คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : HALF02 ; เอาให้หลาบจำ {อัพ100%}
เวลา 21.20 นาฬิกา
ถนนเรียบทางด่วนสาย A
วี้หว่อ~ วี้หว่อ~
ทุกคืน
ช่วงเวลาระหว่างหกโมงเย็นจนก่อนถึงสี่ทุ่ม
ฉันมักจะหายตัวออกจากพระราชวังโพรงกระต่ายมาขลุกอยู่กับสิ่งที่รักร่วมกับมูลนิธิกู้ภัยค่ะ
เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวัน งานที่มูลนิธิจึงมีไม่ขาด
ยิ่งด้วยคนสมัยนี้ทำทุกอย่างด้วยความประมาท
ฉันจึงได้ออกลาดตระเวนไปยังจุดเกิดเหตุแบบไม่เว้นวัน
อย่างเช่นคืนนี้
หน่วยของฉันถูกเรียกมายังถนนเรียบทางด่วนสาย A
ซึ่งเพิ่งมีการประสานงานระหว่างรถตู้โดยสารที่คนขับหลับในกับรถสิบล้อขนดิน
มีคนเจ็บ 8 ราย ตาย 3
แม้ตอนนี้ร่างคนเจ็บถูกคนในมูลนิธิพึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเรียบร้อยแล้ว
แม้เหตุการณ์บนถนนสายนี้จะเริ่มสงบลงจากตอนแรกที่วุ่นวายเพราะมีคนตาย
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้หัวใจฉันเต้นช้าลงเลย
ยิ่งสายตาปรายมองไปเห็นเศษกระจกของรถที่แตกกระจายร่วงอยู่บนพื้นกับซากรถตู้ที่พังยับเยินทั้งคัน
ไหนจะเลือดกองใหญ่ที่เจิงอยู่บนพื้นหลังจากการประสานงานที่แสนรุนแรงด้วยแล้ว
ฮ้า! รู้สึกดีจนคืนนี้ไม่อยากกลับบ้านเลยค่ะ!
“ทามเรียกพี่ช้าง ได้ยินแล้วตอบด้วย
เปลี่ยน” เสียงเข้มของผู้ชายที่มาด้วยกัน
ทำฉันซึ่งกำลังยืนเนื้อตัวเต้นอยู่บริเวณจุดเกิด เหลียวมองไปยังต้นเสียงทันที
พร้อมกับเสียงจากวิทยุที่ตอบกลับมา
{ได้ยินแล้ว เปลี่ยน}
“คนเจ็บถุูกส่งตัวขึ้นรถหมดแล้ว
ผมกับถินกลับเลยได้ใช่ไหม เปลี่ยน”
{เออ กลับกันได้เลย ระวังด้วย เปลี่ยน} ทันทีที่ประสาททางการรับฟังได้ยินเสียงตอบรับจากวิทยุกลับมาเช่นนั้นความรู้สึกที่เคยกระชุ่มกระชวยก็ฟ่อลงทันตา
และดูท่าแล้วคนตัวใหญ่ซึ่งนั่งยืนพิงกับกระโปรงหลังรถเองก็คงสังเกตได้
เขาจึงลดวิทยุสื่อสารในมือลงแล้วเอ่ยทักขึ้น
“ไม่ร่าเริงเหมือนขามาเลยนะถิน”
“เราจะกลับกันจริงๆเหรอทาม”
“ใช่ เดี๋ยวเราขับรถไปส่งถินที่บ้าน
แล้วค่อยเลยเอารถไปเก็บที่มูลนิธิ...” จู่ๆ
ทามก็หยุดพูดไปเฉยๆ เมื่อเห็นฉันทำท่าอิดออดไม่อยากกลับ
เขายิ้มแล้วกล่าวขึ้นคล้ายกับเตือนสติ “ไหนถินบอกคืนนี้มีธุระต้องทำตอน
4 ทุ่มไง ไม่ทำแล้วเหรอ ?”
หลังได้ฟังสมองอันน้อยนิดของฉันก็เริ่มได้สติ
เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ก่อนออกจากมหาวิทยาลัย
คุณพี่กั้งกำชับเอาไว้ว่าให้ไปช่วยงานที่ห้องตอนสี่ทุ่ม
พอนึกได้ดังนั้นฉันจึงตอบทามกลับไปอย่างเสียไม่ได้
“อือ...กลับก็กลับ...” โดยยึดคติที่ใครต่อใครว่าไว้ ‘ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน’
ปลงแล้วค่ะ...
