คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Race09 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่9 {อัพ100%} ความฝันของติ่ง
“เป็นบ้าอะไรของนาย ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง ทำตัวเหมือนเด็กไปได้!”
“เธอนั่นแหละเป็นบ้าอะไร เสียงดังทำไม!”
“นายนั่นแหละ พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง บอกให้ขึ้นรถ!”
“จะขึ้นได้ไงละวะ ก็ไอ้เวรคันหลังมันบีบแตร ฉันเลยชวดจูบเธอเนี่ย!” เขาย้อนเสียงหนักแน่น
คล้ายกับว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันคือเรื่องธรรมดาแสนธรรมดา เออ! สำหรับเขามันอาจจะธรรมดา
แต่สำหรับฉันมันไม่ธรรมดาเว้ย!
กะอีแค่ไม่ได้จูบเนี่ย
มันถึงกับต้องหงุดหงิดขนาดนี้เลยหรือไง!!!
“เฮ้ยน้อง! รถมันติดอะ ไฟเขียวจนจะแดงแล้ว
ทำไมไม่ขับออกไปสักทีวะ!” คราวนี้เรื่องวุ่นวายหนักขึ้นเมื่อรถคันหลังที่เอาแตรบีบแตรไล่ลงจากรถ
ต่อว่าเทวินทร์ด้วยน้ำเสียงฉุน
สีหน้าบ่งบอกได้ว่าไม่พอใจกับมารยาทบนท้องถนนของเทวินทร์นัก
“ลุงพูดจาน่าต่อยปากว่ะ”
“นิสัยนักเลงแบบนี้สงสัยต้องเรียกตำรวจมาคุยกันสักหน่อยแล้วมั้ง” คุณลุงคนดังกล่าวไม่ใช่แค่พูด
แต่เขาทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป่ากางเกงของตัวเองด้วยเช่นกัน
ซึ่งเป็นจังหวะเดี๋ยวกับที่เทวินทร์ใช้มือถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น ตั้งท่าที่จะเข้าไปหาเรื่องคุณลุงคนดังกล่าวแบบไม่กลัวกฎหมาย
มะ ไม่ได้การแล้ว! ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างงั้นเรื่องต้องแย่ลงกว่านี้แน่ๆ
“จะแจ้งความก็แจ้งเลย แต่ขอซัดหน้าสักทีให้ลืมแก่หน่อยเถอะ…วะ”
ฟึ่บ!
ฉันตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อจบปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
ด้วยการพุ่งมือเข้ากระชากแขนของเทวินทร์อย่างแรง จนคนคนตัวสูงที่ทำท่าจะพุ่งตัวเข้าทำร้ายชายวัยกลางคนเสียหลัก
ถอยหลังเล็กน้อย ส่วนฉันเองก็ไม่รอช้ารีบเขย่งปลายเท้า
หลับตาปี๋แล้วหอมแก้มเขาทันทีฟอดใหญ่ ท่ามกลางการจารจรที่แออัด
คนถูกกระทำรีบหันขวับมองอย่างรวดเร็ว ตาที่เคยตี่เหมือนเม็ดก๋วยจี๊เบิกกว้างกว่าที่เคยเห็น
คล้ายกับตกใจ
ซึ่งฉันเองก็ไม่รอให้เขาพูดอะไรที่อาจจะทำให้ฉันรู้สึกหน้าร้อนไปมากกว่านี้
เลยตัดสินใจชิงพูดออกไปก่อน แบบไม่กล้ามองหน้าหรือสบตาเขากลับไปแบบตรงๆ
“ขะ ขึ้นรถเถอะ…” อ่าให้ตายสิ นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย
ตอนแรกก็ว่าน่าอายอยู่แล้ว คราวนี้ดันเป็นฉันซะเองที่ดันทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นต่อหน้าประชาชน
แถมยังกลางสี่แยกไฟแดงซะด้วย ฮือออ คนที่เห็นคงต้องมองฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายๆ แน่ๆ TOT นี่มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย
หมับ!
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ฝ่ามือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
จนเผลอเหลือบมองหน้าเจ้าของการกระทำดังกล่าวโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะพบว่า
เทวินทร์กำลังทำหน้ายิ้มแย้มแสดงความเบิกบานทางอารมณ์
“ขอโทษนะครับคุณลุง” เขาโค้งหัวกล่าวคำขอโทษคุณลุงคนเดิมด้วย
ท่าทีนอบน้อมต่างจากท่าทางฉุนเฉียวในตอนแรกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มิหนำซ้ำยังผายมือเชื้อเชิญแบบคนอารมณ์ดี
“เชิญครับ เดี๋ยวไฟจะแดงอีกรอบนะ”
คุณพระ! ฉันยกมือขึ้นทาบอกอย่างนึกตกใจ
เพราะไม่ว่าจะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ยังไง มันก็ดูโคตรจะบิดเบี้ยว
แตกต่างกับตอนแรกที่เกิดซะเหลือเกิน
“ลุง นี่เบอร์ผม อยากได้ค่าเสียหายหรือค่าเสียเวลาโทรมานะครับ รอรับสายตลอด
24 ชม.”
