๊กๆโลย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงภาษาไทยแบบไม่ชัดนัก
ทำฉันสะดุ้งจากภวังค์ รีบละสายตาจากใบหน้ายิ้มระลื่นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของเทวินทร์
มายังเควินอปป้าอีกครั้ง
“ขะ ขอโทษค่ะ!” แน่นอนว่านั่นตามมาด้วยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด
“ม่ายเป็นราย” แต่อปป้าซึ่งถูกกาแฟใส่เมื่อครู่
ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขายิ้มอย่างเข้าใจและดูเป็นมืออาชีพมากพอที่จะไม่โกรธเมื่อถูกคนร่วมฉากกระทำใส่นอกเหนือบทบาทที่ได้รับ
ทีมงานบางส่วนรีบพากันกรูเข้ามาหาเราทั้งคู่
บ้างก็รีบจัดการยื่นผ้าขนหนูส่งให้อปป้าซับคราบกาแฟตามเนื้อตัว
บ้างก็ส่งน้ำดื่มมาให้ฉันแก้กระหายหลังจากงานทุกอย่างจบลง
และการที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นการบอกให้ฉันรู้ตัวล่วงหน้าด้วยว่า
วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆศิลปินที่ตัวเองรัก
“ในที่สุด งานก็เสร็จ~” เสียงกระแหนะกระแหนติดกวนประสาททำฉันเหลือบมองเจ้าของเสียงดังกล่าวอีกครั้ง
และพบว่าเทวินทร์ซึ่งเคยยืนมองอยู่ห่างๆด้านหลังทีมงานจัดไฟ
ตอนนี้ได้เดินเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ซ้ำร้ายยังพูดเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่หยุด “แสดงเก่งเหมือนกันนะเนี่ย
ฟีลลิ้งมาเต็มทั้งที่พูดกันคนละภาษา~”
ฉันจิ๊ปากอย่างนึกหมั่นไส้ และอดต่อว่าในใจไม่ได้
ใครกันล่ะ! ที่ทำให้ฉันต้องสาดกาแฟใส่หน้าศิลปินที่รักแบบนั้นน่ะ!
แต่แล้วไม่นานหรอกเสียงของเทวินทร์ก็หยุดทุกเสียงต่อว่าในหัวลง
“อยากโดนแบบในฉากเมื่อกี้บ้างจัง~”
“โดนอะไร กาแฟอ่ะเหรอ?” ความปากไวทำฉันโพล่งถามกลับไปแบบเหน็บๆ
แต่อีกฝ่ายดันให้คำตอบด้วยเสียงจริงจัง
“เปล่า อยากโดนเธอหึงเฉยๆ”
ตอนพูด เขาก็อมยิ้มและเหลือบมองฉันไปด้วยราวกับอยากให้รับรู้ความใจจริงใจจากคำพูดดังกล่าว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำท่าทีก้อร่อก้อติดใส่ทีมงานหญิงในกองถ่ายอยู่เลย
“ฝันไปเถอะย่ะ!” สุดท้ายฉันก็แสดงนิสัยแย่ๆของตัวเองใส่เขาออกไปอีก
ทว่า ครั้งนี้หลังจากพูดจบสายตาของเทวินทร์กลับไม่ได้จ้องมองฉันเหมือนอย่างตอนแรก
แต่เขากำลังปรายตามองผ่านไปด้านหลังราวกับมีอะไรที่น่าสนใจ
การที่เขามองผ่านไปแบบนั้น
เหมือนเป็นการกระตุ้นต่อมเผือกของติ่งคนหนึ่งในตื่นตัว
รีบเหลียวขวับมองตามสายตาของเทวินทร์ไปแบบไม่ต้องรอใครสั่ง กว่าจะรู้ตัวว่าการที่ทำเช่นนั้นคือเรื่องผิดพลาดก็ตอนที่
สายตากำลังจับโฟกัสไปยังชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งกำลังเป็นจุดสนใจ
คนหนึ่งคือผู้หญิงซึ่งควรยืนอยู่ตรงที่ที่ฉันยืน
ส่วนอีกคนคือผู้ชายที่หายหน้าหายตาไปตลอดทั้งวัน
วอร์อปป้ากับพี่แบมแบมเดินแทรกทีมงานซึ่งกำลังวุ่นวายกับการเคลียร์ของหลังถ่ายทำเสร็จ
ที่สำคัญเป้าหมายของคนทั้งคู่ดูจะเป็นฉันเสียด้วย
“ว่าไงน้องแมร์ วันนี้ถ่ายสองงานเหนื่อยหรือเปล่า?” ฉันได้ยินเสียงวอร์อปป้าถามแต่สายตาดันไม่ยอมโฟกัสไปยังแววตาและสีหน้าใจดีของอีกฝ่ายเลย
เพราะอะไรรู้ไหม?