การตัดสินใจขึ้นรถมูลนิธิโดยได้ทามเป็นคนขับพาไปส่งบ้านนั้น
ไม่ใช่เพราะฉันอยากทำงานให้คุณพี่กั้งจนตัวสั่น
แต่กฎของพระราชวังโพรงกระต่ายที่คนทำงานอยู่ภายในนั้นรู้กันดีและต้องท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามขัดใจคุณหนู เพราะดันมีกฎแบบนี้ ฉันจึงต้องทำทุกอย่างตามคำสั่งแม้ว่าเรื่องที่ถูกเรียกใช้นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ
ยากแก่การเข้าใจก็ตาม
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ทามใช้เวลาขับรถจากถนนเรียบทางด่วนสาย A พาฉันมาส่งส่งที่พระราชวังโพรงกระต่ายกลางเมืองใหญ่
สำหรับฉันเวลามันผ่านไปไวมากเลยค่ะ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
“ถิน พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วไปไหนป่ะ ?” ขณะเปิดประตูเตรียมลงจากรถ ทามก็ถามขึ้น
จำต้องหยุดชะงักมือเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้านิดๆ
“ไม่ไป…”
“เออดีเลย เราได้ตั๋วดูหนังมาสองที่นั่ง
พรุ่งนี้ถินไปดูหนังกับเราไหม?”
“หนังเหรอ...” ฉันย้อนเสียงเรียบ
ขณะเดียวกันในหัวก็กำลังตัดสินใจ นึกหาคำตอบให้ทามไปด้วย
“ใช่หนัง เป็นหนังฆาตกรรมอ่ะ
เราเห็นว่าถินชอบอะไรแนวนี้ก็เลยชวน ไปไหม?”
“ไปสิ” ปฏิกิริยาทางความชอบส่งผลให้ฉันพลั้งปากตอบโดยที่ในหัวยังคงอยู่ในขั้นตอนการประมวล
หากแต่นั้นดันทำให้คนฟังฉีกยิ้มกว้างแสดงความชอบใจ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้ว
เราส่งข้อความหานะ” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก
ก่อนหันกลับไปเปิดประตูลงจากรถ ยืนมองทามขับรถถอยหลังออกจากบริเวณหน้าบ้านใหญ่
ขับเลี้ยวออกจากซอยไปจนกระทั่งไฟท้ายรถสีสดหายไปกับมืด
จึงจะตัดสินใจหันกลับเข้าบ้าน
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบริเวณที่ทามขับรถมาส่งมันคือประตูทางเข้าบ้านใหญ่ค่ะ
มีไว้สำหรับเจ้าของบ้านใช้เข้าออกเท่านั้น
ส่วนคนทำงานบ้านทุกคนไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม
จะถูกสั่งให้ใช้ประตูเล็กด้านหลังสำหรับเข้าออกเท่านั้น
ทว่า
ในตอนที่หันหลังกลับไปเตรียมที่จะเดินย้อนไปทางด้านหลังพระราชวังโพรงกระต่ายนั้นเอง..
กึก!
“ทำไมกลับช้านักเล่า !” สิ่งที่เจอเมื่อหันกลับไปดันเป็นชายตัวสูงในชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกันแต่ดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องตกใจก่อนค่ะ
“อ๊ะ ! คุณพี่กั้ง !”
“ตกใจช้าไป เข้าบ้าน !” เขาดุใส่ฉันแสดงนิสัยเอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนูให้ได้เห็น
มิหนำซ้ำยังถือวิสาสะคว้าแขนฉันกึ่งดึงกึ่งลากให้เดินตรงไปยังหน้าประตูทางเข้าบ้านใหญ่
เห็นดังนั้นฉันจึงร้องทักเสียงดัง
“คุณพี่กั้งคะ....ถิน
ถินต้องเข้าประตูหลังค่ะ”
“เธอรู้ไหมว่าเธอมาตามนัดสายไปกี่นาทีแล้ว” เพราะถูกต่อว่าฉันจึงค่อยๆ
ใช้มือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมของมูลนิธิ ทว่า
โทรศัพท์ก็ถือคนตัวใหญ่ที่ไวกว่าฉวยไปแล่วเป็นฝ่ายตะคอกเสียงเฉลยออกมาเอง “ครึ่งชั่วโมง ! เธอเลทไปครึ่งชั่วโมง !”