เขาทิ้งท้ายพลางยื่นามบัตรของตัวเองให้ลุงซึ่งมีประเด็นกันในตอนแรกและก้มหัวอย่างนอบน้อมให้อีกหนึ่งที
ก่อนดึงฉันพร้อมทั้งฮัมเพลงเบาๆ อย่างคนอารมณ์พร้อมทั้งดึงฉันให้เดินอ้อมไปอีกฝั่งของตัวรถ
ส่วนฉันที่ใบ้กินกับท่าทีที่พลิกผัน ก็ได้แต่มองทีท่าของเทวินทร์ซึ่งกำลังทำท่าผายมือเชื้อเชิญให้ฉันกลับเข้าไปนั่งในรถทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก
เพราะไม่อยากยื้อเวลาให้ยืดยาวไปมากกว่านี้ ฉันจึงไม่ลังเลที่จะกลับเข้าไปนั่งรถ
และจ้องมองท่าทีของเขาจากด้านใน
“กลับบ้านกันเนอะคนดี” เทวินทร์พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาก้าวขึ้นมาประจำที่นั่งของตัวเองในรถ
ซึ่งนั่นเป็นเวลาเดียวกับที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีเขียว พอดิบพอดี ส่วนฉันน่ะเหรอ
ก็ได้แต่นั่งพยักหน้าทำหน้าแบบนี้ =_= ไปตลอดทางยังไงล่ะ!
ตลอดเวลาที่อยู่ในรถฉันไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเทวินทร์เลยสักนิด เหตุผลก็คงจะรู้อยู่แก่ใจ
ซึ่งฉันเลือกที่จะมองออกไปนอกกระจกรถ
และทนฟังเสียงฮัมเพลงอย่างคนมีความสุขของเขาไปตลอดทางจนกระทั่งรถคันหรูมาหยุดจอดที่หน้าบ้านพักของฉันในที่สุด
“เต้าหู้…” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเข้มกล่าวเรียกชื่อขึ้นท่ามกลางความเงียบในรถ
จากที่ไม่กล้าหันไปมอง จำต้องหันไปมองหน้าเขาแบบตรงๆ จนได้ “ถามอะไรหน่อยดิ”
“อะ อะไร!”
“ตัวเองหอมเค้าทำไมอ่ะ เขินนะ...” ไม่ต้องมองเห็นหน้าของคนถามชัด
แค่เพียงน้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมามันก็พอรู้แล้วว่าเขาเขินมากแค่ไหน ขนาดเขายังเขิน
แล้วลองกลับกันสิ ว่าฉันจะรู้สึกยังไง!!
“มะ... ไม่รู้! จะลงแล้ว!” ให้ตายสิ! หมอนี่ไม่รู้ตัวเองเลยหรือไงนะ!!
“เดี๋ยวดิ!” เทวินทร์ที่ไวกว่ารีบฉวยมือฉันที่ทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถเอาไว้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร
เสียงเตือนข้อความโทรศัพท์มือถือภายในกระเป่าสะพายของฉันก็ดังขึ้น
ฉันชะงักเล็กน้อยและยอมหยุดสิ่งที่ตัวเองคิดจะทำลง เทวินทร์เองก็เช่นกัน
เขายอมปล่อยมือที่พยายามจะรั้งฉันเอาไว้ และยอมให้ฉันเปิดกระเป่าเพื่อเช็กดูข้อความดังกล่าว
โดยไม่พูดอะไร
รายชื่อคนส่งข้อความซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอคือบุคคลที่ฉันรู้จักดี
ต่างจากเนื้อหาข้อความที่เธอส่งมาโดยสิ้นเชิง
FC’SWAG :: ขุ่นแม่คะ ช่วงนี้ไม่ค่อยอัพเดตข่าวศิลปินเลยนะ
FC’SWAG :: มัวแต่ตามอ่อยศิลปินกับผู้ชายอยู่เหรอคะ?
FC’SWAG
:: ได้แนบลิ้งส่งมาให้….