เพราะสายตาดันถูกสะกดให้มองมือของคนทั้งคู่ซึ่งกำลังกุมกันไว้ยังไงล่ะ...
แต่เหมือนว่าพี่แบมจะรู้ตัวว่าถูกมอง เธอจึงเป็นฝ่ายผละมือออกจากฝ่ามืออบอุ่นของวอร์อปป้าไปเองแล้วเอ่ยขึ้น
“ไหนๆก็ทำงานเสร็จแล้ว คืนนี้อยู่งานเลี้ยงฉลองปิดกองด้วยกันไหมจ๊ะ?” และไอ้คำถามของพี่แบมนี่แหละที่ทำฉันสะดุ้ง จำต้องละสายตาไปจากมือทั้งคู่
เงยมองหน้าคนถามเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาท
“หนะ หนูเหรอคะ?”
“ใช่จ๊ะ” พี่แบมตอบยิ้มๆ โดยมีชายหนุ่มข้างกายเสริม
“ปกติหลังเลิกกองถ่าย
ผู้จัดการกับทีมงานก็มักจะพากันไปดื่มเลี้ยงฉลองแก้เหนื่อยกันเป็นปกตินั่นแหละ…”
ทว่า ยังไม่ทันสิ้นเสียงวอร์อปป้าดี
เทวินทร์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็พูดแทรก
“แมร์ไม่ว่างไปงานฉลองงี่เง่านั่นหรอก...” ไม่ใช่พูดขัดแบบเสียมารยาทอย่างเดียว
แต่เขายังแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการดึงฉันออกห่างจากวอร์อปป้าด้วย “คืนนี้ยัยนี่มีนัดกับฉันแล้ว”
“เสียดายจัง พี่มีเรื่องอยากคุยกับเราตั้งเยอะ”
ประโยคดังกล่าวไม่ใช่คำพูดของวอร์อปป้าหรอก แต่เป็นของพี่แบมที่มากับเขาต่างหาก
หลังสิ้นเสียงเทวินทร์ก็ไม่ยินยอมให้ฉันได้พูดอะไรตอบโต้คนทั้งคู่กลับไป
เขาดึงฉันให้ออกห่างจากคนทั้งคู่
ฉุดกระชากพาไปยังจุดเปลี่ยนเสื้อผ้าราวกับรีบร้อนอะไรนักหนา
ฉันไม่ได้ปฏิเสธการฉุดดึงของเทวินทร์เหมือนทุกทีหรอกนะ เพราะตอนนี้ในหัวฉันเองก็ไม่ได้คิดจะหาคำพูดใดตอบพี่แบมกลับไปเหมือนกัน
แต่ว่ากำลังคิดถึงท่าทางแปลกๆที่คนทั้งคู่แสดงให้เห็นตอนที่เข้ามาที่กองถ่ายต่างหาก
‘ฉันกำลังจะแต่งงาน…’
‘ก็ดีแล้วนี่…หมดเรื่องจะคุยแล้วใช่ไหมแบม?’ ทั้งที่หลายวันก่อนวอร์อปป้ากับพี่แบมยังดูตึงๆ
ใส่กันอยู่เลย แถมวอร์อปป้าก็ทำตัวเย็นชาใส่พี่แบมจนน่ากลัว
รับรู้ได้ถึงการประชดประชันใส่กันผ่านคำพูดและการกระทำ
วูบหนึ่งที่ในหัวเกิดคำถามสั้นๆขึ้นมา
หรือว่าเขาจะดีกันแล้ว? ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ
มันก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ก็ในเมื่อวอร์อปป้าน่ะ มีพี่แบมเป็นผู้หญิงในดวงใจมาก่อนนี่
“เลิกทำหน้ายู่เหมือนเต้าหู้บูดได้แล้ว” พอถูกพาเข้ามายังจุดแต่งตัว