“ตะ...แต่ถินต้องเข้าประตูหลังค่ะ”
“ช่างหัวประตูหลังแม่งเถอะ !” คุณพี่กั้งหันมาทำตาดุใส่ ราวกับจะกำหลาบใส่คนผิดนัด ทว่า
สายตาเขานั้นกลับไม่ได้มองหน้าฉันแต่เพียงอย่างเดียว
เขาค่อยๆ เลื่อนตาลงต่ำมายังหน้าอก และดูจะต่ำลงเรื่อยๆ ไปยังขอบกระโปรงนักศึกษา
จังหวะเดียวกันนั้นก็เอียงคอโน้มตัวลงนิดๆ พร้อมทั้งกัดปากและพึมพำบางอย่างออกมาด้วย
“เพราะว่าฉัน...”
“คะ ?” คำพูดกับท่าทางแปลกชวนงุนงงของคนตัวใหญ่ทำฉันหลุดปากถามออกมาด้วยความสงสัย
และทันทีที่สิ้นเสียงคนตัวใหญ่ก็ช้อนตาขึ้นมองหน้านิดๆ
และพูดบางอย่างออกมาต่อท้ายประโยคที่ขาดหายจนจบ
“ชอบประตูหน้ามากกว่า...”
“เอ๊ะ...ประตู...อะ” อีกหนที่คุณพี่กั้งไม่เปิดโอกาสให้ได้ครุ่นคิดหรือทบทวนคำพูดแปลกๆ ของเขา
และเลือกจะฉุดกระชากฉันตรงไปยังประตูใหญ่เพื่อพาเข้าไปภายในตัวพระราชวังโพรงกระต่าย
ตลอดเวลาที่คุณพี่กั้งกึ่งดึงกึ่งลากฉันให้เดินไปตามเส้นทางตามอำเภอใจ
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรีบร้อนและรวดเร็ว
เพียงไม่นานในที่สุดเขาก็พาฉันมาถึงยังที่หมาย
ห้องขนาดเล็กนอกตัวบ้านสไตล์ญี่ปุ่นติดอยู่กับสวนสวยญี่ปุ่นล้ำสมัย พูดให้ถูกก็คือ
ห้องนอนส่วนตัวของคุณพี่กั้งเขานั่นแหละค่ะ
ครืดด !
ประตูห้องถูกเลื่อนปิดลงเสียงดังทันทีที่เจ้าของห้องพาฉันเข้ามาอยู่ภายในห้องส่วนตัวของตัวเองได้สำเร็จ
คุณพี่กั้งยอมปล่อยมือออกไป แล้วเอ่ยขึ้นแกมดุ
“ถินทำให้พี่เสียเวลา”
ฉันไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยืนงง
มองสภาพภายในห้องเพื่อเช็กความเรียบร้อยตามหน้าที่ของแม่บ้าน
โดยรวมแล้วสภาพห้องคุณพี่กั้งก็ดูเข้าที บนโต๊ะหนังสือก็ไม่ได้มีกองเอกสารหรืองานอะไรที่น่าจะทำค้างเอาไว้
“คุณพี่กั้งให้ถินมาที่นี่ทำไมคะ ?” และถามขึ้นเมื่อไม่พบเข้ากับสิ่งผิดปกติภายในห้อง
แต่คำถามนั่นกลับทำให้เจ้าของกระโดดทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองทันทีสภาพนอนหงาย
โดยสายตาของเขายังจดจ้องมายังฉันแบบไม่วางตา
“นี่ไง ปัญหามันอยู่ตรงนี้...” ได้ยินเช่นนั้น ฉันจึงจำต้องเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของคำพูดแบบตรงๆ
แต่ก็เหมือนเดิม
ฉันยังไม่เห็นความผิดปกติหรือกองงานที่เขาเปรยไว้ว่าต้องการรับความช่วยเหลือและเป็นตัวการที่ทำให้เขาโมโหกับการรอการเข้าให้ความช่วยเหลือจากฉันอยู่ดี
และเพราะว่าฉันยังยืนนิ่ง มันเลยทำให้คุณพี่กั้งพูดออกมาเอง
“นี่ไง ถินไม่เห็นงานที่ควรช่วยพี่ทำเหรอ ?”