คำพูดของน้องแฟนคลับคนหนึ่งที่มักจะเข้ามาทักทายและพูดคุยเรื่องศิลปินวงSWAG อยู่บ่อยๆ ทำฉันอึ้งไปเล็กน้อย โดยเฉพาะกับลิ้งที่เธอแนบมาด้วย เพราะเมื่อใช้นิ้วกดจิ้มเข้าไปสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอสี่เหลี่ยมในมือก็คือ
‘แอคไข่กลมหลม :: ไว้จะมาแหกผู้หญิงหน้าไม่อายคืนนี้ #ขุ่นแม่กาละแมขี้อ่อย #แอนตี้ใช่ว่าอิจฉา #อย่าแรด’
นับตั้งแต่คืนนั้น คืนที่เทวินทร์มาส่งฉันที่บ้านพัก
เพจแอนตี้กาละแมหรือขุ่นแม่ก็เริ่มผุดขึ้นเต็มโลกโซเชียลแบบไม่เว้นวัน และนั่นส่งผลมาถึงฉันโดยตรงเมื่อมีพวกมือดีพยายามขุดคุ้ยรูปเก่ากับเรื่องแย่ๆ
ในอดีตของฉันออกมาแฉ
โชคดีที่ฉันเป็นอยู่กับร่องกับรอยมาโดยตลอด
สิ่งที่พวกกลุ่มคนแอนตี้ทำได้ก็คงเป็นการโพสต์ข้อความต่อว่ากับการด่าทออย่างเจ็บแสบเท่านั้น
‘ผู้หญิงบางคนก็มั่นหน้าซะเหลือเกิน คิดจะครอบครองผู้ชายของคนทั้งโลก
ฝันเหรอจ๊ะ #ขุ่นแม่กาละแมขี้อ่อย’
‘ไม่สวย ยังไม่เจียมกะลาหัวอีกนะ ใจคอจะเหมาทั้งนักแข่ง ทั้งนักร้องเลยเหรอ
อีขี้มโน!!!! #ขุ่นแม่กาละแมขี้อ่อย’
‘กลับคืนสู่ธรรมชาติดีกว่าไหมจ๊ะ จะได้เลิกมโน #ขุ่นแม่กาละแมขี้อ่อย’
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
ฉันคำรามลั่นบ้านพักอย่างสุดจะทน หลังจากทนอ่านข้อความต่อว่าต่างๆ
ที่เริ่มรุนแรงขึ้น ซึ่งข้อความพวกนี้ถูกส่งมาทุกช่องทาง ทั้งบ้านแฟนไซต์
และแฟนเบสในเพจกับทวิต
“จะทนไม่ไหวแล้วนะ TOT”
“ใจเย็นๆ น่า ฉันว่ามันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ” เสียงอ่อนหวานแสดงถึงความใจเย็นของคนพูดทำฉันหันไปมองค้อนเธอด้วยความเดือดดาลอย่างคนหัวร้อน
ก่อนจะพาลตะคอกใส่เธอไปแบบไม่สบอารมณ์
“แกลองมาเจอแบบนี้บ้างไหมล่ะ!” กระถินผงะทันทีที่ถูกฉันขึ้นเสียงใส่แบบนั้น “เธอก็อยู่ในเหตุการณ์ ทำไมไม่โดนล่ะ TOT”
“อย่ามาพาลใส่กันแบบนี้สิ...” เธอแย้งอย่างใจเย็น
“พอน่า สองคนเลย เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” เสียงเข้มกล่าวขัดขึ้น
หลังจากทนนั่งมองสถานการณ์อึดอัดซึ่งแผ่ออกจากตัวฉันมานาน ทอร์ชลุกขึ้นมาคว้าโทรศัพท์มือถือไปจากฉันทันที
แล้วพูดออกมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้คงมีคนเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ ในเมื่อวันนั้นฉันก็อยู่ในเหตุการณ์”
สายตาของเขายังคงจ้องมองหน้าจอไอแพดในมือ
นิ้วพลางจิ้มเลื่อนหน้าจออ่านข้อความต่างๆ ที่ด่าทอฉันในโลกโซเชียลอย่างสนอกสนใจ
“อย่าไปสนใจสิ เดี๋ยวเรื่องก็เงียบเองแหละ”
“นายก็พูดได้นี่
นายไม่รู้หรอกว่าฉันเจออะไรบ้างนับตั้งแต่ที่มีเพจแอนตี้เกิดขึ้น…” ฉันพยายามใจเย็น พูดระบายความรู้สึกของตัวเองออกไป “เรื่องบางเรื่องที่พวกเขาด่า
ฉันก็ยอมรับนะว่ามันมีส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่องจริง แต่ไอ้เรื่องที่สักแต่ด่าๆ
ด่าเอามันส์เนี่ย ฉันรับไม่ได้เพราะฉันเสียหาย!”
“คำด่าของคน ถ้าไม่ใช่ความจริง เดี่ยวมันก็ย้อนเข้าหาตัวเองนั่นแหละ” ทอร์ชว่าขึ้นด้วยท่าทางนิ่งๆ วูบหนึ่งที่เขาเหลือบมองฉันด้วยหางตาพร้อมทั้งถอนหายใจ
ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวภายในห้องนั่งเล่น เขาเดินตรงมาที่ฉันก่อนจะยื่นไอแพตในมือส่งมาให้แล้วพูดออกมาอีกครั้ง
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เธอก็รู้นี่ว่าคำด่าพวกนั้นมันไม่ใช่เธอ… ต่อให้เธอจะชอบส่งเสียงดังรบกวนข้างห้อง ไม่มีมารยาท ปิดเพลงเกาหลีบ้าๆ
บอๆ เสียงดังฟังทุกคืนก็เถอะ”
แม้ลึกๆ จะรู้สึกเจ็บแสบต่อคำพูดจิกกัดของทอร์ชก็ตามที แต่เพราะสายตาของฉันดันเหลือบไปเห็นข้อความสุดท้าย
ซึ่งถูกแสดงความคิดเห็นสดๆ ร้อนๆ บนไอแพดหลังจากที่ผู้เป็นเจ้าของส่งมาให้
อารมณ์น้อยอกน้อยใจในตอนแรกก็เลยหายไป
‘แม ดีกว่าคนที่ชอบนั่งโพสต์ข้อความด่าชาวบ้านไปวันๆ อย่างพวกเธอเยอะ’ แต่ถึงข้อความที่ทอร์ชโพสต์ตอบต่อพวกข้อความที่ด่าฉันก็ตาม
แต่ถึงอย่านั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ฉันโล่งหรือรู้สึกสบายใจมามากกว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอก
“สรุปแล้ว วันนี้พวกเธอจะไปไปมหาวิทยาลัยกันหรือไง?” อีกครั้งที่ทอร์ชถามขึ้น เมื่อบรรยากาศภายในบ้านพักเริ่มเงียบลง
“คงไม่ได้ไปหรอกค่ะ ก็แมเป็นแบบนี้” กระถินที่มานั่งอยู่กับฉันตั้งแต่เช้าเป็นฝ่ายชิงขึ้นตอบแทน “แมกังวลเรื่องเพจแอนตี้กับเรื่องที่คนด่าจะตาย ฉันเป็นเพื่อนกับแมมานาน
รู้นิสัยเธอดีค่ะ”
ทอร์ชพยักหน้าน้อยๆ รับคำอย่างเข้าใจ
เขายื่นโทรศัพท์มือถือของฉันส่งให้กระถินพร้อมทั้งพูดออกมาเป็นหนที่สอง
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย
“มันน่าแปลกนะ ที่รูปถ่ายกันเล่นๆ ด้านหลังสเตจถูกปล่อยออกไปแบบนั้น”
“นั่นสิคะ…”
“แปลว่าคงเป็นใครสักคนที่อยู่ด้านหลังสเตจนั่นแหละ” ฉันเม้มปากลงแน่นอย่างเซ็งอารมณ์ ในวินาทีนี้บอกเลยว่าฉันไม่มีกระจิตกระใจอยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง “เธอชื่อกระถินใช่ไหม?”