ความคิดและความสงสัยในหัวก็ถูกขัดด้วยเสียงเข้มบอกความทะลึ่งตึงตังของคนตัวใหญ่
ที่ดูจะวุ่นวายกับข้าวของเครื่องใช้ของฉันซึ่งถูกทีมงานเตรียมไว้ให้เปลี่ยนคืนบนโต๊ะ
“เธอควรจะ Happy ที่กำลังจะไปเดทกับฉันมากกว่านะ”
“…” คงเพราะฉันไม่ได้ตอบอะไร
เทวินทร์ที่เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวจึงเหลียวมองพลางยื่นเสื้อผ้าส่งมาให้
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวสาย”
“สาย?” ฉันย้อนเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยอให้ทำมันฟังดูแปลกๆ
“ไปเดทสายไง เร็วๆ!” เพราเป็นคนรับปากเขาเองว่าจะยอมเดทด้วย
สิ่งที่ทำได้คือการจิ๊ปากอย่างขัดใจเพราะถูกสั่งและรับเสื้อผ้าของตัวเองสะบัดก้นตรงไปยังห้องเปลี่ยนชุดชั่วคราวเล็กๆอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันก็ยังสลัดภาพของมือวอร์อปป้ากับพี่แบมออกไปจากหัวได้เลย
เวลาต่อมา...
ฉันเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าคืนทีมงานอยู่เกือบๆ 10 นาที
ก่อนถูกเทวินทร์พาตัวออกจากสถานที่ใช้ถ่ายทำไปยังรถแข่งคันหรูสีแดงบาดจิตเขา
ผลักให้เขาไปนั่งด้านใน ส่วนตัวเองก็รีบเดินอ้อมมาประจำที่นั่งคนขับ
ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วบึ่งออกจากบริเวณร้านกาแฟไปทันที
ตลอดทาง ภายในรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ เทวินทร์ไม่ได้พูดหรือบอกฉันสักคำว่าจะพาไปไหน
รู้แค่ว่าเขาดูอารมณ์ดีที่ฉันยอมนั่งติดรถมาด้วยแบบนี้
แต่ไม่นานนักหลังจากนั่งรถออกมาได้สักพักใหญ่
บรรยากาศที่กล่าวมาทั้งหมดก็พังลงด้วยคำถามของคนขับรถ
“เดี๋ยวเราแวะปั้มข้างทางกันหน่อยนะ”
“แวะทำไม?” พอถามกลับคนตัวใหญ่ก็เหลือบหางตามองยิ้มๆ
ทั้งที่มือยังประคองพวงมาลัยขับไปบนถนน
แต่ก็แค่แว๊บเดียวเท่านั้นแล้วก็เลื่อนกลับไปมองทางดังเก่า
“แต่งตัวอย่างกับป้า ไม่เหมาะกับการเดทวันนี้หรอก”
คำพูดต่อว่าค่อนไปทางแซวของเทวินทร์ทำฉันรีบก้มมองสภาพตัวเองที่สวมเพียงเสื้อยืดเก่าๆและกางเกงเจเจขาสั้นสำหรับใส่อยู่บ้าน
พอรู้ตัวว่ากำลังถูกว่าฉันก็รีบหันขวับไปถลึงตาใส่เขาทันที แต่เทวินทร์ดันหัวเราะทั้งที่สายตาเขายังมองไปยังถนนตรงหน้าคล้ายกับรู้ว่าฉันจะแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ใส่