คราวนี้คนตัวใหญ่ไม่ใช่แค่พูดแต่เขายังเลื่อนมือลงต่ำมายังกระดุมกางเกง
กัดริมฝีปากล่างตัวเอง
โดยใช้นัยน์ตาคมซึ่งบางคราวก็ส่อแววใสซื่อเหมือนกระต่ายบางคราวก็ส่อแววเหมือนหมาป่าที่ลอบหยิบชุดกระต่ายมาสวม
พร้อมออกคำสั่งกึ่งขอสั้นๆ
“งื้ออ...พี่ถอดกางเกงเองไม่ได้อ่ะ
ถินถอดให้พี่หน่อย”
และนี่แหละค่ะ
คืองานไร้สาระที่ฉันมักถูกคุณพี่กั้งใช้อยู่บ่อยๆ
แต่เพราะกฎของบ้านคือห้ามขัดใจคุณหนู ฉันซึ่งเป็นคนชั้นผู้น้อยจึงต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาฉันยังไม่เคยลองเลี่ยงหรอกค่ะ คิดไม่ทัน
ทำเสร็จแล้วเพิ่งนึกได้ทุกที
นึกช้าไปจริงๆ ค่ะ
ได้แต่บอกตัวเองอยู่เสมอว่ารอบหน้าค่อยเอาใหม่...
งานปลดกางเกงให้คุณพี่กั้งมันไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่
คล้ายกับงานบริการช่วยเหลือคนอื่น ก็แค่ใช้มือปลดกระดุมกางเกง แล้วดึงมันออกไป
อารมณ์คล้ายๆ
ช่วยผู้ป่วยที่มีลักษณะเป็นง่อยหรืออัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั่นแหละค่ะ
งานก็คืองาน ฉันแยกแยะได้
เพราะงั้นสายตาจึงไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากมือตัวเองที่กำลังเอื้อมเข้าไปช่วยปลดกระดุมกางเกงให้คนตัวใหญ่บนเตียง
ทว่า ระหว่างกำลังจัดการกับการรูดซิปลงอยู่นั้น จู่ๆ
เจ้าของกางเกงก็เลื่อนมือข้างหนึ่งเข้ามากุมมือฉันไว้จนทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ถนัด
“เอามือออกสิคะคุณพี่กั้ง
ถินทำงานไม่ได้...”
“ก็ถินช้า ไม่ทันใจ” เขาพูดแทรกเสียงบอกกล่าวของฉันแบบไม่ฟัง
พร้อมกันนั้นก็รีบดีดตัวลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งใช้วงแขนข้างที่เหลืออ้อมเข้ามารั้งสะโพกฉันดึงเข้าหาตัวแบบไม่ทันให้เตรียมตัวจนเสียหลักล้มทับไปนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของคุณพี่กั้งอย่างไม่ตั้งใจ
สายตาเลื่อนช้อนมองหน้าคนตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย
และพบว่าคุณพี่กั้งเองก็กำลังมองฉันอยู่เช่นกัน
“ที่บอกว่าวันนี้ใส่กางเกงในสีขาว...” เขาพูดไปพลางใช้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างไป
อยากจะใช้คำว่าท่าทางหื่นกระหายอยู่เหมือนกันค่ะ
แต่องค์ประกอบบนดวงหน้าของคุณพี่กั้งดันให้ความรู้สึกว่าน่ารักจนฉันไม่กล้าใช้คำนั้นเลยทีเดียว
ถึงจะค่อนข้างขัดกับนิสัยและคำพูดที่ได้ฟังอยู่ก็ตามที “ถินเปิดให้พี่ดูหน่อยได้ป่ะ ?”
“ถินต้อง...ถอดกางเกงคุณพี่กั้งออกก่อนค่ะ”
“งั้นก็รีบถอดออกสิ...” ปากเขาว่าแบบนั้นแต่มือที่เขาใช้กุมมือฉันบริเวณซิปกางเกงกลับเริ่มเพิ่มน้ำหนักมือเรื่อยๆ
ราวกับต้องการขัดขวางการทำงานไม่หยุด
ขณะเดียวกันบริเวณสะโพกก็รู้สึกถึงฝ่ามือหนาลูบคลึงไปมาอย่างถือวิสาสะด้วยเช่นกัน
เพราะอยากรีบทำงานให้มันเสร็จๆ ไป
จะได้รีบกลับไปอาบน้ำและเตรียมตัวเขานอน
วินาทีนั้นฉันจึงตัดสินใจยื้อแรงขัดขวางจากฝ่ามือของผู้เป็นนายโดยยังใช้สายตานิ่งๆ
มองตอบแววตาเจ้าเล่ห์ของเขากลับไป
ใช้นิ้วชี้กับหัวแม่โป้งดึงหัวซิปเอาไว้ให้มั่นก่อนออกแรงกระชากดึงลงอย่างเต็มแรง
ทว่า
“อ๊ะ ! ซี๊ดดด...” การกระทำดังกล่าว ทำเอาคุณพี่กั้งครวญเสียงซี๊ดในลำคอออกมาคล้ายกับเจ็บปวด
รีบผละมือซึ่งกำลังลูบไล้สะโพกอย่างถือโอกาสออกไปบีบมือตัวเอง
เมื่อหลุบตามองไปยังที่มือก็พบว่าบริเวณสันนิ้วโป้งมือของคนตัวใหญ่กำลังปรากฏเลือดซิบๆ
ให้ได้เห็น คงเพราะแรงกระชากเมื่อครู่
เลยทำให้โครงซิปที่รูดลงบาดมือคุณพี่กั้งแน่ๆ แต่ว่า
ฮ้า...เสียงเขาตอนเจ็บปวดฟังเพราะเสนาะหูมากเลยค่ะ..