“ค่ะ!”
“ถ้ายัยติ่งอ่านข้อความพวกนี้แล้วไม่สบายใจ ก็อยากให้อ่าน
ส่วนเรื่องที่ยัยติ่งเป็นข่าวกับฉัน เธอไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันให้พี่สาวจัดการให้” ฉันเหลือบมองหน้าทอร์ชเล็กน้อย
ก่อนจะพบว่าเขากำลังส่งยิ้มให้ฉันด้วยท่าทางใจดีเหมือนทุกที “เริ่มทำหน้าเหมือนหมาตาย แล้วยิ้มสักทีเถอะ ปกติก็ไม่สวยอยู่แล้ว
ยิ่งทำหน้าอย่างนี้ยิ่งไม่สวยเข้าไปใหญ่”
“=_=!”
Rrrrrrrrrrr
โชคดีที่โทรศัพท์ของฉันดันดังขึ้นมาก่อน ไม่อย่างงั้นมีหวังได้นั่งฟังไอ้หมอนี่แซะจนหูชาแน่ๆ กระถินรีบยื่นโทรศัพท์ของฉันส่งมาให้
แน่นอนว่าฉันเองก็รีบกดรับสายแบบไม่ทันได้ดูเบอร์เช่นกัน
[เป็นไรมากป่ะ?] น้ำเสียงหาเรื่องกล่าวดังทันทีที่ฉันยกโทรศัพท์นาบหู
ที่สำคัญเขายังไม่เปิดโอกาสให้ฉันพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว [เมื่อคืนทำไมไม่บอกฉัน ว่ามีเพจแอนตี้บ้าบอพวกนี้ฮะ?!]
เทวินทร์โวยวายเสียงดัง ท่าทางเขากำลังหงุดหงิด
แต่เดี๋ยวก่อนนะ! เขาจะมาหงุดหงิดบ้าอะไรใส่ฉันล่ะ
ก็ในเมื่อคนหงุดหงิดมันต้องเป็นฉันถึงจะถูก!!
“นายโวยวายหาพระแสงอะไรไม่ทราบ คนหงุดหงิดมันต้องเป็นฉันต่างหาก!”
[ก็หงุดหงิดดิ เธอเป็นข่าวกับผู้ชายนี่!]
อะ ไอ้หมอนี่!
[ก็เข้าใจนะว่าชอบหมอนั่นมาก แต่ไม่เห็นต้องเป็นข่าวบ้าบอแบบนี้เลยนี่!]
“แล้วใครมันจะไปรู้ล่ะว่ามันจะเป็นเรื่องแบบนี้ ก็แค่ชอบเท่านั้นเอง!”
[ก็เลิกชอบมันซะ แล้วหันมาชอบฉันแค่คนเดียวดิ!]
Whattttttttttttttttttttttttttttt
=_=
[พูดภาษาคนเข้าใจไหมเนี่ย ห้ามไปชอบใคร ฉันจีบเธออยู่ เธอต้องชอบได้แค่ฉันเข้าใจไหม!...ตู๊ดดดด]
ฉันกดวางสายแบบไม่รอให้เทวินทร์พูดจบ
และตัดสินใจกดปิดเครื่องทันทีด้วยเช่นกัน ความรู้สึกที่เหมือนถูกสายตาสองคู่จ้องมอง
ทำฉันค่อยๆ เหลียวมองเจ้าของสายตาดังกล่าวสลับกันไปกันมา
ก่อนที่ทอร์ชจะเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาด้วยด้วยคำถามน้ำเสียงติดตลก
“ไอ้วินทร์เหรอ?”
“อือ”
“เธอเป็นแฟนไอ้วินทร์เหรอ?”