อีกทั้งยังพูดแบบไม่สนใจ
“หันไปหยิบถุงบนเบาะหลังให้หน่อยสิ”
คำพูดประโยคนั้นของเทวินทร์ทำฉันนึกถึงวอร์อปป้าขึ้นมาแบบแปลกๆ
เพราะมันฟังดูคล้ายกันมากไอ้คำพูดที่วานให้ฉันเอื้อมไปหยิบของเบาะหลังเพื่อสร้างเซอร์ไพรส์
‘ถ้างั้นพี่วานแมร์หยิบของบนเบาะหลังหน่อยได้ไหมคะ?’ ตอนนั้นอปป้าพูดแบบนั้น
พอนึกถึงหน้าวอร์อปป้าขึ้นมาภาพที่ตามมาหลังจากนั้นก็กลายมาเป็นมือของเขาที่กุมมือพี่แบมเอาไว้แน่น
“อ้าวเฮ้ย! หูตึงเหรอ บอกให้หันไปหยิบถุงให้หน่อย!”
แต่แล้วไอ้ความคิดที่อยู่ในหัวก็ถูกทำให้สลายหายไปด้วยคำพูดเอาแต่ใจกึ่งตะคอกขอเทวินทร์อีกครั้ง
ครั้งนี้ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเสียงเขาน่ารำคาญ ตรงกันข้ามเลยล่ะ…
ฉันซึ่งไม่มีอะไรจะเสียจึงจำต้องเอี้ยวตัวหันไปหยิบถุงกระดาษใบใหญ่บนเบาะหลังตามคำสั่งเขาอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวถึงปั้มแล้ว เธอก็ลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ…”
ฉันไม่ได้ตอบ เพราะถึงปฏิเสธหมอนี่ก็ต้องบังคับให้เปลี่ยนอยู่ดี
ทั้งที่เขาเป็นน้องชายวอร์อปป้าแต่กลับมีนิสัยต่างกันอย่างสุดๆ
เทวินทร์ไม่ถามความสมัครใจหรือความรู้สึกหลังจากฉันหยิบถุงดังกล่าวมาไว้กับตัว
พูดตรงๆขวานผ่าซากไม่อ้อมค้อม
ต่างจากวอร์อปป้าซึ่งแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะตอนไหน
ทันทีที่ล้อทั้งสี่เลี้ยวเข้ามาหยุดอยู่ภายในปั้มน้ำมันบริเวณหน้าห้องน้ำ
ฉันก็ถูกเทวินทร์ไล่ลงจากรถ ไล่ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามอย่างที่เขาต้องการ
แม้ลึกๆจะรู้สึกขัดใจ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมอยู่ดี
เพื่อตัดคำพูดน่ารำคาญของเทวินทร์ออกไปฉันจึงรีบพาตัวเองลงจากรถตรงไปยังห้องน้ำหญิงใกล้ๆ
ซึ่งก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าฉันก็ไม่ลืมเปิดดูเสื้อผ้าในถุงที่เขาเตรียมให้หรอกนะ ภายในถุงกระดาษที่เทวินทร์ยัดเยียดมาให้มีเสื้อยืดคอกลมสีขาวแบบเดียวกับที่ฉันใส่อยู่
เห็นแล้วมันก็อดจิ๊ปากใส่ความเรื่องมากของผู้ชายคนนั้นไม่ได้
เฮอะ! กล้าว่าว่าฉันแต่งตัวเป็นป้า ทั้งที่เสื้อผ้าตัวเองเตรียมไว้ก็ไม่เห็นจะต่างจากที่ฉันใส่อยู่ตรงไหน!
มันน่าหมั่นไส้นัก หมอนั่นน่ะ!!
ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้นนั่นแหละ แต่หลังจากจัดการเปลี่ยนการแต่งการด้วยเสื้อที่เทวินทร์เตรียมมาให้แล้วฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิด
เพราะนอกจากเสื้อแล้วเทวินทร์ยังเตรียมกางเกงยีนขาสั้นตัวใหม่ให้ด้วย
ที่สำคัญยังเป็นของแบรนด์ดังชนิดที่ว่าฉันไม่มีปัญญาซื้อใส่เองแน่นอน
และที่สร้างความตกใจและความช็อกมากกว่าราคาหรือแบรนด์กางเกงยีนขาสั้นที่เขาซื้อให้ก็คงจะเป็น
คำที่สกรีนติดอยู่บนเสื้อที่ใส่อยู่น่ะมัน…
‘เป็นแฟนคนนี้ ð’
“ใส่เสื้ออะไรอ่ะ ส๊วยสวย~” และผลของการใส่เสื้อตัวนี้โดยไม่ทันสำรวจลายให้ดีเสียก่อน
ดูจะทำให้บุคคลที่เตรียมมาให้ดูดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
ทันทีที่ฉันเปิดประตูกลับขึ้นมานั่งในรถ แถมยังไม่หยุดปาก “ค่อยดูดี
สมกับการไปเดทของเราหน่อย”
“ไม่ต้องมาชมเลย
ถ้าฉันรู้ว่าต้องเปลี่ยนมาใส่เสื้อสกรีนคำบ้าๆนี่ ฉันไม่ใส่หรอกย่ะ!”
“แต่ตอนนี้เธอก็ใส่แล้วใช่ป่ะ” เขาถามยิ้มๆอย่างไม่สะทกสะท้าน
กลับกันเขาดูจะมีความสุขอย่างสุดๆเลยล่ะ “ป่ะ ไปเดทกัน
ฉันมีเพื่อนอยากให้เธอรู้จักเยอะเลย”
ว่าแล้วคนตัวใหญ่ก็รีบจัดแจงตัวเอง
จัดการสตาร์ทเครื่องยนต์ทันทีด้วยอาการรีบร้อน แต่ว่า
ฉันดันเป็นคนหยุดทุกการกระทำเหล่านั้นของเทวินทร์ลงด้วยคำถาม
“ไหนว่าเราจะไปเดทกันไง?”
“ใช่ก็เดทไง” ซึ่งเทวินทร์เองก็ยอมหยุดทุกอย่างเพื่อตอบคำถามอย่างว่าง่ายเช่นกัน
“เดท แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับเพื่อนนายอ่ะ?” สิ้นเสียงถาม คนถูกถามก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ได้เห็น
จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้เลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองแล้วตอบกลับมาเพียงสั้นๆ
“ความลับ” สุดท้ายแล้วเทวินทร์ก็ไม่คิดจะบอกอะไรฉันจริงๆ
ไม่ว่าจะเรื่องการเดทหรือสถานที่เดท
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้ว่าเขาคงไม่ได้ไม่หวังดีกับฉันแน่ๆ
ก็คงเป็นเพราะสีหน้าและท่าทางซึ่งเต็มไปด้วยความสุขตลอดการขับรถพาฉันตรงไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายนั่นแหละ
เขาดูมีความสุขมากจริงๆนะ…
เกือบๆ 1 ชั่วโมงต่อมา
ในที่สุดเทวินทร์ก็ทำให้ฉันคลายข้อข้องใจถึงเรื่องที่เดท
เมื่อสถานที่ที่เขาขับรถเข้ามาจอดนั้นดันเป็นผับชื่อดังของเมือง
ที่สำคัญเวลาตอนนี้มันเพิ่งจะบ่ายกว่าเองเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าพามาเที่ยวที่นี่
แล้วไหงเขาถึงพามาเวลาแบบนี้ล่ะ!?
“นายพาฉันมาทำไมที่นี่?” ความสงสัยส่งผลให้ฉันที่เกิดเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มหัวโพล่งถามคนขับอย่างนึกแปลกใจ
ซึ่งเขาก็ยอมตอบ
“เดทไง”
“ก็รู้แล้วไงว่าเดท แต่ผับมันยังไม่เปิดไม่ใช่เหรอ?”