“จะ เจ็บไหมคะ ?” ปากฉันถามเขาอย่างรู้สึกผิด
ขณะเดียวกันหัวใจก็เริ่มเร่งอัตราการเต้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างห้ามไม่ได้
“ซี๊ด...จะ เจ็บดิ ทำไมถินไม่ระวังเลย
อะ...” เสียงบ่นอุบของคุณพี่กั้งขาดช่วงวลีสุดท้าย
เมื่อร่างกายเริ่มทำปฏิกิริยากับเลือดบริเวณหัวแม่โป้งมือของอีกฝ่ายด้วยการเลื่อนมือตะครุบเอาไว้แบบไม่สามารถควบคุมได้
ฉันหลุบตามองเลือดสีสดที่ค่อยไหลซิบออกมาอย่างเชื่องช้า
สลับกับมองหน้าคุณพี่กั้งไปด้วย ส่วนปากก็ถาม
“เจ็บ...มากเลยเหรอคะ ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ถินต้องรับผิดชอบพี่เลยนะ
ทำอะไรไม่ได้แล้วเนี่ย...โอ๊ยย !” อีกครั้งที่คุณพี่กั้งครวญเสียงเพราะความเจ็บปวดอันไพเราะออกมาให้ได้ยิน
ก่อนตามด้วยเสียงของฉันที่เอ่ยถาม
“คุณพี่กั้ง ยังเจ็บมากอยู่หรือเปล่าคะ...” ฉันถามเขา...ทั้งที่มือค่อยๆ
เพิ่มน้ำหนักบีบกดบริเวณข้างปากแผลให้เลือดไหลทะลักออกมามากยิ่งกว่าเก่า “ถินเป็นห่วงจัง”
“ถะ ถิน...เจ็บ...” เสียงครวญน่าฟังหลุดผ่านปากของคุณพี่กั้งอีกครั้ง
และนั่นเหมือนยิ่งเป็นแรงผลักดันทำฉันควบคุมตัวเองไม่อยู่
วินาทีที่คุณพี่กั้งทำท่าเหมือนจะชักมือหนีออกไป
กำลังมือก็ยิ่งเพิ่มแรงต้านมากขึ้นและยืนกรานความต้องการของตัวเองบอกอีกฝ่ายกลับไปน้ำเสียงเฉื่อยเฉยตามนิสัย
“อย่าค่ะ... เดี๋ยวถินทำแผลให้...” แต่ไม่ใช่กับร่างกายที่พลั้งเผลอทำตามความต้องการของตัวเองอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ผลักอกผู้เป็นเจ้านายล้มนอนนาบลงกับเตียงนอน
ฟึ่บ ! ตุบ !