“จะบ้าหรือไงล่ะ!! ใครจะไปเป็นแฟนกับคนพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนั้นกัน =_=” ฉันขัด และนั่นทำทอร์ชหลุดหัวเราะเสียงดังมากกว่าเก่า
แถมยังเสริมคล้ายกับจะเข้าข้างเพื่อน
“ไอ้วินทร์มันดีนะ บ้านมันก็รวย… อ้อ แล้วก็นี่” ทอร์ชที่ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรออก รีบล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง
จากนั้นก็หยิบของสิ่งๆ หนึ่งยื่นส่งมาให้ ของที่อยู่ในมือของเขาเวลานี้คือกระดาษแผ่นเล็กระบุเบอร์โทรแปลกๆ
แถมยังไม่ใส่ชื่อของผู้เป็นเจ้าของเบอร์เอาไว้ด้วย “มีคนติดต่อพี่สาวฉันมา
บอกให้เอาไอ้นี่ให้เธอด้วย”
ฉันมองกระดาษแผ่นเล็กในมือทอร์ชสลับกับมองหน้าเขาไปมา
แล้วถามขึ้นอย่างนึกสงสัย
“นี่คือ?”
“ลองโทรไปสิ เขาน่าจะช่วยเธอเรื่องกระแสแอนตี้งี่เง่านั่นได้นะ…” เขาตอบพลางรีบยัดกระดาษแผ่นเล็กใส่มือฉัน ก่อนจะทิ้งท้าย “ฉันจะไปม.แล้ว เดี๋ยวสาย ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปไหน
ทำข้าวเย็นเผื่อด้วยนะ J”
เอ๊ะ! ไอ้ผู้ชายบ้านพักหลังนี้เห็นฉันเป็นขี้ข้าหรือไง
หลังจากทอร์ชเดินคล้อยหลังออกจากบ้านไปได้ไม่นาน กระถินที่นั่งนิ่งมาตลอดตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็เริ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางและน้ำเสียงเป็นปกติ
“เลิกคิดมากหรือยัง?”
“ยัง!
ฉันไม่ได้อ่อยคนพวกนั้นตามอย่างที่พวกเพจแอนตี้ว่ากันสักหน่อย” แม้ว่าความจริงจะเคยคิดวางยานอนหลับแล้วจับอปป้าปล้ำก็เถอะ =_=
“พวกปากหอยปากปูน่ะ อย่าไปสนใจเลย” กระถินพยายามปลอบ
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย T_T วันนั้นน่ะแกชิ้งหนีกลับไปก่อน
ฉันก็เลยต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ นี่ไง TOT” ฉันรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนิสัยไม่ดี
พาลโทษคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ทำไงได้ล่ะ
ก็เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตฉันมาก่อนนี่นา
“ขอโทษนะ วันนั้นคุณพี่กั้งมารับไปทำงานน่ะ ฉันขัดคำสั่งเขาไม่ได้” กระถินพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ก่อนกล่าวเสริม “พอเมื่อคืนแมโทรมาบอกเรื่องโดนแอนตี้ ฉันก็รีบหนีงานมาหาเลย ฉันรู้นะว่าแกไม่ใช่คนแบบนั้น”
“T^T” อยากบอกว่าซึ้งที่นานๆทีจะได้ฟังกระถินพูดอะไรยืดยาวแทนการให้กำลังใจแบบนี้
“แล้วนี่จะทำยังไงต่อ เพจบ้านด้อมของแมเป็นเพจเป็นใหญ่ที่สุดของแฟนคลับไทยไมใช่เหรอ?”
“ตอนนี้โดนพวกแฟนคลับด้วยกันแซะผ่านโซเชียลจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วล่ะ สงสัยคงต้องปิด…” ฉันพูดออกไปอย่างนึกหดหู่และไม่เต็มเสียงนัก แน่ล่ะ
ก็บ้านใหญ่ที่ฉันสร้างขึ้นเพื่อวง SWAG มันอยู่มานานตั้งหลายปีนี่น่า
ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันกำลังจะสูญเสียของสำคัญในชีวิตไปแบบนั้นเลยล่ะ T^T
“ไม่เอาดิ ไม่ปิดบ้านแบบนี้ดิแม” กระถินแย้ง “แมสร้างมาตั้งนาน จะมาปิดง่ายๆ เพราะหนีกระแสแอนตี้ไม่ได้นะ”
“เฮ้ออออ ทำยังไงดีล่ะ” พอได้ฟังกระถินพูดแบบนั้น
ฉันก็จนปัญหาที่จะคิดหาทางแก้ต่อไป
อย่างที่บอก ใจจริงแล้วฉันเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบ้านใหญ่ลงหรอก
เพราะบ้านหลังนี้ฉันอุตส่าห์สร้างมาด้วยมือและความรักที่มีต่อวงSWAG ถ้าต้องปิดจริงๆ
ฉันเองก็คงจะทำใจไม่ได้ และฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลายมาเป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่แทนตัวเองว่าติ่งแบบนี้
เคยคิดและเคยเห็นอยู่เหมือนกันนะ เรื่องของพวกแม่ไทยคนอื่นๆ
ที่เคยประสบปัญหาเรื่องดราม่า แต่เพราะตอนนั้นฉันไม่อยู่ในจุดที่คนพวกนั้นประสบพบเจอ
ฉันก็เลยไม่รู้สึกเครียดหรือเป็นกังวลอะไร
แต่พอในตอนนี้ฉันต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองแล้ว สมองมันก็เลยตื่อไปหมด
ทำยังไงดี ตอนนี้มันมืดแปดด้านไปหมดเลย…
“แม ทำไมไม่ลองโทรไปตามเบอร์ที่อยู่ในกระดาษแผ่นนี้ดูล่ะ?” คำถามของกระถินทำฉันหลุบตามองกระดาษเขียนเบอร์โทรแผ่นเล็กในมือ
ก่อนนึกได้ว่าทอร์ชเองก็เพิ่งกำชับให้โทรหาเจ้าของเบอร์ดังกล่าว
‘ลองโทรไปสิ เขาน่าจะช่วยเธอเรื่องกระแสแอนตี้งี่เง่านั่นได้นะ…’ พอสมองประติดประต่อเรื่องราวได้ ฉันก็รีบดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวกลางบ้านโดยอัตโนมัติ
นับว่านี่เป็นรีแอคชั่นรุนแรงที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีมาเลยก็ได้
จริงด้วยสิ! บางทีคนที่พี่สาวทอร์ชให้เบอร์มานี่อาจจะช่วยอะไรฉันได้ก็ได้
“กระถิน ขอยืมโทรศัพท์หน่อย!” พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ไม่รอช้า
รีบยื่นมือพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิททันที
“ทำไมไม่เอาเครื่องเธอโทรล่ะ?”