“วันนี้วันพิเศษ ผับเลยปิดเร็วนิดหนึ่ง” เขาแย้งขณะประคองรถทั้งคันจอดเข้าซองให้เรียบร้อย
เชื่อไหมคำถามของเขาไม่ได้ช่วยให้ฉันคลายความสงสัยหรือความแคลงใจลงเลย เพราะดูสภาพโดยรอบแล้วไม่ว่าจะมองยังไง
ผับแห่งนี้ก็ดูเหมือนสถานบันเทิงซึ่งยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการอยู่ดี
ภายในลานจอดรถขนาดกว้างตอนช่วงบ่ายกว่าๆมีเพียงรถแข่งของเขากับรถสปอร์ตราคาแพงจอดอยู่เพียงสองคันเท่านั้น
ที่จอดอยู่ห่างไปเล็กน้อยมีรถมอเตอร์ไซค์รุ่นและยี่ห้อเดียวแต่ต่างสีจอดขนาบคู่กันอีกสองคัน
แล้วแบบเนี่ยผับมันจะเปิดได้ยังไงเล่า!
“เฮ้ย! ลงมาดิ ถึงแล้ว” เสียงเข้มแกมดุและเร่งเร้าทำฉันซึ่งกำลังกวาดตามองภาพบรรยายกาศนอกรถโดยรอบสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
รีบหันขวับมองเจ้าของเสียงก่อนพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เทวินทร์เปิดประตูลงไปยืนด้านนอกรถแล้ว
พอถูกเร่งครู่หนึ่งที่ดันเกิดความชั่งใจขึ้นมาจนไม่กล้าก้าวขาลง
แต่แล้วมันก็เป็นเทวินทร์นั่นแหละที่เริ่มออกปากสั่งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฉันยังนั่งนิ่ง
“ลงมาดิ แล้วก็หยิบกล่องของขวัญบนพื้นเบาะด้านหลังมาด้วย”
ฉันกลอกตาอย่างนึกเอื้อมที่ถูกหมอนี่ออกคำสั่งใส่ไม่หยุด แต่อย่างไรก็ดี
ฉันก็ยังทำตามคำพูดเขาด้วยการเอี้ยวตัวมองหากล่องของขวัญบนที่วางเท้าเบาะหลัง
หยิบติดมือก่อนตัดสินใจเปิดประตูลงจากลง
“เอาไป!” ทันทีที่ลงมาได้ฉันก็จ้ำเท้าเดินอ้อมรถ
รีบยื่นกล่องขวัญในมือส่งให้กับเทวินทร์ทันที
แต่แทนที่เขาจะรับกล่องของขวัญขนาดเล็กไปจากมือกลับกลายเป็นว่า
คนตัวใหญ่ฉวยโอกาสคว้ามืออีกข้างของฉันไปกุมไว้แทนเสียนี่
“ถือไว้ จะได้ดูมีมารยาท” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนเริ่มทำตามใจตัวเองฉุดดึงฉันให้เดินไปตามแรง
ตรงไปยังทางเข้าของผับดังตรงหน้า ราวกับว่ามันเปิดแล้วตามอย่างที่ปากเขาพูดจริงๆนั่นแหละ
แต่แล้ววินาทีที่เท้าทั้งสองข้างถูกกึงดึงกึ่งลากมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าบานใหญ่
ความประหลาดใจก็เริ่มโถมเข้าใส่เป็นหนที่สอง
เมื่อพบว่าช่องว่างระหว่างบานประตูมีไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในแทรกผ่านออกมาให้รู้สึก
ไม่ใช่แค่ความเย็นแต่ว่ายังรวมไปถึงเสียงเพลงจังหวะสนุกๆที่เปิดดังลั่นอยู่ภายในด้วยเช่นกัน
“เข้าไปข้างในกัน…”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น