“เฮือก !” ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อย
มองสีหน้าตื่นตูมราวกับตกใจของลูกกระต่ายเจ้าของพระราชวังหลังใหญ่อย่างนึกชื่นชม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ฉันค่อยๆ เคลื่อนคลานเข้าเข้าไปหา
ชันเข่าคร่อมทับร่างกายเขาไว้แล้วมองลงมาจากมุมสูง
“เจ็บ... นิดหนึ่งนะคะ...” คำพูดปลอบใจเอ่ยขึ้นเพื่อปลอบใจกระต่ายตัวน้อย
ขณะลดมือข้างที่ไม่ได้ใช้งานล้วงลงกับกระเป๋าเสื้อคลุมของชุดมูลนิธิคว้าของบางอย่างขึ้นมาขณะที่มือข้างที่บีบมือคุณพี่กั้งเอาไว้ยังเพิ่มน้ำหนักมือเรื่อยๆ
“หนะ นั่นอะไรอ่ะ...” เสียงลูกกระต่ายสั่นเครือราวกับกำลังหวาดกลัวอะไร
แววตาที่เขาใช้มือขวดยาขนาดเล็กในมือฉันก็ด้วย
เห็นแล้วมันช่างเป็นภาพที่น่าพิสมัยอย่างสุดๆ
“ทิงเจอร์ค่ะ...” ฉันตอบเสียงเรียบและเริ่มอธิบาย “เรา...ต้องล้างแผลกันก่อนนะคะ”
“มะ ไม่ต้องก็ได้มั้ง ละ
เลือดออกแค่นี้เอง... เฮือก” อีกหนที่คำพูดสำหรับใช้เถียงของลูกกระต่ายถูกทำให้เงียบลง
ทันทีที่ฉันตัดสินใจบีบกดบริเวณรอบปากแผลเป็นหนที่สองให้เลือดไหลไปตามรูปทรงของหัวแม่โป้งมือ
และให้เหตุผลเขากลับไป
“เลือด...ไหลเยอะแล้วนะคะ ทำแผลเถอะค่ะ”
เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้และกันการเขาหลบหนีก่อนที่การปฐมพยาบาลจะสิ้นสุด
ร่างทั้งร่างจึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบริเวณปากกางเกงและซิปที่ถูกรูดออกและจงใจถูกไถสะโพกเคลื่อนผ่านจุดรับความรู้สึกของลูกกระต่ายไปด้วยเพื่อหาที่นั่งเหมาะในการทำแผล
“อะ...ถิน...เบาหน่อย...” คุณพี่กั้งครวญออกมาไม่หยุดเมื่อฉันเริ่มขยับ แววตาเขาบ่งบอกถึงความพอใจ
ยามถูกฉันกระทำอย่างหนักแต่ขณะเดียวในแววตาคู่นั้นก็แฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นและความหวาดกลัวไปด้วย
“ไม่ต้องกลัวนะคะ มันจะไม่เจ็บ...” ร่างทั้งร่างของเขาเกร็งจัด
แถมยังชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่ภายในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศยามถูกคร่อมทับกายเอาไว้แบบนี้
“ถะ ถิน...บะ เบาๆ พี่เสียว...” เขาครวญชื่อฉันซ้ำๆ ราวกับกลัวลืมชื่อ ยามที่ร่างกายเราเบียดแนบชิดกัน
รับรู้ได้ถึงลูกเล่นความทะลึ่งทีเล่นทีจริงของอีกฝ่ายผ่านคำพูด
โดยเฉพาะฝ่ามือของเขาข้างหนึ่งคว้าเข้าบริเวณช่วงเอวอย่างฉวยโอกาส ก่อนค่อยๆ
เพิ่มน้ำหนักมือเกร็งจัดราวกับหาช่องทางลวนลามและระบายความรู้สึกที่ได้รับอยู่ขณะนี้ให้หมดไปพร้อมกัน ในยามที่ฉันบรรจงเปิดฝาขวดทิงเจอร์ในมือออกอย่างเชื่องช้าและไม่รีบร้อน
“นิดหนึ่งนะคะ...” ฉันไม่สนใจหรอกค่ะว่าคุณพี่กั้งคิดจะทำอะไร เพราะฉันชอบเสียงเขา
เวลาขาดเป็นช่วงๆ กระท่อนกระแท่นไม่เป็นศัพท์ โดยเฉพาะเสียงเฮือกสุดท้าย
ตอนที่เขาเรียกชื่อฉันแล้วพูดประโยคนั้นออกมาเคล้าเสียงหอบหนักๆ
“ถะ...ถิน...พะ พี่ไม่ไหวแล้ว...”
“ไม่เจ็บค่ะ...ไม่เจ็บ...” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสียงกรีดร้องของคุณพี่กั้งที่ปานจะขาดใจ
ในยามที่ทิงเจอร์สำหรับล้างแผลถูกเทอาบบริเวณบาดแผล
“อะ....อ๊ากกกก เจ็บ ถิน พี่เจ็บบบบบบบบบ”
มันช่างไพเราะเสนาหูเหลือเกินค่ะ...
________________________________
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ติดแท็กในทวิต #กระต่ายกินเต่า
FEAT.
ความคิดเห็น