“ขี้เกียจเปิดเครื่องน่ะ” ใช่! ฉันไม่อยากเปิดเครื่อง
เพราะกลัวว่าไอ้หมอนั่นจะโทรเข้ามาแล้วพูดจาไม่ดูเวล่ำเวลาพาเครียดหนักเข้าไปอีก และต่อให้กระถินจะถาม
แต่เธอก็ยังว่าง่าย ยอมหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองส่งมาให้
พอได้สมาร์ทของเธอมาก็ไม่รอช้า รีบกดหมายเลขตามเบอร์ที่อยู่บนกระดาษทันที พร้อมทั้งรีบยกโทรศัพท์แนบหูทันทีเพื่อรอฟังเสียงตอบรับจากปลายสาย
[สวัสดีครับ] ฉันทำตาโตทันทีที่ปลายสายรับสายและพูดด้วยน้ำเสียงมีมารยาทอย่างสุด
ได้ฟังเพียงแค่เสียงเพียงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเขาคือใคร [นี่แมหรือเปล่า]
เสียงนี้นี่มัน...
[ฮัลโหล ได้ยินไหม?]
“ดะ ได้ยินค่ะ!” ฉันรีบรัวคำพูดตอบปลายสายทันที ก่อนต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายกล่าวบางอย่างออกมาตอกย้ำความแน่ใจให้ฉันมากยิ่งเข้าไปอีก
[อ่า…เมื่อวานพี่บอกให้รอก่อนไงล่ะ
ทำไมถึงไม่รอกันบ้าง]
วอร์อปป้า ใช่! ปลายสายคือวอร์อปป้า และที่สำคัญเขากำลังใช้เสียงน้อยอกน้อยใจถามฉันซะด้วย!
ไม่ได้แม อย่าแตกตื่น ตอนนี้ยิ่งมีกระแสแอนตี้อยู่ อย่าเพิ่งแตกตื่น!
“คะ คะ...คือว่าฉันมีธุระน่ะค่ะ ก็เลย…ตะ ตะ ต้องรีบกลับก่อน” จะให้บอกตรงๆ ว่าถูกผู้ชายลากไปอยู่ที่ห้องนอนมันก็คงไม่ใช่
การตอบเลี่ยงๆ เลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
[เมื่อวานพี่ลองคุยกับทอร์ช
เห็นมันบอกว่าแมพักอยู่ที่บ้านพักเดียวกับมันเหรอคะ?] ปลายสายยิงคำถามทันทีที่ฉันพูดจบ
ชนิดที่ว่าไม่เว้นช่วงให้ฉันหายใจหรือคลายความตื่นเต้นกันเลยทีเดียว
“ค่ะ… คือว่า ทอร์ชบอกให้โทรหาวอร์อปป้า
ว่าแต่วอร์อปป้ามีอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ?” ฉันพูดด้วยท่าทีเหนียมอายพลางเหลือบหางตามองเพื่อนรักที่นั่งตั้งใจฟังฉันคุยโทรศัพท์อย่างสนอกสนใจ
ก่อนจะเสริม “พอดี ฉันใช้เบอร์ของเพื่อนโทรน่ะค่ะ…”
[แล้วตอนนี้แมอยู่ที่บ้านหรือบ้าน?]
“ค่ะใช่!”
[ดีเลย งั้นแมให้ไอ้ทอร์ชหรือใครที่อยู่ในบ้านออกมารับพี่ที่หน้าบ้านพักหน่อยได้ไหม?]
อะไรนะ!!?
“อปป้าว่าไงนะคะ!?”
[พี่บอกว่า ให้เราส่งใครสักคนออกมารับพี่ที่หน้าบ้านหน่อย ไวๆนะคะ
เดี๋ยวพวกนักข่าวมาเจอ…ตู๊ดดดดด]
เดี๋ยวววววววว วางไปแล้วววว ////={}=/////
วะ วอร์อปป้าอยู่หน้าบ้าน
แถมตอนนี้เขาก็วางสายไปแล้วววว!!
“แมเป็นไร?” ด้วยท่าทางร้อนรนของฉัน
ทำให้เพื่อนสาวคนสนิทที่ได้เห็น
เอ่ยปากถามขึ้นด้วยสีหน้าและท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเหมือนปกติ ฉันรีบหันขวับมองเธอชนิดที่ว่าไม่สามารถเก็บอาการของตัวเองได้อีกต่อไป
พลางยื่นโทรศัพท์ในมือส่งคืนผู้เป็นเจ้าของด้วยอาการมือสั่นเหมือนเจ้าเข้า
จากนั้นก็พูด
“วอร์… วอร์อปป้าอยู่หน้าบ้านพัก!” สิ้นเสียง
ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่ดูจะตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านนอกบ้าน กระถินเองก็เช่นกัน
เธอทำตาโตอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เหมือนๆ กับฉันตอนนี้
แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมามากเท่าฉันนัก
“จริงเหรอ...” เธอยังคงเสียบราบเรียบของตัวเองย้อนถามกลับมาแม้จะตกใจ
“อะ อปป้าบอกให้ใครก็ได้ออกไปรับเขาเข้ามาในบ้านอ่ะ แกไปรับอปป้าให้หน่อยสิ!”
“ฝันอะไรอีกแล้ว?” เธอถามเสียงนิ่งเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นจริงๆ
“ฝันอะไรกันเล่า!” ส่วนฉันก็ยังยืนกรานตามที่ปลายสายบอกเอาไว้
และก่อนที่กระถินจะพูดขัดอะไรออกมาอีก ฉันจึงรีบฉวยโอกาสในตอนนั้น
รีบฉุดแขนเธอให้ลุกออกจากโซตัวยาวแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “เร็วสิ! อปป้ารอเธออยู่นะ T///T”
กระถินทำหน้านิ่งบอกบุญไม่รับ แต่สุดท้ายก็ยอมจำนนในที่สุด ยอมออกไปรับอปป้าด้วยอาการนิ่งไร้ชีวิตชีวา
ต่างจากฉันที่ตอนนี้สติหลุดจนไม่เป็นตัวของตัวเองไปแล้ว
“รอตรงนี้นะ” เพื่อนสาวหันมากำชับเป้นครั้งสุดท้าย
ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับคำรัวๆด้วยอาการสติหลุดไม่เป็นตัวของตัวเอง
ถะ ถ้าอปป้าเข้ามาในบ้าน ถึงเวลานั้นฉันจะทำตัวยังไงดีล่ะ
นี่ยังไม่ทันได้อาบน้ำแต่งตัวให้ดีเลยนะ ให้ตายสิ! ไม่ได้ สิ ไม่ได้! อย่าตื่นเต้นสินังกาละแม แกกำลังโดนกระแสแอนตี้อยู่นะ ห้ามดีใจออกนอกหน้า
ห้ามตื่นเต้น ต้องตั้งสติ!
ฮึบ!
ให้ตายเถอะ ใจฉันมันไม่ยอมเต้นช้าลงเลย นี่น่ะมันเหมือนฝันไปเลยนะ ฮือออ มันก็คงจะจริงอย่างที่ใครว่าไว้
ว่าท่ามกลางเรื่องร้ายๆ บางทีอาจจะมีเรื่องดีๆ แอบซุกซ่อนอยู่และเรื่องดีๆของฉันตอนนี้ก็คงเป้นเรื่องที่เหมือนหลุดออกมาจากความฝันแบบนี้นี่แหละ
10 นาทีต่อมา…
“น้ำค่ะวอร์อปป้า”
กระถินเอ่ยขึ้นพลางจัดเตรียมแก้วน้ำสำหรับแขกคนสำคัญแทนฉันที่บัดนี้ได้กลายร่างเป็นหินไปแล้ว
นับตั้งแต่ที่วอร์อปป้าถูกเชิญเข้ามานั่งภายในบ้านพัก
“ขอบใจนะ” วันนี้วอร์อปป้ายังดูใจดีและน่ารักเหมือนทุกที
เขาสวมเสื้อฮู้ดสีดำปกปิดหน้าตา ดูเข้ากับกางเกงยีนขาดๆ ตามสไตล์วัยรุ่น และสวมแว่นดำปกปิดใบหน้าหล่อเหลาของตัวเอง
เหมือนๆ กับในข่าวและละครที่ฉันเคยเห็น อาจเพราะเขาคงไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้ล่ะมั้ง
ว่ามาหาฉันที่นี่
ฉันแอบลอบใบหน้าด้านข้างขอวอร์อปป้าอยู่ใกล้ๆ อยู่บ่อยครั้งเนื่องจากเขานั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่ฉันกำลังนั่งอยู่
แถมระยะห่างระหว่างเราก็โคตรจะใกล้ชิดกันเลย
นี่ถ้าตัดเรื่องน่ากังวลอย่างกระแสแอนตี้ออกไปล่ะก็ ฉันคงกรี๊ดลั่นบ้านไปแล้ว
แม่ขาหนูจะตายแล้ว ฮือออ T////T
“แม…” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อคนตัวใหญ่เอ่ยปากเรียกชื่อ พร้อมทั้งรีบหันมองเจ้าของเสียงด้วยความตื่นเต้น
ชนิดที่ว่าเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ “พี่เห็นเรื่องกระแสแอนตี้แล้วนะคะ
เราโอเคกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
“กะ ก็นิดหนึ่งน่ะค่ะ…” ฉันตอบด้วยความรู้สึกประหม่าอย่างสุดๆ
ก่อนคำพูดดังกล่าวจะถูกเสริมด้วยเสียงของเพื่อนรักที่คล้ายกับโกรธแค้นแทน
“มันก็น่าโมโหนะคะ ที่อยู่ๆ มาโพสต์ข้อความด่ากันแบบนั้นทั้งที่ไม่มีมูล” กระถินไม่ได้แค่พูดแต่ยังแสดงออกว่าไม่พอใจผ่านทางสีหน้าและท่าทางอย่างชัดเจนแบบไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นดารามีชื่อเสียงหรือไม่
พลางเปิดโทรศัพท์ส่งรูปที่ชาวเน็ตใช้เป็นหลักฐานในการโพสต์ต่อว่าฉันส่งให้วอร์อปป้าดูและกล่าวเสริม
“ฉันเองก็อยู่ในเหตุการณ์เหมือนกัน…ฉันสามารถยืนยันตัวตนและจุดประสงค์ได้”
“รูปนี้ มุมการถ่ายรูปมันต่างออกไป” วอร์อปป้าเสนอความเห็นพลางดึงโทรศัพท์จากมือของกระถินมานั่งเพ่งพิจารณา
ครู่หนึ่งก่อนเขาจะยอมถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออกพลอยให้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาได้อย่างชัดเจน
“เหมือนถ่ายมาจากด้านข้างสเตจ”
พอเห็นสีหน้าคนตัวใหญ่เป็นแบบนั้นแล้ว มันก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีวอร์อปป้าอาจจะเครียดที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกเพจแอนตี้ก็ได้
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำอปป้าเดือดร้อนด้วยเลย”
“โอ๊ะ! ไม่เดือดร้อนหรอก… พี่ต้องขอโทษแมมากกว่านะคะ
ที่เล่นด้วยมากเกินไปจนน้องแมตกเป็นกระแสในโซเชียลแบบนี้” และไม่เคยคิดเลยว่าอปป้าจะต้องเป็นฝ่ายกล่าวคำขอโทษให้ฉันแบบนี้
ความรู้สึกตอนนี้ไม่รู้ว่าจะฟินดี หรือรู้สึกผิดดีเลย ให้ตายสิ!
“แมเขาชอบอปป้ามากเลยนะคะ เธอเป็นเมนคุณน่ะ แถมแมเป็นที่รู้จักของคนในวงการโซเชียลของพวกแฟนคลับด้วยแล้ว
มันเลยไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เพื่อนฉันจะถูกคนอื่นต่อว่าแรงๆ แบบนี้” อีกครั้งที่คำพูดของกระถินยืดยาวขึ้นบ่งบอกอารมณ์และความหมายบอกออกมาเป็นนัยๆ
ว่าเรื่องนี้ควรจะต้องมีใครสักคนรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น
วอร์อปป้าพอได้ฟัง เขาก็เริ่มแสดงสีหน้าครุ่นคิด
ริมฝีปากบางน่าหลงใหลเม้มลงแน่น พลางผงกหัวรับรู้อย่างเข้าใจ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนกับว่าคิดอะไรออก
“น้องกระถินพูดถูกนะ เรื่องนี้ควรจะมีใครรับผิดชอบ”
“ฉันไม่ได้อยากให้อปป้า…” ฉันพยายามขัดความคิดของคนข้างๆ
แต่วอร์อปป้าดันพูดขัดออกมาเสียก่อน
“เรื่องนี้แมไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวพี่จะรับผิดชอบเรื่องกระแสแอนตี้ให้เอง”
“แล้วคุณจะช่วยอะไรเพื่อนฉันได้ละคะ?” คำถามของกระถินดังทักขึ้นตามหลังอย่างทันควันในจังหวะที่วอร์อปป้ากำลังใช้ความคิด
และนั่นทำฉันรีบโบกไม้โบกมือให้เธอหยุดพูดแต่ เธอก็ไม่หยุด “คุณบอกว่าคุณสนิทกับเพื่อนฉันมากเกินไป
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณสนิทกันได้ยังไง ในฐานะอะไร แต่ฉันคิดว่าการที่คุณต้องรับผิดชอบมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”
วอด เดอะ ฟาวเวอร์ กระถินนนน ={}= ยัยบ้านี่!
“ถ้าเราจะกลบข่าวแอนตี้ เราควรจะสร้างข่าวใหม่ทับข่าวเก่า”
“วิถีของพวกคนดังเป็นแบบนี้เหรอคะ” กระถินกอดอกแบบไม่ชอบใจข้อเสนอนัก
“ใช่ นี่เป็นวิถีของพวกคนในวงการที่ชอบทำ แต่เชื่อเถอะ
พี่ไม่ทำให้เพื่อนน้องกระถินมีข่าวเสียหายมากไปกว่านี้หรอกค่ะ” แม้ว่าเขาจะถูกกระถินพูดจาเหน็บแนมใส่ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นวอร์อปป้าก็ยังแสดงความน่ารักและความใจเย็นของตัวเองออกมา
แบบไม่ถือโทษโกรธเคือง
“ละ แล้วเราจะสร้างข่าวใหม่ด้วยเรื่องอะไรละคะ?” ฉันเองที่ตอนนี้ก็จนปัญญาที่จะจบเรื่องเพจแอนตี้
เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย แต่แล้ว มันก็เป็นฉันนั่นเองที่ต้องสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ
วอร์อปป้าเลื่อนสายตาหันมองฉันแบบตรงๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็พูดออกมา
“เรา… มาลองคบกันแบบหลอกๆ ดูไหมคะ?”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น